Ecommerce fraud prevention and detection: 16 best practices and tactics for businesses

Radar
Radar

ต้านการฉ้อโกงด้วยประสิทธิภาพที่ทรงพลังของเครือข่าย Stripe

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซคืออะไร
  3. ประเภทของการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ
  4. การป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ
    1. 1. การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA)
    2. 2. แมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์
    3. 3. เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย
    4. 4. ใบรับรอง SSL และการเข้ารหัส
    5. 5. การติดตาม IP และตําแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
    6. 6. การตรวจสอบความเร็ว
    7. 7. ทีมป้องกันการฉ้อโกง
    8. 8. การตรวจสอบและอัปเดตด้านความปลอดภัยเป็นประจํา
    9. 9. การฝึกอบรมและการตระหนักรู้ของพนักงาน
    10. 10. การให้ความรู้แก่ลูกค้า
    11. 11. การจัดการการดึงเงินคืน
    12. 12. การตรวจสอบธุรกรรมและพฤติกรรมของผู้ใช้
    13. 13. การตั้งค่ากฎและตัวกรองเพื่อการตรวจจับการฉ้อโกง
    14. 14. การใช้ระบบยืนยันที่อยู่และบัตร
    15. 15. การเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่นๆ และองค์กรอุตสาหกรรม
    16. 16. การใช้ข้อมูลไบโอเมตริกและการวิเคราะห์พฤติกรรม

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันต้องดูแลแพลตฟอร์มของตนให้ปลอดภัยและปกป้องลูกค้าจากการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ การเพิ่มขึ้นของอาชญากรทางไซเบอร์ที่ฉวยโอกาสจากช่องโหว่ในการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างไม่ลดละ ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อทั้งธุรกิจและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ด้านล่างนี้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจำเป็นต้องรู้ในแง่ของการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซประเภทต่างๆ ที่ธุรกิจอาจเผชิญ รวมถึงกลวิธีและเครื่องมือต่างๆ มากมายที่สามารถใช้เพื่อตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซคืออะไร
  • ประเภทการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ
  • ป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ

การฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซคืออะไร

การฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซคือกิจกรรมฉ้อโกงหรือการหลอกลวงประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างธุรกรรมออนไลน์ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการขโมยข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคล การซื้อที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือการเรียกร้องเท็จที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์และบริการ โดยทั่วไปจะมุ่งเป้าไปที่ผู้ค้าปลีกออนไลน์ ระบบการชำระเงิน และลูกค้า ส่งผลให้เกิดการสูญเสียทางการเงิน ความเสียหายต่อชื่อเสียง และการสูญเสียความไว้วางใจของลูกค้า

ประเภทของการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ

การฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซอาจเกิดขึ้นได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่ามิจฉาชีพเลือกกําหนดเป้าหมายธุรกิจและลูกค้าอย่างไร ต่อไปนี้คือภาพรวมสั้นๆ เกี่ยวกับประเภทที่พบบ่อยที่สุด

  • การโจรกรรมตัวตน: มิจฉาชีพใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ขโมยมาทําการซื้อทางออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมักก่อให้เกิดอันตรายทางการเงินต่อเหยื่อ

  • การฉ้อโกงบัตรเครดิต: มิจฉาชีพได้รับข้อมูลบัตรเครดิตจากหลากหลายวิธีและใช้ข้อมูลดังกล่าวทําธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต นําไปสู่การสูญเสียทางการเงินของเจ้าของบัตรและธุรกิจ

  • การฉ้อโกงด้วยการดึงเงินคืน: ลูกค้าโต้แย้งธุรกรรมที่ถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยอ้างว่าไม่เคยซื้อหรือได้รับสินค้านั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ธุรกิจสูญเสียเงิน

  • ฟิชชิ่งและวิศวกรรมสังคม: ผู้ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ใช้เทคนิคการหลอกลวงเพื่อหลอกล่อลูกค้าให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน หรือดำเนินการใดๆ ที่นำไปสู่การฉ้อโกงหรือการละเมิดความปลอดภัย

  • การฉ้อโกงด้วยการเข้าควบคุมบัญชี ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ ซึ่งบ่อยครั้งจะเกิดจากการขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ และใช้ข้อมูลดังกล่าวทําธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงหรือขโมยข้อมูลส่วนตัว

  • การฉ้อโกงการคืนเงิน: ผู้กระทําความผิดจะใช้นโยบายและขั้นตอนการคืนสินค้าโดยอ้างว่าไม่ได้รับสินค้าหรือสินค้าเสียหาย เพื่อรับเงินคืนหรือรับสินค้าทดแทนอย่างไม่สมควร

  • การฉ้อโกงโปรแกรมการตลาดแบบพันธมิตร: พันธมิตรจะฉวยประโยชน์จากโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นของโปรแกรมการตลาดแบบพันธมิตรด้วยการสร้างโอกาสในการขาย ยอดขาย หรือยอดคลิกปลอมเพื่อรับเงินอย่างไม่ถูกต้อง

  • สินค้าลอกเลียนแบบหรือของปลอม: ผู้ขายนำเสนอสินค้าคุณภาพต่ำหรือสินค้าลอกเลียนแบบโดยแสร้งว่าเป็นสินค้าของแท้ ซึ่งเป็นการหลอกลวงลูกค้า และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์

  • การฉ้อโกงการดร็อปชิปปิ้ง: ผู้ทำการค้าแบบดร็อปชิปที่ฉ้อโกงจะหลอกลวงลูกค้าด้วยการเก็บเงินค่าสินค้าแต่ไม่เคยจัดส่ง หรือใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยมาเพื่อซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกอื่นและให้ร้านนั้นจัดส่งสินค้าให้เหยื่อโดยตรง

การฉ้อโกงในอีคอมเมิร์ซเป็นข้อกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการซื้อสินค้าออนไลน์และธุรกรรมดิจิทัล เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามเหล่านี้ ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ระบบตรวจจับการฉ้อโกง และการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากกิจกรรมฉ้อโกง และปกป้องทั้งลูกค้าและตัวธุรกิจเอง กลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้นั้นแตกต่างกันไปและปรับเปลี่ยนตามประเภทของการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ

การป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ

ธุรกิจต่างๆ ใช้การผสมผสานวิธีการต่างๆ ในการป้องกัน การตรวจจับ และการตอบสนองต่อการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซเพื่อปกป้องตนเองและลูกค้าจากภัยคุกคามต่างๆ ตัวอย่างของวิธีการเหล่านี้มีดังนี้

1. การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA)

การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย หรือที่เรียกว่า การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA) หรือการยืนยันสองขั้นตอน เป็นกระบวนการรักษาความปลอดภัยที่กำหนดให้ผู้ใช้ต้องระบุข้อมูลประจำตัวที่ไม่เหมือนกันอย่างน้อย 2 รูปแบบเพื่อยืนยันตัวตนเมื่อเข้าสู่ระบบหรือทำธุรกรรมที่ละเอียดอ่อน MFA มีระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมซึ่งทําให้ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงบัญชีหรือระบบต่างๆ ได้ยากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานยืนยันตัวตนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็ตาม

ปัจจัยการตรวจสอบสิทธิ์แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่หลักๆ ดังนี้

  • สิ่งที่คุณรู้: ซึ่งรวมถึงรหัสผ่าน, PIN หรือคําถามรักษาความปลอดภัยที่ผู้ใช้ต้องระบุเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตัวตน
  • สิ่งที่คุณมี นี่หมายถึงวัตถุหรืออุปกรณ์ทางกายภาพที่ผู้ใช้มี เช่น โทเค็นฮาร์ดแวร์ สมาร์ทโฟนที่มีแอปตรวจสอบสิทธิ์ หรือสมาร์ทการ์ด
  • สิ่งที่คุณเป็น: สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับตัวระบุข้อมูลไบโอเมตริกที่ไม่ซ้ำกันของผู้ใช้ เช่น การสแกนลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า หรือรูปแบบเสียง

โดยปกติแล้ว MFA กําหนดให้ผู้ใช้ใช้ปัจจัยเหล่านี้อย่างน้อย 2 รายการร่วมกันเพื่อรับสิทธิ์เข้าถึง ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้อาจจะต้องป้อนรหัสผ่าน (สิ่งที่ผู้ใช้ทราบ) จากนั้นให้ป้อนรหัสแบบใช้ครั้งเดียวที่สร้างโดยแอปตรวจสอบสิทธิ์บนสมาร์ทโฟน (สิ่งที่ผู้ใช้มี) วิธีนี้ทำให้ผู้โจมตีมีความท้าทายมากขึ้นในการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากพวกเขาจะต้องมีปัจจัยการตรวจสอบสิทธิ์หลายประการ

2. แมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์

แมชชีนเลิร์นนิง (ML) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีการใช้งานเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันและตรวจจับการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากสามารถวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมาก ระบุรูปแบบ และปรับตัวตามแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มความถูกต้องและประสิทธิภาพในการตรวจสอบกิจกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกง ซึ่งช่วยลดการตรวจสอบด้วยตนเองและระบบที่ใช้กฎ

ตัวอย่างวิธีการใช้ ML และ AI เพื่อการป้องกันและตรวจจับการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซมีดังนี้

  • การตรวจจับความผิดปกติ: อัลกอริทึม ML สามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมจํานวนมหาศาลเพื่อระบุกิจกรรมที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยซึ่งแตกต่างจากรูปแบบที่กําหนด จากนั้นก็จะรายงานความผิดปกติเหล่านี้เพื่อการตรวจสอบเพิ่มเติมได้

  • การให้คะแนนความเสี่ยง: ระบบ AI สามารถกําหนดคะแนนความเสี่ยงให้กับธุรกรรมตามปัจจัยต่างๆ เช่น ประวัติธุรกรรม พฤติกรรมของผู้ใช้ ตําแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และข้อมูลอุปกรณ์ ระบุสามารถรายงานธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อใช้การตรวจสอบด้วยตนเองหรือมาตรการตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมได้

  • การวิเคราะห์แบบคาดการณ์: การใช้ข้อมูลในอดีตและการระบุหารูปแบบต่างๆ ช่วยให้โมเดลของ ML คาดการณ์กิจกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกงได้ ทําให้ธุรกิจสามารถดําเนินการตามขั้นตอนในเชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยง

  • การวิเคราะห์พฤติกรรม: ระบบที่ทํางานโดย AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น ความเร็วในการพิมพ์ การเคลื่อนไหวของเมาส์ และรูปแบบการเรียกดู เพื่อระบุความไม่สอดคล้องที่อาจบ่งบอกถึงการฉ้อโกงหรือการเข้าควบคุมบัญชี

  • การติดตามตรวจสอบแบบเรียลไทม์: ML และ AI สามารถประมวลผลข้อมูลจํานวนมากได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ทันที

  • การเรียนรู้ที่ปรับได้: หนึ่งในข้อดีที่สําคัญของ ML และ AI คือความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ๆ และกลยุทธ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของมิจฉาชีพ กระบวนการเรียนรู้แบบต่อเนื่องนี้ช่วยรักษาประสิทธิภาพของระบบตรวจจับการฉ้อโกงเมื่อเวลาผ่านไป

  • การลดผลบวกลวง: ระบบตรวจจับการฉ้อโกงตามกฎแบบดั้งเดิมอาจสร้างผลบวกลวงจํานวนมาก ทําให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจและสูญเสียยอดขาย ML และ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยําของการตรวจจับการฉ้อโกงได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่ครอบคลุมขึ้นและปรับตามข้อมูลใหม่ๆ แบบไดนามิก

3. เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย

เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยจะช่วยอํานวยความสะดวกในการประมวลผลการชําระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยระหว่างลูกค้า ธุรกิจ และสถาบันการเงิน เกตเวย์เหล่านี้ช่วยรับรองว่าข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและรายละเอียดบัญชีธนาคารจะได้รับการเข้ารหัส จากนั้นจึงส่งอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การละเมิดข้อมูล และการฉ้อโกง

4. ใบรับรอง SSL และการเข้ารหัส

ใบรับรอง SSL (Secure Sockets Layer) และการเข้ารหัสจะป้องกันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่ส่งระหว่างเบราว์เซอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลยังคงเป็นความลับและปลอดภัยจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การแทรกแซง หรือการสกัดกั้น

ใบรับรอง SSL คือใบรับรองดิจิทัลที่ตรวจสอบสิทธิ์ข้อมูลประจําตัวของเว็บไซต์ และสร้างการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสลับระหว่างเบราว์เซอร์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือวิธีที่ใบรับรอง SSL และการเข้ารหัสมีส่วนทําให้การสื่อสารออนไลน์มีความปลอดภัย

  • การตรวจสอบสิทธิ์: ใบรับรอง SSL ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลประจําตัวของเว็บไซต์โดยการยืนยันว่าชื่อโดเมนได้รับการจดทะเบียนกับองค์กรที่ถูกต้อง วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ไว้วางใจได้ว่าพวกเขากําลังสื่อสารกับเว็บไซต์ที่ต้องการและไม่ใช่มิจฉาชีพ

  • การเข้ารหัส: ใบรับรอง SSL จะช่วยอํานวยความสะดวกในการใช้อัลกอริทึมการเข้ารหัสที่เข้ารหัสข้อมูลอย่างปลอดภัยขณะส่งระหว่างเบราว์เซอร์ของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัว จะยังคงเป็นความลับ และไม่สามารถดักจับหรืออ่านโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

  • ประสบการณ์การท่องเว็บที่ปลอดภัย: เว็บไซต์ที่มีใบรับรอง SSL จะแสดงไอคอนแม่กุญแจหรือแถบที่อยู่สีเขียวในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ เพื่อระบุว่าการเชื่อมต่อนั้นปลอดภัย สัญลักษณ์ภาพนี้ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของพวกเขาจะได้รับการปกป้อง

  • ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้น: การมีใบรับรอง SSL และใช้การเข้ารหัสจะสร้างความไว้วางใจแก่ผู้ใช้ โดยแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์มีความมุ่งมั่นในการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของพวกเขา วิธีนี้อาจช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้ อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน และความภักดีของลูกค้าได้

  • ประโยชน์ของ SEO: เครื่องมือค้นหา เช่น Google พิจารณาใบรับรอง SSL และการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยเป็นปัจจัยในการจัดอันดับในอัลกอริทึมของตน เว็บไซต์ที่มีใบรับรอง SSL อาจได้รับการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหาที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีการมองเห็นและการเข้าชมที่มากขึ้น

  • การปฏิบัติตามข้อกําหนด: อุตสาหกรรมและระเบียบข้อบังคับมากมาย เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) สําหรับการจัดการข้อมูลบัตรเครดิต กำหนดให้ใช้ใบรับรองและการเข้ารหัสของ SSL เพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

เมื่อต้องการนําการเข้ารหัสลับ SSL ไปใช้งาน เจ้าของเว็บไซต์จะต้องได้รับใบรับรอง SSL จากผู้มีสิทธิ์ออกใบรับรอง (CA) ที่น่าเชื่อถือ และติดตั้งไว้บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง เมื่อติดตั้งแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะใช้ใบรับรอง SSL เพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสกับเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่านมีความปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

5. การติดตาม IP และตําแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

การติดตาม IP และตําแหน่งทางภูมิศาสตร์เป็นเทคนิคในการระบุตําแหน่งทางภูมิศาสตร์ของอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตโดยใช้ที่อยู่ IP (โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต) วิธีการเหล่านี้มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในการป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจําแนกกิจกรรมที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยซึ่งอาจบ่งบอกถึงธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการติดตาม IP และตําแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ช่วยในการรักษาความปลอดภัยด้านอีคอมเมิร์ซ

  • การตรวจหารูปแบบที่ผิดปกติ: การตรวจสอบที่อยู่ IP และข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์สามารถเปิดเผยกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ เช่น ธุรกรรมหลายรายการจากสถานที่ต่างกันในช่วงเวลาสั้นๆ หรือความพยายามเข้าสู่ระบบจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการฉ้อโกงหรือการเข้ายึดบัญชี

  • ข้อจํากัดตามพิกัดทางภูมิศาสตร์: ธุรกิจสามารถตั้งค่าตัวกรองตําแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เพื่อบล็อกธุรกรรมหรือเข้าถึงความพยายามจากบางประเทศหรือภูมิภาคที่มีอัตราการฉ้อโกงสูงได้ ทําให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง

  • บริการยืนยันที่อยู่: การเปรียบเทียบข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์จากที่อยู่ IP กับที่อยู่เรียกเก็บเงินที่ลูกค้าให้ไว้ระหว่างธุรกรรมสามารถช่วยตรวจจับความคลาดเคลื่อนและป้องกันธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

  • การวิเคราะห์ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล: สามารถรวมการติดตาม IP และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์สามารถเข้ากับจุดข้อมูลอื่นๆ เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมืออุปกรณ์ เพื่อสร้างตัวตนดิจิทัลที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมได้อย่างถูกต้องและระบุการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นได้แม่นยํามากขึ้น

  • การตรวจสอบตําแหน่งทางภูมิศาสตร์: การตรวจสอบเวลาและระยะห่างระหว่างธุรกรรมที่ดำเนินการแบบต่อเนื่องหรือความพยายามในการเข้าสู่ระบบสามารถช่วยตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ซื้อสินค้าจากประเทศหนึ่งและซื้อสินค้าอีกครั้งจากประเทศอื่นภายในกรอบเวลาที่ไม่สมจริง อาจเป็นการบ่งชี้ว่าบัญชีถูกบุกรุกหรือข้อมูลบัตรเครดิตถูกขโมย

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ปรับแต่งแล้ว: ข้อมูลระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์สามารถปรับแต่งเนื้อหา ภาษา และสกุลเงินตามตําแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยรวมได้

  • การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: ธุรกิจบางแห่งจําเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการจํากัดความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การเก็บภาษี หรือเนื้อหา การติดตาม IP และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์สามารถช่วยบังคับใช้ข้อกำหนดการปฏิบัติตามนี้ได้โดยการระบุตำแหน่งของผู้ใช้และใช้กฎที่เหมาะสม

การรวมการติดตาม IP และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เข้ากับกลยุทธ์การป้องกันและตรวจจับการฉ้อโกงจะช่วยเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ลดความเสี่ยงจากกิจกรรมฉ้อโกง และปรับปรุงประสบการณ์โดยรวมของลูกค้า ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎระเบียบในท้องถิ่นและมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นตามตำแหน่งที่ตั้งของลูกค้า

6. การตรวจสอบความเร็ว

การตรวจสอบความเร็วเป็นเทคนิคการป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ความเร็วและความถี่ของธุรกรรม การเข้าสู่ระบบ หรือกิจกรรมออนไลน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้หรืออุปกรณ์ การตรวจสอบเหล่านี้ช่วยระบุรูปแบบที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยที่อาจบ่งบอกถึงกิจกรรมการฉ้อโกงหรือการเข้าควบคุมบัญชี คุณสามารถทําการตรวจสอบความเร็วได้หลายระดับ เช่น บัญชีผู้ใช้, ที่อยู่ IP, อุปกรณ์ หรือบัตรเครดิต

7. ทีมป้องกันการฉ้อโกง

ทีมป้องกันการฉ้อโกงพัฒนาและใช้กลยุทธ์ความปลอดภัยที่ครอบคลุมเพื่อปกป้องธุรกิจและลูกค้าจากภัยคุกคามทางออนไลน์ประเภทต่างๆ ทีมเหล่านี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการความเสี่ยงที่ทํางานร่วมกันเพื่อตรวจสอบ ตรวจจับ และรับมือกับกิจกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกง บุคคลเหล่านี้รับผิดชอบในการอัปเดตแนวโน้มการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นใหม่ เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยขององค์กรยังคงมีประสิทธิภาพและปรับตัวตามได้

8. การตรวจสอบและอัปเดตด้านความปลอดภัยเป็นประจํา

การตรวจสอบและการอัปเดตความปลอดภัยเป็นประจําช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ระบุช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น ประเมินประสิทธิภาพของการควบคุมความปลอดภัย และอัปเดตให้เป็นปัจจุบันด้วยมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด

ต่อไปนี้คือภาพรวมของส่วนสำคัญของการตรวจสอบและอัปเดตด้านความปลอดภัยเป็นประจำในบริบทของอีคอมเมิร์ซ

  • การประเมินช่องโหว่: การตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำเกี่ยวข้องกับการสแกนและการทดสอบแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์ และแอปพลิเคชันเพื่อหาช่องโหว่ การกำหนดค่าผิดพลาด และจุดอ่อนที่อาจถูกอาชญากรทางไซเบอร์ใช้ประโยชน์ กระบวนการนี้จะช่วยให้ธุรกิจจัดลําดับความสําคัญและแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยหลักๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการฉ้อโกงหรือการละเมิดข้อมูล

  • การทดสอบการเจาะระบบ: การทดสอบการเจาะระบบหรือที่เรียกว่าการแฮ็กที่มีจริยธรรม มักเกี่ยวข้องกับการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จําลองการโจมตีในโลกจริง เพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบุสิ่งที่ต้องปรับปรุง

  • การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนด: ธุรกิจต่างๆ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตนปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง เช่น PCI DSS, กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) หรือข้อบังคับอื่นๆ โดยเฉพาะของอุตสาหกรรม การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดเป็นประจําช่วยให้ธุรกิจรักษาสถานะการปฏิบัติตามข้อกําหนดไว้ได้ อีกทั้งหลีกเลี่ยงการถูกปรับและบทลงโทษที่อาจเกิดขึ้น

  • การตรวจสอบนโยบายความปลอดภัย การตรวจสอบและอัปเดตนโยบาย รวมทั้งขั้นตอนด้านความปลอดภัยเป็นประจำช่วยให้ธุรกิจปรับตัวให้เข้ากับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป และมั่นใจได้ว่าพนักงานทุกคนตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตนในการรักษาสภาพแวดล้อมอีคอมเมิร์ซที่ปลอดภัย

  • การจัดการแพตช์: การอัปเดตซอฟต์แวร์ ปลั๊กอิน และระบบด้วยแพตช์ความปลอดภัยเวอร์ชันล่าสุดเป็นประจำถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อแก้ไขช่องโหว่ที่ทราบและลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ กระบวนการจัดการแพตช์ที่แข็งแกร่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าการอัปเดตจะดำเนินไปอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาหยุดทำงานและปัญหาความเข้ากันได้ที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด

  • การประเมินผู้ให้บริการบุคคลที่สาม: ธุรกิจต่างๆ ยังควรประเมินมาตรการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของผู้ขายรายที่สาม เช่น ผู้ประมวลผลการชำระเงินหรือผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เนื่องจากผู้ให้บริการเหล่านี้อาจทำให้เกิดช่องโหว่ในสภาพแวดล้อมอีคอมเมิร์ซได้

9. การฝึกอบรมและการตระหนักรู้ของพนักงาน

การฝึกอบรมและการตระหนักรู้ของพนักงานคือองค์ประกอบสําคัญของกลยุทธ์รักษาความปลอดภัยโดยรวมขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ พนักงานมีบทบาทสําคัญในการรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและธุรกิจ เนื่องจากมักจะต้องจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า เข้าถึงระบบที่สําคัญ และโต้ตอบกับลูกค้า องค์กรสามารถสร้างวัฒนธรรมการเฝ้าระวัง และลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งอาจนําไปสู่เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยหรือการฉ้อโกงได้

ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญบางประการสำหรับการฝึกอบรมและการตระหนักรู้ของพนักงานในอีคอมเมิร์ซ

  • การฝึกอบรมด้านกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน: พนักงานใหม่ควรได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าจะทราบนโยบาย การรักษาความปลอดภัยขององค์กร ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้น

  • การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง: การอัปเดตและเสริมสร้างการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยอยู่เสมอช่วยให้พนักงานได้รับข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการคุกคาม เทคโนโลยีใหม่ๆ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพัฒนาด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ ซึ่งอาจรวมถึงเวิร์กช็อปหรือโมดูลการฝึกอบรมออนไลน์

  • การตระหนักรู้ด้านฟิชชิ่ง: พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมให้สามารถสังเกตเห็นและรายงานอีเมลฟิชชิ่ง การโจมตีด้วยวิศวกรรมสังคม และกลวิธีทั่วไปอื่นๆ ที่ผู้ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือระบบที่ละเอียดอ่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • แนวทางปฏิบัติด้านการใช้รหัสผ่านที่รัดกุม: การฝึกอบรมพนักงานด้านการสร้างรหัสผ่านที่ไม่ซ้ําและรัดกุมและใช้ MFA จะช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าถึงระบบอีคอมเมิร์ซและข้อมูลของลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตได้เป็นอย่างมาก

  • การจัดการข้อมูลและความเป็นส่วนตัว: พนักงานควรได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลอย่างเหมาะสมและแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัว รวมถึงวิธีการจัดเก็บ ประมวลผล และส่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้าอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งวิธีปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูล เช่น GDPR หรือกฎหมายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (CCPA)

  • การตอบสนองต่อเหตุการณ์: พนักงานควรมีความคุ้นเคยกับแผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ขององค์กร และทราบขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหากพบการละเมิดความปลอดภัยหรือสงสัยว่ามีกิจกรรมฉ้อโกง

  • วัฒนธรรมการรักษาความปลอดภัย: การส่งเสริมวัฒนธรรมที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยภายในองค์กรจะช่วยส่งเสริมให้พนักงานรับผิดชอบในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมอีคอมเมิร์ซที่ปลอดภัย และรายงานปัญหาหรือข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น

  • การประเมินและการอัปเดตเป็นประจํา: การประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมการฝึกอบรมพนักงานและการปรับปรุงตามคำติชมหรือการพัฒนาใหม่ๆ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการฝึกอบรมยังคงมีความเกี่ยวข้องและมีประสิทธิผล

โปรแกรมการฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้ให้กับพนักงานจะช่วยให้พนักงานสามารถทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันด่านแรกในการต่อต้านภัยคุกคามด้านความปลอดภัยและการฉ้อโกง ส่งผลให้ลูกค้ามีสภาพแวดล้อมการซื้อของออนไลน์ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการฉ้อโกงมากขึ้นโดยรวม

10. การให้ความรู้แก่ลูกค้า

การให้ความรู้แก่ลูกค้าจะส่งเสริมประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยและปกป้องลูกค้าจากการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ การให้ข้อมูลและเครื่องมือที่จำเป็นแก่ลูกค้าช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล และตรวจจับการฉ้อโกงหรือภัยคุกคามต่อความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีที่การให้ความรู้แก่ลูกค้าสามารถเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการฉ้อโกงในอีคอมเมิร์ซได้

  • แนวทางการซื้อของออนไลน์อย่างปลอดภัย: ให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับแนวทางการซื้อของออนไลน์อย่างปลอดภัย เช่น การซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น โดยมองหาตัวบ่งชี้ความปลอดภัย เช่น ใบรับรอง HTTPS และใบรับรอง SSL รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะเพื่อทำธุรกรรม

  • เสริมสร้างนิสัยในการใช้รหัสผ่านที่รัดกุม: กระตุ้นให้ลูกค้าสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมและไม่ซ้ํากันสำหรับบัญชีและใช้ MFA ทุกครั้งที่ทําได้ วิธีนี้จะช่วยป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและการเข้าควบคุมบัญชีได้

  • การตระหนักรู้ถึงฟิชชิ่งและวิศวกรรมสังคม: สอนลูกค้าถึงวิธีการระบุและรายงานอีเมลฟิชชิ่งหรือการโจมตีทางวิศวกรรมสังคมที่พยายามหลอกล่อให้ลูกค้าให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย สื่อสารและตรวจสอบว่าลูกค้าเข้าใจวิธีที่บริษัทของคุณจะดําเนินการและจะไม่ดำเนินการ

  • วิธีการชําระเงินที่ปลอดภัย: แจ้งให้ลูกค้าทราบถึงประโยชน์ของการใช้วิธีการชําระเงินที่ปลอดภัย เช่น บัตรเครดิตหรือกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งมักให้ตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับการป้องกันการฉ้อโกงและการแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน

  • การติดตามตรวจสอบบัญชี: กระตุ้นให้ลูกค้าตรวจสอบกิจกรรมของบัญชีอยู่เป็นประจํา เพื่อตรวจหาธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว

  • การตระหนักรู้ด้านความเป็นส่วนตัว: ให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับความสําคัญของการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและวิธีที่ธุรกิจจัดการข้อมูลของตนให้เป็นไปตามข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง

  • การรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย: แจ้งวิธีรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย เช่น ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต ฟิชชิ่ง หรือการเข้าควบคุมบัญชีแก่ธุรกิจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • การอัปเดตและการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย: แจ้งให้ลูกค้าทราบอยู่เสมอเกี่ยวกับฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น หรือการอัปเดตนโยบายความเป็นส่วนตัวของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่านทางจดหมายข่าว บล็อกโพสต์ หรือการอัปเดตโซเชียลมีเดีย

11. การจัดการการดึงเงินคืน

การจัดการการดึงเงินคืนช่วยให้ธุรกิจลดผลกระทบทางการเงินที่เกิดจากการดึงเงินคืน ลดโอกาสในการโต้แย้งการชําระเงินในอนาคต รวมทั้งรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ประมวลผลการชําระเงินและเครือข่ายบัตร การเรียกเก็บเงินคืนจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าโต้แย้งธุรกรรม และเงินจะถูกส่งคืนให้กับลูกค้าโดยธนาคารผู้ออกบัตร กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต ปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ความไม่พอใจ หรือปัญหาเกี่ยวกับการจัดส่ง

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันการดึงเงินคืน โปรดอ่านเพิ่มเติมในหัวข้อต่อไปนี้

12. การตรวจสอบธุรกรรมและพฤติกรรมของผู้ใช้

การติดตามตรวจสอบธุรกรรมและพฤติกรรมของผู้ใช้ช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุและตอบสนองต่อกิจกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ ธุรกิจต่างๆ สามารถตรวจจับการฉ้อโกง ความพยายามเข้าควบคุมบัญชี และภัยคุกคามด้านความปลอดภัยอื่นๆ ได้โดยการติดตามและวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรม ความพยายามในการเข้าสู่ระบบ และการดำเนินการอื่นๆ ของผู้ใช้

ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการที่ธุรกิจใช้ตรวจสอบธุรกรรมและพฤติกรรมของผู้ใช้

  • การให้คะแนนความเสี่ยง: การกำหนดคะแนนความเสี่ยงให้กับธุรกรรมโดยอิงตามปัจจัยต่างๆ เช่น ยอดธุรกรรม ตำแหน่งที่ตั้ง อุปกรณ์ และประวัติการซื้อก่อนหน้านี้ สามารถช่วยให้ธุรกิจระบุธุรกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกงได้ และดำเนินการที่เหมาะสม

  • การติดตามตรวจสอบแบบเรียลไทม์: การตรวจสอบธุรกรรมและพฤติกรรมของผู้ใช้อย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ช่วยให้ธุรกิจตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ลดการสูญเสียทางการเงินและความเสียหายต่อชื่อเสียงให้น้อยที่สุด

  • การวิเคราะห์พฤติกรรม: การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น รูปแบบการท่องเว็บ การเคลื่อนไหวของเมาส์ และกลไกการกดปุ่มจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ จําแนกผู้มีแนวโน้มฉ้อโกงหรือบ็อตได้ เนื่องจากพฤติกรรมของพวกเขาอาจแตกต่างจากลูกค้าตัวจริงเป็นอย่างมาก

  • การติดตามตรวจสอบบัญชี: การตรวจสอบบัญชีผู้ใช้เป็นประจําเพื่อหากิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น การพยายามเข้าสู่ระบบที่ไม่สําเร็จหลายครั้ง การเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว หรือรูปแบบธุรกรรมที่ผิดปกติ สามารถช่วยตรวจจับการเข้าควบคุมบัญชีหรือการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นได้

  • การติดตามตรวจสอบข้ามช่องทาง: การติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ในหลายๆ ช่องทาง เช่น เว็บ อุปกรณ์เคลื่อนที่ และโซเชียลมีเดีย สามารถนําเสนอมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการโต้ตอบของลูกค้าและรูปแบบการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น

13. การตั้งค่ากฎและตัวกรองเพื่อการตรวจจับการฉ้อโกง

การตั้งค่ากฎและตัวกรองเพื่อการตรวจจับการฉ้อโกงจะช่วยให้ธุรกิจระบุและรับมือกับกิจกรรมหรือธุรกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ เมื่อทำการกำหนดเกณฑ์และขีดจำกัดเฉพาะที่อาจบ่งชี้ถึงการฉ้อโกง ธุรกิจจะสามารถรายงานหรือบล็อกธุรกรรมที่ตรงกับรูปแบบเหล่านี้ได้

ต่อไปนี้คือวิธีทํางานของกฎและตัวกรองเพื่อการตรวจจับการฉ้อโกงสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

  • กฎที่ปรับแต่งได้: พัฒนากฎการตรวจจับการฉ้อโกงที่ออกแบบเองโดยอิงตามปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะของธุรกิจ เช่น ขนาดธุรกรรม ข้อมูลประชากรของลูกค้า ประเภทผลิตภัณฑ์ และรูปแบบการฉ้อโกงที่ผ่านมา กฎเหล่านี้ควรปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการฉ้อโกงและความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

  • เกณฑ์แบบไดนามิก: ใช้เกณฑ์แบบไดนามิกสําหรับตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่างๆ เช่น จํานวนเงินในธุรกรรม ความถี่ของธุรกรรม หรือการตรวจสอบความเร็ว วิธีนี้จะช่วยป้องกันผลบวกลวงและช่วยให้มั่นใจว่าธุรกรรมที่ถูกต้องจะไม่ได้รับการระบุว่าเป็นการฉ้อโกงโดยไม่ได้ตั้งใจ

  • การคัดกรองแบบเรียลไทม์: ใช้กฎและตัวกรองตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์เพื่อระบุและรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการฉ้อโกงที่ส่งผลกับธุรกิจและลูกค้าของคุณ

  • แมชชีนเลิร์นนิงและ AI: ผสานการทํางานของแมชชีนเลิร์นนิงและอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์เข้ากับระบบตรวจจับการฉ้อโกงของคุณ เพื่อให้เรียนรู้จากข้อมูลในอดีตอย่างต่อเนื่องและปรับการทํางานตามรูปแบบการฉ้อโกงใหม่ๆ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงความถูกต้อง รวมถึงประสิทธิภาพของกฎและตัวกรองของคุณเมื่อเวลาผ่านไป

  • วิธีการแบบหลายชั้น: ใช้กฎ ตัวกรอง และเทคนิคการป้องกันการฉ้อโกงอื่นๆ ร่วมกัน เช่น การติดตาม IP, การระบุตําแหน่งทางภูมิศาสตร์ การตรวจสอบเอกลักษณ์ของอุปกรณ์ และการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย เพื่อสร้างระบบตรวจจับการฉ้อโกงที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

  • การตรวจสอบและการเพิ่มประสิทธิภาพเป็นประจํา: ตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกฎและตัวกรองตรวจจับการฉ้อโกงอยู่เป็นประจํา โดยปรับตามความจําเป็นเพื่อจัดการกับแนวโน้มการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นใหม่ ลดผลบวกลวง และลดผลกระทบที่มีต่อลูกค้าตัวจริงให้น้อยที่สุด

  • การผสานการทํางานกับเครื่องมืออื่นๆ: ผสานการทํางานกฎและตัวกรองการตรวจจับการฉ้อโกงเข้ากับเครื่องมือด้านการป้องกันการฉ้อโกงและการจัดการความเสี่ยงอื่นๆ เช่น เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย การเข้ารหัส SSL และระบบยืนยันลูกค้า เพื่อสร้างกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมและสอดคล้อง

14. การใช้ระบบยืนยันที่อยู่และบัตร

การใช้ระบบตรวจสอบที่อยู่และบัตรช่วยให้ธุรกิจสามารถยืนยันความถูกต้องของข้อมูลเรียกเก็บเงินจากลูกค้าและลดโอกาสในการเกิดธุรกรรมฉ้อโกงได้ ระบบการยืนยันเหล่านี้จะเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้รับจากลูกค้าในระหว่างขั้นตอนการชําระเงิน กับข้อมูลในระบบกับธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อให้แน่ใจว่าบัตรนั้นถูกต้องและเป็นของบุคคลที่ซื้อสินค้าจริงๆ

ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซใช้ยืนยันธุรกรรมได้

  • บริการยืนยันที่อยู่ (AVS): AVS คือเครื่องมือที่ผู้ประมวลผลการชําระเงินใช้เพื่อตรวจสอบที่อยู่สําหรับการเรียกเก็บเงินที่ลูกค้าระบุไว้ โดยเทียบกับที่อยู่ในระบบกับบริษัทผู้ออกบัตร หากที่อยู่ไม่ตรงกัน ธุรกรรมอาจถูกรายงานหรือปฏิเสธ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงได้

  • ค่าการยืนยันบัตร (CVV): CVV คือฟีเจอร์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่พบในหมู่บัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งประกอบด้วยรหัส 3 หรือ 4 หลักที่ไม่ซ้ํากันสําหรับบัตรแต่ละใบ เมื่อกําหนดให้ลูกค้าป้อน CVV ในระหว่างขั้นตอนการชําระเงิน ธุรกิจสามารถยืนยันได้ว่าบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือบริการมีบัตรในครอบครองจริงๆ จึงช่วยลดโอกาสในการทําธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงโดยใช้ข้อมูลบัตรที่ขโมยมา

  • 3D Secure (3DS): 3D Secure คือระบบรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งสําหรับการทําธุรกรรมบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทางออนไลน์ โดยมีขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิ์ที่ลูกค้าต้องยืนยันตัวตนผ่านรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวหรือการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของบัตรเป็นผู้ที่จะทําการซื้อจริงๆ ตัวอย่างของโปรโตคอล 3D Secure ได้แก่ การตรวจสอบโดย Visa, Mastercard SecureCode และ SafeKey ของ American Express

  • การผสานการทํางานกับเกตเวย์การชําระเงิน: การผสานการทํางานระบบยืนยันบัตรและที่อยู่กับเกตเวย์การชําระเงินจะช่วยสร้างกระบวนการชําระเงินที่ง่ายดายและปลอดภัยให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงได้ด้วย

  • การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้: แม้การใช้ระบบตรวจสอบที่อยู่และบัตรสามารถช่วยป้องกันการฉ้อโกงได้ แต่การสร้างสมดุลระหว่างมาตรการรักษาความปลอดภัยกับประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ กระบวนการยืนยันตัวตนที่เข้มงวดเกินไปอาจนําไปสู่การปฏิเสธอันเป็นเท็จและทําให้ลูกค้าเกิดความไม่พึงพอใจ การตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยืนยันอยู่เป็นประจําอาจช่วยสร้างสมดุลดังกล่าว

15. การเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่นๆ และองค์กรอุตสาหกรรม

การเชื่อมต่อกับธุรกิจและองค์กรอุตสาหกรรมอื่นๆ อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีคุณค่าในการต่อสู้กับการฉ้อโกงสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของอีกฝ่าย รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการฉ้อโกงที่กําลังเกิดขึ้น รวมทั้งนําแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันและการตรวจจับการฉ้อโกงมาใช้ แนวทางที่มีความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซที่มั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น

การมีส่วนร่วมกับฟอรัมในแวดวง การเข้าร่วมการประชุม และการเข้าร่วมเครือข่ายหรือสมาคมวิชาชีพสามารถช่วยในการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจ ผู้ประมวลผลการชำระเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการฉ้อโกง กลยุทธ์ และเทคนิคการลดการฉ้อโกงจะช่วยให้ธุรกิจรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคาม และสามารถพัฒนากลยุทธ์การป้องกันการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังอาจได้รับประโยชน์จากการร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และนักวิจัยด้านความปลอดภัย ซึ่งสามารถให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลภัยคุกคาม และโซลูชันอันทันสมัยเพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันและตรวจจับการฉ้อโกงได้

16. การใช้ข้อมูลไบโอเมตริกและการวิเคราะห์พฤติกรรม

การใช้การวิเคราะห์ข้อมูลไบโอเมตริกและพฤติกรรมเพื่อป้องกันการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและซับซ้อนในการยืนยันตัวตนของลูกค้าและตรวจจับการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้วิเคราะห์ลักษณะเฉพาะตัวและพฤติกรรมเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้ โดยเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้มิจฉาชีพเลียนแบบหรือหลีกเลี่ยงได้ยาก

ไบโอเมตริกหมายถึงการใช้ลักษณะทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ การจดจําใบหน้า หรือรูปแบบเสียง เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้ สมาร์ทโฟนสมัยใหม่และอุปกรณ์อื่นๆ มากมายมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ไบโอเมตริก ทําให้ลูกค้าสามารถใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบสิทธิ์ได้สะดวก เมื่อมีการนำข้อมูลไบโอเมตริกมาใช้กับมาตรการรักษาความปลอดภัย ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถเพิ่มความแม่นยำของการตรวจยืนยันลูกค้าและลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการยึดบัญชีได้

ในทางกลับกัน การวิเคราะห์พฤติกรรมจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การเคลื่อนไหวของเมาส์ การกดแป้นพิมพ์ นิสัยการสืบค้น หรือเวลาที่ใช้บนหน้าเว็บ รูปแบบเหล่านี้อาจช่วยให้เราแยกความแตกต่างระหว่างลูกค้าตัวจริงกับมิจฉาชีพได้ เนื่องจากมิจฉาชีพที่มักจะแสดงพฤติกรรซึ่งแตกต่างจากปกติ ด้วยการติดตามและวิเคราะห์รูปแบบเหล่านี้ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะสามารถตรวจจับและตอบสนองต่อการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์ ลดการสูญเสียทางการเงินและความเสียหายต่อชื่อเสียงให้เหลือน้อยที่สุด

เมื่อมีการนำกลยุทธ์เพิ่มเติมเหล่านี้เข้ามาใช้ในกรอบการทำงานด้านการป้องกัน การตรวจจับ และการตอบสนองต่อการฉ้อโกงที่มีอยู่ ธุรกิจต่างๆ จะสามารถปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยและปกป้องตนเองและลูกค้าจากการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Radar

Radar

ต้านการฉ้อโกงด้วยประสิทธิภาพที่ทรงพลังของเครือข่าย Stripe

Stripe Docs เกี่ยวกับ Radar

ใช้ Stripe Radar เพื่อปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกง