การประมวลผลการชําระเงินเป็นสิ่งสําคัญสําหรับธุรกิจทุกขนาด รวมถึงธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจในสหรัฐฯ จ่ายเงินค่าธรรมเนียมการประมวลผลเป็นสถิติสูงสุด 1.607 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2022 เพื่อยอมรับการชำระเงินจากบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเติมเงิน รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์
ด้านล่างนี้ เราจะพูดถึงสิ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กควรรู้เกี่ยวกับการประมวลผลการชำระเงิน: วิธีการทำงาน ความท้าทายและความเสี่ยงที่ธุรกิจขนาดเล็กต้องเผชิญ วิธีเลือกผู้ให้บริการการชำระเงินที่เหมาะสม และวิธีสร้างแนวทางการชำระเงินที่จะเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การประมวลผลการชําระเงินทํางานอย่างไรสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- ระบบประมวลผลการชําระเงินประเภทต่างๆ สําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- องค์ประกอบสําคัญของการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- เหตุใดการประมวลผลการชําระเงินที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสําคัญสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- ความท้าทายเกี่ยวกับการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- วิธีเลือกผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง
การประมวลผลการชําระเงินทํางานอย่างไรสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
รอบการประมวลผลการชําระเงินแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังต่อไปนี้
การเริ่มต้นธุรกรรม
ลูกค้าตัดสินใจที่จะชําระเงินโดยใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ระบบจะบันทึกรายละเอียดบัตรของลูกค้าผ่านระบบบันทึกการขาย (POS), เกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ยอมรับบัตรการอนุมัติ
ระบบจะส่งรายละเอียดบัตรไปให้ผู้ประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งจะส่งต่อรายละเอียดธุรกรรมไปยังธนาคารที่ออกบัตรเพื่อขออนุมัติ ธนาคารตรวจสอบความถูกต้องของบัตรและตรวจว่าลูกค้ามีเงินทุนหรือเครดิตเพียงพอหรือไม่ หากทุกอย่างเรียบร้อย ธนาคารจะส่งรหัสการอนุมัติไปยังผู้ประมวลผลการชําระเงิน จากนั้นธุรกรรมจะดําเนินการในขั้นต่อไปได้การชําระเงิน
ธุรกรรมที่ได้รับอนุมัติจะถูกจัดกลุ่มรวมกับธุรกรรมอื่นๆ ที่ต้องประมวลผล ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงสิ้นสุดวันทำการ ผู้ประมวลผลการชําระเงินช่วยอํานวยความสะดวกในการโอนเงินจากธนาคารที่ออกบัตรไปยังบัญชีของธุรกิจ ธนาคารของธุรกิจจะฝากเงินเข้าบัญชีของธุรกิจตามจำนวนธุรกรรม โดยหักลบค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม
เพื่อรักษาความปลอดภัยตลอดกระบวนการนี้ ผู้ประมวลผลการชำระเงินจะใช้มาตรฐานการเข้ารหัสและการปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น มาตรฐานความปลอดภัยข้อมูลอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS)
ระบบประมวลผลการชําระเงินประเภทต่างๆ สําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ระบบประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็กแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้า
นี่คือสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ให้บริการบัญชีผู้ค้าแก่ธุรกิจ ซึ่งเป็นบัญชีธนาคารเฉพาะทางที่ธุรกิจต้องใช้เพื่อรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและเดบิต ผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้าให้การควบคุมกระบวนการชำระเงินที่มากขึ้น แต่ก็มักจะมีขั้นตอนการตั้งค่าและค่าธรรมเนียมที่ซับซ้อนกว่าผู้ให้บริการชําระเงิน (PSP)
PSP เช่น Stripe รวบรวมบัญชีผู้ค้า ทำให้ธุรกิจต่างๆ ยอมรับการชำระเงินได้โดยไม่ต้องตั้งค่าบัญชีผู้ค้าของตนเอง PSP เป็นที่รู้จักกันดีว่าการตั้งค่าและใช้ง่าย จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
องค์ประกอบสําคัญของการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
องค์ประกอบสําคัญในการประมวลผลการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ คือเกตเวย์การชําระเงิน บัญชีผู้ค้า และผู้ประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งทํางานร่วมกันเพื่ออํานวยความสะดวกด้านธุรกรรมดิจิทัล ต่อไปนี้คือสิ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กควรรู้เกี่ยวกับระบบประมวลผลการชําระเงินเหล่านี้
เกตเวย์การชําระเงิน
เกตเวย์การชําระเงินคือบริการที่อนุมัติและประมวลผลการชําระเงินในธุรกรรมออนไลน์ และทําหน้าที่เป็นสะพานระหว่างเว็บไซต์ของธุรกิจกับผู้ประมวลผลการชําระเงิน เมื่อลูกค้าทําการซื้อ เกตเวย์จะส่งข้อมูลการชําระเงินไปยังผู้ประมวลผลอย่างปลอดภัยเพื่อขอการอนุมัติและดําเนินการให้เสร็จสิ้น ฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การป้องกันการฉ้อโกง การเข้ารหัส และการแปลงเป็นโทเค็น จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้ธุรกรรม
ต่อไปนี้คือวิธีการทำงาน
การเข้ารหัสข้อมูล: เมื่อลูกค้าป้อนรายละเอียดการชําระเงินบนเว็บไซต์ เกตเวย์การชําระเงินจะเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่งผ่าน
คําขออนุมัติ: เกตเวย์จะส่งข้อมูลนี้ไปให้ผู้ประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งจะส่งต่อไปให้ธนาคารที่ออกบัตรเพื่อรับการอนุมัติ
การส่งข้อมูลการตอบกลับ: เกตเวย์จะรับการอนุมัติหรือการปฏิเสธการอนุมัติจากผู้ประมวลผลการชําระเงินและส่งข้อมูลนี้กลับไปที่เว็บไซต์ของธุรกิจ
บัญชีผู้ค้า
บัญชีผู้ค้าคือบัญชีธนาคารประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ยอมรับและประมวลผลธุรกรรมบัตรชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ หลังจากที่ธุรกรรมบัตรได้รับอนุมัติแล้ว ระบบจะกันเงินทุนไว้ในบัญชีผู้ค้าก่อนที่จะโอนไปยังบัญชีธนาคารปกติของธุรกิจ สิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับบัญชีผู้ค้ามีดังนี้
การกันและการโอนเงิน: หลังจากธุรกรรมได้รับอนุมัติ ระบบจะกันเงินทุนไว้ในบัญชีผู้ค้าชั่วคราว โดยปกติแล้ว ระบบจะโอนเงินทุนเหล่านี้ไปยังบัญชีธนาคารของธุรกิจภายใน 2-3 วัน
ความสัมพันธ์กับธนาคารที่รับบัตร: บัญชีผู้ค้าจัดหาให้โดยธนาคารผู้รับบัตรหรือสถาบันทางการเงินที่มีความสัมพันธ์กับเครือข่ายบัตร เช่น Visa และ Mastercard
โครงสร้างค่าธรรมเนียม: บัญชีผู้ค้าอาจมีค่าธรรมเนียมหลายประเภท เช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ค่าธรรมเนียมรายเดือน และค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ
ผู้ประมวลผลการชําระเงิน
ผู้ประมวลผลการชําระเงินคือบริษัทที่จัดการกระบวนการสำหรับธุรกรรมบัตรเครดิตโดยดําเนินการเป็นตัวกลางระหว่างธุรกิจ ธนาคารของธุรกิจ (สถาบันผู้รับบัตร) และบริษัทผู้ออกบัตร (ธนาคารของลูกค้า) ผู้ประมวลผลการชําระเงินมีบทบาทสําคัญในระบบนิเวศการชําระเงินด้วยวิธีต่อไปนี้
ธุรกรรม: ผู้ประมวลผลการชำระเงินจัดการด้านเทคนิคของการประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งรวมถึงการส่งข้อมูลธุรกรรมไปยังเครือข่ายบัตรและธนาคารที่เกี่ยวข้อง
การป้องกันการฉ้อโกงและการรักษาความปลอดภัย: ผู้ประมวลผลการชำระเงินใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง และปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น PCI DSS
การชําระเงิน: ผู้ประมวลผลจะอํานวยความสะดวกในการชําระเงิน เพื่อให้ธุรกิจได้รับการชําระเงินสําหรับธุรกรรม โดยหักค่าธรรมเนียม
องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ทํางานร่วมกันเพื่อให้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นได้ เกตเวย์การชำระเงินจะบันทึกและเข้ารหัสข้อมูลบัตร บัญชีผู้ค้าทำหน้าที่เป็นพื้นที่เก็บเงินสำหรับธุรกรรม และผู้ประมวลผลการชำระเงินจะดำเนินการธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์โดยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงิน
เหตุใดการประมวลผลการชําระเงินที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสําคัญสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
มีหลายเหตุผลว่าทำไมธุรกิจขนาดเล็กควรให้ความสำคัญกับการประมวลผลการชำระเงิน โดยเหตุผลต่างๆ มีดังนี้
ความเร็วในการทําธุรกรรม
ธุรกิจขนาดเล็กมักจะดําเนินงานโดยใช้ทรัพยากรที่จํากัด การประมวลผลการชำระเงินที่รวดเร็วหมายความว่าธุรกิจจะได้รับเงินอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายประจำวันดีขึ้นประสบการณ์ของลูกค้า
ลูกค้าคาดหวังตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงบัตรเครดิต การชําระเงินออนไลน์ และการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ธุรกิจขนาดเล็กจะสามารถปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าและกระตุ้นให้เกิดการกลับมาใช้บริการซ้ําได้โดยการบรรลุความคาดหวังเหล่านี้ความถูกต้องและการเก็บบันทึก
การประมวลผลการชำระเงินอัตโนมัติช่วยรักษาบันทึกทางการเงินที่ถูกต้อง สิ่งนี้มีความสำคัญสำหรับการติดตามการขายและการจัดการสินค้าคงคลัง รวมทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี การแก้ไขข้อผิดพลาดในการประมวลผลด้วยตนเองอาจมีค่าใช้จ่ายและใช้เวลานานการรักษาความปลอดภัย
โดยทั่วไปแล้ว วิธีการชําระเงินแบบดิจิทัลจะมีความปลอดภัยมากกว่าเงินสด เนื่องจากจะลดความเสี่ยงของการโจรกรรมและการฉ้อโกง การรักษาความปลอดภัยทางการเงินของลูกค้าและธุรกิจเป็นแง่มุมที่สําคัญของความสัมพันธ์ทางธุรกิจการเข้าถึงทั่วโลก
สำหรับธุรกิจที่มองหาการขยายกิจการในทางภูมิศาสตร์ ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทำให้สามารถรับชำระเงินจากทุกที่ในโลก จึงช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่ๆงานเอกสารที่ลดลง
การชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ลดความจําเป็นในการใช้กระดาษในการออกใบแจ้งหนี้และการเก็บบันทึก ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมการจัดการการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า
สําหรับธุรกิจที่ใช้โมเดลแบบชำระเงินตามรอบบิลหรือจําเป็นต้องจัดการการเรียกเก็บเงินเป็นประจํา ระบบการชําระเงินอัตโนมัติจะลดความซับซ้อนของขั้นตอนดังกล่าว โดยการรับประกันการชําระเงินที่ตรงเวลาและเกิดขึ้นเป็นประจําโดยไม่ต้องมีการดำเนินการเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องประหยัดค่าใช้จ่าย
แม้ว่าจะมีต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งค่าระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่โดยรวมแล้วอาจคุ้มต้นทุนมากกว่าการจัดการเงินสดหรือเช็ค ระบบเหล่านี้ช่วยลดค่าธรรมเนียมการฝากเงินในธนาคาร แรงงานที่เกี่ยวข้องในการประมวลผลด้วยตนเอง และความจำเป็นในการขนย้ายเงินทางกายภาพ การประมวลผลการชำระเงินแบบดิจิทัลมีต้นทุนต่ำกว่าการประมวลผลการชำระเงินที่ไม่ใช่แบบดิจิทัลถึง 57% โดยเฉลี่ยข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์
ระบบประมวลผลการชําระเงินจํานวนมากมาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์ที่นําเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการขาย ช่วงเวลาที่มีการซื้อสินค้าและบริการสูงสุด รวมถึงพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้สามารถใช้ประกอบการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและการดําเนินการด้านการตลาดได้
ความท้าทายเกี่ยวกับการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็กมีความท้าทายบางส่วน ซึ่งรวมถึงข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้
ค่าใช้จ่าย
หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งค่าและการรักษาระบบประมวลผลการชําระเงิน ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ค่าธรรมเนียมการเช่าอุปกรณ์ และการเรียกเก็บเงินสําหรับบริการเกตเวย์การชําระเงินอาจรวมแล้วมีจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีผลกําไรต่ําความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงและการรักษาความปลอดภัย
การรักษาความปลอดภัยข้อมูลและธุรกรรมของลูกค้าถือเป็นข้อกังวลอย่างต่อเนื่องสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งมักขาดทรัพยากรในการลงทุนด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ซึ่งทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการฉ้อโกงและการละเมิดข้อมูลมากขึ้นปัญหาทางเทคนิคและความเสถียร
ระบบประมวลผลการชําระเงินต้องมีการตั้งค่าทางเทคนิคที่เสถียร ปัญหาต่างๆ เช่น ข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ การทํางานที่ฮาร์ดแวร์ขัดข้อง และปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจทําให้เกิดอุปสรรคในการประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียยอดขาย และความไม่พอใจของลูกค้าการปฏิบัติตามข้อกําหนดและข้อบังคับ
การปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการเงินอย่าง PCI DSS เป็นเรื่องจำเป็น แต่อาจมีความซับซ้อน ธุรกิจขนาดเล็กต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษและปัญหาด้านกฎหมาย ซึ่งต้องอาศัยเวลาและความรู้ด้านข้อกําหนดทางกฎหมายการดึงเงินคืนและการโต้แย้งการชําระเงิน
การจัดการกับการดึงเงินคืน ซึ่งลูกค้าโต้แย้งธุรกรรมอาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับงานเอกสารและการสื่อสารกับธนาคารและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้สูญเสียรายรับการผสานการทํางานกับระบบอื่นๆ
การผสานการทํางานระบบการประมวลผลการชําระเงินกับซอฟต์แวร์ธุรกิจอื่นๆ (เช่น ระบบการทําบัญชีหรือสินค้าคงคลัง) อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่การไม่มีการผสานรวมระบบก็อาจทําให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพและข้อผิดพลาดในการเก็บบันทึกได้ความต้องการของลูกค้า
การติดตามตรวจสอบความต้องการด้านการชําระเงินของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (เช่น การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล) ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและอาจจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีใหม่ๆอำนาจต่อรองที่จํากัด
ธุรกิจขนาดเล็กมักขาดอำนาจในการต่อรองค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต่ำลงกับผู้ประมวลผลการชำระเงิน ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ประโยชน์จากปริมาณธุรกรรมที่สูงเพื่อให้ได้อัตราที่ดีกว่าการฝึกอบรมและการสนับสนุน
พนักงานจะต้องได้รับการฝึกฝนให้ใช้ระบบประมวลผลการชําระเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย หากธุรกิจไม่มีทรัพยากรในการฝึกอบรมอย่างครอบคลุมหรือหากบริการประมวลผลการชําระเงินให้การสนับสนุนแบบจํากัดธุรกรรมต่างประเทศ
สําหรับธุรกิจที่ร่วมงานกับลูกค้าต่างประเทศ ความท้าทายเพิ่มเติมได้แก่ การแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่สูงขึ้น และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการชําระเงินระหว่างประเทศ
วิธีเลือกผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การประเมินความต้องการของธุรกิจคุณ
การเลือกผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็กมีข้อควรพิจารณาสําคัญหลายประการ เริ่มต้นด้วยการประเมินความต้องการเฉพาะของธุรกิจคุณ เป้าหมายของคุณคือการเลือกผู้ให้บริการที่สามารถให้บริการแก่การดําเนินงานในปัจจุบันและแผนการเติบโตในอนาคตได้ ต่อไปนี้คือประเด็นสําคัญที่ควรพิจารณา
วิเคราะห์ปริมาณและรูปแบบธุรกรรม
ดูจํานวนธุรกรรมที่ธุรกิจของคุณดําเนินการโดยเฉลี่ยและค่าแปรผัรนของธุรกรรมเหล่านี้ หากธุรกิจของคุณมีช่วงที่มียอดขายพุ่งสูงตามฤดูกาลหรือมีปริมาณการขายที่ผันผวน คุณต้องมีผู้ให้บริการที่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงัก นอกจากนี้ ให้พิจารณาขนาดธุรกรรมเฉลี่ย ผู้ให้บริการบางรายเสนอเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับธุรกรรมที่มีปริมาณมากและมูลค่าต่ำ หรือธุรกรรมที่มีปริมาณน้อยและมูลค่าสูงสำรวจประเภทการชําระเงินที่คุณต้องยอมรับ
ระบุประเภทการชําระเงินที่ลูกค้าเลือกใช้ ซึ่งอาจประกอบด้วยบัตรเครดิต บัตรเดบิต การชําระเงินออนไลน์ การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และธุรกรรมระหว่างประเทศ ผู้ให้บริการของคุณจะต้องรองรับวิธีการชําระเงินเหล่านี้ทั้งหมด เพื่อให้ก้าวล้ำหน้าความคาดหวังของลูกค้า ธุรกิจควรศึกษาแนวโน้มการชำระเงินที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมของคุณ เช่น การชำระเงินแบบไร้สัมผัส หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลพิจารณาโมเดลธุรกิจของคุณและข้อกําหนดเฉพาะของอุตสาหกรรม
โมเดลธุรกิจและอุตสาหกรรมของคุณอาจมีความต้องการด้านการประมวลผลการชําระเงินที่ไม่เหมือนใคร ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดร้านค้าออนไลน์ คุณจะต้องมีผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ และสามารถผสานรวมกับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างราบรื่น ในทํานองเดียวกัน ร้านค้าแบบมีหน้าร้านจะต้องใช้ระบบ POS เครื่องจริง อุตสาหกรรมอื่นๆ อาจมีข้อกำหนดการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่แตกต่างกันสำหรับผู้ประมวลผลการชำระเงินวางแผนเพื่ออนาคต
ธุรกิจของคุณจะมีทิศทางอย่างไร หากคุณวางแผนที่จะขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มสายผลิตภัณฑ์ การเพิ่มปริมาณธุรกรรม หรือการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินของคุณจะต้องสนับสนุนการเติบโตนี้ได้ ซึ่งอาจรวมถึงการขยายฟังก์ชันการประมวลผลของคุณ การเพิ่มวิธีการชําระเงินใหม่ หรือการรองรับธุรกรรมในสกุลเงินต่างๆ
ทําความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ประมวลผลการชําระเงินประเภทต่างๆ
ผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้าเทียบกับผู้ให้บริการชําระเงิน:
ผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้า
ต่อไปนี้คือผู้ประมวลผลแบบดั้งเดิมที่สร้างบัญชีผู้ค้าสำหรับธุรกิจของคุณเพื่อรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต พวกเขาให้บริการที่ปรับเฉพาะมากขึ้นและสามารถเสนอโซลูชันที่เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจของคุณได้ แต่มักจะมีกระบวนการอนุมัติที่เข้มงวดมากกว่า และอาจต้องใช้เวลาในการตั้งค่านานขึ้นผู้ให้บริการชําระเงิน (PSP)
PSP มีการตั้งค่าที่ตรงไปตรงมามากกว่า และโดยทั่วไปแล้วจะใช้งานได้ง่ายกว่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ผู้ให้บริการเหล่านี้รวมบัญชีผู้ค้าหลายบัญชี ซึ่งอาจทําให้เวลาในการตั้งค่ารวดเร็วขึ้นและกระบวนการอนุมัติเข้มงวดน้อยลง อย่างไรก็ตาม PSP อาจไม่มอบการปรับแต่งในระดับเดียวกันกับผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้า และอาจเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่สูงขึ้น
ข้อดีและข้อเสียของธนาคารเทียบกับองค์กรขายอิสระ (ISOS):
ธนาคาร
ธนาคารหลายแห่งให้บริการแก่ผู้ค้าและเป็นตัวเลือกแบบดั้งเดิมสําหรับการประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับธนาคารอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ธนาคารอาจไม่มีอัตราที่ดีที่สุดเสมอไป และอาจไม่เน้นบริการเฉพาะทางเหมือนกับผู้ให้บริการผู้ค้ารายอื่นISOS
นี่คือตัวแทนของบุคคลที่สามที่จำหน่ายบริการของผู้ประมวลผลรายใหญ่กว่า พวกเขามักจะให้บริการที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้ามากขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในแง่ของข้อกำหนดและราคา ข้อเสียคือพวกเขาอาจจะไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยและโครงสร้างพื้นฐานในระดับเดียวกันกับธนาคารขนาดใหญ่
ผู้ประมวลผลบางรายจะมีเกตเวย์การชําระเงินแบบผสานรวม ในขณะที่บางรายอาจกําหนดให้คุณสร้างเกตเวย์แยกต่างหาก การเลือกผู้ให้บริการที่รวมบริการทั้งสองเข้าด้วยกันจะทำให้กระบวนการง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าเกตเวย์รองรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณและตอบโจทย์การทำธุรกรรมออนไลน์ที่เจาะจงของคุณ
การประเมินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย
ค่าธรรมเนียมทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชําระเงิน:
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม
นี่คือค่าธรรมเนียมสําหรับธุรกรรมแต่ละรายการที่ประมวลผล โดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ตามจํานวนเงินของธุรกรรมบวกค่าธรรมเนียมคงที่ ตัวอย่างเช่น 2.9% + 30 เซ็นต์ต่อธุรกรรมเป็นโครงสร้างทั่วไปค่าธรรมเนียมรายเดือน
ผู้ให้บริการบางรายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนสําหรับการใช้บริการ ซึ่งอาจเป็นค่าธรรมเนียมคงที่หรืออาจแตกต่างกันไปตามจํานวนธุรกรรมหรือยอดขายรวมค่าธรรมเนียมการตั้งค่า
นี่เป็นค่าธรรมเนียมแบบครั้งเดียวสําหรับการตั้งค่าระบบประมวลผลการชําระเงินของคุณ ผู้ให้บริการบางรายอาจไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตั้งค่า และค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจแตกต่างกันไป
ค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ต้องทราบ:
ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์
หากคุณต้องการใช้อุปกรณ์เครื่องจริง เช่น เครื่องอ่านบัตรหรือ POS ก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือเช่าอุปกรณ์นี้ค่าธรรมเนียมการปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI
หากจัดการข้อมูลบัตรเครดิต คุณจะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนด PCI ผู้ให้บริการบางรายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสําหรับฟีเจอร์นี้ค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืน
หากลูกค้าโต้แย้งธุรกรรม (การดึงเงินคืน) มักจะมีค่าธรรมเนียมสําหรับเหตุการณ์แต่ละครั้งค่าธรรมเนียมการยกเลิก
ผู้ให้บริการบางรายอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อสิ้นสุดสัญญาก่อนกำหนดต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของเมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อตัดสินใจเลือกผู้ประมวลผลการชําระเงิน ให้ประเมินค่าใช้จ่ายรวมตลอดเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมมาตรฐาน แต่ยังรวมถึงค่าธรรมเนียมที่อาจเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับบริการใหม่ หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการอัปเกรดอุปกรณ์ พิจารณาว่าโครงสร้างค่าธรรมเนียมเหมาะสมกับปริมาณธุรกรรมที่คุณคาดหวังไว้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่มีธุรกรรมมูลค่าต่ำจำนวนมากอาจต้องการค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมที่น้อยลง แม้ว่าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนที่สูงขึ้นก็ตาม
คำนึงถึงต้นทุนของบริการหรือฟีเจอร์เพิ่มเติมที่คุณอาจต้องการในอนาคตเมื่อธุรกิจของคุณเติบโต
การพิจารณาข้อกําหนดของสัญญาและความยืดหยุ่น
ระยะเวลาของสัญญา
ให้ความสําคัญกับระยะเวลาของสัญญา ผู้ให้บริการบางรายมีตัวเลือกบริการแบบรายเดือน ในขณะที่บางรายอาจต้องใช้บริการเป็นเวลาหนึ่งปีขึ้นไปนโยบายการยกเลิกบริการ
ทําความเข้าใจกระบวนการและเงื่อนไขในการสิ้นสุดสัญญา ผู้ให้บริการบางรายจะอนุญาตให้คุณยกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อโดยไม่มีบทลงโทษ ในขณะที่ผู้ให้บริการรายอื่นอาจมีข้อกําหนดหรือระยะเวลาการบอกกล่าวที่เฉพาะเจาะจงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับขนาด
เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น ความต้องการด้านการประมวลผลการชําระเงินของคุณก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ มองหาผู้ให้บริการที่มอบความยืดหยุ่น เช่น ความสามารถในการเพิ่มวิธีการชําระเงินใหม่หรือเพิ่มปริมาณธุรกรรมโดยไม่มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายหรือความท้าทายทางเทคนิคมากมาย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการสามารถสนับสนุนคุณได้ หากคุณขยายเข้าสู่ตลาดใหม่หรือต้องการประมวลผลธุรกรรมในสกุลเงินที่แตกต่างกันค่าปรับและค่าธรรมเนียมการยกเลิกข้อตกลงหรือการเปลี่ยนแปลงบริการก่อนกําหนด
สัญญาบางรายการอาจรวมบทลงโทษหรือค่าธรรมเนียมสําหรับการสิ้นสุดสัญญาก่อนกําหนด หรือการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญในแพ็กเกจบริการของคุณ โปรดตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ สอบถามเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการอัปเกรดหรือการดาวน์เกรดแพ็กเกจบริการ ผู้ให้บริการบางรายอาจเรียกเก็บเงินสำหรับการเปลี่ยนแปลง
ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
ทําความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS)
PCI DSS คือชุดข้อกําหนดสําหรับการรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการประมวลผล จัดเก็บ หรือส่งข้อมูลบัตรเครดิต นี่เป็นมาตรฐานบังคับสำหรับธุรกิจใดๆ ที่ต้องจัดการธุรกรรมบัตรเครดิต การปฏิบัติตามมาตรฐาน PCI DSS ช่วยปกป้องธุรกิจและลูกค้าของคุณจากการละเมิดข้อมูล การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนมากและเสียชื่อเสียงการเข้ารหัส การแปลงเป็นโทเค็น และฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยอื่นๆ
การเข้ารหัสคือกระบวนการแปลงข้อมูลให้เป็นรหัสเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อรักษาข้อมูลให้ปลอดภัยในการประมวลผลการชำระเงิน ข้อมูลจะต้องได้รับการเข้ารหัสทันทีที่รูดบัตร สอดบัตร หรือป้อนข้อมูล และจะยังคงเข้ารหัสต่อไปจนกว่าจะถึงผู้ประมวลผลการชำระเงิน การแปลงเป็นโทเค็นแทนที่ข้อมูลบัตรที่ละเอียดอ่อนด้วยรหัสระบุเฉพาะ ("โทเค็น") ที่ไม่มีประโยชน์หากแฮ็กเกอร์เข้าถึงได้ ระบบสามารถใช้โทเค็นนี้สำหรับธุรกรรมในอนาคตโดยไม่เปิดเผยรายละเอียดบัตรจริง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการขโมยบัตรและการฉ้อโกง ผู้ให้บริการอาจจะนําเสนอฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น อัลกอริทึมตรวจจับการฉ้อโกง การตรวจสอบธุรกรรมแบบเรียลไทม์ และกระบวนการตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าที่ปลอดภัยการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้าและการป้องกันการฉ้อโกง
ธุรกิจต่างๆ จะต้องใช้ผู้ประมวลผลการชําระเงินที่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด และยังรักษาแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ปกป้องข้อมูลของลูกค้าไว้ด้วย มาตรการป้องกันการฉ้อโกงมีความสําคัญเท่าๆ กัน และอาจรวมถึงการใช้เครื่องมือที่ผู้ประมวลผลการชําระเงินให้บริการ เช่น บริการยืนยันที่อยู่ (AVS) และการตรวจสอบค่าการยืนยันบัตร (CVV) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม การอัปเดตระบบเป็นประจำ การให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัย และการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามและแนวโน้มด้านความปลอดภัยล่าสุด ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการปกป้องข้อมูลของลูกค้า
การผสานการทํางานทางเทคนิคและการใช้งาน
ความเข้ากันได้กับระบบที่ธุรกิจมีอยู่ (POS, ซอฟต์แวร์การทําบัญชี)
ผู้ประมวลผลการชําระเงินของคุณจะต้องสามารถผสานกับระบบ POS และซอฟต์แวร์การทําบัญชีที่มีอยู่ได้ ข้อมูลที่ไม่ตรงกันในระบบต่างๆ อาจทําให้ต้องป้อนข้อมูลด้วยตัวเองซึ่งช่วยเพิ่มความเสี่ยงของข้อผิดพลาดและความไม่มีประสิทธิภาพ มองหาผู้ประมวลผลการชําระเงินที่มีโซลูชันแบบใช้งานได้ทันทีสําหรับแพลตฟอร์ม POS และการทําบัญชีที่ได้รับความนิยม หากคุณใช้ซอฟต์แวร์ที่ออกแบบเองหรือเฉพาะทาง โปรดตรวจสอบว่าผู้ประมวลผลการชําระเงินรองรับการผสานการทํางาน API เพื่อให้การสื่อสารระหว่างระบบต่างๆ ราบรื่นความสะดวกในการตั้งค่าและใช้งานสําหรับพนักงานและลูกค้า
ระบบการชําระเงินควรเป็นมิตรต่อสําหรับพนักงานและลูกค้าของคุณ สําหรับพนักงาน นั่นหมายถึงอินเทอร์เฟซที่ใช้ง่าย ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการฝึกอบรมและลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างการทําธุรกรรม สําหรับลูกค้า กระบวนการชําระเงินควรรวดเร็วและตรงไปตรงมาโดยมีคําแนะนําที่ชัดเจนและมีขั้นตอนน้อยที่สุดในการทําธุรกรรมให้เสร็จสิ้น วิธีนี้ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นสําหรับลูกค้าและสามารถเพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำได้ นอกจากนี้ ให้พิจารณาความสะดวกในการตั้งค่า ในเชิงอุดมคติ ระบบการประมวลผลการชำระเงินควรจะติดตั้งได้ง่ายโดยมีคำแนะนำหรือการสนับสนุนจากผู้ประมวลผลเพื่อให้เริ่มใช้งานได้โดยไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางธุรกิจมากนักการสนับสนุนทางเทคนิคและฝ่ายบริการลูกค้า
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการประมวลผลการชำระเงินอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของคุณ ดังนั้น โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าการสนับสนุนด้านเทคนิคของผู้ให้บริการนั้นรวดเร็วและเพียงพอ ตรวจสอบความพร้อมของบริการลูกค้า โดยเฉพาะการสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ดำเนินการนอกเวลาทำการมาตรฐาน ตรวจดูประเภทของการสนับสนุนที่มีให้บริการ ผู้ให้บริการมีการสนับสนุนทางโทรศัพท์ อีเมล แชทแบบสด หรือฐานความรู้หรือไม่ มีแหล่งข้อมูลสําหรับการแก้ไขปัญหาทั่วไปหรือไม่
อ่านการรีวิวและรับการแนะนำ
วัดประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการนอกเหนือจากคำกล่าวอ้างด้านการตลาด วิธีการมีดังนี้
การสำรวจรีวิวและคะแนนออนไลน์
เริ่มต้นด้วยการสํารวจรีวิวออนไลน์และคะแนนของผู้ประมวลผลการชําระเงิน เว็บไซต์อย่าง Trustpilot, Google Reviews และฟอรัมเฉพาะอุตสาหกรรมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้ความสําคัญกับรีวิวในเชิงบวกและลบ มองหาความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่มีความสําคัญกับธุรกิจของคุณมากที่สุด เช่น คุณภาพการบริการลูกค้า ความสะดวกในการใช้งาน ความน่าเชื่อถือของบริการ และวิธีการที่ผู้ให้บริการจัดการกับปัญหาต่างๆ เช่น การโต้แย้งการชําระเงินและการดึงเงินคืนขอคําแนะนําจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กคนอื่นๆ
ติดต่อเครือข่ายของคุณหรือเข้าร่วมกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นและฟอรัมออนไลน์เพื่อขอคําแนะนําเป็นการส่วนตัวจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กรายอื่น สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับจากฝ่ายสนับสนุนลูกค้า ความท้าทายทางเทคนิคใดๆ ที่พวกเขาประสบ และวิธีที่บริการประมวลผลการชําระเงินผสานการทํางานกับระบบธุรกิจอื่นๆ การเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าซึ่งอาจไม่ปรากฏในรีวิวออนไลน์การประเมินกรณีศึกษาหรือคํารับรอง
ผู้ประมวลผลการชําระเงินหลายรายแสดงคํารับรองหรือกรณีศึกษาจากลูกค้า แม้ว่าข้อมูลนี้มักเน้นไปที่แง่บวก แต่ยังคงมีประโยชน์ในการอธิบายวิธีที่บริการช่วยเหลือธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน มองหากรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือรูปแบบธุรกิจของคุณ เพื่อเรียนรู้ว่าผู้ประมวลผลการชำระเงินจัดการกับความท้าทายหรือความต้องการเฉพาะที่คล้ายกับกรณีของคุณได้อย่างไร
การทดสอบและการทดลองใช้
ทดสอบและทดลองใช้ระบบประมวลผลการชําระเงินก่อนที่จะเลือกใช้บริการจริง ขั้นตอนนี้นี้ช่วยให้คุณสามารถประเมินความเข้ากันได้ของระบบกับการปฏิบัติงานในธุรกิจของคุณ พร้อมทั้งรวบรวมความคิดเห็นจากพนักงานและลูกค้า วิธีการมีดังนี้
การมีบริการทดลองใช้ฟรีหรือเวอร์ชันสาธิต
ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินเสนอบริการเวอร์ชันทดลองใช้ฟรีหรือเวอร์ชันสาธิตหรือไม่ เพื่อให้คุณสามารถสํารวจฟีเจอร์และอินเทอร์เฟซผู้ใช้โดยไม่ต้องลงทุนทางการเงิน ระหว่างช่วงทดลองใช้ ให้ใส่ใจกับความง่ายในการผสานรวมกับระบบที่มีอยู่ของคุณ เช่น ระบบ POS และซอฟต์แวร์บัญชี ประเมินว่ากระบวนการตั้งค่านั้นง่ายเพียงใดและการทํางานของระบบเหมาะกับความต้องการของคุณหรือไม่ทําการทดสอบนําร่องกับระบบประมวลผลการชําระเงิน
หากเป็นไปได้ ควรทำการทดสอบนำร่องโดยใช้ระบบการชำระเงินในสถานการณ์จริง เช่น การใช้งานในจุดเดียวหรือสำหรับส่วนที่เจาะจงของธุรกิจของคุณ ระหว่าช่วงนําร่อง ให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของระบบ ดูวิธีการจัดการกับธุรกรรมประเภทต่างๆ ระยะเวลาในการตอบกลับ และปัญหาที่เกิดขึ้นขณะประมวลผลการชําระเงินรวบรวมความคิดเห็นจากพนักงานและลูกค้าในช่วงทดลองใช้งาน
ขอความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้งานระบบ ความท้าทายต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญ และเปรียบเทียบกับระบบก่อนหน้าในด้านประสิทธิภาพและความสะดวกในการใช้งาน รวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้าผ่านการสนทนาหรือดำเนินการอย่างเป็นทางการผ่านแบบสํารวจ มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับกระบวนการชำระเงิน เช่น ความเร็วของธุรกรรม ความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญ และความพึงพอใจโดยรวม
การตัดสินใจ
เปรียบเทียบตัวเลือกสุดท้ายโดยเปรียบเทียบกับ
เปรียบเทียบตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณแบบเทียบกันโดยการสร้างแผนภูมิเปรียบเทียบหรือรายการที่รวมปัจจัยสำคัญ เช่น ค่าธรรมเนียม เงื่อนไขสัญญา ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ความเข้ากันได้กับระบบที่มีอยู่ของคุณ ความสะดวกในการใช้งาน คุณภาพการบริการลูกค้า และฟีเจอร์เพิ่มเติมใดๆ ที่สำคัญต่อธุรกิจของคุณ การเปรียบเทียบโดยตรงนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าผู้ให้บริการรายใดตรงกับความต้องการทางธุรกิจของคุณในด้านต่างๆ ที่สุดจัดลําดับความสําคัญความต้องการ (ต้นทุนเทียบกับฟีเจอร์เทียบกับการบริการ)
โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับธุรกิจของคุณ และผลกระทบในระยะยาวจากตัวเลือกที่คุณเลือก ผู้ให้บริการที่มีต้นทุนสูงขึ้นเล็กน้อย แต่มอบบริการและฟีเจอร์ที่ดีขึ้นอาจดีกว่าในระยะยาว เมื่อเทียบกับตัวเลือกที่ราคาถูกและเชื่อถือได้น้อยกว่าการสรุปข้อตกลงกับผู้ให้บริการที่เลือก
เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้ว ให้สรุปข้อตกลงกับผู้ให้บริการ ตรวจสอบสัญญาอย่างละเอียดและตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจข้อกำหนดและเงื่อนไขทั้งหมด รวมถึงค่าธรรมเนียม ข้อตกลงระดับการบริการ การสนับสนุน และนโยบายการยุติสัญญา เจรจาข้อกําหนด หากเป็นไปได้ และขอคําชี้แจงเมื่อจําเป็น หลังจากลงนามในสัญญาแล้ว ให้บริหารความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการของคุณในเชิงรุก โดยตรวจสอบต้นทุนธุรกรรมและคุณภาพบริการเป็นประจำเพื่อประเมินว่ายังคงตรงตามความต้องการทางธุรกิจของคุณหรือไม่
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการประมวลผลการชําระเงินสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการประมวลผลการชําระเงินที่สําคัญสําหรับธุรกิจขนาดเล็กมีดังนี้
เลือกผู้ประมวลผลการชําระเงินที่เหมาะสม
ประเมินความต้องการและค่าใช้จ่าย: ประเมินความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของธุรกิจ รวมถึงประเภทของธุรกรรม ปริมาณธุรกรรมเฉลี่ย และฟีเจอร์ที่ต้องการ เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมธุรกรรม ค่าธรรมเนียมรายเดือน และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
พิจารณาความสามารถในการปรับขนาด: เลือกผู้ประมวลผลที่สามารถขยายไปพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจด้วยการรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นและขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
เสนอตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลาย
การเสนอวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย: รวมวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิตและเดบิต กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น Apple Pay, Google Pay) และแพลตฟอร์มการชําระเงินออนไลน์ (เช่น PayPal) เพื่อให้คุณตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายได้
การชําระเงินระหว่างประเทศ: หากคุณให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศ ให้ลองเสนอวิธีการชําระเงินที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคดังกล่าว และตรวจสอบว่าผู้ประมวลผลของคุณจัดการกับหลายสกุลเงินได้
ให้ความสําคัญกับการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
การปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI: เลือกผู้ประมวลผลการชําระเงินที่ปฏิบัติตาม PCI DSS มาตรฐานนี้จําเป็นต่อการปกป้องข้อมูลการชําระเงินของลูกค้าให้ปลอดภัย
ใช้เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย: ใช้เกตเวย์การชําระเงินที่มีโปรโตคอลการเข้ารหัสและความปลอดภัยแบบรัดกุมเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนระหว่างการทำธุรกรรม
อัปเดตระบบเป็นประจํา: อัปเดตซอฟต์แวร์ประมวลผลการชําระเงินและฮาร์ดแวร์เป็นประจําเพื่อป้องกันภัยคุกคามความปลอดภัยล่าสุด
เพิ่มประสิทธิภาพให้ขั้นตอนการชําระเงิน
ทําให้ขั้นตอนการชําระเงินง่ายขึ้น: ขั้นตอนการชําระเงินที่เรียบง่ายจะช่วยลดการละทิ้งรถเข็นได้ ลดจํานวนของขั้นตอนและทําให้การนําทางมีความเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทําได้
การเพิ่มประสิทธิภาพสําหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่: เพิ่มประสิทธิภาพให้ขั้นตอนการชําระเงินสําหรับผู้ใช้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่
ใช้มาตรการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง
ใช้บริการยืนยันที่อยู่ (AVS): AVS จะตรวจสอบที่อยู่ในการเรียกเก็บเงินที่ลูกค้าระบุโดยเทียบกับที่อยู่ในระบบของบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต
ใช้การยืนยัน CVV: กําหนดให้ลูกค้าต้องป้อน CVV ในระหว่างการทําธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตเพื่อลดความเสี่ยงของการใช้งานที่เป็นการฉ้อโกง
ตรวจสอบธุรกรรม: ตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจําเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัยและตั้งค่าการแจ้งเตือนหากพบรูปแบบที่ผิดปกติ
ระบุข้อมูลการชําระเงินและการสนับสนุนที่ชัดเจน
ค่าบริการที่โปร่งใส: แสดงราคา ภาษี และค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าต้องจ่ายอะไรและเพราะอะไร
การสนับสนุนลูกค้า: ตอบกลับข้อสอบถามและปัญหาเกี่ยวกับการชําระเงินของลูกค้าทันที ลูกค้าควรสามารถค้นหาข้อมูลติดต่อของคุณได้รวดเร็วและง่ายดาย
ใช้เครื่องมือการวิเคราะห์และการรายงาน
ติดตามธุรกรรม ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบแนวโน้มยอดขาย เวลาทําธุรกรรมที่มีจํานวนสูงสุด และพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า
การกระทบยอดและการรายงาน กระทบยอดธุรกรรมของคุณเป็นประจํา และใช้เครื่องมือการรายงานเพื่อติดตามสถานะทางการเงินและเพื่อจุดประสงค์ทางภาษี
ตรวจสอบและอัปเดตกระบวนการชําระเงินอย่างต่อเนื่อง
รับข่าวสารเกี่ยวกับแนวโน้ม: คอยติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการประมวลผลการชําระเงิน รวมถึงวิธีการชําระเงินและเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น คริปโตเคอร์เรนซี
การตรวจสอบเป็นระยะ: ประเมินประสิทธิภาพของระบบประมวลผลการชําระเงินและทําการปรับเปลี่ยนตามต้องการเป็นประจํา
ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ด้านการประมวลผลการชําระเงิน
ให้ความรู้แก่พนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานของคุณเพื่อให้ใช้ระบบประมวลผลการชําระเงิน จัดการธุรกรรมอย่างปลอดภัย รวมทั้งจัดการคําขอของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
การตระหนักรู้เรื่องการฉ้อโกง: ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับกลยุทธ์การฉ้อโกงที่พบบ่อยและวิธีการปฏิบัติตามโปรโตคอลการรักษาความปลอดภัย
วางแผนเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ
ระบบสํารองข้อมูล: จัดเตรียมตัวเลือกการประมวลผลการชำระเงินสำรองไว้ในกรณีที่ระบบหลักของคุณขัดข้อง
การสํารองข้อมูลเป็นประจำ: สํารองข้อมูลธุรกรรมเป็นประจําเพื่อป้องกันการสูญเสียในกรณีที่ระบบขัดข้อง
Stripe จะช่วยได้อย่างไร
ชุดผลิตภัณฑ์ของ Stripe ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กจัดการความต้องการด้านการประมวลผลการชําระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย สิ่งที่ Stripe ช่วยคุณได้มีดังนี้
โซลูชันการประมวลผลการชําระเงินที่ครอบคลุม
การสนับสนุนวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย: เมื่อใช้ Stripe ธุรกิจขนาดเล็กจะรับวิธีการชําระเงินได้หลากหลายแบบ รวมถึงบัตรเครดิตรายใหญ่ทั้งหมด กระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น Apple Pay และ Google Pay พร้อมทั้งวิธีการชําระเงินระหว่างประเทศ ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ธุรกิจรองรับฐานลูกค้าในวงกว้าง รวมถึงลูกค้าต่างประเทศได้
การประมวลผลแบบเรียลไทม์: ธุรกิจสามารถประมวลผลธุรกรรมได้ทันที และได้รับการยืนยันทันที การดําเนินการนี้จําเป็นต่อการรักษากระแสเงินสดและประสบการณ์ของลูกค้าที่ราบรื่น
การจัดการธุรกรรมที่ง่ายต่อผู้ใช้: อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายของแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถจัดการธุรกรรม การคืนเงิน และข้อมูลของลูกค้าได้โดยไม่ต้องใช้ทักษะทางเทคนิคเฉพาะทาง
ฟังก์ชันการผสานการทํางานที่ราบรื่น
การทำงานร่วมกันได้ในวงกว้าง: Stripe ผสานการทํางานอย่างราบรื่นกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและระบบ POS จํานวนมาก ความเข้ากันได้นี้ช่วยลดอุปสรรคทางเทคนิคสําหรับธุรกิจในการเริ่มขายสินค้าทางออนไลน์หรือในร้าน
การผสานการทํางานที่ออกแบบเองและ API API ของ Stripe มอบการผสานการทํางานที่ออกแบบเองได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างประสบการณ์สําหรับลูกค้าที่ไม่เหมือนใครหรือผสานการทํางานกับโซลูชันอีคอมเมิร์ซที่สร้างเอง
ความเป็นไปได้ที่จะเริ่มใช้งานได้ทันที: สําหรับธุรกิจที่ต้องการนําไปใช้งานอย่างรวดเร็ว ตัวเลือกแบบสำเร็จรูปของ Stripe นั้นต้องตั้งค่าเพียงเล็กน้อย ซึ่งทําให้เริ่มประมวลผลการชําระเงินทันทีได้ง่ายขึ้น
การเข้าถึงทั่วโลกและการรองรับสกุลเงิน
รองรับหลายสกุลเงินและการชําระเงินระหว่างประเทศ: Stripe รองรับมากกว่า 135 สกุลเงินและวิธีการชําระเงินที่หลากหลายในระดับสากล เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ ทําการขายได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคด้านสกุลเงิน
การจัดการการแปลงสกุลเงินและค่าธรรมเนียมข้ามเขตแดน เครื่องมือสําหรับจัดการการแปลงสกุลเงินและค่าธรรมเนียมข้ามเขตแดนรวมอยู่ในแพลตฟอร์มแล้ว ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมต่างประเทศง่ายขึ้น
ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนดขั้นสูง
การปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS: Stripe ปฏิบัติตามมาตรฐาน PCI ในระดับสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลการชําระเงินของลูกค้าจะยังปลอดภัย
การป้องกันการฉ้อโกงและการจัดการความเสี่ยง: เครื่องมืออันซับซ้อนของ Stripe เพื่อตรวจจับและป้องกันธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงปกป้องรายรับและรักษาความไว้วางใจของลูกค้า
การเข้ารหัสข้อมูลและโปรโตคอลความปลอดภัย: โปรโตคอลเหล่านี้จะเก็บการเข้ารหัสข้อมูลธุรกรรมไว้อย่างปลอดภัย
ค่าบริการที่โปร่งใสและแข่งขันได้
โครงสร้างค่าบริการที่เข้าใจง่ายและแข่งขันได้: ค่าบริการของ Stripe นั้นตรงไปตรงมาและมักใช้โมเดลแบบจ่ายตามการใช้งาน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าใจและจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
การเปรียบเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรม: Stripe สร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้ดีขึ้นด้วยชุดฟีเจอร์ที่ครอบคลุมและค่าธรรมเนียมในอัตราที่ดี
ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝงหรือสัญญาผูกมัด: โมเดลค่าบริการที่เข้าใจได้ง่ายของ Stripe มอบความยืดหยุ่นและความโปร่งใสให้ธุรกิจขนาดเล็ก
การรายงานและการวิเคราะห์
การรายงานทางการเงินในเชิงลึก: Stripe จะสร้างรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับธุรกรรม ซึ่งจะช่วยธุรกิจในการติดตามยอดขาย การคืนเงิน และรายรับสุทธิ
การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์: การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการซื้อ พฤติกรรมของลูกค้า และผลการดําเนินงานของธุรกิจ
รายงานที่ปรับแต่งได้: ธุรกิจสามารถปรับแต่งรายงานให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของตนเองได้
ฟีเจอร์และบริการเพิ่มเติม
การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าและการชําระเงินตามรอบบิล: Stripe รองรับโมเดลธุรกิจแบบชำระเงินตามรอบบิลและการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญสําหรับธุรกิจที่ให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ แบบชําระเงินตามรอบบิล
ลิงก์ออกใบแจ้งหนี้และการชําระเงิน: Stripe ช่วยให้คุณสร้างใบแจ้งหนี้และลิงก์ชําระเงินแบบครั้งเดียวได้ง่ายๆ ซึ่งมีประโยชน์สําหรับการเรียกเก็บเงินและธุรกรรมจากทางไกล
การเข้าถึงบริการทางการเงิน: บริการทางการเงินของ Stripe อย่าง Stripe Capital สำหรับการจัดหาเงินทุนและ Stripe Treasury สําหรับบริการธนาคารจะมอบระบบนิเวศทางการเงินที่ครอบคลุมสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การสนับสนุนสําหรับนักพัฒนาและชุมชน
การมีส่วนร่วมในชุมชนนักพัฒนา: การเข้าถึงชุมชนนักพัฒนาหมายความว่าธุรกิจสามารถขอคําแนะนํา แบ่งปันประสบการณ์ และค้นหาโซลูชันที่ออกแบบเองได้
เอกสารประกอบและการสนับสนุนที่ครอบคลุม: Stripe มอบเอกสารประกอบที่ละเอียดและแหล่งข้อมูลการสนับสนุนที่ช่วยธุรกิจแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบการชําระเงินของตนได้
การอัปเดตอย่างต่อเนื่องและฟีเจอร์ใหม่ๆ: การอัปเดตเป็นประจําช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เข้าถึงเทคโนโลยีการชําระเงินและการรักษาความปลอดภัยล่าสุด ทําให้แพลตฟอร์มยังคงใช้งานได้ดีและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ