เมื่อแวดวงอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นทุกปี ความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากธุรกรรมออนไลน์ในตลาดต่างๆ ทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ผู้ไม่หวังดีจึงมีช่องทางในการฉ้อโกงธุรกิจ ระบบการชำระเงิน สถาบันการเงิน และผู้บริโภคมากขึ้นกว่าที่เคย รายงานจาก Juniper Research ในปี 2021 ระบุว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการฉ้อโกงการชําระเงินทั่วโลกคาดว่าจะถึง $2.06 แสนล้านภายในปี 2025 รายงานอีกฉบับในปี 2022 ของ Juniper คาดการณ์ว่าธุรกิจจะสูญเสียเงินกว่า $3.43 แสนล้านไปกับการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2027 ซึ่งคิดเป็น "กว่า 350% ของรายรับสุทธิที่ Apple รายงานในปีงบประมาณ 2021"
ตัวเลขเหล่านี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ธุรกิจต่างๆ จะต้องดำเนินการทันทีเพื่อปกป้องตนเองจากการฉ้อโกงทางออนไลน์
ด้านล่างนี้ เราจะเจาะลึกสถิติการฉ้อโกงในแวดวงอีคอมเมิร์ซบางส่วน รวมถึงสรุปประเภทการฉ้อโกงที่พบบ่อยที่สุด อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงสุด และขั้นตอนที่ธุรกิจสามารถดำเนินการเพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้าและปกป้องตนเอง
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ประเภทของการฉ้อโกงออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
- สถิติการฉ้อโกงออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
- ข้อคิดสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ประเภทของการฉ้อโกงออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
การฉ้อโกงออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ หมายถึงกิจกรรมที่ดําเนินการบนอินเทอร์เน็ตหรือผ่านแพลตฟอร์มการค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงใช้การปิดบังตัวตนและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพื่อหลอกลวงผู้ซื้อและขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน การฉ้อโกงทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซเป็นภัยคุกคามที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมิจฉาชีพจะพัฒนาเทคนิคและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและหลีกเลี่ยงมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทําให้เป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจและหน่วยงานกํากับดูแลในการติดตามภัยคุกคามล่าสุดและป้องกันการฉ้อโกงทางออนไลน์อย่างทันท่วงที
ต่อไปนี้เป็นประเภทการฉ้อโกงออนไลน์และอีคอมเมิร์ซที่พบบ่อย
ฟิชชิ่ง
ฟิชชิ่งคือการที่มิจฉาชีพส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนว่ามาจากบริษัทหรือองค์กรที่ถูกต้อง เช่น ธนาคารหรือผู้ค้าปลีกออนไลน์ เพื่อหลอกให้ผู้บริโภคส่งมอบข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น รหัสผ่านหรือหมายเลขบัตรเครดิตการโจรกรรมตัวตน
การโจรกรรมตัวตนคือการที่มิจฉาชีพขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขประกันสังคม หรือหมายเลขใบอนุญาตขับขี่ เพื่อปลอมแปลงเป็นบุคคลนั้นและเข้าถึงบัญชีทางการเงินหรือซื้อสินค้าอย่างฉ้อโกงการฉ้อโกงบัตรเครดิต
การฉ้อโกงบัตรเครดิตคือการที่มิจฉาชีพใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยหรือปลอมแปลงมา เพื่อทําการซื้อทางออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาตการฉ้อโกงด้วยเข้าควบคุมบัญชี
การฉ้อโกงด้วยเข้าควบคุมบัญชีเกิดขึ้นเมื่อมิจฉาชีพเข้าถึงบัญชีออนไลน์ของผู้อื่น เช่น บัญชีธนาคารหรือบัญชีอีเมล โดยการขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบของบุคคลดังกล่าวผ่านการฟิชชิ่งหรือวิธีการอื่นๆการฉ้อโกงด้วยการดึงเงินคืน
การฉ้อโกงด้วยการดึงเงินคืนเกิดขึ้นเมื่อมีคนซื้อสินค้าหรือบริการโดยใช้บัตรเครดิต ได้รับผลิตภัณฑ์หรือบริการ จากนั้นโต้แย้งการเรียกเก็บเงินกับบริษัทบัตรเครดิต โดยอ้างว่าไม่เคยได้รับผลิตภัณฑ์หรือบริการ หรือสินค้ามีตําหนิ เพื่อที่จะได้เงินคืน การฉ้อโกงด้วยการดึงเงินคืนนั้นมีเจตนาฉ้อโกง ซึ่งแตกต่างจากการฉ้อโกงที่เป็นมิตร ซึ่งระบุไว้ด้านล่างการฉ้อโกงที่เป็นมิตร
การฉ้อโกงที่เป็นมิตรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้อง จากนั้นจึงโต้แย้งการเรียกเก็บเงินกับบริษัทบัตรเครดิตของตน โดยอ้างว่าการซื้อนี้เป็นการฉ้อโกง บางครั้ง วิธีนี้ได้รับการดําเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงการชําระค่าสินค้าหรือเพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนการส่งคืนสินค้าหรือขอเงินคืนการฉ้อโกงการประมูล
การฉ้อโกงการประมูลก็คือเมื่อผู้ขายโพสต์สินค้าบนเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ รับการชําระเงินจากผู้ซื้อ แต่ไม่ได้จัดส่งสินค้าหรือจัดส่งสินค้ารายการอื่นแทน
ธุรกิจใดๆ ก็ตามที่จัดการกับข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนทางออนไลน์อาจมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ ตัวอย่างเช่น มิจฉาชีพที่ใช้ฟิชชิ่งสามารถเจาะกลุ่มธุรกิจหรือองค์กรได้ทุกประเภท ในขณะที่การฉ้อโกงบัตรเครดิตอาจพบมากขึ้นในธุรกิจที่พึ่งพาธุรกรรมออนไลน์ เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ ธุรกิจขนาดเล็กก็อาจเป็นเป้าของการฉ้อโกงได้เช่นนั้น เนื่องจากอาจมีทรัพยากรน้อยกว่าและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ธุรกิจที่จัดการสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูง เช่น สินค้าหรูหราหรือการจองการเดินทาง ก็อาจเสี่ยงต่อการฉ้อโกงเป็นพิเศษ
สถิติการฉ้อโกงทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
สถิติต่อไปนี้ได้รับอ้างถึงในรายงานจาก Juniper Research เกี่ยวกับการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 โดยแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์ และแสดงความจําเป็นที่ธุรกิจจะต้องดําเนินการตามขั้นตอนในเชิงรุกเพื่อปกป้องตัวเอง ต่อไปนี้คือตัวเลขบางส่วนที่สำคัญจากรายงานดังกล่าว
คาดว่าต้นทุนการฉ้อโกงการชำระเงินออนไลน์ทั่วโลกจะสูงถึง $2.06 แสนล้านในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก $1.3 แสนล้านในปี 2020
การเปลี่ยนแปลงไปสู่อีคอมเมิร์ซและการค้าบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับมิจฉาชีพในการทํากิจกรรมฉ้อโกง เมื่อมีคนซื้อสินค้าทางออนไลน์และใช้วิธีการชําระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น มิจฉาชีพก็มีเป้าหมายมากขึ้น และมีวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมในการรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปใช้อีคอมเมิร์ซและธุรกรรมออนไลน์ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะซื้อของออนไลน์เพื่อหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้ากัน สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับมิจฉาชีพที่ใช้ประโยชน์จากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซเพื่อใช้แผนการโจมตีและหลอกลวงที่ซับซ้อนมากขึ้น
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบอีคอมเมิร์ซ ทําให้มูลค่าธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้น 20%
เนื่องจากมีมาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคมในปี 2020 ร้านค้าแบบดั้งเดิมจำนวนมากจึงจำเป็นต้องปิดตัวลง ซึ่งนําไปสู่กิจกรรมอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้การช็อปปิ้งออนไลน์เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น ผลที่ตามมาคือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอีคอมเมิร์ซในช่วงที่มีการแพร่ระบาด โดยมูลค่าธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 20%
แม้ว่าอีคอมเมิร์ซจะเป็นตัวช่วยต่อชีวิตธุรกิจบางแห่งที่อาจจำเป็นต้องปิดตัวลง แต่ก็ส่งผลให้เกิดความท้าทายและความเสี่ยงใหม่ๆ ตามมา เนื่องจากธุรกิจต่างๆ จะต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นของการฉ้อโกงการชำระเงินออนไลน์และภัยคุกคามความปลอดภัยอื่นๆ
การฉ้อโกงตัวตนเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าความสูญเสียจะสูงถึง $1.4 หมื่นล้านในปี 2025
ในการฉ้อโกงตัวตน มิจฉาชีพงจะสร้างตัวตนปลอมๆ โดยใช้ข้อมูลจริงและข้อมูลสมมุติผสมกัน พวกเขาอาจใช้หมายเลขประกันสังคมจริง แต่จับคู่กับชื่อและที่อยู่ปลอม พวกเขาอาจใช้ข้อมูลประจำตัวนี้เพื่อสมัครบัตรเครดิต เปิดบัญชีธนาคาร หรือซื้อสินค้า ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากหน่วยงานเครดิตและหน่วยงานอื่นๆ
การฉ้อโกงตัวตนที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากสององค์ประกอบสําคัญ ประการแรกคือการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์อย่างแพร่หลาย ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้มิจฉาชีพสร้างตัวตนปลอมได้ง่ายขึ้น ประการที่สอง การพึ่งพาช่องทางดิจิทัลของผู้บริโภคในการทําธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมอื่นๆ ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับมิจฉาชีพซึ่งใช้จุดอ่อนในระบบ
คาดว่าวิธีการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริกจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 47% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าในการยืนยันตัวตนทางออนไลน์
วิธีการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริกเป็นวิธียอดนิยมในการยืนยันตัวตนทางออนไลน์ โดยเฉพาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่และการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริกใช้ลักษณะทางชีวภาพที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงลายนิ้วมือ การจดจําใบหน้า หรือการสแกนม่านตา เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้และให้สิทธิ์เข้าถึงอุปกรณ์หรือบัญชีออนไลน์
การที่อุปกรณ์เคลื่อนที่และการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่แพร่หลายทำให้มีการนำการตรวจสอบข้อมูลไบโอเมตริกมาใช้มากขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มักมีเซ็นเซอร์ข้อมูลไบโอเมตริกในตัวสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ หลายคนคิดว่าการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริกเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยรหัสผ่านแบบเดิมๆ ซึ่งแฮ็กเกอร์และมิจฉาชีพสามารถเจาะระบบได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริกจะได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลายทั้งในกลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคเนื่องจากถือว่ามีระดับความปลอดภัยสูง แต่มิจฉาชีพบางรายก็พบวิธีหลีกเลี่ยง
อเมริกาเหนือและยุโรปเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์มากที่สุด โดยคาดว่าจะมีการสูญเสียสูงถึง $5 หมื่นล้านและ $3.5 หมื่นล้านตามลําดับ ภายในปี 2025
อเมริกาเหนือและยุโรปได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการฉ้อโกงการชำระเงินออนไลน์ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการนำวิธีการชำระเงินดิจิทัลมาใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาคเหล่านี้ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีขั้นสูงและการเชื่อมต่อออนไลน์ในระดับสูง
ในอเมริกาเหนือ การฉ้อโกงการชำระเงินออนไลน์มีความแพร่เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ความนิยมการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิต และความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และอีคอมเมิร์ซ อเมริกาเหนือเป็นบ้านของสถาบันทางการเงินและบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งซึ่งเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสําหรับอาชญากรไซเบอร์
ในยุโรป การฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์เป็นผลมาจากกองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายในระดับสูงของผู้บริโภค รวมถึงการมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและมาร์เก็ตเพลสขนาดใหญ่
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสําหรับการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์ และคาดว่าจะมีการสูญเสียถึง $5.4 หมื่นล้านภายในปี 2025
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงการชำระเงินออนไลน์เป็นพิเศษ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการนำวิธีการชำระเงินดิจิทัลมาใช้มากขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ และประชากรที่มีความหลากหลายจำนวนมาก ซึ่งเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ
ในหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การเติบโตของอีคอมเมิร์ซและการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นเกิดจากรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งเพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน ตลอดจนการขยายตัวของชนชั้นกลาง ปัจจัยนี้ส่งผลให้เกิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับมิจฉาชีพ โดยเฉพาะในประเทศที่กฎระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยอาจไม่เข้มงวดเท่ากับตลาดที่พัฒนาแล้ว
ผลกระทบของการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความสําคัญและอาจทําให้เกิดความสูญเสียทางการเงินที่สําคัญต่อธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงความเสียหายต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจของลูกค้าด้วย การฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์ในยุคแรกๆ อาจกระทบต่อความมั่นใจในวิธีการชําระเงินแบบดิจิทัล และเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอีคอมเมิร์ซและการค้าบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญที่กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
แมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้เพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกงทางออนไลน์มากขึ้น โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่ายกับเทคโนโลยีเหล่านี้ถึง $1.13 หมื่นล้านภายในปี 2025
แมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือสําคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงออนไลน์ เนื่องจากสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจํานวนมาก รวมทั้งตรวจจับรูปแบบและความผิดปกติที่วิธีการตรวจจับการฉ้อโกงแบบเดิมๆ อาจพลาดไป โดยสามารถใช้แมชชีนเลิร์นนิงและ AI เพื่อระบุธุรกรรมที่น่าสงสัย ตรวจจับสิ่งที่ผิดปกติในการทํางานของผู้ใช้ และวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อตรวจจับกิจกรรมฉ้อโกงได้แบบเรียลไทม์
การใช้แมชชีนเลิร์นนิงและ AI ในการป้องกันการฉ้อโกงได้รับการผลักดันโดยความถี่ในการฉ้อโกงออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น และความจําเป็นในการใช้วิธีการตรวจจับการฉ้อโกงขั้นสูงขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้การนำแมชชีนเลิร์นนิงและระบบ AI ไปใช้เป็นเรื่องง่ายและประหยัดยิ่งขึ้น แม้ในธุรกิจขนาดเล็ก
แมชชีนเลิร์นนิงและ AI สามารถมอบวิธีการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น โดยช่วยลดความเสี่ยงต่อความสูญเสียทางการเงินของธุรกิจและลูกค้า นอกจากนี้ แมชชีนเลิร์นนิงและ AI ยังช่วยลดจำนวนผลบวกลวงและผลลบลวงได้อีกด้วย ผลบวกลวงคือเมื่อธุรกรรมที่ถูกต้องถูกระบุว่าเป็นการฉ้อโกง กรณีนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อระบบตรวจจับการฉ้อโกงตรวจพบรูปแบบหรือพฤติกรรมที่น่าสงสัย แต่ธุรกรรมนั้นถูกต้อง ขณะที่ผลลบลวงจะไม่ถูกระบุโดยระบบตรวจจับการฉ้อโกงและได้รับอนุญาตให้ดําเนินการตามคําขอได้ การลดผลบวกลวงและผลลบลวงสามารถช่วยลดความเสียหายโดยรวมจากการฉ้อโกงได้
อุตสาหกรรมสินค้าดิจิทัลและการโอนเงินเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการฉ้อโกงออนไลน์มากที่สุด โดยคาดว่าการสูญเสียรวมกันจะสูงถึง $6 หมื่นล้านในปี 2025
ธุรกิจที่ขายสินค้าดิจิทัลหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายเงิน ถือเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการฉ้อโกงทางออนไลน์มากที่สุด เพราะมักเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งอาจยืนยันและตรวจสอบสิทธิ์ได้ยาก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเหล่านี้ยังพึ่งพาช่องทางออนไลน์และวิธีการชําระเงินดิจิทัล ซึ่งเสี่ยงต่อการฉ้อโกงมากกว่าวิธีการชําระเงินแบบเดิมๆ
ในกรณีของสินค้าดิจิทัล มิจฉาชีพอาจใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยมาเพื่อซื้อสินค้า เช่น ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ เพลง และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นก็อาจจะนำสินค้าเหล่านี้ไปขายต่ออย่างผิดกฎหมายหรือใช้เพื่อการใช้งานส่วนบุคคล ในกรณีที่มีการโอนเงิน มิจฉาชีพอาจจะใช้เทคนิคหลากหลายแบบเพื่อหลอกให้ผู้ใช้ส่งเงินไปยังบัญชีปลอม หรือให้ข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนําไปใช้ในการฉ้อโกงต่อไปได้
ข้อคิดสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ธุรกิจต่างๆ ต้องตระหนักถึงอันตรายจากการฉ้อโกงทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้นอีกอย่างมากในอีกหลายปีข้างหน้า การละเมิดความปลอดภัยและการฉ้อโกงไม่เพียงแต่ทำให้ความเชื่อมั่นของลูกค้าและทำให้ความภักดีต่อแบรนด์ลดลง แต่การต่อสู้กับการฉ้อโกงยังอาจทำให้ทรัพยากรภายในของธุรกิจต้องทำงานหนักเกินไปอีกด้วย เป้าหมายควรเป็นการป้องกันที่ครอบคลุมบนทุกช่องทางที่รองรับวิธีการชำระเงินทุกรูปแบบ รวมทั้งใช้ระบบและเครื่องมือต่างๆ ที่ได้รับการนำไปใช้ บำรุงรักษา และจัดการอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกงทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจต่างๆ ควรใช้แนวทางหลายชั้นในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบสิทธิ์ขั้นสูง โซลูชันการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง เช่น Stripe Radar และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การดําเนินการนี้อาจเกี่ยวข้องกับการใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิงและ AI เพื่อตรวจจับกิจกรรมการฉ้อโกง รวมทั้งตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลลูกค้าทั้งหมดได้รับการเข้ารหัสและจัดเก็บไว้อย่างปลอดภัย ชั้นการป้องกันทั้งหมดนี้เป็นฟีเจอร์ในตัวสำหรับโซลูชันการชำระเงินของ Stripe
นอกเหนือจากนี้แล้ว ธุรกิจต่างๆ ควรทํางานร่วมกับสถาบันการเงินและพาร์ทเนอร์อื่นๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ และทํางานร่วมกันเพื่อหากลยุทธ์ในการต่อสู้กับการฉ้อโกง นอกจากนี้ ยังควรให้ความรู้แก่พนักงานและลูกค้าของตนเกี่ยวกับความเสี่ยงของการฉ้อโกงออนไลน์ และจัดให้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับการตรวจจับและป้องกันกิจกรรมฉ้อโกง เมื่อดําเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้แล้ว ธุรกิจต่างๆ จะสามารถปกป้องตัวเองและลูกค้าจากภัยคุกคามที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ