Klarna เป็นบริษัทฟินเทคสัญชาติสวีเดนที่กลายมาเป็นตัวเลือกแถวหน้าในอุตสาหกรรมซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL)ที่กำลังเติบโต Klarna มีฐานผู้ใช้ 150 ล้านคน ใน 45 ประเทศ โดยประมวลผลธุรกรรม 2 ล้านรายการต่อวันและร่วมมือกับธุรกิจกว่า 500,000 แห่ง ในจำนวนนี้รวมถึงธุรกิจที่มีชื่อเสียงอย่าง Nike, Adidas และ IKEA ด้วย Klarna เป็นเจ้าตลาดของยุโรปโดยครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% ในปี 2022 ซึ่งตอกย้ำสถานะของบริษัทในการเป็นผู้นําด้าน BNPL ในภูมิภาค
ผลิตภัณฑ์และบริการของ Klarna ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอย่าง Pay in 3 หรือ Pay in 4 (ขึ้นอยู่กับตําแหน่งที่ตั้ง) ช่วยให้ลูกค้าแบ่งการชําระเงินออกเป็น 3 หรือ 4 งวดในช่วงระยะเวลา 6 สัปดาห์โดยไม่มีดอกเบี้ย ส่วนแพ็กเกจการชําระเงินแบบ Pay in 30 ก็กำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 30 วันแบบไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีค่าธรรมเนียม แล้วค่อยชำระเงินเต็มจำนวน ในสหรัฐอเมริกา Klarna เสนอความช่วยเหลือทางการเงินแบบต่างๆ ให้กับการซื้อที่มีมูลค่าสูงโดยมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 7.99% นอกจากนี้ Klarna ในสหรัฐอเมริกายังมีบัตรดิจิทัลที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ Klarna ได้ แม้ว่าธุรกิจจะไม่ได้ผสานการทํางานกับบริการดังกล่าวโดยตรงก็ตาม
Klarna มีความครอบคลุมทั่วโลกในตลาดทั่วทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และโอเชียเนีย อีกทั้งยังมอบประสบการณ์การชําระเงินที่ได้มาตรฐานเดียวกันและเข้าถึงง่ายสําหรับผู้ใช้ทุกราย อุตสาหกรรม BNPL กำลังจะเติบโตครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และ Klarna ที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ การรับรู้แบรนด์ และนําเสนอผลิตภัณฑ์อันล้ําสมัย ก็มีความพร้อมที่จะกลายมาเป็นผู้นําในภาคธุรกิจการชําระเงินที่กำลังเติบโต
ในคู่มือนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่ธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ Klarna ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้งาน พื้นที่ที่ใช้งาน วิธียอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- มีการใช้งาน Klarna ในพื้นที่ใดบ้าง
- ใครคือผู้ที่ใช้ Klarna
- Klarna ทํางานอย่างไร
- ประโยชน์ของการยอมรับ Klarna
- มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Klarna
- การยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน
- ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Klarna
มีการใช้งาน Klarna ในพื้นที่ใดบ้าง
Klarna เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกในตลาด 45 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความต้องการของลูกค้าและกฎระเบียบแตกต่างกันไป ตลาดหลัก Klarna มีดังนี้
อเมริกาเหนือ
Klarna เจาะตลาดสหรัฐอเมริกาโดยใช้ประโยชน์จากการที่ผู้คนในประเทศกำลังต้องการวิธีการชําระเงินทางเลือกและตัวเลือกการจัดหาเงินทุนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากการที่ภาคธุรกิจ BNPL ของอเมริกาเหนือกําลังเติบโต โดยมีมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 การเชื่อมต่อการทํางานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ เช่น Shopify และ WooCommerce รวมทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัลยอดนิยมอย่างเช่น Apple Pay และ Google Pay, Klarna ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ซึ่งกำลังมองหาประสบการณ์การชําระเงินที่รวดเร็วและสะดวกสบาย นอกจากนี้ การดําเนินงานของ Klarna ในอเมริกาเหนือยังเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการให้กู้ยืมและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของ Consumer Financial Bureau ซึ่งช่วยส่งเสริมความไว้วางใจของผู้ใช้และแนวทางการให้กู้ยืมอย่างมีความรับผิดชอบยุโรป
ในยุโรป Klarna ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในภาคธุรกิจ BNPL โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 70%ในปี 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น Klarna ยังขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส โดยปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับลักษณะนิสัยการชําระเงินและระเบียบข้อบังคับในแต่ละประเทศ และต่อยอดความเป็นเจ้าตลาดในตลาดต่างๆ เช่น สวีเดนและเยอรมนี ซึ่งรวมถึงการผสานการทํางานกับวิธีการชําระเงินที่ได้รับความนิยมในประเทศนั้นๆ เช่น iDEAL ในเนเธอร์แลนด์และ Sofort ในเยอรมนี และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูล เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR)เอเชีย
ตลาดเอเชียมอบความท้าทายและโอกาสที่ไม่เหมือนใครให้กับ Klarna ตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตในภูมิภาคนี้มอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับบริษัท BNPL แห่งนี้ กลยุทธ์ของบริษัทให้ความสำคัญกับการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการโซลูชันการชำระเงินที่เน้นอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นอันดับแรก ซึ่งบางส่วนก็ประสบความสำเร็จจากการเป็นพาร์ทเนอร์กับกระเป๋าเงินดิจิทัลชั้นนํา เช่น Alipay Klarna ดำเนินธุรกิจท่ามกลางบริบททางกฎหมายที่มีความซับซ้อนในตลาดเอเชียแต่ละแห่ง และต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในจีน และระเบียบข้อบังคับ BNPL ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น กรอบข้อบังคับสำหรับการให้กู้ยืมผ่านระบบดิจิทัลของธนาคารกลางอินเดียออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ Klarna มีระดับการรับรู้แบรนด์และได้รับความไว้วางใจหมู่ผู้ใช้อย่างดีเยี่ยม ทำให้บริษัทยืนหยัดได้อย่างมั่นคง จากข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2023 พบว่า 40% ของผู้ใช้ในออสเตรเลีย ใช้บริการ BNPL ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ กลยุทธ์ของ Klarna ในภูมิภาคนี้ยังรวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น H&M, ASOS และ THE ICONIC ยังไม่รวมการให้อัตราดอกเบี้ยที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน Klarna ประกอบธุรกิจตามกฎระเบียบสำหรับบริการทางการเงินของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และการลงทุนของออสเตรเลีย (ASIC) และองค์กรควบคุมตลาดการเงิน (FMA)
ใครคือผู้ที่ใช้ Klarna
Klarna ให้บริการกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและผสานการทํางานกับธุรกิจหลากหลายประเภทใน 45 ตลาดทั่วโลก ผู้ใช้ Klarna มีหลายกลุ่มอายุ เพศ การศึกษา ช่วงชีวิต และสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริการได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากลูกค้าหลายกลุ่ม ลูกค้าใช้บริการของ Klarna เพื่อซื้อสินค้าภายในร้าน ทางออนไลน์ ภายในแอป และแม้แต่การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน ข้อมูลทางประชากรศาสตร์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าฐานลูกค้าของ Klarna มีลักษณะดังต่อไปนี้
เพศ: Klarna รายงานว่าลูกค้า 60% เป็นผู้หญิง และอีก 40% เป็นผู้ชาย
การศึกษา: Klarna รายงานว่าลูกค้า 31% จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และเน้นให้เห็นว่าผู้คนจากทุกระดับการศึกษาใช้บริการของบริษัท
ช่วงชีวิต: ข้อมูลของ Klarna แสดงให้เห็นว่าลูกค้า 36% ของ Klarna มีคู่ชีวิตและมีลูกแล้ว, 27% เป็นคนโสดที่ไม่มีลูก, 18% มีคู่แล้วและไม่มีลูก และ 11% เป็นคนโสดที่มีลูก
สังคม: ข้อมูลของ Klarna แสดงว่า 40% ของลูกค้าอาศัยอยู่ในเมือง, 32% อาศัยอยู่ในชานเมืองและ 28% อาศัยอยู่ในชนบท
อุตสาหกรรมที่ Klarna ประสบความสําเร็จมากที่สุด ได้แก่
ร้านค้าปลีก: ผู้ค้าปลีกรายใหญ่หลายแห่งนำเสนอ Klarna เป็นตัวเลือกในการชําระเงิน โดยมีอัตราการนําไปใช้ชําระค่าเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
การเดินทางและการบริการ: สายการบินและแพลตฟอร์มการจองการเดินทางอย่าง Expedia มักจะเชื่อมต่อการทำงานกับ Klarna ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถจองเที่ยวบินและโรงแรมโดยเลือกชําระเงินแบบยืดหยุ่นได้
สุขภาพและบริการเพื่อสุขภาพ: คลินิกทันตกรรม ร้านขายยา และธุรกิจในสถานบริการเพื่อสุขภาพนํา Klarna มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อาจชําระเงินเต็มจํานวนไม่ได้
ยานยนต์: ธุรกิจดูแลรถยนต์ยังยอมรับ Klarna เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกในการซื้อยางล้อและสิ่งสําคัญอื่น ๆ
Klarna ทํางานอย่างไร
หากต้องการชําระเงินด้วย Klarna ลูกค้าก็แค่เลือก Klarna เป็นวิธีการชําระเงินที่ต้องการในขั้นตอนการชําระเงิน ซึ่งอาจปรากฏอยู่บนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือในร้านค้าจริง นอกจากนี้ ลูกค้ายังจัดการบัญชี Klarna ของตนเองได้ผ่านแอป Klarna รวมทั้งติดตามคําสั่งซื้อ ดูกําหนดเวลาการชําระเงิน ทําการชําระเงิน และขอความช่วยเหลือจากฝ่ายสนับสนุนลูกค้า เมื่อชําระเงินด้วย Klarna ลูกค้าจะสามารถเลือกแพ็กเกจการชําระเงินต่อไปนี้ได้
Pay in 4: แพ็กเกจนี้จะแบ่งค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการออกเป็น 4 งวดและไม่เรียกเก็บดอกเบี้ย ลูกค้าต้องชำระเงินงวดแรกในขั้นตอนการชำระเงิน ส่วนที่เหลืออีก 3 งวดต้องชำระภายในระยะ 6 สัปดาห์
Pay in 30: ตัวเลือกนี้ให้ลูกค้าชําระค่าสินค้าและบริการเต็มจํานวนภายใน 30 วัน โดยไม่มีดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมหากชําระตรงเวลา
เงินกู้ระยะยาว: หากเป็นการซื้อที่มีมูลค่าสูง ลูกค้าจะสามารถขอผ่อนชำระระยะยาวได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 7.99%
ผลิตภัณฑ์บางประเภทอาจไม่มีสิทธิ์ขอบริการจัดหาเงินทุนผ่าน Klarna ตัวอย่างเช่น Klarna ไม่มีบริการจัดหาเงินทุนสำหรับบริการต่างๆ เช่น การตัดผม การซ่อมรถยนต์ และค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย หรือสินค้าที่จับต้องไม่ได้ เช่น เพลง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และภาพยนตร์ รวมทั้งไม่จัดหาเงินทุนให้กับการซื้อบางประเภท เช่น การซื้อตั๋วและบัตรผ่านประตู หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น การลงทุนหรือการประกันภัย นอกจากนี้ Klarna ยังไม่จัดหาเงินทุนให้กับการซื้อสินค้าที่ถูกจํากัด เช่น แอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และเนื้อหาสําหรับผู้ใหญ่
ผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้มักจะมีสิทธิ์ขอบริการจัดหาเงินทุนจาก Klarna ได้แต่มีข้อจํากัดบางประการ
สินค้าที่จับต้องได้: โดยทั่วไปแล้ว Klarna จะให้บริการจัดหาเงินทุนแก่ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ รวมถึงเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าในบ้าน
สินค้าดิจิทัล: ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลบางรายการ เช่น ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ หลักสูตรออนไลน์ และการเป็นสมาชิก อาจมีสิทธิ์รับบริการจัดหาเงินทุนของ Klarna
การเดินทาง: Klarna มอบทางเลือกมากมายในการจัดหาเงินทุนสําหรับการจองเที่ยวบิน โรงแรม และแพ็กเกจวันหยุดพักผ่อนผ่านพาร์ทเนอร์การเดินทางบางราย
บัตรของขวัญ: บัตรของขวัญบางแบบอาจมีสิทธิ์รับบริการจัดหาเงินทุนผ่าน Klarna แต่อาจมีข้อจํากัด ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ออกบัตรและประเภทของบัตรของขวัญ
การสั่งซื้อล่วงหน้า: Klarna อาจอนุญาตให้จัดหาเงินทุนสําหรับการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์บางประเภทล่วงหน้า แต่อาจกําหนดเวลาชําระเงินแตกต่างจากการจัดหาเงินทุนแบบมาตรฐาน
สินค้าสั่งทําหรือสินค้าเฉพาะบุคคล: สิทธิ์ในการขอรับการจัดหาเงินทุนสำหรับสินค้าสั่งทำหรือสินค้าเฉพาะบุคคลขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์และธุรกิจเป็นสำคัญ
และต่อไปนี้คือวิธีทํางานของ Klarna ในฝั่งธุรกิจ
การเชื่อมต่อการทํางาน: ธุรกิจต่างๆ สามารถผสานการทํางาน Klarna เข้ากับระบบบันทึกการขาย (POS)และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีอยู่ผ่านอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) และปลั๊กอินหลายแบบ
การประมวลผลธุรกรรม: เมื่อลูกค้าเลือก Klarna ในขั้นตอนการชําระเงิน Klarna จะยืนยันตัวตนและความน่าเชื่อถือทางเครดิตของลูกค้าโดยทันที เมื่อได้รับอนุมัติ Klarna จะเบิกจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการไปให้ธุรกิจล่วงหน้าโดยรับทราบว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินคืน Klarna จัดการธุรกรรมปริมาณมากและยังคงให้บริการได้ตามปกติแม้ในช่วงเวลาที่มีอัตราการใช้งานสูง เพราะใช้สถาปัตยกรรมแบบกระจายเพื่อให้รองรับการขยายระบบและช่วยให้ทำงานได้อย่างเสถียร
การชําระเงิน: Klarna ชําระเงินตามยอดธุรกรรมให้แก่ธุรกิจภายใน 2-3 วันทําการ โดยปกติแล้วจะดําเนินการผ่านการโอนเงินผ่านธนาคารหรือการชําระเงินแบบ ACH
ประโยชน์ของการยอมรับ Klarna
ชําระเงินได้รวดเร็วขึ้น: ความเร็วในการประมวลผลของ Klarna ลดเวลาชําระเงิน ลดจํานวนคิวลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
กระบวนการอัตโนมัติ: Klarna นำฟังก์ชันการทํางานอัตโนมัติมาใช้แทนงานที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองด้วย จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลการชําระเงิน และเพิ่มทรัพยากรให้กับแผนงานเชิงกลยุทธ์
ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า: Klarna ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรม ความต้องการ และข้อมูลประชากรของลูกค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดทำแคมเปญการตลาด ข้อเสนอผลิตภัณฑ์ และการจัดการสินค้าคงคลังอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร การวางแผนธุรกิจ และประสิทธิภาพโดยรวม
เพิ่มความถี่ในการซื้อ: อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายของ Klarna และตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นช่วยสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สะดวกสบาย นอกจากนี้ การมอบตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นจะช่วยเพิ่มความถี่ในการซื้อได้ถึง 20% จากการรายงานของ Klarna ปี 2020
เพิ่มกําลังซื้อ: ตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นของ Klarna ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ จากข้อมูลในรายงานประจําปี 2020 ของ Klarna ธุรกิจต่างๆ มีมูลค่าคําสั่งซื้อโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 68% จากการมอบความยืดหยุ่นในการชำระเงินในลักษณะดังกล่าว
ลดการละทิ้งรถเข็น: กระบวนการชําระเงินที่ราบรื่นของ Klarna ลดการละทิ้งรถเข็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ในรายงานประจําปี 2020 ของ Klarna ผู้ค้าปลีกรายหนึ่งรายงานว่ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 200% ในช่วงเทศกาลวันหยุด
ช่องทางรายรับที่หลากหลาย: Klarna ช่วยธุรกิจสร้างช่องทางรายรับใหม่ๆ ผ่านโซลูชันอันล้ำสมัย เช่น Pay in 30 และตัวเลือกการจัดหาเงินทุนอื่นๆ
การป้องกันการฉ้อโกง: มาตรการรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนของ Klarna ช่วยลดกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง จึงปกป้องธุรกิจจากการสูญเสียทางการเงิน รวมทั้งปกป้องความสมบูรณ์ถูกต้องของรายรับ
ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ยอมรับ Klarna จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้และดึงดูดลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์ด้วยการแสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะเสนอวิธีการชําระเงินอันล้ำสมัยที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก กล่าวได้ว่าการยอมรับ Klarna และการผสานการทํางานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้ธุรกิจก้าวขึ้นไปอยู่ในแนวหน้าของสภาพแวดล้อมแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Klarna
การเข้ารหัสข้อมูล: Klarna ใช้การเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อรักษาความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูล แปลงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและรายละเอียดส่วนบุคคลเป็นรหัสที่ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูล Klarna ใช้การเข้ารหัสแบบ AES-256 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานการเข้ารหัสที่เข้มแข็งที่สุด มารักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูล ทั้งข้อมูลที่จัดเก็บไว้และข้อมูลที่กำลังส่ง การเข้ารหัสระดับนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าแม้ข้อมูลจะถูกสกัดกั้น แต่ก็จะไม่สามารถอ่านได้หากไม่มีคีย์ถอดรหัสที่ถูกต้อง
การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: ในฐานะผู้ให้บริการชําระเงิน Klarna ปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS ทำให้จำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจํา และช่วยให้มั่นใจว่า Klarna จะมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสําหรับจัดการข้อมูลของเจ้าของบัตรเสมอ นอกจากนี้ Klarna ยังปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลทั่วโลก รวมถึง GDPR ในยุโรป กฎหมายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (CCPA) ประเทศสหรัฐฯ และกฎหมายที่คล้ายคลึงกันในเขตอํานาจศาลอื่นๆ โดยมีการใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดในการจัดการข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค
การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA): Klarna ใช้ 2FA เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งให้กับบัญชีลูกค้า ในการอนุมัติธุรกรรม ลูกค้าไม่เพียงต้องใช้รหัสผ่านและชื่อผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังต้องใช้สินทรัพย์บางอย่างที่เฉพาะบุคลากรของลูกค้ามีอยู่กับตัว เช่น โทเค็นจริงหรือแอปสมาร์ทโฟน วิธีนี้ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาตได้เป็นอย่างดี
การแปลงเป็นโทเค็น: ในขั้นตอนการชําระเงินของ Klarna มีการนำการแปลงเป็นโทเค็น มาใช้โดยแทนที่ข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนด้วยรหัสระบุหรือโทเค็นที่ไม่ซ้ํากัน นั่นหมายความว่าเราจะไม่จัดเก็บหรือส่งรายละเอียดบัตรระหว่างทําธุรกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการฉ้อโกงลงได้อย่างมาก
การตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าแบบรัดกุม (SCA): Klarna นํา SCA มาใช้กับธุรกรรมตามคำสั่งว่าด้วยบริการชําระเงินฉบับปรับปรุงของสหภาพยุโรป (PSD2) โดย SCA กําหนดให้การชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ต้องได้รับการตรวจสอบสิทธิ์โดยใช้องค์ประกอบ 2 ใน 3 อย่างต่อไปนี้: สิ่งที่ลูกค้าทราบ (เช่น รหัสผ่าน) สิ่งที่ลูกค้ามี (เช่น อุปกรณ์เคลื่อนที่) หรือข้อมูลทางกายภาพของลูกค้า (เช่น ข้อมูลไบโอเมตริก เช่น ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้า)
การตรวจสอบและอัปเดตด้านความปลอดภัยเป็นประจํา: Klarna ตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจําเพื่อระบุและแก้ไขช่องโหว่ การตรวจสอบเหล่านี้เป็นกุญแจสําคัญในการรักษามาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดและการอัปเดตระบบป้องกันของแพลตฟอร์มให้ทันต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา แนวทางจัดการช่องโหว่แบบเชิงรุกของ Klarna ซึ่งรวมถึงการประเมินเป็นประจําและการทดสอบการเจาะข้อมูล สำคัญอย่างมากในการระบุและแก้ไขจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น
API ที่ปลอดภัยสําหรับธุรกิจ: Klarna มอบอินเทอร์เฟซ API ที่ปลอดภัยให้ธุรกิจต่างๆ นำไปเชื่อมต่อการทํางาน ซึ่งจะช่วยปกป้องข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันระหว่าง Klarna กับระบบของธุรกิจ
การคุ้มครองข้อมูล: Klarna มีนโยบายสําหรับปกป้องข้อมูลลูกค้า รวมถึงการจํากัดการเข้าถึงข้อมูลสําหรับบุคลากรที่ได้รับอนุญาต และใช้โซลูชันจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย เครื่องมือป้องกันการสูญเสียข้อมูล (DLP) มีความสําคัญอย่างยิ่งในการป้องกันทั้งการรั่วไหลของข้อมูลภายในและภายนอก ทําให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจะไม่ตกอยู่ในมือของผู้อื่น
การป้องกันการฉ้อโกง: Klarna ใช้อัลกอริทึมจัดการความเสี่ยงอันซับซ้อนที่ใช้ประโยชน์จากแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อตรวจจับและป้องกันกิจกรรมการฉ้อโกง ระบบเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งพัฒนาอย่างต่อเนื่องเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ๆ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป Klarna ใช้เกณฑ์ความถี่ในการตรวจสอบรูปแบบธุรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง รวมทั้งจํากัดผลกระทบของธุรกรรมปริมาณมากที่อาจเป็นฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การยืนยันตัวตน: มาตรการการยืนยันตัวตนของ Klarna ใช้หลายปัจจัย รวมถึงการยืนยันที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ ตลอดจนวิธีแบบดิจิทัลที่มีความซับซ้อน เช่น 3D Secure
การยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน
ธุรกิจต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดทางเทคนิค กฎหมาย และข้อบังคับบางอย่างจึงจะยอมรับ Klarna เป็นวิธีการชําระเงินได้
การจดทะเบียนธุรกิจและใบอนุญาต: ธุรกิจจะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายและถือครองใบอนุญาตที่จําเป็นทั้งหมดในภูมิภาคที่ดําเนินธุรกิจ
ความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจจะต้องมีร้านค้าออนไลน์ที่สามารถเชื่อมต่อการทํางานกับ Klarna ได้ Klarna มีปลั๊กอินและ API สําหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมอย่าง Shopify, WooCommerce, Magento และแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งธุรกิจจะต้องตั้งโปรแกรมการเชื่อมต่อเกตเวย์การชําระเงินของ Klarna กับระบบชําระเงินออนไลน์ของธุรกิจโดยใช้ API หรือปลั๊กอินเหล่านี้
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: ธุรกิจจะต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรและน่าเชื่อถือเพื่อประมวลผลธุรกรรม Klarna
การปฏิบัติกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ: ธุรกิจต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเรียกเก็บและนําส่งภาษีการขาย นอกจากนี้ยังต้องดำเนินธุรกิจตามข้อกําหนด PCI DSS เพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลบัตรชําระเงินได้อย่างปลอดภัย ใช้วิธีการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และรู้จักลูกค้าของคุณ (KYC) เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าและป้องกันกิจกรรมการฉ้อโกง และปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น GDPR ในยุโรปหรือ CCPA ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ธุรกิจต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อรับชําระเงินผ่าน Klarna ได้
ลงทะเบียนเปิดบัญชีผู้ค้าของ Klarna: ดําเนินการลงทะเบียนกับ Klarna ให้เสร็จสมบูรณ์และเปิดใช้งานบัญชีของคุณ โดยในขั้นตอนการจดทะเบียนนี้อาจมีการประเมินความมั่นคงทางการเงินและความน่าเชื่อถือทางเครดิตของธุรกิจด้วย หากการลงทะเบียนได้รับอนุมัติ ธุรกิจต่างๆ จะได้รับข้อตกลงสำหรับผู้ค้าจาก Klarna ซึ่งควรตรวจสอบอย่างละเอียด
เชื่อมต่อการทำงานกับระบบ Klarna: กําหนดค่า Klarna API หรือติดตั้งปลั๊กอิน Klarna บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อเชื่อมโยงระบบการชําระเงิน Klarna กับร้านค้าออนไลน์ของธุรกิจคุณ
เพิ่ม Klarna เป็นวิธีการชําระเงิน: เพิ่ม Klarna เป็นตัวเลือกการชําระเงินในขั้นตอนการชําระเงิน และทําการทดสอบอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่า Klarna ทํางานได้อย่างราบรื่นในร้านค้าออนไลน์ของคุณ
ธุรกิจที่ต้องการรับชําระเงินผ่าน Klarna โดยใช้Stripe เป็นผู้ประมวลผลการชําระเงิน จะมีขั้นตอนการตั้งค่าเฉพาะ อันดับแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหรือเว็บไซต์ของตนเข้ากันได้กับ Stripe และจะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดทั้งหมดเช่นเดียวกับธุรกิจที่ต้องการรับชําระเงินจาก Klarna โดยตรง รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในท้องถิ่น
ดูขั้นตอนการประมวลผลการชําระเงินจาก Klarna ผ่าน Stripe ได้จากด้านล่าง
การตั้งค่าบัญชี: ธุรกิจต้องมีบัญชี Stripe อยู่แล้วหรือสร้างบัญชีใหม่ผ่านกระบวนการสร้างบัญชีของ Stripe โดยจะต้องให้รายละเอียดธุรกิจและข้อมูลธนาคาร
การเชื่อมต่อการทํางานกับ Stripe API: ธุรกิจต้องเชื่อมต่อการทํางานของ Stripe API เข้ากับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตน Stripe มีเอกสารประกอบที่ครอบคลุมและชุดเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) สําหรับภาษาเขียนโปรแกรมที่หลากหลายเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับกระบวนการนี้
การเปิดใช้งาน Klarna: ธุรกิจจะต้องเปิดใช้งาน Klarna เป็นวิธีการชําระเงินภายในบัญชี Stripe ของตน โดยอาจจะต้องใช้ขั้นตอนการยืนยันหรือการอนุมัติเพิ่มเติมทั้งภายใน Stripe และ Klarna
กําหนดค่าการชำระเงินผ่าน Klarna: ธุรกิจต่างๆ จะกําหนดค่า Klarna เป็นวิธีการชําระเงินในแดชบอร์ด Stripe หรือผ่าน API พร้อมทั้งระบุวิธีการชําระเงินที่ต้องการเสนอ (เช่น Pay in 4) และภูมิภาคต่างๆ ที่ธุรกิจจะยอมรับ Klarna
ทดสอบฟังก์ชัน: ธุรกิจควรใช้สภาพแวดล้อมการทดสอบของ Stripe เพื่อให้มั่นใจว่าการชําระเงิน Klarna จะทํางานได้ตามที่คาดไว้ โดย Stripe จะมอบข้อมูลประจําตัวทดสอบเพื่อให้ธุรกิจนำไปใช้จําลองธุรกรรม Klarna
แสดงข้อตกลงสำหรับผู้ใช้: เว็บไซต์ของธุรกิจควรมีข้อตกลงผู้ใช้และนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ครอบคลุมการใช้ Klarna และ Stripe ซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีจัดการและประมวลผลข้อมูลลูกค้า
ติดตามตรวจสอบธุรกรรม: ธุรกิจควรติดตามตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจําเพื่อหาปัญหาหรือรูปแบบที่ผิดปกติ และเตรียมพร้อมที่จะทํางานร่วมกับ Stripe และ Klarna เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Klarna
Klarna มีคู่แข่งหลายรายในอุตสาหกรรม BNPL ต่อไปนี้คือคู่แข่งรายใหญ่ของ Klarna ในตลาดต่างๆ ทั่วโลก
อเมริกาเหนือ
Affirm: Affirm มีชื่อเสียงอย่างมากในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา จึงเป็นคู่แข่งของ Klarna ในแง่ของความนิยม Affirm มีแผนการชําระเงินที่ยืดหยุ่น รวมทั้งกำหนดระยะสัญญายาวกว่าและเสนอตัวเลือกแบบมีดอกเบี้ย ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าในวงกว้าง นอกจากนี้ัยังผสานการทํางานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่และให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม แต่ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากธุรกิจมีแนวโน้มว่าจะสูงกว่า Klarna
Afterpay: Afterpay เป็นบริษัทในออสเตรเลียที่มีส่วนแบ่งตลาดไม่น้อยในอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ แผนการชําระเงินระยะสั้นแบบปลอดดอกเบี้ยตอบโจทย์ของลูกค้าที่มีงบประมาณจำกัด อย่างไรก็ตาม Afterpay เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินล่าช้าสูงมากจากลูกค้า และธุรกิจอาจมีอัตราการดึงเงินคืนสูงกว่าผู้ให้บริการรายอื่น
PayPal Credit: PayPal ใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ที่มีอยู่เดิมและหันมาเจาะตลาด BNPL ด้วยเช่นกันโดยมอบบริการ PayPal Credit แต่ถึงแม้ว่า PayPal จะมอบประสบการณ์การชําระเงินที่ราบรื่นให้กับลูกค้าที่คุ้นเคยกับระบบของ PayPal อยู่แล้ว แต่ค่าธรรมเนียมอาจไม่ชัดเจนและซับซ้อนสําหรับทั้งธุรกิจและลูกค้า
ยุโรป
Clearpay: Clearpay มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในยุโรปและฟีเจอร์คล้ายกันกับ Afterpay รวมถึงแพ็กเกจการชําระเงินระยะสั้นแบบปลอดดอกเบี้ยซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะกับลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมการชําระเงินล่าช้าของ Clearpay อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าอย่างมาก
Ratepay: Ratepay คือผู้ให้บริการ BNPL ในเยอรมนีที่มอบตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นและมีอัตราค่าธรรมเนียมน่าสนใจสําหรับทั้งธุรกิจและลูกค้า ทั้งยังเน้นการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันการฉ้อโกงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยที่สุด ข้อเสียก็คือใช้บริการได้เฉพาะในตลาดยุโรป ทำให้ไม่น่าดึงดูดเท่าที่ควรสำหรับธุรกิจระดับโลก
Mangopay: Mangopay คือโซลูชัน BNPL ของฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสและมีโซลูชันที่ปรับแต่งมาเพื่อธุรกิจ ซึ่งอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมระหว่างหลายฝ่าย Mangopay มีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและเครื่องมือจัดการการชําระเงินที่ครอบคลุม แต่จะเน้นที่มาร์เก็ตเพลสเป็นหลัก ดังนั้นจึงอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจในภาคธุรกิจต่างๆ
เอเชียแปซิฟิก
รหัสไปรษณีย์: Zip คือผู้ให้บริการด้าน BNPL ที่กําลังเติบโตอย่างรวดเร็วในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยนําเสนอแผนการชําระเงินที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งตัวเลือกระยะสั้นและระยะยาว ข้อดีคือแพลตฟอร์มเป็นมิตรกับผู้ใช้และทั้งยังมีการรับรู้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง สามารถดึงดูดฐานลูกค้าขนาดใหญ่ แต่ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่าคู่แข่งบางรายและไม่ได้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
Atome: Atome เป็นผู้ให้บริการ BNPL ในสิงคโปร์ที่ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Atome ใช้ประโยชน์จากการเป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่และธุรกิจท้องถิ่นในการเข้าถึงฐานลูกค้าในวงกว้าง แต่ข้อเสียคือเน้นให้บริการคนรุ่นใหม่เป็นหลัก จึงอาจไม่เหมาะกับบางธุรกิจ
FOMO Pay: FOMO Pay ในสิงคโปร์กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในภาคธุรกิจ BNPL และตอบโจทย์ความต้องการการชําระเงินแบบยืดหยุ่นที่กำลังเติบโตด้วยการเสนอแผนการผ่อนชําระแบบปลอดดอกเบี้ย ทั้งยังผสานการทํางานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนํา อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการดําเนินงานของ FOMO Pay ยังอยู่ในวงจำกัด และฐานผู้ใช้วัยหนุ่มสาวอาจไม่เหมาะกับธุรกิจบางราย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ