ธุรกิจทุกแห่งควรมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการชำระเงิน โดย 71% ของธุรกิจรายงานว่ากิจการของตนตกเป็นเป้าหมายของการฉ้อโกงในการชำระเงินในปี 2021 การฉ้อโกงการชำระเงินอาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงอย่างไม่น่าเชื่อ การละเมิดข้อมูลโดยเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสูงถึง $9.44 ล้าน ธุรกิจต่างๆ จะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยการชำระเงินเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า รักษาความไว้วางใจของลูกค้า และหลีกเลี่ยงการสูญเสียทางการเงินที่มีค่าใช้จ่ายสูง
ด้านล่างนี้เป็นคำแนะนำพร้อมขั้นตอนปฏิบัติสำหรับการพัฒนาและการนำกลยุทธ์ความปลอดภัยการชำระเงินที่แข็งแกร่งไปใช้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าแบบดั้งเดิม หรือผู้ให้บริการ SaaS กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยการชำระเงินที่แข็งแกร่งก็ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงินคืออะไร
- ประเภทของการรักษาความปลอดภัยในการชําระเงิน
- ธุรกิจประเภทใดบ้างที่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในการชําระเงิน
- วิธีสร้างกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงิน
การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงินคืออะไร
การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงินหมายถึงระบบ กระบวนการ และมาตรการต่างๆ ที่ใช้ปกป้องธุรกรรมทางการเงินจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต การละเมิดข้อมูล และการฉ้อโกง สําหรับธุรกิจทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงินถือเป็นสิ่งสําคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า การลดความสูญเสียทางการเงิน และการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานอุตสาหกรรม
ประเภทของการรักษาความปลอดภัยในการชําระเงิน
มีมาตรการและเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยในการชำระเงินหลายประเภทที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อปกป้องธุรกรรมทางการเงินและข้อมูลของลูกค้าได้ ประเภทที่พบบ่อยที่สุดมีดังนี้
การเข้ารหัส
การเข้ารหัสจะปกป้องข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดอ่อนและธุรกรรมทางการเงินจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การแทรกแซง และการโจรกรรม การเข้ารหัสหลักมีอยู่สองประเภท นั่นคือ แบบสมมาตรและอสมมาตร การเข้ารหัสแบบสมมาตรจะใช้คีย์เดียวกันในการล็อกและปลดล็อกข้อมูล ในขณะที่การเข้ารหัสแบบอสมมาตร หรือที่เรียกว่า “การเข้ารหัสด้วยคีย์สาธารณะ” ใช้คีย์สองอัน ได้แก่ คีย์สาธารณะสำหรับการล็อกและคีย์ส่วนตัวสำหรับการปลดล็อกข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว การเข้ารหัสแบบสมมาตรจะถือว่ามีความปลอดภัยมากกว่า เนื่องจากไม่มีการใช้คีย์ส่วนตัวร่วมกัน
ธุรกิจหลายแห่งใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสอย่าง Secure Sockets Layer (SSL) และ Transport Layer Security (TLS) เพื่อรักษาความปลอดภัยในการส่งข้อมูลระหว่างเบราว์เซอร์ของลูกค้ากับเว็บไซต์ธุรกิจหรือแพลตฟอร์มการชําระเงิน การเข้ารหัส SSL/TLS ใช้การเข้ารหัสแบบสมมาตรและอสมมาตรเพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและปกป้องข้อมูลระหว่างการส่ง
ธุรกิจควรใช้อัลกอริทึมการเข้ารหัสที่รัดกุม โปรโตคอลล่าสุด และแนวทางการจัดการที่สําคัญอย่างเหมาะสม รวมถึงการหมุนเวียนสับเปลี่ยนคีย์เป็นประจำและการจัดเก็บที่ปลอดภัย การประเมินและการอัปเดตระบบการเข้ารหัสของคุณเป็นประจำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นและเพื่อรับรองระดับการป้องกันสูงสุดสำหรับข้อมูลของลูกค้า
การแปลงเป็นโทเค็น
การแปลงเป็นโทเค็นจะปกป้องข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนโดยแทนที่ด้วยโทเค็นที่ไม่ซ้ํา ซึ่งจะไร้ประโยชน์หากข้อมูลถูกละเมิด วิธีนี้ยังช่วยยับยั้งมิจฉาชีพจากการขโมยข้อมูลการชำระเงินโดยแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่หากถูกขโมยก็จะนำไปใช้ไม่ได้ กระบวนการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและการละเมิดข้อมูลได้เป็นอย่างมาก รวมทั้งยังรักษาการปฏิบัติตามมาตรฐานและระเบียบข้อบังคับของอุตสาหกรรม
การแปลงการชําระเงินเป็นโทเค็นจะแทนที่ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต ด้วยโทเค็นเฉพาะที่สร้างโดยระบบที่ปลอดภัย ระบบจะใช้โทเค็นเหล่านี้เพื่ออ้างอิงข้อมูลการชําระเงินเดิมซึ่งอยู่ในตู้นิรภัยสำหรับจัดเก็บโทเค็นทั้งหมด โทเค็นนั้นไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมฉ้อโกงหรือถอดรหัสย้อนกลับเพื่อเปิดเผยข้อมูลการชำระเงินเดิมได้
การตรวจสอบสิทธิ์
การตรวจสอบสิทธิ์เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยพื้นฐานสําหรับการชําระเงิน ซึ่งจะยืนยันตัวตนของผู้ใช้ที่พยายามเข้าถึงหรือทําธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์
การตรวจสอบสิทธิ์มีหลายประเภทดังต่อไปนี้
- การตรวจสอบสิทธิ์แบบปัจจัยเดียว (SFA): ต้องระบุข้อมูลประจําตัวรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งปกติแล้วจะเป็นรหัสผ่านหรือ PIN
- การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA): ต้องใช้เอกสารประจําตัว 2 รูปแบบ เช่น รหัสผ่านและรหัสแบบใช้ครั้งเดียวซึ่งส่งไปยังอุปกรณ์ที่ลงทะเบียน
- การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA): ต้องใช้ข้อมูลประจําตัวอย่างน้อย 3 รูปแบบ ซึ่งอาจประกอบด้วยข้อมูลไบโอเมตริก คําถามรักษาความปลอดภัย หรือโทเค็นจริง
สําหรับธุรกิจ 2FA หรือ MFA จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการชําระเงินได้อย่างมากด้วยการเพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่งจากธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต วิธีการตรวจสอบสิทธิ์มาตรฐานบางส่วนที่ใช้ในการประมวลผลการชําระเงินประกอบด้วยรายการต่อไปนี้
- ค่าการยืนยันบัตร (CVV): รหัส 3 หรือ 4 หลักที่พิมพ์บนบัตรเครดิตและเดบิต ซึ่งลูกค้าจะต้องระบุระหว่างการทําธุรกรรมทางออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ เพื่อเป็นหลักฐานว่ามีบัตรใบจริง
- รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP): รหัสเฉพาะที่มีกำหนดเวลาใช้จำกัด ซึ่งส่งไปยังอุปกรณ์ที่ลงทะเบียนของลูกค้า (เช่น ทาง SMS หรือแอปตรวจสอบสิทธิ์) และลูกค้าจะต้องป้อนเพื่อดำเนินการธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์
- การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก: การใช้ลักษณะทางกายภาพที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการจดจําใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือการสแกนม่านตา เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้า
การตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกง
ระบบเหล่านี้จะช่วยธุรกิจในการระบุและป้องกันธุรกรรมฉ้อโกงด้วยการตรวจสอบรูปแบบธุรกรรม พฤติกรรมของลูกค้า และปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ เทคนิคต่างๆ เช่น อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิง การวิเคราะห์พฤติกรรม และการให้คะแนนความเสี่ยงจะตรวจจับสิ่งผิดปกติและป้องกันการฉ้อโกงได้
การปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน
มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) คือชุดมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยซึ่งออกแบบมาเพื่อรับรองว่าธุรกิจทุกแห่งที่ดําเนินการ จัดเก็บ หรือส่งข้อมูลบัตรเครดิตจะรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย การปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS จะช่วยธุรกิจในการปกป้องข้อมูลของลูกค้า ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดข้อมูล รวมถึงหลีกเลี่ยงค่าปรับหรือบทลงโทษที่อาจเกิดขึ้น
การบรรลุและรักษามาตรฐาน PCI DSS ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องข้อมูลการชำระเงินที่ละเอียดอ่อนของลูกค้าของคุณและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคุณในการรักษาความปลอดภัย ธุรกิจควรดําเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อให้มั่นใจว่าจะปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS ได้
- ดำเนินการประเมินความเสี่ยงเชิงลึกเพื่อระบุจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลการชำระเงินของคุณ
- ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่จําเป็น เช่น การเข้ารหัส การแปลงเป็นโทเค็น และการควบคุมการเข้าถึงที่รัดกุม เพื่อแก้ไขความเสี่ยงที่ระบุ
- ตรวจสอบ ทดสอบ และอัปเดตระบบ เครือข่าย และแอปพลิเคชันของคุณเป็นประจํา เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและติดตามภัยคุกคามที่เกิดใหม่อยู่เสมอ
- ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับข้อกําหนดของ PCI DSS และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการจัดการข้อมูลของเจ้าของบัตรอย่างปลอดภัย
- ทํางานร่วมกับผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินที่ปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS เช่น Stripe เพื่อลดภาระในการปฏิบัติตามข้อกําหนดและมั่นใจได้ถึงการรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลของลูกค้าในระดับสูงสุด
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยจะช่วยอํานวยความสะดวกในการประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิต ไปพร้อมๆ กับการปกป้องข้อมูลการชําระเงินของลูกค้าจากการเข้าถึงและการฉ้อโกงที่ไม่ได้รับอนุญาต ในการจัดหาช่องทางที่ปลอดภัยสำหรับการส่งข้อมูลการชำระเงินระหว่างลูกค้า ธุรกิจ และผู้ประมวลผลการชำระเงินหรือธนาคารผู้รับบัตร เกตเวย์การชำระเงินจะถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของสภาพแวดล้อมการชำระเงินที่มีความปลอดภัยสูง
ฟีเจอร์หลักของเกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
การเข้ารหัส
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยจะใช้โปรโตคอลการเข้ารหัส เช่น SSL และ TLS เพื่อเข้ารหัสข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนระหว่างการส่ง โปรโตคอลเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการสื่อสารระหว่างเบราว์เซอร์ของลูกค้ากับเกตเวย์การชําระเงินยังคงปลอดภัย โดยป้องกันข้อมูลจากการสกัดกั้นหรือการแทรกแซงการแปลงเป็นโทเค็น
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยจํานวนมากนําเสนอบริการแปลงเป็นโทเค็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับการชําระเงิน การแปลงเป็นโทเค็นซึ่งเป็นการแทนที่ข้อมูลการชำระเงินที่ละเอียดอ่อนด้วยโทเค็นเฉพาะที่ไม่มีประโยชน์หากถูกบุกรุก จะช่วยปกป้องข้อมูลของลูกค้า ลดความเสี่ยงของการละเมิดข้อมูล และทำให้การปฏิบัติตาม PCI DSS สำหรับธุรกิจง่ายขึ้นการตรวจสอบสิทธิ์และการป้องกันการฉ้อโกง
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยจะใช้วิธีการตรวจสอบสิทธิ์ต่างๆ เช่น การตรวจสอบ CVV/CVC, การตรวจสอบสิทธิ์ด้วย 3D Secure และการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าและป้องกันธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ก็ยังใช้ระบบเพื่อตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงขั้นสูงที่ใช้แมชชีนเลิร์นนิง การวิเคราะห์พฤติกรรม และการให้คะแนนความเสี่ยงเพื่อระบุและบล็อกธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์อีกด้วยการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยจะปฏิบัติตาม PCI DSS และมาตรฐานอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทําให้มั่นใจว่าจะรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสําหรับการประมวลผล จัดเก็บ และส่งข้อมูลของเจ้าของบัตรได้ การทํางานกับเกตเวย์การชําระเงินที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดจะช่วยลดภาระของธุรกิจในการปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้ได้อย่างไร้กังวลระยะเวลาให้บริการและความเสถียร
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยต้องรักษาระยะเวลาให้บริการและความเสถียรไว้ในระดับสูงเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะทําธุรกรรมได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหาขัดข้อง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ มาตรการสำรอง และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทำให้เกตเวย์สามารถประมวลผลธุรกรรมได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
เมื่อเลือกเกตเวย์การชําระเงิน คุณควรพิจารณาถึงฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัย การปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS ความสะดวกในการผสานการทํางานกับระบบ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม และการสนับสนุนลูกค้าที่คุณมีอยู่ การเป็นพาร์ทเนอร์กับเกตเวย์การชําระเงินที่มีชื่อเสียงและมีความปลอดภัย หรือเลือกผู้ประมวลผลการชําระเงินอย่าง Stripe ที่ให้บริการฟังก์ชันเกตเวย์การชําระเงิน จะช่วยให้คุณมอบประสบการณ์การชําระเงินที่ปลอดภัยและง่ายดายให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งปกป้องธุรกิจของคุณจากความเสี่ยงด้านการเงินและชื่อเสียงที่อาจเกิดขึ้น
ไฟร์วอลล์และการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย
ไฟร์วอลล์และการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายจะช่วยปกป้องระบบการชําระเงินและข้อมูลลูกค้าที่เป็นความลับจากภัยคุกคามภายนอก เช่น แฮ็กเกอร์ มัลแวร์ และผู้ประสงค์ร้ายอื่นๆ
ไฟร์วอลล์เป็นระบบรักษาความปลอดภัยประเภทหนึ่งที่ทําหน้าที่คล้ายกับมาตรการรักษาความปลอดภัยสําหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยจะควบคุมข้อมูลขาเข้าและขาออกโดยอิงตามกฎเฉพาะ ไฟร์วอลล์สร้างกำแพงป้องกันระหว่างเครือข่ายที่เชื่อถือได้ภายในธุรกิจ เช่น ระบบการชำระเงิน และโลกภายนอกที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น อินเทอร์เน็ต โดยช่วยป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต ไฟร์วอลล์อาจเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือทั้งสองอย่างประกอบกัน
แง่มุมสำคัญบางประการของไฟร์วอลล์และการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายสำหรับธุรกิจมีดังนี้
การแบ่งส่วนเครือข่าย
การแบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่แยกกันจะช่วยจํากัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดความปลอดภัย การเก็บข้อมูลและระบบการชำระเงินที่ละเอียดอ่อนไว้ในกลุ่มเครือข่ายที่แยกจากกัน ช่วยให้ธุรกิจสามารถปกป้องสินทรัพย์เหล่านี้จากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ดีขึ้น และลดภาระงานในการปฏิบัติตามมาตรฐาน PCI DSS ลงได้ระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุก (IDPS)
โซลูชัน IDPS จะตรวจสอบการใช้งานในเครือข่ายเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย ตรวจจับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น และดําเนินการเพื่อป้องกันหรือลดภัยคุกคามเหล่านั้น เมื่อใช้วิธีการต่างๆ ร่วมกัน เช่น การตรวจสอบภัยคุกคามที่รู้จักและการวิเคราะห์กฎการสื่อสาร โซลูชัน IDPS จะสามารถระบุและบล็อกการโจมตีได้หลายประเภท แม้แต่การโจมตีรูปแบบใหม่ๆ ก็ตามการควบคุมการเข้าถึงที่รัดกุม
การควบคุมการเข้าถึง เช่น การยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (MFA) การควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท (RBAC) และ “หลักการสิทธิ์ขั้นต่ำสุด” ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในการให้สิทธิ์การเข้าถึงขั้นต่ำแก่บุคคลหรือหน่วยงานในการดำเนินการงานหรือหน้าที่เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชำระเงิน ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะเข้าถึงทรัพยากรเครือข่ายและระบบการชำระเงินที่ละเอียดอ่อนได้การติดตามตรวจสอบและรับมือกับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย
การตรวจสอบกิจกรรมเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับแผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ช่วยให้ธุรกิจระบุและตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลดความเสียหายและระยะเวลาหยุดทำงานที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด
นอกจานี้ คุณควรลงทุนกับโซลูชันไฟร์วอลล์และระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายที่สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจและโปรไฟล์ความเสี่ยงของคุณโดยเฉพาะ เมื่อนํามาตรการรักษาความปลอดภัยเหล่านี้ไปใช้ คุณจะปกป้องโครงสร้างพื้นฐานการชําระเงินจากภัยคุกคามจากภายนอก ปกป้องข้อมูลของลูกค้า และรักษาชื่อเสียงของธุรกิจคุณได้
การอัปเดตการรักษาความปลอดภัยและแพตช์
ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ และผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการจะเปิดตัวการอัปเดตความปลอดภัยและแพตช์เพื่อจัดการกับช่องโหว่ ที่รู้จัก ข้อบกพร่อง หรือปัญหาด้านความปลอดภัยอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์ การอัปเดตความปลอดภัยและแพตช์เป็นประจําคือองค์ประกอบสําคัญในการรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสําหรับธุรกิจ สิ่งเหล่านี้จะช่วยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของการชําระเงิน ข้อมูลลูกค้า และระบบที่สําคัญอื่นๆ จากช่องโหว่ การโจมตีทางไซเบอร์ และการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
การใช้การอัปเดตและแพตช์เหล่านี้เป็นประจําจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ดําเนินการดังต่อไปนี้ได้
แก้ไขช่องโหว่
การอัปเดตและแพตช์ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยหรือจุดอ่อนที่แฮ็กเกอร์สามารถนําไปใช้เพื่อเข้าถึงระบบของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือขโมยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ดังนั้น การอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยอยู่เสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการละเมิดข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพ
การอัปเดตมักรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ การแก้ไขข้อบกพร่อง หรือฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่สามารถปรับปรุงความเสถียรโดยรวม ประสิทธิผล และการทํางานของระบบและซอฟต์แวร์ของคุณดูแลการปฏิบัติตามข้อกําหนด
ข้อกำหนดด้านกฎระเบียบมักระบุให้ธุรกิจต่างๆ ต้องใช้การอัปเดตและแพตช์ด้านความปลอดภัยอย่างทันท่วงทีเพื่อรักษาการปฏิบัติตามข้อกำหนด การอัปเดตระบบเป็นประจําอาจช่วยให้คุณไม่ต้องเสียค่าปรับหรือเผชิญบทลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดป้องกันภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่
ภัยคุกคามทางไซเบอร์เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อแฮ็กเกอร์ค้นพบช่องโหว่และพัฒนาเทคนิคการโจมตีแบบใหม่ๆ การใช้การอัปเดตและแพตช์จะช่วยให้คุณก้าวนําหน้ากับภัยคุกคามที่กําลังเกิดขึ้นเหล่านี้และรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยไว้ได้
ธุรกิจทุกแห่งต้องมีคู่มือการจัดการความปลอดภัยการชำระเงินที่วางแผนมาอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นประจำ ธุรกิจควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
- สร้างนโยบายการจัดการแพตช์: พัฒนานโยบายที่ชัดเจนซึ่งจะอธิบายแนวทางการจัดการแพตช์ขององค์กร รวมถึงความรับผิดชอบ ลําดับความสําคัญ ลําดับเวลา และขั้นตอนปฏิบัติในการใช้การอัปเดตและแพตช์
- ติดตามการอัปเดต ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการอัปเดตและแพตช์ใหม่ๆ โดยการสมัครรับคำแนะนำด้านความปลอดภัยหรือจดหมายข่าวจากผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ และผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการ นอกจากนี้ ให้ลองพิจารณาใช้เครื่องมืออัตโนมัติที่สามารถช่วยระบุแพตช์ที่ตกหล่นหรือซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยได้
- จัดลําดับความสําคัญและกําหนดเวลาการอัปเดต: ประเมินความรุนแรงของช่องโหว่ที่พบและจัดลําดับความสําคัญของการอัปเดตตามความเสี่ยง กําหนดเวลาการอัปเดตและแพตช์ในช่วงเวลาที่มีการใช้งานระบบต่ําเพื่อลดการหยุดชะงักในการดําเนินธุรกิจของคุณ
- ทดสอบและนําการอัปเดตมาใช้ ก่อนที่จะนําการอัปเดตและแพตช์มาใช้ ให้ทดสอบในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมก่อน เพื่อให้มั่นใจถึงความเข้ากันได้และระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เมื่อการทดสอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงค่อยนําการอัปเดตและโปรแกรมแก้ไขไปใช้ในสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง
- การตรวจสอบ: หมั่นตรวจสอบกระบวนการจัดการแพตช์ของคุณเป็นประจํา เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามนโยบายขององค์กรและมาตรฐานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ คุณควรทําการตรวจสอบเป็นระยะเพื่อยืนยันว่าทุกระบบเป็นปัจจุบันและปลอดภัย
ธุรกิจประเภทใดบ้างที่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในการชําระเงิน
ธุรกิจทั้งหมดที่ประมวลผล จัดเก็บ หรือส่งข้อมูลการชําระเงิน รวมถึงข้อมูลบัตรเครดิตจะต้องกังวลกับความปลอดภัยในการชําระเงิน ไม่ว่าจะมีขนาด อุตสาหกรรม หรือประเภทธุรกิจใด การรักษาความปลอดภัยกระบวนการชำระเงินถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดอ่อน การสร้างความไว้วางใจของลูกค้า และการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อบังคับของอุตสาหกรรม
ธุรกิจบางประเภทที่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยด้านการชําระเงินมีดังนี้
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการออนไลน์ที่รับชําระเงินผ่านเว็บไซต์ของตน หรือแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ต้องนําเกตเวย์การชําระเงิน การเข้ารหัส และมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นๆ มาใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลลูกค้าระหว่างทำธุรกรรมร้านค้าแบบมีหน้าร้านจริง
ร้านค้าปลีกแบบมีหน้าร้านจริงที่ประมวลผลการชําระเงินโดยใช้ระบบบันทึกการขาย (POS) ซึ่งรวมถึงธุรกรรมที่มีการแสดงบัตร จะต้องมั่นใจในการรักษาความปลอดภัยให้เทอร์มินัลการชําระเงิน โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย และข้อมูลลูกค้าที่จัดเก็บไว้ธุรกิจบริการ
โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่นๆ ที่จัดการการชําระเงินจากผู้ใช้บริการจะต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยด้านการชําระเงินที่เข้มงวด เช่น ระบบ POS ที่ปลอดภัย การแปลงเป็นโทเค็น และการควบคุมการเข้าถึงเพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้าธุรกิจที่รับการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า
ธุรกิจที่ให้บริการเช่น สาธารณูปโภค โทรคมนาคม หรือการชําระเงินตามรอบบิลและประมวลผลการชําระเงินตามรอบจากลูกค้าต้องมั่นใจในความปลอดภัยของกระบวนการชําระเงินและข้อมูลลูกค้าที่จัดเก็บไว้องค์กรไม่แสวงผลกําไร
องค์กรการกุศลและองค์กรไม่แสวงผลกําไรที่รับเงินบริจาคหรือประมวลผลการชําระเงินสําหรับกิจกรรม การเป็นสมาชิก หรือสินค้า ต้องใช้วิธีการชําระเงินที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้บริจาคและสมาชิกที่ละเอียดอ่อนธุรกิจแบบ B2B
ธุรกิจที่ประมวลผลการชําระเงินจากธุรกิจอื่นๆ เช่น ซัพพลายเออร์ ผู้ให้บริการ หรือพาร์ทเนอร์จะต้องให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของการชําระเงินเป็นอันดับแรกๆ เพื่อรักษาความไว้วางใจและปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน
วิธีสร้างกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงิน
การรักษาความปลอดภัยในการชําระเงินเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน ซึ่งต้องใช้ชุดโซลูชันที่หลากหลายและยืดหยุ่น แต่เมื่อคุณดําเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยซึ่งช่วยให้ลูกค้าวางใจและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนต่อไปนี้จะอธิบายวิธีที่ธุรกิจสามารถพัฒนากลยุทธ์รักษาความปลอดภัยด้านการชําระเงินที่รอบด้านได้
1. ประเมินความเสี่ยง
เริ่มต้นด้วยการพิจารณาโครงสร้างพื้นฐาน กระบวนการ และระบบการชำระเงินปัจจุบันของคุณ เพื่อระบุจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้นและจุดที่ต้องปรับปรุง กําหนดประเภทข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่ธุรกิจของคุณจัดการ รวมทั้งดูว่าข้อมูลนั้นถูกจัดเก็บ ประมวลผล และส่งไปที่ใด
2. ทําความเข้าใจข้อกําหนดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ
ทำความคุ้นเคยกับมาตรฐานและข้อบังคับที่ควบคุมอุตสาหกรรมของคุณ เช่น PCI DSS และระบุข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงของธุรกิจของคุณโดยอิงตามตลาดที่คุณดำเนินการ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจมาตรการควบคุมและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ได้รับมาตรฐานเหล่านี้
3. พัฒนานโยบายและขั้นตอนปฏิบัติด้านความปลอดภัย
กำหนดนโยบายและขั้นตอนที่ชัดเจนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการชำระเงิน รวมถึงแนวทางการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน การควบคุมการเข้าถึง การตอบสนองต่อเหตุการณ์ และการฝึกอบรมพนักงาน โปรดตรวจสอบว่านโยบายและขั้นตอนปฏิบัติเหล่านี้สอดคล้องกับมาตรฐานและระเบียบข้อบังคับของอุตสาหกรรม
4. นำมาตรการรักษาความปลอดภัยไปใช้
ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เช่น การเข้ารหัส การสร้างโทเค็น การตรวจสอบสิทธิ์ที่รัดกุม และการกำหนดค่าไฟร์วอลล์ ตามการประเมินความเสี่ยงและข้อกำหนดการปฏิบัติตามของคุณ เลือกเกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัยและทํางานร่วมกับผู้ให้บริการที่ปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดําเนินงานตามข้อกําหนด
5. ตรวจสอบระบบและทําการทดสอบความทนทาน
ตรวจสอบระบบการชำระเงิน เครือข่าย และแอปพลิเคชันของคุณเป็นประจำเพื่อให้ทราบถึงภัยคุกคามหรือช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การสแกนช่องโหว่ การทดสอบการเจาะระบบ และการตรวจสอบระบบ สามารถประเมินประสิทธิภาพของมาตรการรักษาความปลอดภัยของคุณและระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงได้
6. ปรับวิธีการของคุณตามข้อมูลที่ระบุ
แม้แต่กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยที่วางแผนไว้อย่างดีที่สุดก็จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา ประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ด้านการรักษาความปลอดภัยด้านการชําระเงินอย่างต่อเนื่อง และปรับตามความจําเป็นเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ข้อบังคับของอุตสาหกรรม หรือสถานการณ์คุกคามต่างๆ การตรวจสอบเป็นประจำจะช่วยให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์ของคุณยังคงมีความเกี่ยวข้องและมีประสิทธิผลในการปกป้องข้อมูลของลูกค้าของคุณ
7. สร้างแผนรับมือกับเหตุการณ์
จัดทําแผนรับมือกับปัญหาที่ชัดเจนเพื่อแนะนําองค์กรของคุณในกรณีที่มีการละเมิดการรักษาความปลอดภัยหรือเหตุการณ์อื่นๆ แผนนี้ควรระบุบทบาทและความรับผิดชอบ ระเบียบการการสื่อสาร และระเบียบวิธีในการจํากัดและบรรเทาเหตุการณ์
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe จะสนับสนุนธุรกิจของคุณด้วยระบบรักษาความปลอดภัยการชําระเงินและการฉ้อโกงขั้นสูง รวมทั้งสำรวจเครื่องมือและทรัพยากรที่ใช้ได้เพื่อให้ลูกค้าของคุณได้รับประสบการณ์การชําระเงินที่ง่ายดายและปลอดภัย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ