The convenience, speed, and reach of the internet have prompted a diverse range of businesses to incorporate online payment systems into their websites. With many payment processing options available today, it’s easier than ever to accept payments on your business website.
Accepting and processing payments online expands a business’s potential customer base, streamlines operations, and reflects a customer preference for digital payment options. Businesses are feeling pressure to cultivate a simple, secure transaction experience on their websites to stay competitive.
How to implement online payments depends on a number of factors for each business, including what it sells and which customer segments and markets it targets. You should understand your specific business needs before accepting payments on your website. Below is an overview of how online payments work, the risks and benefits to consider, and how to get started.
What’s in this article?
- Can you accept credit card payments on a website?
- Which types of businesses need to accept payments on a website?
- How much does it cost to accept payments on a website?
- Benefits and risks of accepting payments on a website
- How to accept payments from customers on a website
คุณจะรับการชําระเงินด้วยบัตรเครดิตบนเว็บไซต์ได้หรือไม่
ได้ คุณจะรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตบนเว็บไซต์ได้ ธุรกิจต่างๆ สามารถทําได้โดยการเชื่อมต่อระบบประมวลผลการชําระเงินที่ปลอดภัยที่จัดการธุรกรรมของลูกค้า ผู้ให้บริการชําระเงินสมัยใหม่อย่าง Stripe ช่วยให้เว็บไซต์จัดการการชําระเงินเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ทําให้มั่นใจว่ากระบวนการนี้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสําหรับทั้งสองฝ่าย
ธุรกิจประเภทใดบ้างที่ต้องรับชําระเงินบนเว็บไซต์
ที่ผ่านมามีเพียงธุรกิจบางประเภทเท่านั้น เช่น ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซและธุรกิจการให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) ที่จําเป็นต้องรับชําระเงินออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการชําระเงินดิจิทัลมีความก้าวหน้า ในขณะที่ฟังก์ชันและกรณีการใช้งานมีความหลากหลาย ธุรกิจหลายประเภทจึงเริ่มหันมารับชําระเงินออนไลน์กันมากขึ้น
ธุรกิจประเภทต่อไปนี้อาจต้องรับชําระเงินบนเว็บไซต์
- ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซที่จําหน่ายสินค้าที่จับต้องได้ เช่น เสื้อผ้าหรือเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ จะต้องสามารถรับชําระเงินออนไลน์ได้ การชําระเงินในอีคอมเมิร์ซเป็นการชําระเงินทันทีและสามารถชำระเงินข้ามพรมแดนได้
- ธุรกิจที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัล เช่น ซอฟต์แวร์ เพลง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือหลักสูตรออนไลน์ กำลังเฟื่องฟูในโลกออนไลน์ โดยการประมวลผลการชําระเงินเป็นส่วนสําคัญอย่างมากในเส้นทางของลูกค้า
- บริการแบบสมัครสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นบริการสตรีมเนื้อหา นิตยสารออนไลน์ หรือเว็บไซต์สมาชิก มักต้องใช้การชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เปิดใช้โดยระบบการชําระเงินออนไลน์
- องค์กรไม่แสวงผลกําไรรับเงินบริจาคทางออนไลน์ ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการระดมทุนขององค์กร
- ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรมและสายการบิน ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบการจองทางออนไลน์ ซึ่งช่วยปรับกระบวนการจองให้ง่ายขึ้นและมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ราบรื่นยิ่งขึ้น
- การจัดส่งอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคออนไลน์ต้องใช้ระบบการชําระเงินออนไลน์เพื่อดําเนินการธุรกรรมอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งช่วยรักษาความพึงพอใจของลูกค้า
- ผู้จัดกิจกรรมสําหรับคอนเสิร์ต การแสดงในโรงละคร และกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ ต่างใช้การชําระเงินออนไลน์เพื่อทําให้การขายตั๋วเป็นเรื่องง่าย
- ผู้ให้บริการเฉพาะทางเช่น ที่ปรึกษา ฟรีแลนซ์ และครูผู้สอน รับการชําระเงินออนไลน์เพื่อนัดหมายและบริการ
- ขณะนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์รับชําระค่าเช่าและค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ทางออนไลน์แล้ว ซึ่งช่วยลดงานเอกสารและเร่งกระบวนการชําระเงินได้เป็นอย่างดี
ธุรกิจแต่ละประเภทจะมีข้อกําหนดเกี่ยวกับระบบการชําระเงินออนไลน์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ธุรกิจทุกแห่งต้องการก็คือวิธีการที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่ายสำหรับการรับชําระเงินออนไลน์จากลูกค้าและผู้บริจาค
การรับชําระเงินบนเว็บไซต์มีค่าใช้จ่ายเท่าใด
ค่าใช้จ่ายอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงบริการประมวลผลการชําระเงินที่คุณเลือก ปริมาณธุรกรรม และประเภทการชําระเงินที่คุณยอมรับ ต่อไปนี้คือภาพรวมของค่าธรรมเนียมพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการรับชําระเงินทางออนไลน์
ค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชําระเงิน
ผู้ประมวลผลการชําระเงินส่วนใหญ่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสําหรับธุรกรรมแต่ละรายการ ซึ่งโดยปกติแล้วจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยของยอดธุรกรรมบวกค่าธรรมเนียมคงที่ โปรดดูรายละเอียดเกี่ยวกับค่าบริการของ Stripe ที่นี่ค่าธรรมเนียมรายเดือน
ผู้ประมวลผลการชําระเงินบางรายจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนแลกกับการเข้าใช้บริการของตน โดยเฉพาะสําหรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การเรียกเก็บค่าบริการ การป้องกันการฉ้อโกง และบริการอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจมีตั้งแต่ไม่กี่ดอลลาร์ต่อเดือนไปจนถึงหลายร้อยดอลลาร์ต่อเดือน แต่ Stripe ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนค่าธรรมเนียมเตรียมการ
แม้ว่าผู้ประมวลผลการชําระเงินหลายรายจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเตรียมการ แต่บางรายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะหากคุณกําลังตั้งค่าบัญชีผู้ค้าให้กับธุรกิจของตัวเอง แต่ Stripe ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเตรียมการค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืน
หากลูกค้าโต้แย้งการเรียกเก็บเงินและส่งผลให้มีการดึงเงินคืน ผู้ประมวลผลการชําระเงินอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งอาจสูงถึง 15–25 ดอลลาร์สหรัฐต่อการดึงเงินคืนแต่ละครั้ง Stripeไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืนแยกต่างหาก แต่ธุรกิจต้องรับผิดชอบชำระยอดธุรกรรมที่ถูกโต้แย้งและค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืนของเครือข่ายบัตรด้วยตัวเองค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับบัตรบางประเภท
บัตรบางประเภท เช่น บัตรเครดิตสําหรับธุรกิจหรือบัตรเครดิตสะสมคะแนน อาจมีค่าธรรมเนียมการประมวลผลที่สูงกว่า
นี่คือภาพรวมคร่าวๆ ของค่าธรรมเนียมทั่วไปขณะเปิดใช้การชําระเงินออนไลน์สําหรับธุรกิจของคุณ แต่ไม่ได้ครอบคลุมค่าธรรมเนียมทั้งหมด อัตราและค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการแต่ละราย นอกจากนี้ยังแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมของธุรกิจ สินค้าหรือบริการที่ธุรกิจจําหน่าย ยอดขาย และวิธีการชําระเงินที่ใช้กันทั่วไป ตรวจสอบรายละเอียดค่าบริการและข้อกําหนดการให้บริการอย่างละเอียดก่อนเลือกบริการประมวลผลการชําระเงิน
ประโยชน์และความเสี่ยงในการรับชําระเงินบนเว็บไซต์
การรับชําระเงินบนเว็บไซต์ช่วยให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้ง่ายและช่วยธุรกิจเข้าถึงตลาดให้ธุรกิจได้กว้างขึ้น แต่การรับชําระเงินออนไลน์ไม่ได้มีแค่ข้อดี พร้อมมาพร้อมกับความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
ข้อดี
เพิ่มความสะดวกสบาย
การให้บริการชําระเงินออนไลน์ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าจากทุกที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมถึงการทำธุรกรรมผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยลูกค้าจํานวนมากชอบซื้อของบนสมาร์ทโฟน ซึ่งความพร้อมให้บริการตลอดเวลาอาจช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมากและตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าเพิ่มการเข้าถึง
การรับชําระเงินออนไลน์ช่วยให้ธุรกิจขายสินค้าและบริการของตนให้แก่ลูกค้าได้ทั่วโลก ซึ่งเป็นการกําจัดข้อจํากัดทางภูมิศาสตร์ของร้านค้าแบบมีหน้าร้านออกไปการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ระบบการชําระเงินออนไลน์จะมีเครื่องมือสําหรับการติดตามการขาย จัดการใบแจ้งหนี้ และตรวจสอบข้อมูลลูกค้า ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจจัดการงานด้านการบริหารได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดภาระงานที่ต้องทําด้วยตัวเองและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้กระแสเงินสดที่ดีขึ้น
ธุรกรรมออนไลน์ได้รับการประมวลผลแทบจะทันที ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกระแสเงินสดของธุรกิจและช่วยให้การจัดการทางการเงินมีความคล่องตัวมากขึ้น
ความเสี่ยง
ปัญหาการฉ้อโกงและการรักษาความปลอดภัย
ธุรกรรมออนไลน์มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงกิจกรรมฉ้อโกงและการละเมิดข้อมูล ดังนั้น ธุรกิจต้องลงทุนในโปรโตคอลความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและเทคโนโลยีการเข้ารหัสเพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดอ่อนและรักษาความไว้วางใจของลูกค้าเอาไว้ วิธีหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายนี้คือการเลือกผู้ให้บริการชําระเงินที่ให้บริการฟีเจอร์และบริการเหล่านี้ อ่านเพิ่มเติมที่นี่เกี่ยวกับมาตรการที่ครอบคลุมและพร้อมใช้งานของ Stripe เพื่อปกป้องการชําระเงินและตรวจจับ ป้องกัน และรับมือกับการฉ้อโกงการดึงเงินคืน
การดึงเงินคืนที่เกิดจากลูกค้าโต้แย้งธุรกรรมและขอให้คืนเงิน อาจมีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้คุณสูญเสียรายรับและเสียค่าธรรมเนียมด้วยเช่นกัน การดึงเงินคืนบ่อยครั้งอาจเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของธุรกิจ และอาจนําไปสู่การตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น และอาจจะทำให้ผู้ประมวลผลการชําระเงินเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงขึ้นได้ปัญหาทางเทคนิค
ปัญหาขัดข้องบนเว็บไซต์หรือข้อบกพร่องทางเทคนิคอาจทําให้ยอดขายหายไปและลูกค้าไม่พอใจ รวมถึงชื่อเสียงของธุรกิจเสียหาย ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องบํารุงรักษาเว้บไซต์เป็นประจําและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการรักษาความภักดีของลูกค้าในปัจจุบันและสร้างคำพูดปากต่อปากในแง่ดีเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
ธุรกิจทุกแห่งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) การใช้ข้อกําหนดเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน แต่หากไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดก็อาจทําให้เสียค่าปรับและสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจได้เป็นอย่างมาก
ทําความเข้าใจข้อดีและความเสี่ยงเหล่านี้เมื่อปรับใช้ระบบการชําระเงินออนไลน์ กลยุทธ์ที่ผ่านการพิจารณามาอย่างดีอาจช่วยเพิ่มผลกําไร ลดความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น และสร้างการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพได้ตั้งแต่แรก
วิธีรับชําระเงินจากลูกค้าบนเว็บไซต์
การรับชําระเงินบนเว็บไซต์เป็นกระบวนการที่มีหลายปัจจัย โดยต้องมีการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมและผสานการทํางานเข้ากับเว็บไซต์ของคุณ ปัจจุบันมีโซลูชันมากมายที่ธุรกิจเลือกใช้ได้ ซึ่งแต่ละโซลูชันก็จะรองรับความต้องการและกรณีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ทั้งยังมีกระบวนการเตรียมการที่แตกต่างกันไปด้วย แต่ในกรณีส่วนใหญ่ ขั้นตอนโดยรวมในการเตรียมการและปรับใช้การชําระเงินบนเว็บไซต์จะมีลักษณะคล้ายกัน ดังภาพรวมต่อไปนี้
1. ระบุความต้องการทางธุรกิจของคุณ
ขั้นตอนแรกคือการทําความเข้าใจข้อกําหนดเฉพาะของธุรกิจคุณ คุณจําเป็นต้องประมวลผลการชําระเงินแบบครั้งเดียว การเรียกเก็บเงินตามรอบบิลตามแบบแผนล่วงหน้า หรือทั้งสองอย่าง ธุรกิจของคุณดําเนินงานในหลายประเทศและต้องรองรับสกุลเงินและวิธีการชําระเงินแบบต่างๆหรือไม่ คุณต้องการฟีเจอร์ที่ช่วยแบ่งการชําระเงินระหว่างผู้รับหลายรายหรือไม่ คําตอบของคุณจะบอกเองว่าโซลูชันการชําระเงินประเภทไหนที่เหมาะกับคุณ
2. เลือกผู้ประมวลผลการชําระเงิน
หลังจากระบุความต้องการเรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องเลือกผู้ประมวลผลการชําระเงินที่มีฟังก์ชันการทํางานที่สําคัญสําหรับคุณและผสานการทํางานเข้ากับระบบการปฏิบัติงานที่คุณมีอยู่ได้อย่างเหมาะสมโดยที่มีความติดขัดน้อยที่สุด ในขั้นตอนนี้ คุณควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรม มาตรการรักษาความปลอดภัย วิธีการชําระเงินที่รองรับ และการสนับสนุนลูกค้า
3. สร้างบัญชีกับผู้ประมวลผลการชําระเงิน
โดยปกติแล้วในการสร้างบัญชี คุณจะต้องกรอกแบบฟอร์มพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ ซึ่งและอาจต้องใช้ขั้นตอนการยืนยัน หากต้องการเริ่มใช้งานบัญชี Stripe บัญชีใหม่ โปรดไปที่นี่
4. ผสานรวมผู้ประมวลผลการชําระเงินเข้ากับเว็บไซต์
ขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ของคุณและผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินที่คุณเลือก ผู้ประมวลผลการชําระเงินส่วนใหญ่มีปลั๊กอินหรือ API สําเร็จรูปสําหรับการผสานการทํางาน หากคุณกําลังใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมอย่าง Shopify, WooCommerce หรือ Magento แพลตฟอร์มนี้อาจมีการผสานการทํางานแบบสําเร็จรูป หากคุณกําลังสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบเอง คุณอาจต้องจ้างนักพัฒนามาผสานการทํางานกับการชําระเงิน API หากคุณกําลังมองหาผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินที่ตอบโจทย์ธุรกิจหลายขนาดและกรณีการใช้งานที่หลากหลาย Stripe มีคลัง API ที่เหมาะสําหรับนักพัฒนา รวมถึงโซลูชันแบบสําเร็จรูปและโซลูชันที่ต้องเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อย
5. กําหนดค่าการตั้งค่าการชําระเงิน
เลือกสกุลเงินและตัวเลือกการชําระเงินที่คุณต้องการรับ ในขั้นตอนนี้ ธุรกิจบางแห่งอาจจะต้องการตั้งค่าโมเดลการชําระเงินตามรอบบิล การชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า และตัวเลือกซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL)ด้วย
6. ทดสอบระบบการชําระเงิน
ใช้โหมดทดสอบของผู้ประมวลผลการชําระเงินเพื่อจําลองธุรกรรมและตรวจสอบว่าทุกอย่างทํางานได้อย่างถูกต้อง วิธีนี้จะช่วยให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาก่อนที่ลูกค้าจะพบปัญหา
7. เปิดตัวระบบการชําระเงิน
เมื่อทดสอบระบบการชําระเงินอย่างละเอียดแล้ว คุณจะสามารถเปลี่ยนเป็นโหมดใช้งานจริงและเริ่มรับการชําระเงินได้เลย
8. จัดการธุรกรรมของคุณ
ติดตามธุรกรรมของคุณเป็นประจํา จัดการการโต้แย้งการชําระเงินหรือการดึงเงินคืน และติดตามประสิทธิภาพการขายของคุณ ผู้ประมวลผลการชําระเงินส่วนใหญ่มีเครื่องมือแดชบอร์ดหรือการวิเคราะห์เพื่อช่วยในเรื่องนี้
9. ปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านการบัญชีและข้อกําหนดทางบัญชี
ตรวจสอบให้มั่นใจว่าคุณได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและมาตรฐานที่จําเป็นทั้งหมด เช่น PCI DSS ซึ่งกํากับดูแลวิธีที่ธุรกิจต่างๆ ควรจัดการข้อมูลบัตรเครดิต หากคุณนําเสนอการชําระเงินตามรอบบิลหรือรับชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าหรือการชำระเงินล่าช้า คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณจัดการการรับรู้รายรับอย่างถูกต้อง
การผสานระบบการชําระเงินเข้ากับเว็บไซต์ของคุณอย่างเป็นระบบจะช่วยให้คุณเลือกโมเดลที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ รองรับวิธีการชําระเงินที่ลูกค้าต้องการ และมอบประสบการณ์ธุรกรรมที่ใช้งานง่าย ได้รับการปกป้องและเชื่อถือได้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe ให้บริการชําระเงินแก่ธุรกิจต่างๆ ทางออนไลน์ โปรดเริ่มต้นที่นี่
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ