การปฏิวัติทางดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทําธุรกรรมของธุรกิจอย่างถาวร รวมถึงการขยายโอกาสใหม่ๆ สําหรับการเติบโตและการเข้าถึงลูกค้าในระดับโลก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ทําให้องค์กรมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงการชําระเงินมากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ข้อมูลที่เผยแพร่จากคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางเผยว่าลูกค้ารายงานความสูญเสียเกือบ 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปกับการฉ้อโกงในปี 2022 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 30% เทียบกับปี 2021
ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่สูญเสียเงินเท่านั้นอันเป็นผลจากการฉ้อโกง ค่าประมาณระบุว่าการสูญเสียในอีคอมเมิร์ซทั่วโลกทั้งหมดเนื่องจากการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์สูงถึง 41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 ซึ่งเพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 48 พันล้านตอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2023 ธุรกิจควรหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงการชําระเงินเพื่อปกป้องสินทรัพย์ทางการเงิน รักษาความมั่นใจของลูกค้า และรับทราบถึงภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกงการชําระเงินเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้ชุดโซลูชันที่เชื่อมต่อแบบไดนามิก ในบทความนี้ เราจะพูดถึงแนวคิดหลัก แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถใช้ต่อสู้กับการฉ้อโกงในการชําระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและความถูกต้องสมบูรณ์ของธุรกรรมในโลกที่เชื่อมโยงมากขึ้น ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการจัดการกับการฉ้อโกงการชําระเงินประเภทต่างๆ และวิธีสร้างกลยุทธ์การฉ้อโกงการชําระเงินที่ครอบคลุมซึ่งตอบโจทย์ความต้องการและความเสี่ยงต่างๆ ของธุรกิจคุณโดยเฉพาะ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การฉ้อโกงการชําระเงินคืออะไร
- ประเภทการฉ้อโกงในการชําระเงิน
- ระบบตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงการชำระเงิน
- วิธีสร้างแผนการด้านการฉ้อโกงการชําระเงินสําหรับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ
การฉ้อโกงการชําระเงินคืออะไร
การฉ้อโกงการชําระเงินคือกิจกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์หรือผิดกฎหมายที่ใช้ประโยชน์จากระบบการชําระเงินเพื่อให้ได้เข้าถึงเงินทุนหรือข้อมูลทางการเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยอาจเป็นการขโมยข้อมูลระบุตัวตนของใครสักคน การซื้อที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือการหลอกให้บริษัทคืนเงิน
การฉ้อโกงการชําระเงินส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงสําหรับบุคคลทั่วไป ธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม ผลกระทบหลักเกี่ยวกับการฉ้อโกงการชําระเงินได้แก่
ความสูญเสียทางการเงิน: ธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงอาจนําไปสู่การสูญเสียเงินรายรับที่สําคัญสําหรับบุคคลทั่วไป ธุรกิจ และสถาบันทางการเงิน และสามารถกัดกร่อนความเชื่อมั่นในระบบการชําระเงินได้
การโจรกรรมอัตลักษณ์: การฉ้อโกงการชําระเงินมักเกี่ยวข้องกับการขโมยและการใช้ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเงินในทางที่ผิด ทําให้เกิดอันตรายยาวนานต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และทําให้เหยื่อกู้คืนอัตลักษณ์และเครดิตได้ยาก
ชื่อเสียงของธุรกิจ: บริษัทที่ตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกงการชําระเงินอาจได้รับความเสียหายในด้านชื่อเสียงและความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งอาจนําไปสู่การลดของยอดขาย การลดลงของลูกค้า และค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ผลทางกฎหมายและข้อบังคับที่ตามมา: องค์กรที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการป้องกันการฉ้อโกงหรือปกป้องข้อมูลของลูกค้าอย่างเพียงพออาจถูกลงโทษ ถูกปรับ และถูกตรวจสอบทางกฎหมายมากขึ้นได้
ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่เพิ่มขึ้น: การป้องกัน การตรวจจับ และลดการฉ้อโกงการชําระเงินต้องมีการลงทุนอย่างมากในเทคโนโลยี บุคลากร และทรัพยากร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่องบประมาณและประสิทธิผลการดําเนินงานขององค์กร
การจัดการกับการฉ้อโกงในการชําระเงินจะช่วยให้ธุรกิจและสถาบันการเงินลดความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่ส่งผลเสียที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง มั่นใจในความถูกต้องสมบูรณ์และความปลอดภัยของระบบการชําระเงิน รวมถึงรักษาความไว้วางใจในระบบนิเวศทางการเงินขนาดใหญ่
ประเภทการฉ้อโกงในการชําระเงิน
เนื่องจากมิจฉาชีพใช้วิธีต่างๆ เพื่อหาช่องโหว่ในระบบการชําระเงิน การฉ้อโกงการชําระเงินจึงเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ วิธีการที่ใช้บ่อยที่สุดบางส่วนได้แก่
ฟิชชิ่ง
ฟิชชิ่งคือการฉ้อโกงการชําระเงินประเภทหนึ่งที่มิจฉาชีพใช้อีเมล ข้อความ หรือเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงบุคคลทั่วไปเพื่อให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลเข้าสู่ระบบ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัว จากนั้นมิจฉาชีพจะนําข้อมูลนี้ไปใช้เพื่อยืนยันธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือการฉ้อโกงทางการเงินรูปแบบอื่นการแอบบันทึกข้อมูล
การแอบบันทึกข้อมูลเป็นเทคนิคที่อาชญากรใช้ในการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต พวกเขาจะติดตั้งอุปกรณ์ขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า "อุปกรณ์แอบบันทึกข้อมูล" บนเครื่องอ่านบัตรที่ตู้เอทีเอ็มหรือเทอร์มินัลระบบบันทึกการขาย (POS) เมื่อมีคนใช้เอทีเอ็มและรูดบัตร อุปกรณ์นั้นจะเก็บข้อมูลบัตร ซึ่งมิจฉาชีพจะใช้เพื่อสร้างบัตรลอกเลียนแบบหรือทําธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตการโจรกรรมอัตลักษณ์
การโจรกรรมอัตลักษณ์เกิดขึ้นเมื่อมิจฉาชีพได้รับและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น เช่น หมายเลขประกันสังคม รายละเอียดบัญชีธนาคาร และหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อปลอมตัวเป็นเจ้าของข้อมูล ทําการซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต เปิดบัญชีใหม่ หรือทำการฉ้อโกงรูปแบบอื่นการฉ้อโกงการดึงเงินคืน
การฉ้อโกงการดึงเงินคืน หรือที่เรียกว่า "การฉ้อโกงที่เป็นมิตร" เกิดขึ้นเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการด้วยบัตรเครดิต แต่โต้แย้งการเรียกเก็บเงินกับบริษัทผู้ออกบัตรอย่างผิดๆ โดยอ้างว่าไม่ได้รับผลิตภัณฑ์หรือธุรกรรมนั้นไม่ได้รับอนุญาต เป้าหมายของมิจฉาชีพคือการขอเงินคืนในขณะเก็บรักษาสินค้าหรือบริการไว้การละเมิดอีเมลระดับธุรกิจ
การละเมิดอีเมลระดับธุรกิจ (BEC) เป็นการฉ้อโกงการชําระเงินประเภทหนึ่งที่มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นผู้บริหารบริษัทหรือผู้ให้บริการ เพื่อหลอกให้พนักงานโอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน โดยทั่วไปจะทําโดยการแฮ็กหรือปลอมแปลงบัญชีอีเมลและใช้กลยุทธ์ทางวิศวกรรมสังคมเพื่อบงการพนักงานที่เป็นเป้าหมายการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การฉ้อโกงแบบไม่ใช้บัตรจริง (CNP) หมายถึงธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงที่ดําเนินการเมื่อไม่มีบัตรใบจริง เช่น การซื้อทางออนไลน์หรือผ่านโทรศัพท์ มิจฉาชีพจะใช้รายละเอียดบัตรเครดิตที่ขโมยมาในการซื้อที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจตรวจจับและป้องกันได้ยากเนื่องจากไม่มีการยืนยันบัตรใบจริง
หากต้องการเจาะลึกถึงการฉ้อโกงการชําระเงินประเภทต่างๆ และธุรกิจที่มักจะได้รับผลกระทบ คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมที่นี่
การตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกงการชําระเงิน
บริษัทต่างๆ จะต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและเชิงรุกเพื่อจัดการกับการฉ้อโกงการชําระเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการทําความเข้าใจการฉ้อโกงประเภทต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยประเมินความเสี่ยงและช่องโหว่ที่ไม่เหมือนใคร ตลอดจนใช้มาตรการป้องกันและตรวจจับอย่างครอบคลุม เมื่อให้ความสําคัญกับความปลอดภัยในการชําระเงินและพัฒนากลยุทธ์อยู่เสมอ ธุรกิจก็จะสามารถปกป้องความถูกต้องสมบูรณ์ทางการเงิน ปกป้องข้อมูลของลูกค้า และรักษาความวางใจในแบรนด์ของตัวเองได้
ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับวิธีการที่ธุรกิจสามารถป้องกัน ตรวจจับ และรับมือกับการฉ้อโกงในการชําระเงินประเภทต่างๆ ที่พบบ่อยที่สุด
ฟิชชิ่ง
- ให้ความรู้พนักงานในการระบุอีเมลฟิชชิ่ง ยืนยันตัวตนของผู้ส่งอีเมล และปฏิบัติตามแนวทางการท่องเว็บที่ปลอดภัย
- นําเทคโนโลยีการกรองและการสแกนมาใช้เพื่อบล็อกหรือระบุอีเมลที่น่าสงสัย และใช้ DMARC (ดูส่วน "การละเมิดอีเมลระดับธุรกิจ" ด้านล่าง) เพื่อใช้ในการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ส่ง
- ติดตั้งใช้งานไฟร์วอลล์ ระบบตรวจจับการบุกรุก และการแบ่งส่วนเครือข่ายเพื่อปกป้องระบบภายใน และอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบต่างๆ อยู่เสมอ
- บังคับใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยสําหรับระบบและแอปพลิเคชันที่สําคัญเพื่อลดความเสี่ยงในการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ขโมยมา
- วิเคราะห์บันทึก การรับส่งข้อมูลในเครือข่าย และข้อมูลระบบเพื่อตรวจจับและตอบโต้ต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่อาจเกิดขึ้นหรือกิจกรรมที่น่าสงสัยอื่นๆ
- พัฒนาแผนที่ชัดเจนเพื่อแจกแจงขั้นตอนต่างๆ ให้ดําเนินการหากการโจมตีแบบฟิชชิ่งสําเร็จ ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการยับยั้ง การรายงาน และการสื่อสาร
- ประเมินแนวทางปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยของผู้ให้บริการบุคคลที่สามเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานขององค์กรและจะไม่สร้างความเสี่ยงให้ธุรกิจของคุณต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่ง
การแอบบันทึกข้อมูล
- ตรวจสอบเทอร์มินัล POS และเอทีเอ็มเป็นประจําเพื่อหาสัญญาณของการแทรกแซงหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้รับอนุญาต
- นํามาตรการรักษาความปลอดภัยมาใช้เพื่อป้องกันการดัดแปลงที่เห็นด้วยตา เช่น การปิดผนึกหรือล็อค
- ตรวจสอบให้มั่นใจถึงการส่งข้อมูลที่ปลอดภัยและเข้ารหัสสําหรับธุรกรรมผ่านบัตร
- อัปเกรดไปใช้ชิปและ PIN หรือเทคโนโลยีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแอบบันทึกข้อมูลน้อยกว่า
- ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุอุปกรณ์แอบบันทึกข้อมูลและรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย
- ร่วมมือกับฝ่ายบังคับใช้กฎหมายและพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมเพื่อแชร์ข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
การโจรกรรมอัตลักษณ์
- นํามาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลมาใช้ เช่น การเข้ารหัส การจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย และมาตรการควบคุมการเข้าใช้งาน
- ตรวจสอบธุรกรรมและกิจกรรมของบัญชีเพื่อหาพฤติกรรมที่น่าสงสัยหรือผิดปกติ
- ใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยกับบัญชีและธุรกรรมออนไลน์
- ยืนยันตัวตนของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงหรือการเปลี่ยนแปลงบัญชี
- ให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและวิธีตรวจจับการโจรกรรมอัตลักษณ์
การฉ้อโกงการดึงเงินคืน
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีป้องกันการดึงเงินคืน โปรดดูคู่มือ ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่คุณสามารถใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขการฉ้อโกงการดึงเงินคืนในกรณีที่เกิดขึ้น
- ยืนยันตัวตนของลูกค้าและข้อมูลการเรียกเก็บเงินระหว่างทำธุรกรรม
- ระบุคําอธิบายผลิตภัณฑ์ ข้อมูลการจัดส่ง และนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจนและถูกต้อง
- ใช้เครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อทําเครื่องหมายธุรกรรมที่น่าสงสัยเพื่อตรวจสอบ
- เก็บบันทึกธุรกรรมอย่างละเอียด รวมถึงการสื่อสารกับลูกค้าและหลักฐานการจัดส่ง
- สื่อสารกับลูกค้าอย่างเปิดเผยเพื่อตอบข้อกังวลและลดการโต้แย้งการชําระเงินให้เหลือน้อยที่สุด
- ติดตามดูแนวโน้มการดึงเงินคืนและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน
การละเมิดอีเมลระดับธุรกิจ
- ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุและรายงานอีเมลที่น่าสงสัย
- ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยของอีเมลเพื่อตรวจสอบตัวตนของผู้ส่งอีเมลและป้องกันการปลอมแปลง มาตรการดังกล่าวรวมถึง
- DMARC: การตรวจสอบสิทธิ์ข้อความตามโดเมน การรายงาน และการยืนยันเป็นระบบที่ช่วยให้มั่นใจว่าอีเมลเป็นของจริง ป้องกันไม่ให้อีเมลปลอมปรากฏว่ามาจากโดเมนของคุณ
- DKIM: DomainKeys Identified Mail เป็นเทคนิคที่เพิ่มลายเซ็นดิจิทัลลงในอีเมล เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลส่งมาจากแหล่งที่ถูกต้องและไม่ได้ถูกแทรกแซง
- SPF: Sender Policy Framework คือวิธีการยืนยันว่าอีเมลถูกส่งจากเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการอนุมัติสําหรับโดเมนหนึ่งๆ ซึ่งบล็อกผู้ส่งที่ไม่ได้รับอนุญาต
- DMARC: การตรวจสอบสิทธิ์ข้อความตามโดเมน การรายงาน และการยืนยันเป็นระบบที่ช่วยให้มั่นใจว่าอีเมลเป็นของจริง ป้องกันไม่ให้อีเมลปลอมปรากฏว่ามาจากโดเมนของคุณ
- สร้างกระบวนการอนุมัติหลายระดับสําหรับธุรกรรมทางการเงินและการแชร์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
- สนับสนุนช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยและยืนยันคําขอผ่านโทรศัพท์หรือที่จุดขายหากมีไม่แน่ใจ
- อัปเดตและสร้างแพตช์ซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการ และเครื่องมือรักษาความปลอดภัยอยู่เป็นประจํา
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
- ใช้บริการการยืนยันที่อยู่ (AVS) และค่าการยืนยันบัตร (CVV) ตรวจหาธุรกรรมออนไลน์
- ใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยกับบัญชีลูกค้า
- นําเครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกง เช่น อัลกอริทึมแมชชีนเลิร์นนิง มาใช้เพื่อระบุและแจ้งธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์
- ตรวจสอบธุรกรรมเพื่อหารูปแบบที่ผิดปกติและการตรวจสอบความเร็ว
- สนับสนุนให้ลูกค้าใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลและการแปลงเป็นโทเค็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- ปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) เพื่อปกป้องข้อมูลของเจ้าของบัตรที่ละเอียดอ่อน
- ใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยกับบัญชีลูกค้า
วิธีสร้างแผนการด้านการฉ้อโกงการชําระเงินสําหรับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ
หากต้องการสร้างแผนป้องกันการฉ้อโกงการชําระเงินที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการและความเสี่ยงของตนเอง ธุรกิจควรใช้แนวทางแบบเป็นระบบที่มีการประเมิน การจัดลําดับความสําคัญ การปรับใช้ และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ต่อไปนี้คือคําแนะนําแบบอธิบายทีละขั้นตอนซึ่งธุรกิจสามารถใช้เพื่อพัฒนาและปรับใช้กลยุทธ์ด้านการฉ้อโกงในการชําระเงิน
การประเมินความเสี่ยง
ทําการประเมินความเสี่ยงที่ครอบคลุมเพื่อระบุประเภทของการฉ้อโกงในการชําระเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมากที่สุด โดยพิจารณาตามอุตสาหกรรม ขนาด ฐานลูกค้า และวิธีการชําระเงินของธุรกิจ ประเมินระบบ กระบวนการ และการควบคุมที่มีอยู่เพื่อระบุช่องโหว่และสิ่งที่อาจต้องปรับปรุงการจัดลําดับความสําคัญ
เมื่อพิจารณาจากการประเมินความเสี่ยง ให้จัดลําดับความสําคัญของภัยคุกคามและช่องโหว่ที่สําคัญที่สุด โดยพิจารณาจากผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น ความเสียหายต่อชื่อเสียง และโอกาสที่จะเกิดขึ้น การทำเช่นนี้จะช่วยกําหนดว่าควรนํามาตรการป้องกันการฉ้อโกงแบบใดมาใช้ก่อนการพัฒนากลยุทธ์
ระบุกลยุทธ์ที่ชัดเจนซึ่งเน้นความเสี่ยงและช่องโหว่ที่มีความสําคัญ โดยนํามาตรการป้องกัน การตรวจหา และการตอบสนองมาผสมผสานกัน ปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะกับความต้องการและความเสี่ยงของธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร รวมทั้งวัตถุประสงค์ทั้งในระยะยาวและระยะสั้นการจัดสรรทรัพยากร
จัดสรรทรัพยากรที่จําเป็น ซึ่งรวมถึงบุคลากร งบประมาณ และเทคโนโลยี เพื่อนําแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและยุทธวิธีที่เลือกมาใช้ มอบหมายบทบาทและความรับผิดชอบให้กับสมาชิกทีมอย่างชัดเจน และวางโครงสร้างการกํากับดูแลที่เข้มงวดเพื่อดูแลการนำไปใช้งานและบริหารกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องการนำไปใช้งาน
เปิดตัวกลยุทธ์และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่เลือก โดยให้มั่นใจว่ามีการผสานเข้ากับระบบและกระบวนการที่มีอยู่ ขั้นตอนนี้อาจต้องมีการอัปเดตนโยบายและระเบียบวิธี การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการจัดโครงการฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงานการติดตามตรวจสอบและประเมินผล
ติดตามประสิทธิภาพของมาตรการที่นํามาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ (KPI) และเมตริกหลักเพื่อติดตามความคืบหน้า ทําการตรวจสอบเป็นประจําเพื่อระบุสิ่งที่ต้องปรับปรุง และตรวจสอบให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานและระเบียบข้อบังคับของอุตสาหกรรมการปรับตัวและปรับปรุง
ปรับปรุงและปรับกลยุทธ์ตามต้องการ รวมทั้งใช้กลยุทธ์ใหม่เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดใหม่ หรือความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพิจารณาตามผลการตรวจสอบและการประเมิน ใช้แนวทางการป้องกันการฉ้อโกงในเชิงรุก โดยคอยรับทราบข้อมูลแนวโน้ม เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในวงการอยู่เสมอ
การทํางานกับผู้ให้บริการด้านการป้องกันและลดการฉ้อโกงจะช่วยส่งเสริมความพยายามที่จะต่อสู้กับการฉ้อโกงได้ คุณอาจมีระบบป้องกันการฉ้อโกงอยู่แล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับโซลูชันที่คุณใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานการชําระเงินและการประมวลผลของคุณ
ตัวอย่างเช่น Stripe มีชุดเครื่องมือและฟีเจอร์ต่างๆ ที่จะช่วยธุรกิจในการป้องกัน ตรวจจับ และจัดการกับการฉ้อโกงการชําระเงิน นอกเหนือจากฟังก์ชันการชําระเงินที่ครอบคลุมสําหรับโมเดลธุรกิจและกรณีการใช้งานที่หลากหลาย Stripe Radar และฟีเจอร์การลดการฉ้อโกงในตัวอื่นๆ ของโซลูชันการชําระเงินของ Stripe เช่น Terminal และ Checkout ช่วยให้ธุรกิจตรวจสอบธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์ รายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย และบล็อกความพยายามฉ้อโกง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเริ่มต้นที่นี่
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ