วิธีเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน: กลวิธี 11 ข้อที่ธุรกิจทุกแห่งควรรู้

Checkout
Checkout

Stripe Checkout เป็นแบบฟอร์มการชำระเงินสำเร็จรูปที่คุณสามารถปรับแต่งให้เหมาะสำหรับเพิ่มยอดขาย นอกจากนี้คุณยังผสานรวม Checkout เข้ากับเว็บไซต์โดยตรงหรือนำลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่จัดการโดย Stripe ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงยังรับการชำระเงินแบบครั้งเดียวหรือการชำระเงินตามรอบบิลได้อีกด้วย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินคืออะไร
  3. อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินบอกอะไรคุณบ้าง
  4. ทําไมอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจึงมีความสําคัญต่อธุรกิจ
  5. วิธีเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน
    1. 1. ทําให้กระบวนการง่ายขึ้น
    2. 2. เสนอการชําระเงินแบบไม่ต้องเข้าสู่ระบบ
    3. 3. มอบตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลาย
    4. 4. แสดงสัญญาณความน่าเชื่อถือ
    5. 5. มอบความโปร่งใสเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
    6. 6. ปรับให้เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่
    7. 7. การกําหนดเป้าหมายใหม่ให้กับรถเข็นที่ถูกละทิ้ง
    8. 8. เสนอสิ่งจูงใจ
    9. 9. แสดงปุ่มกระตุ้นให้ดําเนินการ (CTA) อย่างชัดเจน
    10. 10. มีนโยบายการคืนสินค้าหรือการยกเลิกที่ชัดเจน
    11. 11. เวลาในการโหลดที่รวดเร็ว
  6. Stripe จะช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินได้อย่างไร

เมื่อธุรกรรมออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจต่างๆ จึงต้องปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อที่เสร็จสมบูรณ์ รถเข็นช็อปปิ้งออนไลน์ 70% ถูกละทิ้ง ตามการสรุปผลการศึกษาเกือบ 50 รายการของสถาบัน Baymard ในปี 2023 หากธุรกิจสามารถเปลี่ยนรถเข็นที่ถูกละทิ้งเหล่านี้ให้เป็นยอดขายได้ ก็อาจหมายถึงการเติบโตของรายรับอย่างมีนัยสําคัญ แต่ธุรกิจจะแปลงรถเข็นที่ถูกละทิ้งจํานวนมากให้เป็นยอดขายได้อย่างไร ส่วนหนึ่งของคําตอบจะอยู่ในช่วงเวลาการชําระเงิน

การเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปภาพผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดหรือคําอธิบายที่น่าสนใจเท่านั้น นอกจากนี้ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตลาดเป้าหมายของคุณต้องการจริงๆ เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว การเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจะขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในการสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่เหมาะสม

ในบรรดาความท้าทายทั้งหมดที่ธุรกิจต้องเผชิญ สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกค้าที่มีศักยภาพจะซื้อสินค้าให้เสร็จสมบูรณ์ ขั้นตอนการชำระเงินที่ราบรื่นและใช้งานง่าย ซึ่งสร้างความไว้วางใจ อาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการขายและโอกาสที่สูญเสียไป

บทความนี้สํารวจกลยุทธ์ที่สามารถดําเนินการได้ 11 ประการเพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินในขั้นตอนการชําระเงิน โดยมุ่งเน้นที่ต้นตอของความลังเลของลูกค้าและการละทิ้ง แล้วจัดการปัญหาเหล่านั้นด้วยวิธีการแบบในเชิงรุกและแบบองค์รวม ตั้งแต่การปรับแต่งทางเทคโนโลยีไปจนถึงการกระตุ้นทางจิตวิทยา เราจะมาสำรวจว่าธุรกิจต่างๆ สามารถเปลี่ยนกระบวนการชำระเงินให้กลายเป็นเครื่องจักรในการสร้างยอดขายได้อย่างไร

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินคืออะไร
  • อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินบอกอะไรคุณบ้าง
  • ทําไมอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจึงมีความสําคัญต่อธุรกิจ
  • วิธีเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน
  • Stripe จะช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินได้อย่างไร

อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินคืออะไร

นี่คือสัดส่วนของผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือลูกค้าในแพลตฟอร์มที่ดําเนินการตามเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการ การดําเนินการอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่การซื้อผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการลงทะเบียนรับจดหมายข่าว สําหรับธุรกิจ การติดตามตรวจสอบและปรับปรุงอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าจะช่วยให้เราเข้าใจถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดและระบุด้านที่ควรปรับปรุง

โดยปกติ อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งคำนวณได้โดยการหารจำนวนการกระทำที่ดำเนินการโดยจำนวนผู้เยี่ยมชมทั้งหมด จากนั้นคูณตัวเลขนั้นด้วย 100 ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์มีผู้เข้าชม 1,000 คนและ 10 คนทําการซื้อ อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินคือ 1% การปรับปรุงเมตริกนี้อาจทําให้มีรายรับเพิ่มขึ้นโดยไม่จําเป็นต้องเพิ่มการเข้าชม

อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินบอกอะไรคุณบ้าง

อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินเป็นข้อมูลชี้วัดพื้นฐานที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดและประสบการณ์ของลูกค้า

  • ประสบการณ์ของลูกค้า
    ปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินก็คือประสบการณ์ของลูกค้า หากผู้เข้าชมค้นหาข้อมูล ทําความเข้าใจข้อเสนอ และดําเนินการตามที่ต้องการได้ง่าย ก็มีแนวโน้มว่าอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินของธุรกิจจะสูงขึ้น

  • ประสิทธิภาพกลยุทธ์การตลาด
    ธุรกิจอาจขับเคลื่อนการเข้าชมจำนวนมากไปยังแพลตฟอร์มของตนผ่านช่องทางต่างๆ แต่หากมีอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้ที่ต่ำ อาจบ่งชี้ได้ว่าการเข้าชมนั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ (นั่นคือ ผู้เยี่ยมชมเหล่านั้นไม่มีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นลูกค้า) หรือข้อความทางการตลาดไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย

  • กลยุทธ์ด้านราคา
    บางครั้งปัญหาไม่ได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์ม แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับราคา อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ว่ากลยุทธ์ด้านราคาของธุรกิจเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่

  • ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์กับตลาด
    อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินต่ําอาจบ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมกับตลาด ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์ที่นําเสนออาจไม่ตรงตามความต้องการหรือความปรารถนาของกลุ่มเป้าหมาย

  • ความน่าเชื่อถือ
    ความไว้วางใจมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งสําหรับธุรกิจออนไลน์ หากผู้เข้าชมไม่เชื่อถือแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นเพราะการออกแบบ ขาดข้อมูลที่ชัดเจน หรือไม่มีการตรวจสอบ ก็อาจจะไม่มีการแปลงเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน

  • ปัจจัยภายนอก
    ปัจจัยภายนอก อย่างเช่น การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของอุตสาหกรรม หรือเหตุการณ์ทั่วโลกอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ การติดตามอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินในช่วงดังกล่าวช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความยืดหยุ่นและวิธีปรับปรุงในอนาคต

ทําไมอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจึงมีความสําคัญต่อธุรกิจ

ธุรกิจสมัยใหม่ที่พยายามดึงดูดลูกค้ารายใหม่ๆ และยอมรับการชำระเงินทางออนไลน์ดำเนินการในพื้นที่เสมือนจริงซึ่งสามารถวัดและวิเคราะห์การคลิก การเลื่อนเมาส์ และการเลื่อนดูหน้าเว็บได้ ภายในสภาพแวดล้อมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนี้ อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินเป็นหนึ่งในเมตริกที่มอบข้อมูลได้ดีที่สุด และมอบสถานะเกี่ยวกับประสิทธิภาพได้ทันที ความสําคัญของอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินนั้นเกิดจากหลายปัจจัย

ต่อไปนี้คือวิธีที่การวิเคราะห์อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจะแสดงข้อมูลเชิงลึกที่สําคัญต่อการดําเนินธุรกิจ

  • ความสัมพันธ์โดยตรงกับรายรับ
    สําหรับธุรกิจหลายแห่ง อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจะแปลงเป็นยอดขาย อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินที่สูงขึ้นมักหมายความว่าผู้เข้าชมหันมาเป็นผู้ซื้อมากขึ้น ซึ่งนําไปสู่รายรับที่เพิ่มขึ้น

  • ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
    โดยทั่วไป ธุรกิจต่างๆ มักจะลงทุนอย่างหนักในด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดการเข้าชม และอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินจะช่วยวัดผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านี้ หากแคมเปญการตลาดใดแคมเปญหนึ่งกระตุ้นการเข้าชม แต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน ก็เป็นสัญญาณว่าแคมเปญดังกล่าวอาจไม่ได้ผล

  • ความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้า
    อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินแสดงความคิดเห็นทางอ้อมเกี่ยวกับประสบการณ์การชําระเงิน อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินที่ลดลงอาจแสดงถึงปัญหาต่างๆ เช่น กระบวนการชําระเงินที่ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งที่ไม่คาดคิด หรือปัญหาเกี่ยวกับความเร็วของเว็บไซต์

  • การจัดการสินค้าคงคลัง
    การทําความเข้าใจอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินยังช่วยวางแผนสินค้าคงคลังได้ด้วย ธุรกิจอาจจะต้องสต็อกสินค้าที่มีอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินสูงกว่า ในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราต่ํากว่าอาจต้องอาศัยกลยุทธ์การประเมินค่าใหม่หรือโปรโมชัน

  • การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    ขณะที่ธุรกิจทดลองฟีเจอร์ เลย์เอาต์ หรือกลยุทธ์ส่งเสริมการขายใหม่ๆ สําหรับช่องทางออนไลน์ของตน อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินถือเป็นกลไกคําติชมที่มอบข้อมูลในทันที ข้อมูลนี้ช่วยให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจโดยอิงตามข้อมูล

  • ความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือ
    สําหรับธุรกิจออนไลน์ การสร้างความเชื่อมั่นเป็นหัวใจสําคัญเนื่องจากอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินอาจสะท้อนให้เห็นว่าผู้เข้าชมเชื่อถือเว็บไซต์มากน้อยเพียงใด เว็บไซต์ที่ออกแบบมาอย่างดี โปร่งใส และใช้งานง่ายมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินสูงขึ้น

ธุรกิจในภาคธุรกิจต่างๆ ล้วนมองหาวิธีการที่แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินจะเน้นให้ทราบว่าสิ่งใดได้ผลและสิ่งใดไม่ได้ผล เมตริกการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินสามารถบอกเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้เยี่ยมชม ความต้องการ และตัวเลือก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้

วิธีเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน

การทำความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าเป้าหมายและวิธีการที่พวกเขาโต้ตอบกันภายในสภาพแวดล้อมออนไลน์นั้นจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อคุณทราบสิ่งที่คุณทำกับข้อมูลนั้นเท่านั้น การสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่มีการให้ข้อมูลพร้อมประสบการณ์การชำระเงินที่ราบรื่นและใช้งานง่ายสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการขายที่เสร็จสมบูรณ์และการสูญเสียลูกค้า

ต่อไปนี้คือ 11 กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสําหรับการเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน

1. ทําให้กระบวนการง่ายขึ้น

บ่อยครั้ง ขั้นตอนการชําระเงินเป็นปราการสุดท้ายในการป้องกันการละทิ้งรถเข็น ขั้นตอนหรือช่องข้อมูลเพิ่มเติมแต่ละช่องอาจกลายเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ซื้อได้ แม้ว่าการรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือขายเพิ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในระหว่างการชำระเงินจะเป็นการดำเนินการที่น่าดึงดูดใจ แต่คุณควรเน้นที่เป้าหมายหลัก นั่นคือ อำนวยความสะดวกเพื่อการซื้อที่ปราศจากปัญหา กระบวนการที่ราบรื่นจะช่วยลดความติดขัด ลูกค้าจึงมีเวลาไปมุ่งเน้นในการดําเนินการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์โดยไร้สิ่งรบกวน ผลลัพธ์ก็คือธุรกิจต่างๆ จะสามารถเพิ่มการแปลงเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินได้อย่างมากเมื่อดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2. เสนอการชําระเงินแบบไม่ต้องเข้าสู่ระบบ

นักช็อปออนไลน์ทุกคนต้องเผชิญกับหน้าต่างป๊อปอัปแจ้งให้สร้างบัญชี และสำหรับหลายๆ คน นี่คือขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคซึ่งทำให้พวกเขาหมดความสนใจในการซื้อสินค้าต่อไป แม้ว่าเจตนาเบื้องหลังการสร้างบัญชีแบบป๊อปอัป เช่น การสร้างฐานข้อมูล และสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าอย่างต่อเนื่องนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การดำเนินการดังกล่าวก็อาจเปลี่ยนใจผู้ที่อาจเป็นผู้ซื้อ การให้ลูกค้าเลือกชำระเงินแบบไม่ต้องเข้าสู่ระบบถือเป็นการเคารพเวลาและความต้องการในการซื้ออย่างรวดเร็วของลูกค้า ยิ่งคุณต้องการความพยายามและความมุ่งมั่นจากพวกเขาน้อยลงเท่าไร โอกาสที่พวกเขาจะทำการซื้อให้เสร็จสิ้นก็จะมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้มีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำในภายหลัง

3. มอบตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลาย

ลูกค้าสมัยใหม่คาดหวังตัวเลือกในทุกแง่มุมของประสบการณ์การช็อปปิ้ง ซึ่งรวมถึงวิธีการชําระเงิน บางคนชอบธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ในขณะที่คนอื่นๆ นิยมวิธีการใหม่ๆ เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล ลูกค้าหลายรายยังชอบความยืดหยุ่นในการผ่อนชำระได้โดยใช้วิธีแบบซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง การตอบสนองความต้องการที่หลากหลายเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงบริการเพิ่มเติมอีกต่อไป แต่เป็นความคาดหวังพื้นฐาน การรองรับตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลายจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในปัจจุบันได้มากขึ้นและยังดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นอีกด้วย

4. แสดงสัญญาณความน่าเชื่อถือ

ธุรกรรมออนไลน์ต้องอาศัยความไว้วางใจ เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่เคยที่ธุรกิจต่างๆ จะต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลและเงินของพวกเขาปลอดภัย การแสดงสัญญาณความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นรีวิวเชิงบวกจากผู้ซื้อรายอื่น หรือป้ายจากองค์กรด้านความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการยอมรับ จะช่วยให้เกิดความมั่นใจได้

5. มอบความโปร่งใสเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย

ไม่มีใครชอบการเรียกเก็บเงินแอบแฝง การตกใจในราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนสุดท้ายของการชำระเงิน ถือเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของการละทิ้งรถเข็นสินค้า ดังนั้น การแสดงรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาษีหรือค่าจัดส่ง จะช่วยป้องกันความประหลาดใจในนาทีสุดท้าย และยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ซื้ออีกด้วย

6. ปรับให้เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่

ขั้นตอนการชําระเงินที่ไม่เหมาะสําหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่คือโอกาสที่พลาดไป สิ่งสําคัญคือต้องคํานึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ปุ่มที่ใช้งานง่ายสําหรับการสัมผัส แบบอักษรที่อ่านได้ง่าย และการนําทางที่เรียบง่ายซึ่งปรับแต่งมาให้เหมาะกับหน้าจอขนาดเล็ก ความเอาใจใส่ในรายละเอียดดังกล่าวทำให้ผู้ซื้อผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มีประสบการณ์ที่ง่ายดายและเพลิดเพลินเช่นเดียวกับผู้ซื้อบนเดสก์ท็อป

7. การกําหนดเป้าหมายใหม่ให้กับรถเข็นที่ถูกละทิ้ง

แม้ว่าธุรกิจจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่การละทิ้งตะกร้าสินค้าก็ยังคงเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ไร้ทางแก้ไขเสมอไป กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนทางอีเมลหรือโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย สามารถดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่ยังไม่แน่ใจให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยการดึงดูดให้พวกเขากลับมามีส่วนร่วมและแจ้งถึงคุณค่าที่พวกเขาเห็นในผลิตภัณฑ์ในตอนแรก

8. เสนอสิ่งจูงใจ

ทุกคนอยากเป็นคนพิเศษและได้รับดีลดีๆ การนําเสนอรางวัลจูงใจ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด การจัดส่งฟรี หรือสินค้าโบนัส อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับผู้ซื้อที่ลังเล สิ่งจูงใจดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่การลดราคาเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความขอบคุณที่ลูกค้าเลือกซื้อจากธุรกิจอีกด้วย

9. แสดงปุ่มกระตุ้นให้ดําเนินการ (CTA) อย่างชัดเจน

คำแนะนำที่ชัดเจนจะช่วยแนะนำผู้ซื้อ ทำให้ผู้ซื้อไม่รู้สึกหลงทางหรือสับสน CTA ที่โดดเด่นและชัดเจน เช่น "ไปที่การชําระเงิน" หรือ "เลือกซื้อสินค้าต่อ" ทําให้เส้นทางการชําระเงินมีความชัดเจน ดังนั้น โปรดมุ่งเน้นที่การลดการคาดเดาและมอบการเปลี่ยนผ่านจากขั้นตอนหนึ่งไปสู่ขั้นตอนถัดไปอย่างราบรื่น

10. มีนโยบายการคืนสินค้าหรือการยกเลิกที่ชัดเจน

การคืนสินค้า การดาวน์เกรด และการยกเลิกเป็นส่วนสําคัญของประสบการณ์การใช้งานเมื่อคุณประมวลผลการขายและจัดการกับการลงทะเบียนลูกค้าทางออนไลน์ ธุรกิจควรใช้นโยบายการคืนสินค้า การดาวน์เกรด และการยกเลิกเป็นจุดขาย แทนที่จะพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงข้อมูลเหล่านี้ นโยบายที่ชัดเจนและยุติธรรมที่แสดงในระหว่างการชำระเงินสามารถลดความลังเลใจในการซื้อที่ยังคงมีอยู่ได้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของธุรกิจที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนและความมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

11. เวลาในการโหลดที่รวดเร็ว

เว็บไซต์ที่ล่าช้าเป็นวิธีไล่ลูกค้าอย่างรวดเร็ว ความล่าช้าทุกวินาทีอาจทำให้อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินลดลง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมและการรับประกันเวลาโหลดที่รวดเร็วไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเคารพเวลาของลูกค้าและลดโอกาสที่พวกเขาจะหมดความอดทนและยอมแพ้

สำหรับธุรกิจต่างๆ การเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินหมายถึงการใช้การผสมผสานระหว่างจิตวิทยาและการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค การทําความเข้าใจความท้าทายและความลังเลใจของลูกค้า รวมถึงการจัดการกับลูกค้าในเชิงรุกอาจทําให้ประสบการณ์การชําระเงินมีความคล่องตัวมากขึ้นและมีอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินสูง ธุรกิจจะต้องเฝ้าระวังและมองหาวิธีการปรับปรุงและปรับปรุงแนวทางการซื้ออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเทคโนโลยีการชําระเงินและความคาดหวังของลูกค้าเกี่ยวกับการชําระเงินออนไลน์เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การทําเช่นนั้นจะช่วยให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพกลายเป็นลูกค้าประจำได้

Stripe จะช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินได้อย่างไร

Stripe นำเสนอฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ จัดการกับปัญหาการละทิ้งรถเข็นสินค้า โดยฟีเจอร์แต่ละอย่างได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การชำระเงินที่ราบรื่นยิ่งขึ้น และช่วยปรับปรุงการแปลงการชำระเงินให้ดีขึ้น ลองดูฟีเจอร์เหล่านี้และวิธีที่ฟีเจอร์ต่างๆ ช่วยจัดการกับปัจจัยทั่วไปที่นําไปสู่การละทิ้งรถเข็น

  • ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
    Stripe มอบ API ที่ช่วยให้คํานวณและนําเสนอค่าธรรมเนียม ภาษี และค่าขนส่งได้แบบเรียลไทม์ วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงข้อมูลสรุปที่แจกแจงอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ลูกค้าดําเนินการผ่านขั้นตอนการชําระเงิน นอกจากนี้ ค่าบริการที่โปร่งใสจะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกค้าละทิ้งรถเข็นเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด

  • กระบวนการชําระเงินที่ราบรื่น
    Stripe Checkout เป็นโซลูชันสําเร็จรูปที่ออกแบบมาเพื่อลดจํานวนขั้นตอนที่ลูกค้าต้องดําเนินการเพื่อซื้อให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพมาสําหรับการใช้งานในอุปกรณ์เคลื่อนที่และปรับให้เหมาะกับตําแหน่งที่ตั้งของลูกค้าโดยอัตโนมัติ รวมทั้งยังป้อนข้อมูลในช่องโดยอัตโนมัติ หากเป็นไปได้ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยลดโอกาสที่ลูกค้าจะออกจากกระบวนการนี้ก่อนกําหนด

  • การชําระเงินในคลิกเดียว
    Link ของ Stripe ช่วยให้ลูกค้าที่กลับมาใช้บริการสามารถข้ามการป้อนข้อมูลการชําระเงินสําหรับการซื้อรายการใหม่ทุกรายการได้ เนื่องจากระบบจะจัดเก็บรายละเอียดการชําระเงินไว้อย่างปลอดภัย และขั้นตอนการชําระเงินจะกลายเป็นการดําเนินการเพียงขั้นเดียวสำหรับลูกค้าปลายทาง วิธีนี้ช่วยเร่งความเร็วในการทําธุรกรรมและยังลดโอกาสที่จะเกิดการละทิ้งรถเข็นเนื่องจากกระบวนการชําระเงินที่ยุ่งยาก

  • ข้อกําหนดการสร้างบัญชี
    เมื่อใช้ Stripe ธุรกิจก็สามารถมอบตัวเลือกการชําระเงินโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบได้ ลูกค้าบางรายไม่ต้องการสร้างบัญชีสําหรับธุรกรรมรายการเดียว ตัวเลือกการชําระเงินแบบไม่ต้องเข้าสู่ระบบของ Stripe ช่วยให้ลูกค้าเหล่านี้ทําการซื้อได้โดยไม่ต้องเพิ่มขั้นตอนสร้างบัญชี อีกทั้งยังช่วยลดอุปสรรคทั่วไปในการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินได้

  • ข้อกังวลด้านความปลอดภัย
    Stripe ปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสูงสุดในแวดวงธุรกิจเพื่อการรักษาความปลอดภัย รวมถึงมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) ระดับ 1 และยังมีบริการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยและบริการเข้ารหัสอีกด้วย ระดับการรักษาความปลอดภัยนี้ออกแบบมาเพื่อปลูกฝังความมั่นใจแก่ลูกค้า และบรรเทาความกลัวที่อาจนําไปสู่การละทิ้งรถเข็น

  • ข้อผิดพลาดบนเว็บไซต์หรือใช้เวลาโหลดช้า
    โครงสร้างพื้นฐานของ Stripe ออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่นและความเร็ว ธุรกิจที่ใช้ Stripe มีโอกาสน้อยที่จะประสบปัญหาการหยุดทํางานหรือการโหลดช้าระหว่างกระบวนการชําระเงิน ซึ่งจะมอบประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือและราบรื่นให้แก่ลูกค้า

  • นโยบายการคืนสินค้าที่ไม่ชัดเจนและสินค้าหมดสต็อก
    Stripe ไม่ได้จัดการนโยบายสินค้าคงคลังหรือการส่งคืนสินค้าโดยตรง แต่ API ช่วยให้ผสานการทํางานกับระบบการจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างง่ายดายและแสดงนโยบายการส่งคืนระหว่างกระบวนการชําระเงิน

  • การช็อปปิ้งเพื่อเปรียบเทียบและสิ่งรบกวน
    Stripe ผสานการทํางานกับระบบการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) เพื่อเปิดใช้งานกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การแจ้งเตือนทางอีเมลเฉพาะบุคคลหรือส่วนลดตามเป้าหมายเพื่อดึงดูดลูกค้าที่อาจช็อปปิ้งเพื่อเปรียบเทียบหรือพบเจอสิ่งรบกวนระหว่างจับจ่าย

โดยรวมแล้ว โซลูชันของ Stripe มีการออกแบบโดยตั้งใจเพื่อมุ่งเน้นไปที่รายละเอียดสําคัญๆ เช่น หน้าการชําระเงินที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละอย่างก็มีเป้าหมายเฉพาะเพื่อช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน ธุรกิจสามารถผสานการทํางานฟีเจอร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน และสร้างขั้นตอนการชําระเงินที่ปรับให้เหมาะกับฐานลูกค้า

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe จะเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินในสถานการณ์การชําระเงินที่หลากหลายได้อย่างไร โปรดไปที่ Stripe Checkout

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Checkout

Checkout

ผสานรวม Checkout เข้ากับเว็บไซต์โดยตรงหรือนำลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่จัดการโดย Stripe เพื่อให้รับการชำระเงินแบบครั้งเดียวหรือการชำระเงินตามรอบบิลได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Checkout

สร้างแบบฟอร์มการชำระเงินที่เขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยและผสานรวมกับเว็บไซต์ของคุณหรือโฮสต์ไว้ในระบบของ Stripe