การฉ้อโกงการชำระเงินถือเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับธุรกิจทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม โดยมีความสูญเสียโดยประมาณกว่า 4.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลกในปี 2020 เพียงปีเดียว สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องจัดการกับการชำระเงินของลูกค้าจำนวนมาก การฉ้อโกงการชำระเงินถือเป็นส่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในการทำธุรกิจ การจัดการความปลอดภัยของการชําระเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของการค้าดิจิทัลและวิธีการชําระเงินใหม่ๆ และเนื่องจากมิจฉาชีพหันมาใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้น ดังนั้น เทคนิคการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงของคุณก็ควรได้รับการพัฒนาด้วย ผลกระทบจากการฉ้อโกงการชำระเงินต่อธุรกิจอาจมีนัยสำคัญ รวมถึงการสูญเสียทางการเงิน ความเสียหายต่อชื่อเสียง และผลที่ตามมาทางกฎหมายและข้อบังคับ
แม้ธุรกิจจะดําเนินการทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการฉ้อโกงการชําระเงิน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงเกิดขึ้นได้ การเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทต่างๆ ของการฉ้อโกงและการทำงานจะช่วยให้คุณอยู่มีโอกาสป้องกันการฉ้อโกงได้ดีที่สุด เราจะอธิบายสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับการฉ้อโกง วิธีดําเนินการ และสิ่งที่คุณทำได้เพื่อปกป้องธุรกิจและลูกค้าของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การฉ้อโกงการชําระเงินคืออะไร
- ประเภทการฉ้อโกงการชําระเงิน
- การฉ้อโกงการชําระเงินเกิดขึ้นได้อย่างไร
- อุตสาหกรรมใดมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงการชําระเงินมากที่สุด
- การฉ้อโกงในการชําระเงินส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร
- วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากการฉ้อโกงการชําระเงิน
การฉ้อโกงการชําระเงินคืออะไร
การฉ้อโกงการชำระเงินคือการฉ้อโกงทางการเงินประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีผู้จงใจใช้ข้อมูลการชำระเงินที่เป็นเท็จหรือขโมยมาเพื่อทำการซื้อ ตัวอย่างเช่น ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยมา สร้างเช็คปลอมๆ หรือโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต
ธุรกิจค้าปลีกมีความเปราะบางต่อการฉ้อโกงการชําระเงินเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องจัดการกับธุรกรรมจํานวนมากและอาจไม่มีทรัพยากรในการตรวจสอบวิธีการชําระเงินแต่ละวิธีอย่างละเอียด การฉ้อโกงการชําระเงินอาจก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินที่สําคัญต่อธุรกิจ ความเสียหายต่อชื่อเสียง และความรับผิดทางกฎหมาย
ประเภทการฉ้อโกงการชําระเงิน
การฉ้อโกงการชําระเงินมีหลายประเภท ดังนี้
การฉ้อโกงบัตรเครดิต
การฉ้อโกงบัตรเครดิตคือการใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อทําการซื้อหรือรับเงินสด ตัวอย่างเช่น การฉ้อโกงนี้อาจเกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยมา หรือการสร้างบัตรเครดิตลอกเลียนแบบ มิจฉาชีพจะใช้บัตรเครดิตที่ขโมยมาซื้อสินค้าทางออนไลน์หรือที่จุดขาย หรืออาจใช้บัตรเพื่อถอนเงินสดจากเครื่องเอทีเอ็มก็ได้
การสูญเสียเงินจากการฉ้อโกงบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 ทั้งนี้ คาดว่าการฉ้อโกงแบบไม่แสดงบัตรจะเพิ่มขึ้นจาก 57% ในปี 2019 เป็น 74% ภายในปี 2024
การฉ้อโกงบัตรเดบิต
การฉ้อโกงบัตรเดบิตคล้ายกับการฉ้อโกงบัตรเครดิต แต่เป็นการใช้บัตรเดบิตโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจใช้บัตรเดบิตหรือข้อมูลบัตรที่ขโมยมา เพื่อซื้อสินค้าหรือถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม การฉ้อโกงบัตรเดบิตอาจเกิดขึ้นได้หากมีบุคคลอื่นได้รับสิทธิ์เข้าถึง PIN ที่เชื่อมโยงกับบัตรดังกล่าว
การฉ้อโกงทางธนาคาร
การฉ้อโกงทางธนาคารหมายถึงการฉ้อโกงประเภทใดก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยรวมถึงเงินกู้ที่เป็นการฉ้อโกง การฉ้อโกงด้วยการเข้าควบคุมบัญชี และการขโมยตัวตน การฉ้อโกงทางธนาคารอาจทําให้บุคคลทั่วไปและสถาบันการเงินขาดทุนอย่างมีนัยสําคัญ
รายงาน ACFE ประจำปี 2022 ถึงประเทศต่างๆ พบว่าการธนาคารและบริการทางการเงินเป็นอุตสาหกรรมที่ตกเป็นเป้าหมายการฉ้อโกงเป็นอันดับสอง โดยมีการสูญเสียเฉลี่ย 100,000 ดอลลาร์ในแต่ละกรณี
การโอนเงินระหว่างธนาคาร
การโอนเงินระหว่างธนาคารเกิดขึ้นเมื่อมิจฉาชีพได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีธนาคารหรือข้อมูลการโอนเงินระหว่างธนาคารของบุคคลอื่น จากนั้นจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อโอนเงินไปยังบัญชีของตน มิจฉาชีพอาจใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลของเหยื่อ เช่น การหลอกลวงแบบฟิชชิ่งหรือการเจาะระบบคอมพิวเตอร์หรืออีเมลของเหยื่อ
ศูนย์ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต (IC3) รายงานว่าการฉ้อโกงการโอนเงินระหว่างธนาคารเป็นประเภทการหลอกลวงทางอีเมลของธุรกิจ (BEC) และการหลอกลวงเกี่ยวกับบัญชีอีเมล (EAC) ที่ได้รับรายงานบ่อยที่สุดในปี 2020
การฉ้อโกงเช็ค
การฉ้อโกงเช็คเกี่ยวข้องกับการสร้างหรือการปลอมแปลงเช็คเพื่อรับเงินทุนในทางฉ้อโกง ซึ่งอาจรวมถึงการปลอมแปลงลายเซ็นหรือการแก้ไขจํานวนเงินของเช็ค การฉ้อโกงเช็คอาจเกิดขึ้นเมื่อมีคนขโมยสมุดเช็คหรือได้รับสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลบัญชีกระแสเงินสดของเหยื่อ
เช็คเป็นวิธีการชําระเงินที่มีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงมากที่สุด โดยคิดเป็น 66% ของการชําระเงินทั้งหมดในปี 2020
การฉ้อโกงการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
การฉ้อโกงการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นการใช้บริการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น Apple Pay หรือ Google Wallet เพื่อซื้อหรือโอนเงิน กรณีนี้อาจเกิดขึ้นหากมีผู้อื่นเข้าถึงอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือข้อมูลการชําระเงินของเหยื่อ การฉ้อโกงการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้หากมิจฉาชีพสร้างบัญชีการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ปลอมโดยใช้ข้อมูลของผู้อื่น
70 เปอร์เซ็นต์ของธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงจะเกิดขึ้นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในปี 2022
การฉ้อโกงการชําระเงินเกิดขึ้นได้อย่างไร
มิจฉาชีพจะใช้กลยุทธ์หลากหลายแบบในการเข้าถึงข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนหรือทําธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต
ฟิชชิ่ง
ฟิชชิ่งเป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น รายละเอียดของบัตรเครดิต ข้อมูลประจําตัวสําหรับเข้าสู่ระบบ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ โดยมักจะดําเนินการผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งมิจฉาชีพจะสร้างหน้าเข้าสู่ระบบหรือพอร์ทัลการชําระเงินปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้เหยื่อป้อนข้อมูลการแอบบันทึกข้อมูล
การแอบบันทึกข้อมูล (Skimming) เป็นกระบวนการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตโดยการติดตั้งอุปกรณ์ไว้ในเทอร์มินัลการชําระเงินเครื่องจริง อุปกรณ์จะเก็บข้อมูลบัตรและหมายเลข PIN ซึ่งสามารถนํามาใช้สร้างบัตรปลอมหรือถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้การขโมยตัวตน
การโจรกรรมตัวตนเกิดขึ้นเมื่อมิจฉาชีพได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขประกันสังคม เพื่อกระทําธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง ซึ่งอาจรวมถึงการเปิดบัตรเครดิตใหม่ การสมัครขอเงินกู้ หรือการซื้อที่ไม่ได้รับอนุญาตการฉ้อโกงด้วยการดึงเงินคืน
การฉ้อโกงด้วยการดึงเงินคืนเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าทําการซื้อโดยใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต จากนั้นโต้แย้งธุรกรรมกับธนาคารของตน โดยอ้างว่าการซื้อนั้นไม่ได้รับอนุมัติหรือมีตําหนิ ธุรกิจมักจะต้องคืนเงินให้กับลูกค้า แม้ว่าการซื้อนั้นจะถูกต้องและดําเนินการโดยเจ้าของบัตรจริงๆ ก็ตามการละเมิดอีเมลระดับธุรกิจ (BEC)
BEC คือการฉ้อโกงประเภทหนึ่งที่มุ่งเป้าหมายไปยังพนักงานของธุรกิจ มิจฉาชีพจะส่งอีเมลฟิชชิ่งไปให้พนักงาน ซึ่งปกติแล้วจะเป็นผู้บริหารระดับอาวุโสหรือพาร์ทเนอร์ธุรกิจ เพื่อขอให้พนักงานเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือโอนเงินให้กับผู้ไม่ประสงค์ดีมัลแวร์
มัลแวร์หมายถึงซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายประเภทต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือควบคุมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของเหยื่อ มิจฉาชีพใช้มัลแวร์เพื่อขโมยข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลประจําตัวสําหรับเข้าสู่ระบบ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ
อุตสาหกรรมใดมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงการชําระเงินมากที่สุด
การฉ้อโกงการชําระเงินอาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใดก็ได้ แต่บางอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจอื่นๆ
ร้านค้าปลีก
ธุรกิจค้าปลีกมักตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพเนื่องจากปริมาณธุรกรรมบัตรเครดิตที่สูงและการเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิตได้ง่าย ผู้ค้าปลีกออนไลน์มักเปราะบางต่อการฉ้อโกงการชําระเงิน เนื่องจากมิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยมาเพื่อทําการซื้อที่เป็นการฉ้อโกงได้จากทุกที่ทั่วโลกบริการธนาคารและการเงิน
ธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ มักเป็นเป้าหมายของการฉ้อโกงการชำระเงินเนื่องจากข้อมูลที่เก็บไว้มีลักษณะละเอียดอ่อน ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจพยายามขโมยข้อมูลของลูกค้าหรือใช้เทคนิควิศวกรรมทางสังคม เช่น การฟิชชิ่งเพื่อหาทางเข้าถึงบัญชีการดูแลสุขภาพ
ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพมักจะตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพเนื่องจากมีข้อมูลผู้ป่วยที่ละเอียดอ่อนจํานวนมาก โดยอาจพยายามขโมยข้อมูลผู้ป่วยหรือใช้รูปแบบการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกงเพื่อรับการชําระเงินสถานบริการ
อุตสาหกรรมการบริการมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงการชําระเงินเนื่องจากมีปริมาณธุรกรรมบัตรเครดิตจํานวนมาก โดยเฉพาะที่โรงแรมและร้านอาหาร มิจฉาชีพอาจพยายามขโมยข้อมูลบัตรเครดิต หรือใช้บัตรเครดิตที่ขโมยมาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซ
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงในการชําระเงิน เนื่องจากความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิต ความถี่ของธุรกรรมที่ไม่ต้องแสดงบัตร ไปจนถึงการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจใช้ข้อมูลบัตรเครดิตที่ขโมยมาในการซื้อสินค้าหรือสร้างร้านค้าออนไลน์ปลอมเพื่อรับการชําระเงิน
การฉ้อโกงการชําระเงินส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร
การฉ้อโกงการชําระเงินอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในหลายๆ ด้าน ดังต่อไปนี้
การสูญเสียทางการเงิน
การฉ้อโกงการชําระเงินอาจส่งผลให้ธุรกิจสูญเสียเงินเป็นจํานวนมาก หากมิจฉาชีพสามารถขโมยเงินหรือสินค้าจากธุรกิจได้ ธุรกิจนั้นอาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายหรือส่งต่อภาระให้กับลูกค้าซึ่งอาจส่งผลต่อผลกําไร การฉ้อโกงยังสามารถส่งผลกระทบต่อการรักษาลูกค้าและลดมูลค่าตลอดอายุลูกค้า (LTV) ด้วยค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืน
หากลูกค้าโต้แย้งการเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิต ธุรกิจก็อาจจําเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืน นอกจากนี้ผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินจํานวนมากยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากธุรกิจที่มีอัตราการดึงเงินคืนสูงกว่าความเสียหายต่อชื่อเสียง
การฉ้อโกงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อ LTV ของลูกค้ารายบุคคลเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ชื่อเสียงของธุรกิจเสียหาย เพราะลูกค้าเชื่อว่าธุรกิจไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ปลอดภัย ซึ่งนําไปสู่การสูญเสียลูกค้าและรายรับในระยะยาวผลทางกฎหมายและข้อบังคับ
แม้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุด ก็ไม่อาจป้องกันการฉ้อโกงบางรายการได้ แต่ธุรกิจต่างๆ ยังมีภาระหน้าที่ในการป้องกันการฉ้อโกง โดยการไม่ดําเนินการดังกล่าวอาจส่งผลให้มีผลทางกฎหมายและตามระเบียบข้อบังคับ นอกจากนี้ การฉ้อโกงการชําระเงินยังอาจทําให้ธุรกิจตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและมาตรฐานของอุตสาหกรรม เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้อาจทําให้เกิดค่าปรับ การดําเนินการทางกฎหมาย และความเสียหายต่อชื่อเสียงได้การปฏิบัติงานที่หยุดชะงัก
การฉ้อโกงการชำระเงินอาจทำให้การดำเนินงานของธุรกิจหยุดชะงักได้หากธุรกิจจำเป็นต้องสืบสวนและแก้ไขธุรกรรมฉ้อโกง อัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย หรือปรับใช้นโยบายและขั้นตอนใหม่ๆ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงในอนาคต ซึ่งอาจเบี่ยงเบนทรัพยากรจากฟังก์ชันทางธุรกิจที่สำคัญอื่นๆ และส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพ การป้องกันการฉ้อโกงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบรรเทาความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยรักษาความสามารถของบริษัท เพื่อให้มุ่งเน้นไปกับงานที่สำคัญได้มากขึ้น
วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากการฉ้อโกงการชําระเงิน
ธุรกิจต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์และวิธีการต่างๆ ในการป้องกันการฉ้อโกงการชําระเงิน ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม เช่น การเข้ารหัส การใช้รหัสผ่านที่รัดกุม และการตรวจสอบบัญชีเป็นประจําเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังควรให้ความรู้แก่พนักงานและลูกค้าเกี่ยวกับความเสี่ยงในการฉ้อโกงการชําระเงิน และวิธีปกป้องตัวเองด้วย
ต่อไปนี้คือกลยุทธ์บางส่วนที่ธุรกิจสามารถใช้เพื่อรับมือกับการฉ้อโกงการชําระเงินได้
ใช้วิธีการชําระเงินที่ปลอดภัย
เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ธุรกิจควรใช้ช่องทางการชำระเงินที่ปลอดภัย เช่น บัตรชิป EMV การชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ การชำระเงินแบบไร้สัมผัสด้วย NFC และระบบการชำระเงินออนไลน์ที่เข้ารหัส วิธีการชําระเงินเหล่านี้มีมาตรการป้องกันการฉ้อโกงในตัวมากกว่าบัตรเงินสด เช็ค หรือบัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่ใช้แถบแม่เหล็กใช้มาตรการการตรวจสอบสิทธิ์แบบรัดกุม
ธุรกิจต่างๆ อาจใช้มาตรการการตรวจสอบสิทธิ์แบบรัดกุม เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยหรือการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก เพื่อให้แน่ใจว่ามีเพียงผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ตัวตนในการชำระเงิน คุณจึงควรทำงานร่วมกับผู้ให้บริการการชำระเงิน เช่น Stripe ที่พัฒนาโซลูชันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สะท้อนถึงมาตรฐานความปลอดภัยล่าสุด ธุรกิจสามารถได้รับประโยชน์จากการตรวจสอบสิทธิ์และการรักษาความปลอดภัยการชำระเงินที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทรัพยากรของตนเองในการพัฒนา ดูแลรักษา และอัปเดตข้อมูลเหล่านี้ตรวจสอบบัญชีเป็นประจํา
ธุรกิจต่างๆ ควรติดตามตรวจสอบบัญชีเป็นประจําเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย เช่น ธุรกรรมที่ผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการชําระเงิน แม้จะมีมาตรการตรวจจับการฉ้อโกงที่เข้มงวดมากมาย แต่การมีมนุษย์คอยตรวจสอบบันทึกการชำระเงินของคุณเพื่อหาสิ่งผิดปกติเป็นประจำก็ยังมีคุณค่าอย่างยิ่งให้ความรู้พนักงานและลูกค้า
ยิ่งคุณและทีมเข้าใจความเสี่ยงการฉ้อโกงมากเท่าไหร่ คุณก็จะมีความพร้อมมากขึ้นในการปกป้องธุรกิจและลูกค้า ให้พนักงานระบุและรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย รวมทั้งสอนให้ลูกค้าสังเกตอีเมลฟิชชิ่งและกลโกงฉ้อโกงอื่นๆใช้ซอฟต์แวร์ตรวจจับการฉ้อโกง
ธุรกิจต่างๆ อาจใช้ซอฟต์แวร์ตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อตรวจสอบสัญญาณการฉ้อโกง เช่น รูปแบบการใช้จ่ายที่ผิดปกติหรือธุรกรรม สำหรับธุรกิจที่ใช้โซลูชันการชำระเงินหรือฮาร์ดแวร์ของ Stripe นั้นมีชุดเครื่องมือป้องกันการฉ้อโกงอันทรงพลังในตัวอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนเพิ่มเติมในการผสานรวมจํากัดการเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
ธุรกิจควรระมัดระวังว่าใครในบริษัทมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตหรือข้อมูลบัญชีธนาคารของลูกค้า โปรดจํากัดการเข้าถึงข้อมูลชนิดนี้ไว้เฉพาะพนักงานที่ต้องการข้อมูลดังกล่าวเท่านั้นติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัย
ธุรกิจต่างๆ ควรอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัยและการอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดอยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าตนใช้เครื่องมือป้องกันการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือจุดที่การทำงานร่วมกับผู้ให้บริการอย่าง Stripe นั้นมีคุณค่าอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจ้างบุคคลภายนอกมาทำหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบการฉ้อโกงการชำระเงิน และดำเนินการอัปเดตระบบการชำระเงินที่ถูกต้องได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ