B2B payment methods 101: What businesses should know

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การชําระเงินแบบ B2B แตกต่างจากการชําระเงินของผู้บริโภคอย่างไร
  3. รอบการชําระเงินแบบ B2B
  4. ประเภทของวิธีการชําระเงินแบบ B2B
    1. การชําระเงินแบบ ACH
    2. บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
    3. การโอนเงินระหว่างธนาคาร
    4. บริการชําระเงินแบบดิจิทัล
  5. การประมวลผลการชําระเงินแบบ B2B ทางอิเล็กทรอนิกส์
  6. การทําขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติ
  7. ขั้นตอนการชําระเงินออนไลน์ตามแบบแผนล่วงหน้า
  8. การใช้ Stripe สำหรับการชําระเงินแบบ B2B

การชําระเงินระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) มักจะซับซ้อนกว่าการชําระเงินระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) โดยมีรอบการชําระเงินที่นานกว่าและวิธีการชําระเงินที่หลากหลายกว่า ตลาดการชําระเงินแบบ B2B ระหว่างประเทศมีมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 และคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 ซึ่งตอกย้ำถึงความสําคัญของธุรกรรมเหล่านี้ที่เพิ่มมากขึ้น

ด้านล่างนี้เราจะอธิบายสิ่งที่ธุรกิจควรทราบเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการชําระเงินแบบ B2B และ B2C วิธีการชําระเงิน และวิธีการทำขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การชําระเงินแบบ B2B แตกต่างจากการชําระเงินของผู้บริโภคอย่างไร
  • รอบการชําระเงินแบบ B2B
  • ประเภทของวิธีการชําระเงินแบบ B2B
  • การประมวลผลการชําระเงินแบบ B2B ทางอิเล็กทรอนิกส์
  • การทําขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติ
  • ขั้นตอนการชําระเงินออนไลน์ตามแบบแผนล่วงหน้า
  • การใช้ Stripe สําหรับการชําระเงินแบบ B2B

การชําระเงินแบบ B2B แตกต่างจากการชําระเงินของผู้บริโภคอย่างไร

การชําระเงินแบบ B2B และการชําระเงินของผู้บริโภคแตกต่างกันในสาระสำคัญหลายด้าน ซึ่งได้แก่ ความซับซ้อน มูลค่าธุรกรรมโดยทั่วไปและวิธีการชําระเงิน รวมทั้งพลวัตระหว่างคู่ค้า แม้ว่าการวิวัฒนาการของการชําระเงินแบบดิจิทัล จะค่อยๆ ปิดช่องว่างความแตกต่างระหว่างการชําระเงินแบบ B2B กับการชําระเงินของผู้บริโภคด้วยการนำความรวดเร็วและความยืดหยุ่นเข้ามาสู่ธุรกรรมแบบ B2B มากขึ้น แต่ก็ยังมีความแตกต่าหลักๆ อยู่หลายข้อ ซึ่งได้แก่:

  • ความซับซ้อนและขนาดของธุรกรรม: การชําระเงินแบบ B2B มักจะมีความซับซ้อนกว่า และมีมูลค่าธุรกรรมมากกว่าเมื่อเทียบกับการชําระเงินของผู้บริโภค อาจประกอบด้วยการสั่งซื้อจำนวนมาก การชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าสําหรับบริการ และธุรกรรมที่ต้องใช้การออกใบแจ้งหนี้และใบสั่งซื้อแบบละเอียด ธุรกรรม B2B มักมีการต่อรองเกี่ยวกับเงื่อนไขการชําระเงิน ส่วนลด และกําหนดการส่งมอบสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้วการชําระเงินของผู้บริโภคจะมีความตรงไปตรงมามากกว่า และเกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าหรือบริการโดยตรง ซึ่งโดยปกติมูลค่าธุรกรรมจะต่ํากว่า และขั้้นตอนการชําระเงินก็ง่ายกว่า และใช้ค่าบริการมาตรฐานที่ไม่ต้องมีการต่อรอง

  • วิธีการชําระเงิน: การชําระเงินแบบ B2B สามารถใช้วิธีการชําระเงินที่หลากหลาย รวมถึงการโอนเงินผ่านธนาคาร เช็ค การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) การชําระเงินภายในสํานักหักบัญชีอัตโนมัติ (ACH) วงเงินเครดิต และแพลตฟอร์มการชําระเงินดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อธุรกรรมทางธุรกิจโดยเฉพาะซึ่งมีมากขึ้น เงื่อนไขการชําระเงินมีหลากหลาย โดยมักจะให้ระยะเวลาการชําระเงินที่นานขึ้น (เช่น สุทธิ 30 วัน และสุทธิ 60 วัน) การชําระเงินของผู้บริโภคมักใช้เงินสด บัตรเครดิตและบัตรเดบิต แอปการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และระบบการชําระเงินออนไลน์ เช่น PayPal เป็นวิธีการชําระเงิน การชําระเงินเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นทันทีหรือที่จุดขาย

  • พลวัตด้านความสัมพันธ์: การชําระเงินแบบ B2B มักจะเกิดขึ้นในบริบทของความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ซึ่งพลวัตนี้อาจเกี่ยวข้องกับสัญญาที่ได้เจรจากันไว้ ค่าบริการเฉพาะบุคคล และข้อกําหนดการให้บริการที่ทำขึ้นเฉพาะ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อขั้นตอนการชําระเงิน นอกจากนี้ยังมีการให้ความสําคัญกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของธุรกรรมมากเนื่องจากมูลค่าธุรกรรมที่สูงและความสําคัญของซัพพลายเออร์ โดยปกติแล้วการชําระเงินของผู้บริโภคมักอยู่ในลักษณะธุรกรรมและไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาระยะยาวหรือการเจรจาต่อรอง โดยเน้นความสะดวก ความรวดเร็ว และความปลอดภัยของขั้นตอนการชําระเงิน

  • ข้อควรพิจารณาด้านระเบียบข้อบังคับและภาษี: การชําระเงินแบบ B2B มีข้อพิจารณาด้านกฎหมายและภาษีที่ซับซ้อนมากกว่า รวมถึงความจําเป็นในการออกใบแจ้งหนี้แบบละเอียด การปฏิบัติตามกฎหมายการทำสัญญา และการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับทางการค้าระหว่างประเทศตามแต่กรณี นอกจากนั้นธุรกิจต่างๆ ต้องจัดการกับนัยเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีขาย ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศหรือภูมิภาค การชําระเงินของผู้บริโภคอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและภาษีการขายมาตรฐาน แต่ข้อกําหนดทางกฎหมายมักจะมีความซับซ้อนน้อยกว่าระเบียบที่กํากับดูแลธุรกรรมแบบ B2B

  • การประมวลผลการชําระเงินและค่าธรรมเนียม: การชําระเงินแบบ B2B อาจมีค่าธรรมเนียมการประมวลผลที่สูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกรรมที่ต้องใช้โซลูชันการชําระเงินเฉพาะทางหรือธุรกรรมที่ดำเนินการข้ามพรมแดน ธุรกิจอาจต่อรองขอค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงจากปริมาณการชําระเงินหรือสร้างความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการที่ตนต้องการ โดยทั่วไปการชําระเงินของผู้บริโภคมักจะมีค่าธรรมเนียมการประมวลผลแบบมาตรฐาน โดยวิธีการชําระเงินบางอย่าง เช่น บัตรเดบิตหรือแอปชําระเงินบางประเภทจะเสนอค่าธรรมเนียมต่ำกว่า เมื่อเทียบกับบัตรเครดิต

รอบการชําระเงินแบบ B2B

รอบการชําระเงินแบบ B2B ครอบคลุมขั้นตอนครบวงจรที่ธุรกิจดําเนินการเมื่อทําธุรกรรมกับธุรกิจอื่น โดยรอบการชำระเงินนี้มีความซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าขั้นตอนการชําระเงินของผู้บริโภคและมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนสั่งซื้อตอนแรกไปจนถึงกิจกรรมการชําระเงินขั้นสุดท้ายและกิจกรรมหลังการชําระเงิน ต่อไปนี้คือภาพรวมสําหรับรอบการชําระเงินแบบ B2B

  • การสร้างและการออกใบสั่งซื้อ (PO): รอบมักจะเริ่มต้นเมื่อลูกค้าสร้างและออก PO ให้แก่ผู้ขาย โดยเอกสารนี้จะระบุผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการ จํานวน ราคา และเงื่อนไขการชําระเงิน ใช้เป็นข้อเสนอทางกฎหมายในการซื้อ

  • การยืนยันคําสั่งซื้อและการสร้างใบแจ้งหนี้: เมื่อได้รับ PO แล้ว ผู้ขายจะยืนยันว่าสามารถดําเนินการตามคําสั่งซื้อได้และสร้างใบแจ้งหนี้ ใบแจ้งหนี้ จะบันทึกรายละเอียดธุรกรรม ซึ่งรวมถึงสินค้าหรือบริการที่จัดหา ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เงื่อนไขการชําระเงิน (เช่น สุทธิ 30 และสุทธิ 60) และวิธีการชําระเงิน สําหรับธุรกรรมที่เกี่ยวกับบริการ ใบแจ้งหนี้ อาจสร้างขึ้นเมื่อบริการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

  • การจัดส่งสินค้าหรือบริการ: ผู้ขายจัดส่งสินค้าหรือให้บริการตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ขายอาจจะส่งเอกสารเกี่ยวกับการจัดส่ง เช่น หนังสือแจ้งการจัดส่งหรือการยืนยันว่าการให้บริการเสร็จสมบูรณ์แล้วแก่ลูกค้า ลูกค้ามักขอเอกสารนี้ก่อนจึงจะดำเนินการชําระเงิน

  • การรับและการตรวจสอบ: เมื่อมีการจัดส่ง ลูกค้าจะตรวจสอบสินค้าหรือประเมินบริการให้แน่ใจว่าเป็นไปตามคุณลักษณะที่กําหนดและมาตรฐานคุณภาพตามที่ตกลงกันไว้ หากเกิดความคลาดเคลื่อน อาจทําให้มีการโต้แย้ง การคืนสินค้า หรือการปรับยอดการชําระเงิน

  • การอนุมัติและการประมวลผลการชําระเงิน: หากสินค้าหรือบริการที่จัดส่งเป็นที่น่าพึงพอใจ ลูกค้าจะอนุมัติใบแจ้งหนี้เพื่อการชําระเงิน ขั้นตอนการอนุมัติอาจซับซ้อนในองค์กรขนาดใหญ่ โดเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย เช่น ฝ่ายจัดซื้อ การเงิน และฝ่ายรับสินค้า

  • การดําเนินการชําระเงิน: ลูกค้าดําเนินการชําระเงินโดยใช้วิธีการที่ตกลงกันไว้ (เช่น ACH การโอนเงินระหว่างธนาคาร เช็ค หรือแพลตฟอร์มการชําระเงินแบบ B2B) ทางเลือกวิธีการชําระเงินอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดของธุรกรรม สถานที่ตั้งของผู้ขาย และเงื่อนไขการชําระเงิน

  • การยืนยันการชําระเงินและการกระทบยอด: เมื่อได้รับการชําระเงิน ผู้ขายจะส่งคำยืนยันไปให้ลูกค้า โดยทั้งสองฝ่ายจะกระทบยอดการชําระเงินกับบันทึกทางการเงินที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันว่าธุรกรรมนั้นแสดงอย่างถูกต้องในระบบการทําบัญชีของตน

  • การยุติการโต้แย้งการชําระเงิน: หากมีการโต้แย้งการชําระเงินในรอบบิล (เช่น เกี่ยวกับความถูกต้องของใบแจ้งหนี้ คุณภาพของสินค้า หรือการส่งมอบบริการ) ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก่อนที่จะดําเนินการต่อไป ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการออกใบลดหนี้ การคืนสินค้า หรือเจรจาต่อรองเงื่อนไขการชําระเงินอีกครั้ง

  • การรายงานและการวิเคราะห์: ทั้งสองฝ่ายอาจมีการทำรายงานและวิเคราะห์หลังการทำธุรกรรมเพื่อประเมินสถานะทางการเงินของธุรกิจ ประเมินผลการดําเนินงานของซัพพลายเออร์ และเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อในอนาคต ขั้นตอนนี้สําคัญสําหรับการวางแผนทางการเงินและการจัดการความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์

  • การเก็บบันทึกและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: ตลอดรอบการชําระเงินแบบ B2B ธุรกิจต่างๆ จะต้องเก็บบันทึกธุรกรรมทั้งหมดให้ถูกต้องและครอบคลุมเพื่อเหตุผลด้านกฎหมาย ภาษี และการปฏิบัติตามข้อกําหนด ซึ่งรวมถึงการเก็บสําเนา PO, ใบแจ้งหนี้, บันทึกการชําระเงิน และการโต้ตอบกันเกี่ยวกับธุรกรรมแต่ละรายการ

ธุรกิจควรพิจารณาคุณสมบัติต่อไปนี้ของการชําระเงินแบบ B2B อย่างละเอียดเพื่อปรับแต่งขั้นตอนการชําระเงินและปกป้องสถานะทางการเงิน รวมทั้งประสิทธิภาพการดําเนินงานของธุรกิจ

  • เงื่อนไขการชําระเงิน: เงื่อนไขการชําระเงินซึ่งลูกค้าและผู้ขายเจรจาตกลงกันมีผลต่อกระแสเงินสดและการจัดการเงินทุนหมุนเวียน

  • เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ: การใช้ระบบออกใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มการชําระเงิน และระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรอบการชําระเงินและลดข้อผิดพลาดได้

  • การรักษาความปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกง เนื่องจากการชําระเงินแบบ B2B มีมูลค่าสูง การชําระเงินประเภทนี้จึงต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการฉ้อโกง และรักษาความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูลทางการเงิน

  • ข้อกําหนดระหว่างประเทศ: การชําระเงินข้ามพรมแดน อาจมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการธนาคารระหว่างประเทศ และนัยทางภาษี

ประเภทของวิธีการชําระเงินแบบ B2B

วิธีการชําระเงินแบบ B2B แต่ละประเภทอาจมีความแตกต่างกันในแง่ความเร็ว ค่าใช้จ่าย ความสะดวก และความเหมาะกับขนาดธุรกรรมและบริบทของธุรกิจที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการหลักๆ บางอย่างที่ใช้ในธุรกรรมแบบ B2B

การชําระเงินแบบ ACH

  • คําอธิบาย: การชําระเงินแบบ ACH คือการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ดําเนินการผ่านเครือข่าย ACH ซึ่งเป็นระบบสําหรับการประมวลผลธุรกรรมในสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็วและปลอดภัย การชําระเงินแบบ ACH ซึ่งรองรับทั้งรายการฝากและถอน ทำให้เป็นตัวเลือกที่คล่องตัวสําหรับธุรกรรมแบบ B2B หลายประเภท

  • ข้อดี: การชำระเงินแบบ ACH คุ้มค่าและมักจะมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลต่ำกว่าการโอนเงินระหว่างธนาคารหรือบัตรเครดิต ระบบสามารถจัดการกับธุรกรรมจํานวนมากและเหมาะสําหรับการชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า แบบธรรมดาเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่ำ

  • ข้อเสีย: ธุรกรรม ACH อาจใช้เวลา 1-2 วันทําการในการดำเนินการ ซึ่งอาจช้ากว่าทางเลือกอื่นบางประเภท ธุรกรรม ACH ระหว่างประเทศมีความซับซ้อนมากขึ้นเพราะเกี่ยวข้องกับธนาคารตัวกลางและจําเป็นต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับระหว่างประเทศด้านการธนาคาร

บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต

  • คําอธิบาย: บัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นวิธีการชําระเงินที่ใช้กันทั่วไปสําหรับธุรกรรมแบบ B2B โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการซื้อที่มีมูลค่าต่ำ

  • ข้อดี: การชำระด้วยบัตรจะประมวลผลธุรกรรมให้ทันที มีรางวัลหรือเงินคืนให้ในบางกรณี และมาพร้อมกับระบบป้องกันการฉ้อโกง นอกจากนี้ยังสะดวกสําหรับธุรกรรมออนไลน์และทางโทรศัพท์และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

  • ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมธุรกรรมสําหรับการชําระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมของวิธีการชําระเงินแบบ B2B อื่นๆ โดยเฉพาะกับบัตรเครดิต นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการฉ้อโกงสูงกว่าด้วยเมื่อเทียบกับวิธีการแบบ ACH และการโอนเงินระหว่างธนาคาร ไม่ใช่ธุรกิจทุกแห่งที่จะรับบัตรเครดิตสําหรับธุรกรรมขนาดใหญ่ด้วยเหตุผลเรื่องค่าธรรมเนียม

การโอนเงินระหว่างธนาคาร

  • คําอธิบาย: การโอนเงินระหว่างธนาคารคือการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จากบัญชีธนาคารหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่งโดยไม่มีสถาบันการเงินตัวกลาง วิธีนี้เป็นวิธีการส่งเงินที่รวดเร็วและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ

  • ข้อดี: การโอนเงินระหว่างธนาคารเป็นผลทันทีและไม่สามารถเพิกถอนได้ ทําให้มีความปลอดภัยสูง เหมาะสําหรับธุรกรรมขนาดใหญ่ และสามารถใช้กับการชําระเงินภายในประเทศและต่างประเทศได้โดยไม่มีจำกัดวงเงินการโอนสูงสุด

  • ข้อเสีย: ข้อเสียเปรียบหลักของการโอนเงินระหว่างธนาคารคือค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการส่งและรับเงินที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ข้อควรพิจารณาที่สําคัญอีกข้อคือเมื่อเริ่มต้นการโอนเงินระหว่างธนาคารแล้วคุณจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับรายการได้

บริการชําระเงินแบบดิจิทัล

  • คําอธิบาย: บริการชําระเงินแบบดิจิทัล เช่น Stripe อํานวยความสะดวกในธุรกรรมออนไลน์และสามารถรองรับการชําระเงินผ่านยอดคงเหลือในบัญชีนั้นๆ ได้ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะให้บริการอื่นเพิ่มเติม เช่น การออกใบแจ้งหนี้ การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ และการจัดการบัญชี

  • ข้อดี: บริการเหล่านี้ให้ความสะดวก รวดเร็ว ยืดหยุ่น โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถรับชําระเงินได้หลากหลายวิธีผ่านแพลตฟอร์มเดียว นอกจากนี้ บริการชําระเงินแบบดิจิทัลจํานวนมากยังเพิ่มฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัย อีกทั้งยังมีความสามารถในการจัดการธุรกรรมจากทางไกลอีกด้วย

  • ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันออกไป และอาจสูงกว่าค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านธนาคารโดยตรงหรือการชําระเงินแบบ ACH โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประมวลผลการชําระเงินผ่านบัตรเครดิต นอกจากนี้ บริษัทยังต้องพิจารณามาตรการรักษาความปลอดภัยและชื่อเสียงเมื่อต้องพึ่งพิงบริการจากบุคคลที่สามด้วย

การประมวลผลการชําระเงินแบบ B2B ทางอิเล็กทรอนิกส์

การประมวลผลการชําระเงินแบบ B2B ทางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดิจิทัลหลายรายการระหว่างธุรกิจต่างๆ ขั้นตอนนี้จะช่วยให้ธุรกิจดําเนินการชําระเงินได้เร็วขึ้น ลดต้นทุนในการประมวลผล และปรับปรุงการจัดการกระแสเงินสด ต่อไปนี้คือการทำงานของการประมวลผลการชําระเงินแบบ B2B ทางอิเล็กทรอนิกส์:

  • การเริ่มต้นการชําระเงิน: ผู้ชําระเงิน (ธุรกิจผู้ซื้อ) เริ่มดำเนินการชําระเงินให้กับผู้รับเงิน (ธุรกิจผู้ขาย) เพื่อเป็นค่าสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบ การเริ่มต้นนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากผู้รับเงินออกใบแจ้งหนี้ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจํานวนเงินที่ต้องชําระ เงื่อนไขการชําระเงิน และขั้นตอนการชําระเงิน ผู้ชําระเงินเลือกวิธีการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ACH การโอนเงินระหว่างธนาคาร หรือบริการชําระเงินแบบดิจิทัล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ต้นทุน ความเร็ว และความสะดวก

  • การอนุมัติการชําระเงิน: สําหรับวิธีการชําระเงินบางแบบ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ชําระเงินต้องอนุมัติการชําระเงิน การอนุมัตินี้อาจต้องมีการป้อนรายละเอียดการชําระเงินลงในพอร์ทัลออนไลน์ที่ปลอดภัยโดยใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือการให้ข้อมูลการชําระเงินทางโทรศัพท์ สำหรับการชำระเงินแบบ ACH และการโอนเงินระหว่างธนาคาร การอนุมัติอาจเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งค่าคําสั่งการชําระเงินในแพลตฟอร์มธนาคารของผู้ชําระเงิน

  • การประมวลผลการชําระเงิน: เมื่อเริ่มต้นการชําระเงินและอนุมัติแล้ว ระบบจะดำเนินการชําระเงินผ่านวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ที่เลือก

    • การชําระเงินแบบ ACH: ระบบจะรวมและประมวลผลธุรกรรมเป็นชุดผ่านเครือข่าย ACH ธนาคารของผู้ชําระเงินจะส่งคําขอไปยังธนาคารผู้รับเงินผ่านระบบ ACH และโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างบัญชี ซึ่งปกติแล้วจะดําเนินการภายใน 1-2 วันทําการ
    • การโอนเงินระหว่างธนาคาร: ธนาคารของผู้ชําระเงินจะส่งเงินไปยังบัญชีธนาคารของผู้รับเงินโดยตรงผ่านเครือข่ายธนาคารหรือบริการโอนเงิน การโอนเงินระหว่างธนาคารรวดเร็วกว่าการชำระเงินแบบ ACH และมักจะชำระรายการภายในไม่กี่ชั่วโมง ทําให้เหมาะกับธุรกรรมเร่งด่วนหรือธุรกรรมขนาดใหญ่
    • การชําระเงินด้วยบัตรเครดิต/บัตรเดบิต: ผู้ชําระเงินป้อนรายละเอียดของบัตรลงในเกตเวย์การชําระเงิน ธุรกรรมจะส่งผ่านเครือข่ายบัตรไปยังธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อทำการอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ระบบจะชําระเงินเข้าบัญชีผู้ค้าของผู้รับเงินโดยหักค่าธรรมเนียมการประมวลผลที่มี
    • บริการชําระเงินแบบดิจิทัล: แพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งรวมถึง PayPal และ Stripe อํานวยความสะดวกในการชําระเงินโดยการดําเนินการในฐานะคนกลาง ผู้ชําระเงินใช้แพลตฟอร์มเพื่อส่งเงิน ซึ่งจะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้รับเงินบนแพลตฟอร์มหรือฝากเข้าบัญชีธนาคารของผู้รับ
  • การตรวจสอบธุรกรรมและการชําระรายการ: ธนาคารผู้รับหรือบริการชําระเงินของผู้รับเงินจะตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม โดยยืนยันว่ามียอดเงินพร้อม และการชําระเงินนั้นถูกต้อง เมื่อตรวจสอบแล้ว ระบบจะชำระเงินเข้าบัญชีของผู้รับเงิน ระยะเวลาในการชําระรายการจะแตกต่างกันไป: บางวิธีจะชําระรายการเสร็จภายในวันเดียวกัน ในขณะที่บางวิธีอาจใช้เวลาหลายวัน

  • การกระทบยอดและการรายงาน คู่ค้าทั้งสองฝ่ายจะได้รับการยืนยันธุรกรรมซึ่งปกติแล้วจะส่งผ่านใบแจ้งยอดหรือการแจ้งเตือนทางอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้รับเงินและผู้ชําระเงินจะต้องกระทบยอดการชําระเงินกับบันทึกรายการบัญชีของตน โดยจับคู่การชําระเงินกับใบแจ้งหนี้ที่ออกและบันทึกรายการดังกล่าวลงในระบบการเงินอย่างถูกต้องเหมาะสม ระบบการชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์มักอํานวยความสะดวกในขั้นตอนนี้ผ่านการผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์บัญชี ซึ่งจะทำกระบวนการกระทบยอดโดยอัตโนมัติ

  • การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: การชําระเงินแบบ B2B ทางอิเล็กทรอนิกส์อยู่ภายใต้ระเบียบการรักษาความปลอดภัยและมาตรฐานการปฏิบัติตามข้อกําหนดอย่างเคร่งครัดตลอดทั้งขั้นตอน ซึ่งรวมถึงการเข้ารหัสข้อมูลการชําระเงิน การปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) สําหรับธุรกรรมผ่านบัตร และการปฏิบัติตามข้อบังคับทางการเงินที่เกี่ยวข้อง มีการนำมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย อัลกอริทึมการตรวจจับการฉ้อโกง และ การเข้ารหัส Secure Socket Layer (SSL) มาใช้เพื่อปกป้องความถูกต้องสมบูรณ์และการเก็บความลับข้อมูลการชําระเงิน

การทําขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติ

การทำขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้จัดสรรทรัพยากรไปทำงานหลักๆ ได้ การลดการใช้แรงงานคนนำไปสู่การชําระเงินที่รวดเร็วและแม่นยํามากขึ้น ทำให้การประมวลผลและการชําระรายการทำได้รวดเร็วขึ้น และช่วยเพิ่มความคล่องตัวของกระแสเงินสดให้กับทั้งสองฝ่าย ขั้นตอนการอัตโนมัติเหล่านี้ทํางานได้ดีที่สุดกับวิธีการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีระดับความปลอดภัยสูงกว่าและลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงเมื่อเทียบกับเช็ค ขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B อัตโนมัติช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร และอาจมาพร้อมกับค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต่ำลง ทําให้ขั้นตอนการชําระเงินมีต้นทุนโดยรวมต่ำลง นอกจากนี้ การทำขั้นตอนเหล่านี้ให้เป็นอัตโนมัติจะช่วยให้มองเห็นขั้นตอนการชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้การติดตามและควบคุมทำได้ดีมากขึ้น

มีหลายโซลูชันซอฟต์แวร์ที่เชี่ยวชาญด้านการทำระบบการชำระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติ แต่ละตัวเลือกประกอบด้วยฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน ดังที่ระบุไว้ด้านล่างนี้

  • การดึงและสกัดข้อมูลใบแจ้งหนี้: ความสามารถในการรับข้อมูลใบแจ้งหนี้หลากหลายรูปแบบโดยอัตโนมัติและสกัดข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาใช้

  • การจับคู่และการตรวจสอบความถูกต้อง: ความสามารถในการจับคู่ข้อมูลใบแจ้งหนี้กับคําสั่งซื้อและใบเสร็จอย่างถูกต้องแม่นยํา

  • ขั้นตอนการอนุมัติ: ความสามารถในการส่งใบแจ้งหนี้เพื่อการอนุมัติตามกฎที่กําหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องใช้คนส่ง

  • การดําเนินการชําระเงิน: ความสามารถในการกําหนดเวลาและเริ่มต้นการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน ACH การโอนเงินระหว่างธนาคาร หรือบัตรดิจิทัล

  • การกระทบยอดและการรายงาน ความสามารถในการกระทบยอดการชําระเงินกับใบแจ้งหนี้และสร้างรายงานโดยอัตโนมัติเพื่อการติดตามที่ง่ายดาย

นอกจากการผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์บางอย่างโดยเฉพาะแล้ว ธุรกิจยังอาจนําแนวทางปฏิบัติต่อไปนี้มาใช้เพื่อให้การทำขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B ให้เป็นอัตโนมัติดําเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

  • การออกใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ (E-invoicing): E-invoicing ช่วยให้ประมวลผลได้เร็วขึ้น ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้ผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติได้ กระตุ้นให้ผู้ค้าเปลี่ยนไปใช้ E-invoicing

  • ใช้วิธีการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นมาตรฐาน: ใช้วิธีการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การโอนแบบ ACH, บัตรดิจิทัล และแพลตฟอร์มออนไลน์ วิธีเหล่านี้ทำให้การชําระรายการทำได้รวดเร็วขึ้น มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่ำกว่า และมีความปลอดภัยที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับเช็ค

  • ผสานการทำงานกับระบบที่มีอยู่: เลือกโซลูชันระบบอัตโนมัติสําหรับการชําระเงินแบบ B2B ที่ผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์บัญชี, ระบบ ERP และแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งคุณใช้อยู่ได้อย่างราบรื่น การทำเช่นนี้จะช่วยขจัดปัญหาการเก็บข้อมูลแบบไซโลและทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นระบบอัตโนมัติ

  • สร้างลําดับงานการอนุมัติ: กําหนดกฎและเงื่อนไขที่ชัดเจนสําหรับการอนุมัติใบแจ้งหนี้ โดยอ้างอิงยอดเงิน ผู้ค้า หรือใช้เกณฑ์อื่นๆ การทำเช่นนี้จะช่วยให้การอนุมัติใบแจ้งหนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบอัตโนมัติ และลดการเข้าไปจัดการโดยคน

  • สนับสนุนให้ผู้ค้ารับบัตรดิจิทัล: บัตรดิจิทัลเป็นตัวเลือกในการชำระเงินแบบใช้ครั้งเดียวที่ปลอดภัย พร้อมค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและมีโอกาสรับเงินคืนได้ พิจารณาเสนอรางวัลจูงใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้ค้าใช้บริการนี้

  • ตรวจสอบและอัปเดตขั้นตอนการชําระเงินอยู่เป็นประจํา: ติดตามตรวจสอบขั้นตอนการชําระเงินแบบ B2B อัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง หาจุดที่ต้องปรับปรุง และปรับขั้นตอนการทํางานหรือการตั้งค่าระบบตามความจำเป็น

ขั้นตอนการชําระเงินออนไลน์ตามแบบแผนล่วงหน้า

กาชำระเงินออนไลน์ตามแบบแผนล่วงหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเศรษฐกิจแบบสมัครใช้บริการ ช่วยให้ธุรกิจเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้ตามกําหนดการล่วงหน้า (เช่น รายเดือน รายปี) เพื่อการเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างต่อเนื่อง โมเดลนี้สร้างกระแสรายรับที่คาดการณ์ได้ ไปพร้อมๆ กับการเสนอบริการที่สะดวกและไม่ติดขัดให้แก่ลูกค้า ธุรกิจหลายรายที่ดําเนินธุรกิจโดยใช้รูปแบบการชําระเงินนี้อาจมีการใช้แพลตฟอร์มการจัดการการชำระเงินตามรอบบิลที่ผสานการทํางานกับเครื่องมือการเรียกเก็บเงิน การจัดการลูกค้า และการรายงาน แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำกระบวนการชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าส่วนใหญ่โดยอัตโนมัติ ซึ่งรวมถึงการลงทะเบียนลูกค้า การกําหนดเวลาการชําระเงิน การอนุมัติ การดําเนินการ และการจัดการการชําระเงินที่ไม่สําเร็จ

ธุรกิจที่ใช้รูปแบบการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าควรทราบระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายและความปลอดภัย รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFTA) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกําหนดให้ลูกค้าให้ความยินยอมในการชําระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และให้แนวทางในการแก้ไขข้อผิดพลาดและสิทธิ์ในการยกเลิก รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI DSS

ขั้นตอนการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าระบุไว้ตามด้านล่างนี้

  • การเริ่มต้นการชําระเงินตามรอบบิล: ลูกค้าเลือกโมเดลการชําระเงินตามรอบบิล โดยให้รายละเอียดการชําระเงิน (เช่น ข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร) สําหรับการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับลูกค้าที่ยอมรับชุดข้อกําหนดและเงื่อนไขที่ระบุความถี่ จํานวนเงินที่เรียกเก็บ รวมถึงนโยบายการยกเลิกการสมัครใช้บริการ

  • การจัดเก็บข้อมูลการชําระเงินอย่างปลอดภัย: เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดของ PCI DSS ระบบจะเข้ารหัสและจัดเก็บข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนไว้อย่างปลอดภัยโดยใช้เทคนิคการแปลงเป็นโทเค็น เทคนิคการแปลงเป็นโทเค็นจะแทนที่ข้อมูลบัตรชําระเงินด้วยรหัสระบุเฉพาะ (หรือ "โทเค็น") ที่ไม่มีค่าในตัวหากเกิดการละเมิด เป็นการข้ามขั้นตอนการจัดเก็บข้อมูลบัตรจริงในเซิร์ฟเวอร์ของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการโจรกรรมข้อมูลทางการเงินได้

  • การอนุมัติการชําระเงิน: ธุรกิจจะต้องได้รับการอนุมัติจากธนาคารหรือเครือข่ายบัตรของลูกค้าก่อนเริ่มการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า ขั้นตอนนี้ประกอบด้วยการส่งคําขอผ่านเกตเวย์การชําระเงิน ซึ่งทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างธุรกิจกับผู้ประมวลผลการชําระเงิน เกตเวย์การชําระเงินจะเข้ารหัสรายละเอียดธุรกรรมและสื่อสารกับธนาคารของลูกค้าเพื่อยืนยันว่ามีเงินพร้อมสำหรับการเรียกเก็บ

  • การดําเนินการชําระเงิน: เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ธุรกิจจึงจะดําเนินการเรียกเก็บเงินตามวิธีการชําระเงินของลูกค้าในช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ได้ ธุรกรรมแต่ละรายการจะสร้าง ID เฉพาะสำหรับธุรกรรมและบันทึกรายละเอียด เช่น วันที่ จํานวนเงิน และรหัสการอนุมัติเอาไว้

  • การแจ้งเตือนการชําระเงิน: โดยปกติแล้วลูกค้าจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินที่กําลังจะมาถึง และได้รับใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้ของธุรกรรมที่เสร็จสมบูรณ์แล้วแต่ละรายการ การสื่อสารนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อความโปร่งใสและช่วยลดการดึงเงินคืน และการโต้แย้งการชําระเงินได้

  • การจัดการการชําระเงินที่ไม่สําเร็จ: การชําระเงินไม่สําเร็จอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งรวมถึงการมีเงินไม่เพียงพอ ข้อมูลการชําระเงินที่หมดอายุ และการปฏิเสธจากธนาคาร ในสถานการณ์เหล่านี้ ธุรกิจจะใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น ตรรกะการลองซ้ำ ซึ่งระบบจะดําเนินการชําระเงินอีกครั้งหลังจากพ้นช่วงเวลาหนึ่ง หรือการจัดการการติดตามหนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแจ้งลูกค้าเรื่องปัญหาการชําระเงินและการขอข้อมูลการชําระเงินที่อัปเดต

  • การต่ออายุและการยกเลิก: โดยปกติแล้วการสมัครใช้บริการจะต่ออายุอัตโนมัติจนกว่าลูกค้าจะยกเลิก ขั้นตอนการยกเลิกจะระบุไว้ในข้อตกลงในตอนแรก และควรที่จะเข้าใจง่ายสำหรับลูกค้า โดยให้ลูกค้าติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าหรือยกเลิกผ่านพอร์ทัลบริการตัวเอง

การใช้ Stripe สำหรับการชําระเงินแบบ B2B

ชุดเครื่องมือของ Stripe ออกแบบมาเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านการชําระเงินและระบบอัตโนมัติแบบ B2B Stripe นําเสนอทางเลือกที่ทันสมัยเพื่อทดแทนโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัยซึ่งครอบงำธุรกรรมแบบ B2B มาอย่างยาวนาน โดยสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชําระเงินและส่งเสริมการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจหลากหลายประเภท

  • ทางเลือกแบบดิจิทัลที่ทันสมัย: ปริมาณการชําระเงินแบบ B2B ทั่วโลกสูงกว่าการชําระเงินของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก แต่ภาคธุรกิจกลับล้าหลังในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล Stripe นําเสนอทางเลือกแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบเพื่อทดแทนกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ธุรกรรมเงินสดหรือเช็ค ซึ่งยังคงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายและมีค่าใช้จ่ายสูง ตัวอย่างเช่น โซลูชันการออกใบแจ้งหนี้ดิจิทัลของ Stripe ที่มาพร้อมกับตัวเลือกการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ในตัวที่ผสานการทํางานกับระบบอื่นๆ ได้ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพกว่าระบบออกใบแจ้งหนี้แบบกระดาษที่ธุรกิจจํานวนมากใช้ ระบบดิจิทัลของ Stripe ช่วยลดภาระงานที่คุณต้องดําเนินการเองไปพร้อมๆ กับการเร่งขั้นตอนการชําระเงิน

  • โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ครอบคลุม: แพลตฟอร์มของ Stripe นําเสนอชุดผลิตภัณฑ์ด้านการเงินและการชําระเงินที่ผสานการทํางานกันอย่างเต็มรูปแบบซึ่งออกแบบมาเพื่อการลดต้นทุน เพิ่มรายรับ และการดําเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์มนี้รองรับความต้องการที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดการการชําระเงินทั่วโลกและการจัดการการปฏิบัติงานด้านรายรับไปจนถึงการเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ ผลิตภัณฑ์อย่าง Stripe Issuing และ Treasury เหมาะสมกับบริบทแบบ B2B เป็นอย่างยิ่ง โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถออกบัตรเพื่อใช้จ่ายและจัดการเงินด้วยการดําเนินงานด้านการบริหารเงินที่ซับซ้อนได้

  • โซลูชันที่ปรับแต่งให้เหมาะกับกรณีการใช้งานที่หลากหลาย: Stripe รองรับธุรกิจสตาร์ทอัพ องค์กร และธุรกิจประเภทอื่นๆ อีกมากมายในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) อีคอมเมิร์ซ มาร์เก็ตเพลส และระบบเศรษฐกิจครีเอเตอร์ โครงสร้างพื้นฐานการรับชําระเงินทั่วโลกของ Stripe รองรับวิธีการชําระเงินกว่า 100 วิธี ช่วยให้ธุรกิจรับชําระเงินจากทุกที่ทั่วโลกได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญสําหรับธุรกิจทั่วโลกที่ต้องการขยายการดําเนินงาน

  • การออกแบบแบบแยกโมดูลที่ยืดหยุ่น: การออกแบบแบบแยกโมดูลของ Stripe ช่วยให้ธุรกิจเลือกโซลูชันที่เหมาะกับความต้องการของตนมากที่สุดได้ ไม่ว่าจะต้องการออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการชําระเงินตามรอบบิล จัดการรายรับ หรือดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีท้องถิ่น ความยืดหยุ่นนี้กับอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) และการสนับสนุนชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) ของ Stripe ช่วยให้ธุรกิจผสานขีดความสามารถของ Stripe เข้ากับระบบที่มีอยู่ และมอบประสบการณ์การจัดการทางการเงินที่ราบรื่น

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือสกุลเงินของข้อมูลในบทความนี้ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe