Klarna: คู่มือเชิงลึก

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. มีการใช้งาน Klarna ในพื้นที่ใดบ้าง
  3. ใครคือผู้ที่ใช้ Klarna
  4. Klarna ทํางานอย่างไร
  5. ประโยชน์ของการยอมรับ Klarna
  6. มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Klarna
  7. การยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน
  8. ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Klarna
    1. อเมริกาเหนือ
    2. ยุโรป
    3. เอเชียแปซิฟิก

Klarna เป็นบริษัทฟินเทคสัญชาติสวีเดนที่กลายมาเป็นตัวเลือกแถวหน้าในอุตสาหกรรมซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL)ที่กำลังเติบโต Klarna มีฐานผู้ใช้ 150 ล้านคน ใน 45 ประเทศ โดยประมวลผลธุรกรรม 2 ล้านรายการต่อวันและร่วมมือกับธุรกิจกว่า 500,000 แห่ง ในจำนวนนี้รวมถึงธุรกิจที่มีชื่อเสียงอย่าง Nike, Adidas และ IKEA ด้วย Klarna เป็นเจ้าตลาดของยุโรปโดยครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% ในปี 2022 ซึ่งตอกย้ำสถานะของบริษัทในการเป็นผู้นําด้าน BNPL ในภูมิภาค

ผลิตภัณฑ์และบริการของ Klarna ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอย่าง Pay in 3 หรือ Pay in 4 (ขึ้นอยู่กับตําแหน่งที่ตั้ง) ช่วยให้ลูกค้าแบ่งการชําระเงินออกเป็น 3 หรือ 4 งวดในช่วงระยะเวลา 6 สัปดาห์โดยไม่มีดอกเบี้ย ส่วนแพ็กเกจการชําระเงินแบบ Pay in 30 ก็กำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 30 วันแบบไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีค่าธรรมเนียม แล้วค่อยชำระเงินเต็มจำนวน ในสหรัฐอเมริกา Klarna เสนอความช่วยเหลือทางการเงินแบบต่างๆ ให้กับการซื้อที่มีมูลค่าสูงโดยมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 7.99% นอกจากนี้ Klarna ในสหรัฐอเมริกายังมีบัตรดิจิทัลที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ Klarna ได้ แม้ว่าธุรกิจจะไม่ได้ผสานการทํางานกับบริการดังกล่าวโดยตรงก็ตาม

Klarna มีความครอบคลุมทั่วโลกในตลาดทั่วทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และโอเชียเนีย อีกทั้งยังมอบประสบการณ์การชําระเงินที่ได้มาตรฐานเดียวกันและเข้าถึงง่ายสําหรับผู้ใช้ทุกราย อุตสาหกรรม BNPL กำลังจะเติบโตครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และ Klarna ที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ การรับรู้แบรนด์ และนําเสนอผลิตภัณฑ์อันล้ําสมัย ก็มีความพร้อมที่จะกลายมาเป็นผู้นําในภาคธุรกิจการชําระเงินที่กำลังเติบโต

ในคู่มือนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่ธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ Klarna ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้งาน พื้นที่ที่ใช้งาน วิธียอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • มีการใช้งาน Klarna ในพื้นที่ใดบ้าง
  • ใครคือผู้ที่ใช้ Klarna
  • Klarna ทํางานอย่างไร
  • ประโยชน์ของการยอมรับ Klarna
  • มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Klarna
  • การยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน
  • ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Klarna

มีการใช้งาน Klarna ในพื้นที่ใดบ้าง

Klarna เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกในตลาด 45 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความต้องการของลูกค้าและกฎระเบียบแตกต่างกันไป ตลาดหลัก Klarna มีดังนี้

  • อเมริกาเหนือ
    Klarna เจาะตลาดสหรัฐอเมริกาโดยใช้ประโยชน์จากการที่ผู้คนในประเทศกำลังต้องการวิธีการชําระเงินทางเลือกและตัวเลือกการจัดหาเงินทุนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากการที่ภาคธุรกิจ BNPL ของอเมริกาเหนือกําลังเติบโต โดยมีมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 การเชื่อมต่อการทํางานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ เช่น Shopify และ WooCommerce รวมทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัลยอดนิยมอย่างเช่น Apple Pay และ Google Pay, Klarna ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ซึ่งกำลังมองหาประสบการณ์การชําระเงินที่รวดเร็วและสะดวกสบาย นอกจากนี้ การดําเนินงานของ Klarna ในอเมริกาเหนือยังเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการให้กู้ยืมและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของ Consumer Financial Bureau ซึ่งช่วยส่งเสริมความไว้วางใจของผู้ใช้และแนวทางการให้กู้ยืมอย่างมีความรับผิดชอบ

  • ยุโรป
    ในยุโรป Klarna ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในภาคธุรกิจ BNPL โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 70%ในปี 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น Klarna ยังขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส โดยปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับลักษณะนิสัยการชําระเงินและระเบียบข้อบังคับในแต่ละประเทศ และต่อยอดความเป็นเจ้าตลาดในตลาดต่างๆ เช่น สวีเดนและเยอรมนี ซึ่งรวมถึงการผสานการทํางานกับวิธีการชําระเงินที่ได้รับความนิยมในประเทศนั้นๆ เช่น iDEAL ในเนเธอร์แลนด์และ Sofort ในเยอรมนี และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูล เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR)

  • เอเชีย
    ตลาดเอเชียมอบความท้าทายและโอกาสที่ไม่เหมือนใครให้กับ Klarna ตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตในภูมิภาคนี้มอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับบริษัท BNPL แห่งนี้ กลยุทธ์ของบริษัทให้ความสำคัญกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการโซลูชันการชำระเงินที่เน้นอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอันดับแรก ซึ่งบางส่วนก็ประสบความสำเร็จจากการเป็นพาร์ทเนอร์กับกระเป๋าเงินดิจิทัลชั้นนํา เช่น Alipay Klarna ดำเนินธุรกิจท่ามกลางบริบททางกฎหมายที่มีความซับซ้อนในตลาดเอเชียแต่ละแห่ง และต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในจีน และระเบียบข้อบังคับ BNPL ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น กรอบข้อบังคับสำหรับการให้กู้ยืมผ่านระบบดิจิทัลของธนาคารกลางอินเดีย

  • ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
    ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ Klarna มีระดับการรับรู้แบรนด์และได้รับความไว้วางใจหมู่ผู้ใช้อย่างดีเยี่ยม ทำให้บริษัทยืนหยัดได้อย่างมั่นคง จากข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2023 พบว่า 40% ของผู้ใช้ในออสเตรเลีย ใช้บริการ BNPL ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ กลยุทธ์ของ Klarna ในภูมิภาคนี้ยังรวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น H&M, ASOS และ THE ICONIC ยังไม่รวมการให้อัตราดอกเบี้ยที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน Klarna ประกอบธุรกิจตามกฎระเบียบสำหรับบริการทางการเงินของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และการลงทุนของออสเตรเลีย (ASIC) และองค์กรควบคุมตลาดการเงิน (FMA)

ใครคือผู้ที่ใช้ Klarna

Klarna ให้บริการกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและผสานการทํางานกับธุรกิจหลากหลายประเภทใน 45 ตลาดทั่วโลก ผู้ใช้ Klarna มีหลายกลุ่มอายุ เพศ การศึกษา ช่วงชีวิต และสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริการได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากลูกค้าหลายกลุ่ม ลูกค้าใช้บริการของ Klarna เพื่อซื้อสินค้าภายในร้าน ทางออนไลน์ ภายในแอป และแม้แต่การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน ข้อมูลทางประชากรศาสตร์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าฐานลูกค้าของ Klarna มีลักษณะดังต่อไปนี้

  • เพศ: Klarna รายงานว่าลูกค้า 60% เป็นผู้หญิง และอีก 40% เป็นผู้ชาย

  • การศึกษา: Klarna รายงานว่าลูกค้า 31% จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และเน้นให้เห็นว่าผู้คนจากทุกระดับการศึกษาใช้บริการของบริษัท

  • ช่วงชีวิต: ข้อมูลของ Klarna แสดงให้เห็นว่าลูกค้า 36% ของ Klarna มีคู่ชีวิตและมีลูกแล้ว, 27% เป็นคนโสดที่ไม่มีลูก, 18% มีคู่แล้วและไม่มีลูก และ 11% เป็นคนโสดที่มีลูก

  • สังคม: ข้อมูลของ Klarna แสดงว่า 40% ของลูกค้าอาศัยอยู่ในเมือง, 32% อาศัยอยู่ในชานเมืองและ 28% อาศัยอยู่ในชนบท

อุตสาหกรรมที่ Klarna ประสบความสําเร็จมากที่สุด ได้แก่

  • ร้านค้าปลีก: ผู้ค้าปลีกรายใหญ่หลายแห่งนำเสนอ Klarna เป็นตัวเลือกในการชําระเงิน โดยมีอัตราการนําไปใช้ชําระค่าเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก

  • การเดินทางและการบริการ: สายการบินและแพลตฟอร์มการจองการเดินทางอย่าง Expedia มักจะเชื่อมต่อการทำงานกับ Klarna ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถจองเที่ยวบินและโรงแรมโดยเลือกชําระเงินแบบยืดหยุ่นได้

  • สุขภาพและบริการเพื่อสุขภาพ: คลินิกทันตกรรม ร้านขายยา และธุรกิจในสถานบริการเพื่อสุขภาพนํา Klarna มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อาจชําระเงินเต็มจํานวนไม่ได้

  • ยานยนต์: ธุรกิจดูแลรถยนต์ยังยอมรับ Klarna เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกในการซื้อยางล้อและสิ่งสําคัญอื่น ๆ

Klarna ทํางานอย่างไร

หากต้องการชําระเงินด้วย Klarna ลูกค้าก็แค่เลือก Klarna เป็นวิธีการชําระเงินที่ต้องการในขั้นตอนการชําระเงิน ซึ่งอาจปรากฏอยู่บนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือในร้านค้าจริง นอกจากนี้ ลูกค้ายังจัดการบัญชี Klarna ของตนเองได้ผ่านแอป Klarna รวมทั้งติดตามคําสั่งซื้อ ดูกําหนดเวลาการชําระเงิน ทําการชําระเงิน และขอความช่วยเหลือจากฝ่ายสนับสนุนลูกค้า เมื่อชําระเงินด้วย Klarna ลูกค้าจะสามารถเลือกแพ็กเกจการชําระเงินต่อไปนี้ได้

  • Pay in 4: แพ็กเกจนี้จะแบ่งค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการออกเป็น 4 งวดและไม่เรียกเก็บดอกเบี้ย ลูกค้าต้องชำระเงินงวดแรกในขั้นตอนการชำระเงิน ส่วนที่เหลืออีก 3 งวดต้องชำระภายในระยะ 6 สัปดาห์

  • Pay in 30: ตัวเลือกนี้ให้ลูกค้าชําระค่าสินค้าและบริการเต็มจํานวนภายใน 30 วัน โดยไม่มีดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมหากชําระตรงเวลา

  • เงินกู้ระยะยาว: หากเป็นการซื้อที่มีมูลค่าสูง ลูกค้าจะสามารถขอผ่อนชำระระยะยาวได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 7.99%

ผลิตภัณฑ์บางประเภทอาจไม่มีสิทธิ์ขอบริการจัดหาเงินทุนผ่าน Klarna ตัวอย่างเช่น Klarna ไม่มีบริการจัดหาเงินทุนสำหรับบริการต่างๆ เช่น การตัดผม การซ่อมรถยนต์ และค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย หรือสินค้าที่จับต้องไม่ได้ เช่น เพลง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และภาพยนตร์ รวมทั้งไม่จัดหาเงินทุนให้กับการซื้อบางประเภท เช่น การซื้อตั๋วและบัตรผ่านประตู หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น การลงทุนหรือการประกันภัย นอกจากนี้ Klarna ยังไม่จัดหาเงินทุนให้กับการซื้อสินค้าที่ถูกจํากัด เช่น แอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และเนื้อหาสําหรับผู้ใหญ่

ผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้มักจะมีสิทธิ์ขอบริการจัดหาเงินทุนจาก Klarna ได้แต่มีข้อจํากัดบางประการ

  • สินค้าที่จับต้องได้: โดยทั่วไปแล้ว Klarna จะให้บริการจัดหาเงินทุนแก่ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ รวมถึงเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าในบ้าน

  • สินค้าดิจิทัล: ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลบางรายการ เช่น ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ หลักสูตรออนไลน์ และการเป็นสมาชิก อาจมีสิทธิ์รับบริการจัดหาเงินทุนของ Klarna

  • การเดินทาง: Klarna มอบทางเลือกมากมายในการจัดหาเงินทุนสําหรับการจองเที่ยวบิน โรงแรม และแพ็กเกจวันหยุดพักผ่อนผ่านพาร์ทเนอร์การเดินทางบางราย

  • บัตรของขวัญ: บัตรของขวัญบางแบบอาจมีสิทธิ์รับบริการจัดหาเงินทุนผ่าน Klarna แต่อาจมีข้อจํากัด ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ออกบัตรและประเภทของบัตรของขวัญ

  • การสั่งซื้อล่วงหน้า: Klarna อาจอนุญาตให้จัดหาเงินทุนสําหรับการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์บางประเภทล่วงหน้า แต่อาจกําหนดเวลาชําระเงินแตกต่างจากการจัดหาเงินทุนแบบมาตรฐาน

  • สินค้าสั่งทําหรือสินค้าเฉพาะบุคคล: สิทธิ์ในการขอรับการจัดหาเงินทุนสำหรับสินค้าสั่งทำหรือสินค้าเฉพาะบุคคลขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์และธุรกิจเป็นสำคัญ

และต่อไปนี้คือวิธีทํางานของ Klarna ในฝั่งธุรกิจ

  • การเชื่อมต่อการทํางาน: ธุรกิจต่างๆ สามารถผสานการทํางาน Klarna เข้ากับระบบบันทึกการขาย (POS)และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีอยู่ผ่านอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) และปลั๊กอินหลายแบบ

  • การประมวลผลธุรกรรม: เมื่อลูกค้าเลือก Klarna ในขั้นตอนการชําระเงิน Klarna จะยืนยันตัวตนและความน่าเชื่อถือทางเครดิตของลูกค้าโดยทันที เมื่อได้รับอนุมัติ Klarna จะเบิกจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการไปให้ธุรกิจล่วงหน้าโดยรับทราบว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินคืน Klarna จัดการธุรกรรมปริมาณมากและยังคงให้บริการได้ตามปกติแม้ในช่วงเวลาที่มีอัตราการใช้งานสูง เพราะใช้สถาปัตยกรรมแบบกระจายเพื่อให้รองรับการขยายระบบและช่วยให้ทำงานได้อย่างเสถียร

  • การชําระเงิน: Klarna ชําระเงินตามยอดธุรกรรมให้แก่ธุรกิจภายใน 2-3 วันทําการ โดยปกติแล้วจะดําเนินการผ่านการโอนเงินผ่านธนาคารหรือการชําระเงินแบบ ACH

ประโยชน์ของการยอมรับ Klarna

  • ชําระเงินได้รวดเร็วขึ้น: ความเร็วในการประมวลผลของ Klarna ลดเวลาชําระเงิน ลดจํานวนคิวลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน

  • กระบวนการอัตโนมัติ: Klarna นำฟังก์ชันการทํางานอัตโนมัติมาใช้แทนงานที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองด้วย จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลการชําระเงิน และเพิ่มทรัพยากรให้กับแผนงานเชิงกลยุทธ์

  • ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า: Klarna ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรม ความต้องการ และข้อมูลประชากรของลูกค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดทำแคมเปญการตลาด ข้อเสนอผลิตภัณฑ์ และการจัดการสินค้าคงคลังอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร การวางแผนธุรกิจ และประสิทธิภาพโดยรวม

  • เพิ่มความถี่ในการซื้อ: อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายของ Klarna และตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นช่วยสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สะดวกสบาย นอกจากนี้ การมอบตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นจะช่วยเพิ่มความถี่ในการซื้อได้ถึง 20% จากการรายงานของ Klarna ปี 2020

  • เพิ่มกําลังซื้อ: ตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นของ Klarna ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ จากข้อมูลในรายงานประจําปี 2020 ของ Klarna ธุรกิจต่างๆ มีมูลค่าคําสั่งซื้อโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 68% จากการมอบความยืดหยุ่นในการชำระเงินในลักษณะดังกล่าว

  • ลดการละทิ้งรถเข็น: กระบวนการชําระเงินที่ราบรื่นของ Klarna ลดการละทิ้งรถเข็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ในรายงานประจําปี 2020 ของ Klarna ผู้ค้าปลีกรายหนึ่งรายงานว่ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 200% ในช่วงเทศกาลวันหยุด

  • ช่องทางรายรับที่หลากหลาย: Klarna ช่วยธุรกิจสร้างช่องทางรายรับใหม่ๆ ผ่านโซลูชันอันล้ำสมัย เช่น Pay in 30 และตัวเลือกการจัดหาเงินทุนอื่นๆ

  • การป้องกันการฉ้อโกง: มาตรการรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนของ Klarna ช่วยลดกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง จึงปกป้องธุรกิจจากการสูญเสียทางการเงิน รวมทั้งปกป้องความสมบูรณ์ถูกต้องของรายรับ

  • ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ยอมรับ Klarna จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้และดึงดูดลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์ด้วยการแสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะเสนอวิธีการชําระเงินอันล้ำสมัยที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก กล่าวได้ว่าการยอมรับ Klarna และการผสานการทํางานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้ธุรกิจก้าวขึ้นไปอยู่ในแนวหน้าของสภาพแวดล้อมแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Klarna

  • การเข้ารหัสข้อมูล: Klarna ใช้การเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อรักษาความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูล แปลงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและรายละเอียดส่วนบุคคลเป็นรหัสที่ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูล Klarna ใช้การเข้ารหัสแบบ AES-256 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานการเข้ารหัสที่เข้มแข็งที่สุด มารักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูล ทั้งข้อมูลที่จัดเก็บไว้และข้อมูลที่กำลังส่ง การเข้ารหัสระดับนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าแม้ข้อมูลจะถูกสกัดกั้น แต่ก็จะไม่สามารถอ่านได้หากไม่มีคีย์ถอดรหัสที่ถูกต้อง

  • การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: ในฐานะผู้ให้บริการชําระเงิน Klarna ปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS ทำให้จำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจํา และช่วยให้มั่นใจว่า Klarna จะมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสําหรับจัดการข้อมูลของเจ้าของบัตรเสมอ นอกจากนี้ Klarna ยังปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลทั่วโลก รวมถึง GDPR ในยุโรป กฎหมายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (CCPA) ประเทศสหรัฐฯ และกฎหมายที่คล้ายคลึงกันในเขตอํานาจศาลอื่นๆ โดยมีการใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดในการจัดการข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค

  • การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA): Klarna ใช้ 2FA เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งให้กับบัญชีลูกค้า ในการอนุมัติธุรกรรม ลูกค้าไม่เพียงต้องใช้รหัสผ่านและชื่อผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังต้องใช้สินทรัพย์บางอย่างที่เฉพาะบุคลากรของลูกค้ามีอยู่กับตัว เช่น โทเค็นจริงหรือแอปสมาร์ทโฟน วิธีนี้ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาตได้เป็นอย่างดี

  • การแปลงเป็นโทเค็น: ในขั้นตอนการชําระเงินของ Klarna มีการนำการแปลงเป็นโทเค็น มาใช้โดยแทนที่ข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนด้วยรหัสระบุหรือโทเค็นที่ไม่ซ้ํากัน นั่นหมายความว่าเราจะไม่จัดเก็บหรือส่งรายละเอียดบัตรระหว่างทําธุรกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการฉ้อโกงลงได้อย่างมาก

  • การตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าแบบรัดกุม (SCA): Klarna นํา SCA มาใช้กับธุรกรรมตามคำสั่งว่าด้วยบริการชําระเงินฉบับปรับปรุงของสหภาพยุโรป (PSD2) โดย SCA กําหนดให้การชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ต้องได้รับการตรวจสอบสิทธิ์โดยใช้องค์ประกอบ 2 ใน 3 อย่างต่อไปนี้: สิ่งที่ลูกค้าทราบ (เช่น รหัสผ่าน) สิ่งที่ลูกค้ามี (เช่น อุปกรณ์เคลื่อนที่) หรือข้อมูลทางกายภาพของลูกค้า (เช่น ข้อมูลไบโอเมตริก เช่น ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้า)

  • การตรวจสอบและอัปเดตด้านความปลอดภัยเป็นประจํา: Klarna ตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจําเพื่อระบุและแก้ไขช่องโหว่ การตรวจสอบเหล่านี้เป็นกุญแจสําคัญในการรักษามาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดและการอัปเดตระบบป้องกันของแพลตฟอร์มให้ทันต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา แนวทางจัดการช่องโหว่แบบเชิงรุกของ Klarna ซึ่งรวมถึงการประเมินเป็นประจําและการทดสอบการเจาะข้อมูล สำคัญอย่างมากในการระบุและแก้ไขจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น

  • API ที่ปลอดภัยสําหรับธุรกิจ: Klarna มอบอินเทอร์เฟซ API ที่ปลอดภัยให้ธุรกิจต่างๆ นำไปเชื่อมต่อการทํางาน ซึ่งจะช่วยปกป้องข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันระหว่าง Klarna กับระบบของธุรกิจ

  • การคุ้มครองข้อมูล: Klarna มีนโยบายสําหรับปกป้องข้อมูลลูกค้า รวมถึงการจํากัดการเข้าถึงข้อมูลสําหรับบุคลากรที่ได้รับอนุญาต และใช้โซลูชันจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย เครื่องมือป้องกันการสูญเสียข้อมูล (DLP) มีความสําคัญอย่างยิ่งในการป้องกันทั้งการรั่วไหลของข้อมูลภายในและภายนอก ทําให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจะไม่ตกอยู่ในมือของผู้อื่น

  • การป้องกันการฉ้อโกง: Klarna ใช้อัลกอริทึมจัดการความเสี่ยงอันซับซ้อนที่ใช้ประโยชน์จากแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อตรวจจับและป้องกันกิจกรรมการฉ้อโกง ระบบเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งพัฒนาอย่างต่อเนื่องเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ๆ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป Klarna ใช้เกณฑ์ความถี่ในการตรวจสอบรูปแบบธุรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง รวมทั้งจํากัดผลกระทบของธุรกรรมปริมาณมากที่อาจเป็นฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การยืนยันตัวตน: มาตรการการยืนยันตัวตนของ Klarna ใช้หลายปัจจัย รวมถึงการยืนยันที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ ตลอดจนวิธีแบบดิจิทัลที่มีความซับซ้อน เช่น 3D Secure

การยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน

ธุรกิจต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดทางเทคนิค กฎหมาย และข้อบังคับบางอย่างจึงจะยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงินได้

  • การจดทะเบียนธุรกิจและใบอนุญาต: ธุรกิจจะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายและถือครองใบอนุญาตที่จําเป็นทั้งหมดในภูมิภาคที่ดําเนินธุรกิจ

  • ความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจจะต้องมีร้านค้าออนไลน์ที่สามารถเชื่อมต่อการทํางานกับ Klarna ได้ Klarna มีปลั๊กอินและ API สําหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมอย่าง Shopify, WooCommerce, Magento และแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งธุรกิจจะต้องตั้งโปรแกรมการเชื่อมต่อเกตเวย์การชําระเงินของ Klarna กับระบบชําระเงินออนไลน์ของธุรกิจโดยใช้ API หรือปลั๊กอินเหล่านี้

  • การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: ธุรกิจจะต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรและน่าเชื่อถือเพื่อประมวลผลธุรกรรม Klarna

  • การปฏิบัติกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ: ธุรกิจต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเรียกเก็บและนําส่งภาษีการขาย นอกจากนี้ยังต้องดำเนินธุรกิจตามข้อกําหนด PCI DSS เพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลบัตรชําระเงินได้อย่างปลอดภัย ใช้วิธีการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และรู้จักลูกค้าของคุณ (KYC) เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าและป้องกันกิจกรรมการฉ้อโกง และปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น GDPR ในยุโรปหรือ CCPA ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ธุรกิจต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อรับชําระเงินผ่าน Klarna ได้

  • ลงทะเบียนเปิดบัญชีผู้ค้าของ Klarna: ดําเนินการลงทะเบียนกับ Klarna ให้เสร็จสมบูรณ์และเปิดใช้งานบัญชีของคุณ โดยในขั้นตอนการจดทะเบียนนี้อาจมีการประเมินความมั่นคงทางการเงินและความน่าเชื่อถือทางเครดิตของธุรกิจด้วย หากการลงทะเบียนได้รับอนุมัติ ธุรกิจต่างๆ จะได้รับข้อตกลงสำหรับผู้ค้าจาก Klarna ซึ่งควรตรวจสอบอย่างละเอียด

  • เชื่อมต่อการทำงานกับระบบ Klarna: กําหนดค่า Klarna API หรือติดตั้งปลั๊กอิน Klarna บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อเชื่อมโยงระบบการชําระเงิน Klarna กับร้านค้าออนไลน์ของธุรกิจคุณ

  • เพิ่ม Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน: เพิ่ม Klarna เป็นตัวเลือกการชําระเงินในขั้นตอนการชําระเงิน และทําการทดสอบอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่า Klarna ทํางานได้อย่างราบรื่นในร้านค้าออนไลน์ของคุณ

ธุรกิจที่ต้องการรับชําระเงินผ่าน Klarna โดยใช้Stripe เป็นผู้ประมวลผลการชําระเงิน จะมีขั้นตอนการตั้งค่าเฉพาะ อันดับแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหรือเว็บไซต์ของตนเข้ากันได้กับ Stripe และจะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดทั้งหมดเช่นเดียวกับธุรกิจที่ต้องการรับชําระเงินจาก Klarna โดยตรง รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในท้องถิ่น

ดูขั้นตอนการประมวลผลการชําระเงินจาก Klarna ผ่าน Stripe ได้จากด้านล่าง

  • การตั้งค่าบัญชี: ธุรกิจต้องมีบัญชี Stripe อยู่แล้วหรือสร้างบัญชีใหม่ผ่านกระบวนการสร้างบัญชีของ Stripe โดยจะต้องให้รายละเอียดธุรกิจและข้อมูลธนาคาร

  • การเชื่อมต่อการทํางานกับ Stripe API: ธุรกิจต้องเชื่อมต่อการทํางานของ Stripe API เข้ากับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตน Stripe มีเอกสารประกอบที่ครอบคลุมและชุดเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) สําหรับภาษาเขียนโปรแกรมที่หลากหลายเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับกระบวนการนี้

  • การเปิดใช้งาน Klarna: ธุรกิจจะต้องเปิดใช้งาน Klarna เป็นวิธีการชําระเงินภายในบัญชี Stripe ของตน โดยอาจจะต้องใช้ขั้นตอนการยืนยันหรือการอนุมัติเพิ่มเติมทั้งภายใน Stripe และ Klarna

  • กําหนดค่าการชำระเงินผ่าน Klarna: ธุรกิจต่างๆ จะกําหนดค่า Klarna เป็นวิธีการชําระเงินในแดชบอร์ด Stripe หรือผ่าน API พร้อมทั้งระบุวิธีการชําระเงินที่ต้องการเสนอ (เช่น Pay in 4) และภูมิภาคต่างๆ ที่ธุรกิจจะยอมรับ Klarna

  • ทดสอบฟังก์ชัน: ธุรกิจควรใช้สภาพแวดล้อมการทดสอบของ Stripe เพื่อให้มั่นใจว่าการชําระเงิน Klarna จะทํางานได้ตามที่คาดไว้ โดย Stripe จะมอบข้อมูลประจําตัวทดสอบเพื่อให้ธุรกิจนำไปใช้จําลองธุรกรรม Klarna

  • แสดงข้อตกลงสำหรับผู้ใช้: เว็บไซต์ของธุรกิจควรมีข้อตกลงผู้ใช้และนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ครอบคลุมการใช้ Klarna และ Stripe ซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีจัดการและประมวลผลข้อมูลลูกค้า

  • ติดตามตรวจสอบธุรกรรม: ธุรกิจควรติดตามตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจําเพื่อหาปัญหาหรือรูปแบบที่ผิดปกติ และเตรียมพร้อมที่จะทํางานร่วมกับ Stripe และ Klarna เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Klarna

Klarna มีคู่แข่งหลายรายในอุตสาหกรรม BNPL ต่อไปนี้คือคู่แข่งรายใหญ่ของ Klarna ในตลาดต่างๆ ทั่วโลก

อเมริกาเหนือ

  • Affirm: Affirm มีชื่อเสียงอย่างมากในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา จึงเป็นคู่แข่งของ Klarna ในแง่ของความนิยม Affirm มีแผนการชําระเงินที่ยืดหยุ่น รวมทั้งกำหนดระยะสัญญายาวกว่าและเสนอตัวเลือกแบบมีดอกเบี้ย ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าในวงกว้าง นอกจากนี้ัยังผสานการทํางานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่และให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม แต่ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากธุรกิจมีแนวโน้มว่าจะสูงกว่า Klarna

  • Afterpay: Afterpay เป็นบริษัทในออสเตรเลียที่มีส่วนแบ่งตลาดไม่น้อยในอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ แผนการชําระเงินระยะสั้นแบบปลอดดอกเบี้ยตอบโจทย์ของลูกค้าที่มีงบประมาณจำกัด อย่างไรก็ตาม Afterpay เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินล่าช้าสูงมากจากลูกค้า และธุรกิจอาจมีอัตราการดึงเงินคืนสูงกว่าผู้ให้บริการรายอื่น

  • PayPal Credit: PayPal ใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ที่มีอยู่เดิมและหันมาเจาะตลาด BNPL ด้วยเช่นกันโดยมอบบริการ PayPal Credit แต่ถึงแม้ว่า PayPal จะมอบประสบการณ์การชําระเงินที่ราบรื่นให้กับลูกค้าที่คุ้นเคยกับระบบของ PayPal อยู่แล้ว แต่ค่าธรรมเนียมอาจไม่ชัดเจนและซับซ้อนสําหรับทั้งธุรกิจและลูกค้า

ยุโรป

  • Clearpay: Clearpay มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในยุโรปและฟีเจอร์คล้ายกันกับ Afterpay รวมถึงแพ็กเกจการชําระเงินระยะสั้นแบบปลอดดอกเบี้ยซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะกับลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมการชําระเงินล่าช้าของ Clearpay อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าอย่างมาก

  • Ratepay: Ratepay คือผู้ให้บริการ BNPL ในเยอรมนีที่มอบตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นและมีอัตราค่าธรรมเนียมน่าสนใจสําหรับทั้งธุรกิจและลูกค้า ทั้งยังเน้นการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันการฉ้อโกงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยที่สุด ข้อเสียก็คือใช้บริการได้เฉพาะในตลาดยุโรป ทำให้ไม่น่าดึงดูดเท่าที่ควรสำหรับธุรกิจระดับโลก

  • Mangopay: Mangopay คือโซลูชัน BNPL ของฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสและมีโซลูชันที่ปรับแต่งมาเพื่อธุรกิจ ซึ่งอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมระหว่างหลายฝ่าย Mangopay มีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและเครื่องมือจัดการการชําระเงินที่ครอบคลุม แต่จะเน้นที่มาร์เก็ตเพลสเป็นหลัก ดังนั้นจึงอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจในภาคธุรกิจต่างๆ

เอเชียแปซิฟิก

  • รหัสไปรษณีย์: Zip คือผู้ให้บริการด้าน BNPL ที่กําลังเติบโตอย่างรวดเร็วในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยนําเสนอแผนการชําระเงินที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งตัวเลือกระยะสั้นและระยะยาว ข้อดีคือแพลตฟอร์มเป็นมิตรกับผู้ใช้และทั้งยังมีการรับรู้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง สามารถดึงดูดฐานลูกค้าขนาดใหญ่ แต่ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่าคู่แข่งบางรายและไม่ได้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

  • Atome: Atome เป็นผู้ให้บริการ BNPL ในสิงคโปร์ที่ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Atome ใช้ประโยชน์จากการเป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่และธุรกิจท้องถิ่นในการเข้าถึงฐานลูกค้าในวงกว้าง แต่ข้อเสียคือเน้นให้บริการคนรุ่นใหม่เป็นหลัก จึงอาจไม่เหมาะกับบางธุรกิจ

  • FOMO Pay: FOMO Pay ในสิงคโปร์กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในภาคธุรกิจ BNPL และตอบโจทย์ความต้องการการชําระเงินแบบยืดหยุ่นที่กำลังเติบโตด้วยการเสนอแผนการผ่อนชําระแบบปลอดดอกเบี้ย ทั้งยังผสานการทํางานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนํา อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการดําเนินงานของ FOMO Pay ยังอยู่ในวงจำกัด และฐานผู้ใช้วัยหนุ่มสาวอาจไม่เหมาะกับธุรกิจบางราย

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe