การเพิ่มขึ้นของการช็อปปิ้งออนไลน์ทำให้การขยายฐานลูกค้าและกระตุ้นให้ซื้อสินค้ามากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่สะดวกสบายเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม รวมทั้งยังได้สร้างให้เกิดการฉ้อโกงรูปแบบใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะดําเนินธุรกิจในหลายประเทศหรือเป็นธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่น คุณก็ควรมีระบบที่พร้อมบล็อกมิจฉาชีพที่ซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยหมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมา รหัส CVV ของบัตรเครดิตเป็นเครื่องมือสําคัญที่จะช่วยธุรกิจของคุณป้องกันการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกง แทนที่จะต้องเสียรายรับ การขโมยตัวตนทางการเงิน รวมถึงหมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมา เป็นรูปแบบการโจรกรรมตัวตนที่พบได้บ่อยทั่วโลก และจํานวนเงินที่สูญเสียไปจากการฉ้อโกงเพิ่มขึ้นทุกปี โดยรวมแล้ว ความสูญเสียต่อการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์คาดว่าจะอยู่ที่ $2 หมื่นล้านทั่วโลกในปี 2021
ธุรกิจต่างๆ พึ่งพารหัส CVV ของบัตรเครดิตเพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อสินค้าถูกต้องและป้องกันการโต้แย้งของลูกค้า รวมถึงป้องกันการเสียเวลาและทรัพยากรไปกับการซื้อสินค้าที่ฉ้อโกง ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อเริ่มยืนยันการซื้อด้วยรหัส CVV
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- CVV คืออะไร
- ค่าการยืนยันบัตร (CVV) คืออะไร
- CVV ระบุไว้ที่ส่วนใดของบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
- รหัส CVV ทํางานอย่างไร
- วิธีที่รหัส CVV ช่วยปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกง
CVV คืออะไร
CVV เป็นค่าการยืนยันบัตร และบางครั้งเรียกว่า CVC (รหัสยืนยันบัตร) หรือ CSC (รหัสความปลอดภัยของบัตร) American Express ใช้รหัสยืนยันที่แตกต่างออกไป โดยเรียกว่าหมายเลขประจําตัวของบัตร (CID)
ค่าการยืนยันบัตร (CVV) คืออะไร
ปัจจุบันนี้ บัตรเครดิตและบัตรเดบิตทั้งหมดมี CVV เพื่อป้องกันการฉ้อโกง รหัส CVV ของบัตรเครดิตคือหมายเลข 3 หรือ 4 หลักที่ธุรกิจใช้ตรวจสอบสิทธิ์บัตร (ประกอบกับหมายเลขบัตรเครดิตและวันหมดอายุ) เมื่อทําการซื้อ รหัส CVV เป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของบัตรและทําให้มิจฉาชีพและแฮ็กเกอร์ใช้หมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมาได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยปกป้องเจ้าของบัตรและธุรกิจ โดยปกติแล้วรหัส CVV จะเป็นเลข 3 หลัก ยกเว้นบัตร American Express ซึ่งใช้เลข 4 หลัก สถาบันทางการเงินบางแห่งกําลังทดสอบการใช้รหัส CVV แบบไดนามิกซึ่งแทนที่หมายเลขคงที่ด้วยรหัสที่เปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ และสามารถเข้าถึงได้ผ่านแอปแทนที่จะใช้บัตรใบจริง แต่ยังวิธีที่นำมาใช้งานไม่บ่อย เจ้าของบัตรควรพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดเก็บรหัส CVV ให้ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
CVV ระบุไว้ที่ส่วนใดของบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
สําหรับบัตรเดบิตและบัตรเครดิตส่วนใหญ่ จะมีการพิมพ์รหัส CVV ไว้ที่ด้านหลังของบัตรใกล้กับแผงลายเซ็น รหัส CVV สําหรับบัตรเครดิต Visa, Mastercard และ Discover จะเป็นตัวเลข 3 หลักที่ด้านหลังของบัตร ซึ่งแสดงไว้ทางด้านขวาของช่องลายเซ็น บัตร American Express จะแตกต่างไปเล็กน้อย โดยคุณจะพบรหัส 4 หลักที่ด้านหน้าของบัตร เนื่องจากรหัส CVV ของบัตรเครดิตไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหมายเลขบัตรเครดิต จึงอยู่ในพื้นที่ส่วนอื่นของบัตรใบจริง
รหัส CVV ทํางานอย่างไร
ฟังก์ชันรหัส CVV เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมสําหรับธุรกรรม เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการทางโทรศัพท์ ก็จะต้องยืนยันหมายเลข CVV ของบัตรเครดิตก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมนั้นได้รับอนุญาต ซอฟต์แวร์การประมวลผลการชําระเงินอย่าง Stripe Radar ซึ่งเป็นโซลูชันป้องกันการฉ้อโกงที่ใช้แมชชีนเลิร์นนิงที่ผสานการทํางานภายในแพลตฟอร์ม Stripe จะบล็อกการชําระเงินใดก็ตามที่ตรวจสอบการยืนยัน CVV ไม่สําเร็จ หากคุณเปิดใช้แดชบอร์ด Stripe เพื่อเก็บรวบรวม CVV, รหัสไปรษณีย์ และที่อยู่สําหรับการเรียกเก็บเงินของบัตรแต่ละใบในขั้นตอนการชําระเงิน Stripe จะให้ข้อมูลดังกล่าวแก่เครือข่ายบัตรสําหรับการยืนยัน จากนั้นบริษัทผู้ออกบัตรจะตรวจสอบข้อมูลเทียบกับรายละเอียดของบัตรที่มีในระบบสําหรับเจ้าของบัตรที่ได้รับอนุญาต หากข้อมูลไม่ตรงกัน การตรวจสอบการยืนยันจะดําเนินการไม่สําเร็จ และการซื้อก็จะไม่สําเร็จ คุณสามารถยืนยัน CVV ได้โดยการระบุรหัส CVV เมื่อคุณสร้างการชําระเงินด้วยบัตรใหม่ หรือเมื่อผูกวิธีการชําระเงินด้วยบัตรใบใหม่กับลูกค้า
ตัวอย่างเช่นหากมีคนขโมยหมายเลขบัตรเครดิตและพยายามซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ของคุณ พวกเขาจะไม่สามารถดําเนินการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์ได้โดยใช้เฉพาะหมายเลขบัตรเครดิตและวันหมดอายุ (แต่ถ้าขโมยขโมยบัตรใบจริง ก็จะสามารถเข้าถึง CVV ได้)
วิธีที่รหัส CVV ช่วยปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกง
รหัส CVV ของบัตรเครดิตและเดบิตมีจุดประสงค์เดียวคือเพื่อหยุดการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกงก่อนที่จะเกิดขึ้น การสูญเสียในแวดวงอีคอมเมิร์ซจากการฉ้อโกงการชําระเงินออนไลน์เพิ่มขึ้นจากประมาณ $1.75 หมื่นล้านในปี 2020 เป็น $2 หมื่นล้านทั่วโลกในปี 2021 และค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดต่อธุรกิจจะสูงขึ้นเนื่องจากต้นทุนการดําเนินงานและค่าธรรมเนียมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น การผสานการยืนยัน CVV เข้ากับขั้นตอนการชําระเงินเป็นส่วนสําคัญที่จะช่วยปกป้องธุรกิจของคุณจากการชําระเงินที่เป็นการฉ้อโกงและหลีกเลี่ยงการเสียค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืน
ยืนยันบัตร
รหัส CVV จะป้องกันการฉ้อโกงโดยการยืนยันบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตก่อน แล้วจึงค่อยประมวลผลการชำระเงิน หากธุรกิจของคุณขายผลิตภัณฑ์ที่จุดขาย การใช้เครื่องอ่านบัตรที่ผ่านการรับรองสำหรับ EMV เช่น เครื่องอ่านบัตรของ Stripeที่ผ่านการรับรองล่วงหน้าซึ่งทํางานร่วมกับ Stripe Terminal จะทําให้การยืนยันการชําระเงินเป็นเรื่องง่าย สําหรับร้านค้าออนไลน์ เครื่องมืออย่าง Stripe Checkout จะตรวจสอบบัตรแบบเรียลไทม์เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของบัตรที่ได้รับอนุญาตคือบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือบริการจริงๆ กุญแจสําคัญคือการใช้ซอฟต์แวร์ที่ผสานการยืนยันรหัส CVV เข้ากับขั้นตอนการชําระเงินได้อย่างราบรื่น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการชําระเงินหรือยืดระยะเวลาในขั้นตอนการชําระเงิน
ป้องกันการโต้แย้งการชําระเงินของลูกค้า
เมื่อมิจฉาชีพใช้รายละเอียดบัตรเครดิตของผู้อื่นในการซื้อ สถานการณ์อาจกลายเป็นเรื่องชวนปวดหัวสําหรับธุรกิจ ในขณะที่เจ้าของบัญชีมักจะได้รับเงินคืนจากค่าใช้จ่ายที่เป็นการฉ้อโกง เจ้าของธุรกิจกลับสูญเสียรายรับ พร้อมแยกรับค่าใช้จ่ายสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สูญหายไป และมักจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืนให้กับผู้ประมวลผลการชำระเงิน นอกจากนี้ การมีรายการการโต้แย้งการชําระเงินจำนวนมากอาจทําให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้ หากธุรกิจของคุณอยู่ในโปรแกรมตรวจสอบการดึงเงินคืนของเครือข่ายเนื่องจากมีการดึงเงินคืนในปริมาณมาก คุณก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประมวลผลการชําระเงินมากขึ้น และในบางกรณีก็จะถูกห้ามไม่ให้รับชําระเงินผ่านบัตรเลย
สมดุลคือกุญแจสําคัญ ธุรกิจต่างๆ ต้องดําเนินการทุกอย่างที่ทำได้เพื่อป้องกันการโต้แย้งการชําระเงินและการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกง โดยที่ไม่สร้างความยุ่งยากในการชำระเงินให้ลูกค้า หรือปฏิเสธธุรกรรมที่ถูกต้อง แบบสํารวจที่ดําเนินการในปี 2020 พบว่าลูกค้า 1 ใน 3 รายระบุว่าตนจะไม่ซื้อสินค้าจากธุรกิจออนไลน์อีก หากคําสั่งซื้อถูกปฏิเสธเนื่องจากสงสัยว่าจะเป็นการฉ้อโกง เครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกง เช่น Stripe Radar ป้องกันการชําระเงินที่เป็นการฉ้อโกงก่อนที่จะหลุดรอดไป โดยไม่ผลักไสลูกค้าตัวจริง ซึ่งทำให้ธุรกิจของคุณประหยัดทั้งเวลาและเงิน
ป้องกันการโจมตีของแฮ็กเกอร์
ผู้ออกบัตรไม่อนุญาตให้ธุรกิจจัดเก็บหมายเลข CVV ของบัตรเครดิตในฐานข้อมูลธุรกรรม ซึ่งทําให้แฮ็กเกอร์ขโมยได้ยาก แม้ว่าแฮ็กเกอร์จะสามารถแทรกซึมเข้าสู่ฐานข้อมูลธุรกิจหรือเว็บไซต์และขโมยหมายเลขบัตรเครดิตและวันหมดอายุได้ แต่แฮ็กเกอร์ก็จะไม่สามารถเรียกดูหมายเลข CVV แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันมิจฉาชีพที่ขโมยบัตรเครดิตใบจริงจากการนำไปซื้อสินค้าได้ แต่การป้องกันเพิ่มเติมจะทำให้แผนการแฮ็กสร้างความเสียหายน้อยลงต่อทั้งเจ้าของธุรกิจและเจ้าของบัตร
การป้องกันธุรกิจจากการฉ้อโกงไม่ควรเป็นเรื่องยุ่งยาก การครอบคลุมพื้นฐาน เช่น การใช้บัตรและรหัสยืนยัน CVV จะช่วยป้องกันไม่ให้การชำระเงินเกิดการโต้แย้งได้เป็นอย่างดี แมชชีนเลิร์นนิงขั้นสูงของ Stripe Radar ซึ่งตรวจสอบยืนยันรหัส CVV พร้อมให้บริการแก่บัญชี Stripe ทุกบัญชี หากต้องการทําความเข้าใจวิธีที่ Radar Stripe ใช้แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อประเมินธุรกรรมทุกรายการและป้องกันการฉ้อโกง โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ