ข้อมูลเชิงลึกสําหรับขยายธุรกิจ SaaS ของคุณ

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโมเดลธุรกิจและระดับค่าบริการของคุณ
  3. สร้างประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่น
  4. ใช้การวิเคราะห์มาปรับปรุงแนวทางการรักษาลูกค้า
  5. ใช้กลยุทธ์การเรียกเก็บเงินและการติดตามหนี้ที่ปรับเปลี่ยนได้
  6. อย่าประเมินประสิทธิภาพของการตลาดเนื้อหาต่ำเกินไป
  7. สร้างกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายซ้ำที่จะสร้างการมองเห็นข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
  8. ทำให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ
  9. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

การขยายธุรกิจการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกำไรนั้นไม่ได้ง่ายเพียงแค่จ้างคนเพิ่มในทีมขายและทีมวิศวกรรม แม้ว่ากลยุทธ์ทั้งสองนี้จะช่วยในด้านการเติบโต แต่จะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่มีแผนการเติบโตที่วางไว้อย่างดี ข่าวดีก็คือธุรกิจ SaaS เป็นที่ต้องการและมีศักยภาพสูงที่จะขยายขนาด อุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟู โดยขณะนี้ตลาด SaaS ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 10 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ในขณะที่บริษัท SaaS เติบโต ความต้องการมาร์เก็ตเพลสและแพลตฟอร์ม SaaS ที่ทำงานได้ดีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อขยายธุรกิจและลดอัตราการเลิกใช้บริการด้วยการทำให้ลูกค้าปัจจุบันมีความสุขไปพร้อมๆ กับการดึงดูดลูกค้าใหม่ การลงทุนและอดทนรออย่างเหมาะสมจะทำให้คุณสามารถสร้างธุรกิจ SaaS หรือแพลตฟอร์มที่รองรับความผันผวนของตลาดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโมเดลธุรกิจและระดับค่าบริการของคุณ
  • สร้างประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่น
  • ใช้การวิเคราะห์มาปรับปรุงแนวทางการรักษาลูกค้า
  • ใช้กลยุทธ์การเรียกเก็บเงินและการติดตามหนี้ที่ปรับเปลี่ยนได้
  • อย่าประเมินประสิทธิภาพของการตลาดเนื้อหาต่ำเกินไป
  • สร้างกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายซ้ำที่จะสร้างการมองเห็นข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
  • ทำให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ

การปรับขนาด AI: บทเรียนโดยตรงจากผู้นำอุตสาหกรรม

ในคู่มือฉบับใหม่ของเรา คุณจะได้เรียนรู้ว่าธุรกิจ AI ชั้นนำกำลังขับเคลื่อนการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างไร คุณจะได้อ่านเรื่องราวโดยตรงจาก Runway, ElevenLabs และ Leonardo AI รวมถึงวิธีที่พวกเขาสร้างระบบให้รองรับการขยายธุรกิจด้วยการรวมการดำเนินงานทางการเงินให้เป็นหนึ่งเดียว รับคู่มือ

ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโมเดลธุรกิจและระดับค่าบริการของคุณ

หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยโดยเริ่มจากการทำความเข้าใจโมเดลการขาย SaaS ของคุณก่อน เพราะสิ่งนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดธุรกิจหลักของคุณ แม้ว่าแนวคิดในเรื่องนี้อาจมีหลายมุมมอง แต่โมเดลการขาย SaaS หลักๆ มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ ความใกล้ชิดกับลูกค้าน้อย (Low-touch) และความใกล้ชิดกับลูกค้ามาก (High-touch) การทำความเข้าใจว่าโมเดลที่ธุรกิจของคุณพึ่งพาอยู่นั้นเป็นแบบใดจะช่วยเป็นแนวทางในการติดตามข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค วิธีการหาลูกค้าใหม่ และอื่นๆ อีกมากมาย

ในโมเดลการขายที่ใกล้ชิดกับลูกค้าน้อย การขายจะอาศัยการปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวกับลูกค้าเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงควรเน้นการทำการตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้า การทดลองใช้ฟรีบางครั้งเรียกว่า "ฟรีเมียม" เป็นข้อเสนอหลักในโมเดลการขายที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้าน้อย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์แสดงศักยภาพด้วยตัวเองและมอบพื้นที่ให้ผู้ใช้สำรวจฟังก์ชันการทำงานด้วยตัวเอง โดยทั่วไปแล้วค่าบริการของผลิตภัณฑ์ SaaS ที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้าน้อยมักจะกำหนดตามระดับ เริ่มจากเวอร์ชันพื้นฐานที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายและไต่ระดับเป็นข้อเสนอระดับองค์กรที่มีความพรีเมียมมากกว่า

ในทางตรงกันข้าม โมเดล SaaS ที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากเป็นโมเดลการขายแบบเก่า สมาชิกในทีมขายจะสร้างรายชื่อลูกค้าเป้าหมาย โทรหาลูกค้าเพื่อทำการขาย จองนัดหมายเพื่อสาธิตผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าคาดหวัง และปิดข้อตกลง การขายที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากต้องอาศัยการดำเนินการด้วยตัวเองมากกว่าในกระบวนการเริ่มต้นใช้งานของลูกค้าและการสนับสนุนทางเทคนิค ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการเลิกใช้บริการ โมเดลนี้ช่วยให้ทีมขายมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการกำหนดแพ็กเกจค่าบริการที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของลูกค้า เช่น ธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจจะมีผู้ใช้หลายร้อยราย

ราคาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในการขยายธุรกิจ SaaS คำแนะนำที่สำคัญก็คือ คุณควรกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้สูงกว่าที่วางแผนไว้ โดยเฉพาะข้อเสนอระดับพรีเมียม เช่น การบริการลูกค้าแบบออนดีมานด์ อย่างไรก็ตาม การทดสอบค่าบริการและการสร้างโมเดลการเรียกเก็บเงินแบบใหม่อาจเป็นภาระหนักสำหรับทีมวิศวกร ข่าวดีก็คือ Stripe ช่วยให้คุณทดลองใช้ค่าบริการได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มภาระให้กับทีมวิศวกรและตรรกะการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน

สร้างประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่น

หลังจากได้ผู้ใช้รายใหม่หรือทำให้ผู้ใช้แบบชำระเงินเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมแล้ว กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่นและไม่ยุ่งยากคือขั้นตอนแรกที่สำคัญในการรักษาผู้ใช้รายนั้นเอาไว้ หากลูกค้าประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับอินเทอร์เฟซผู้ใช้ การแก้ไขปัญหาการติดตั้ง หรือการติดต่อขอความช่วยเหลือขณะเรียนรู้การใช้ผลิตภัณฑ์ ธุรกิจไม่เพียงแต่จะถูกพูดถึงในเชิงลบ แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะเสียลูกค้านั้นไปเลยด้วย

ดังนั้น คุณควรมองว่าประสบการณ์ในกระบวนการเริ่มต้นใช้งานเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการตลาดก่อนการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน และควรจัดการด้วยความรอบคอบในระดับเดียวกัน เป้าหมายของกลยุทธ์ด้านการตลาดคือการทำให้ลูกค้าที่คิดว่าผลิตภัณฑ์ของคุณมีคุณค่าอย่างปฏิเสธไม่ได้และคิดจะเป็นลูกค้าของคุณ ตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าอย่างแท้จริง เป้าหมายก็คือการทำให้ขั้นตอนการเปลี่ยนเป็นลูกค้านี้เกิดขึ้นได้ง่ายตลอดเวลา หลักการนี้นำมาใช้กับกระบวนการเริ่มต้นใช้งานหลังการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเช่นกัน ซึ่งกระบวนการที่เหมาะสมมีความสำคัญพอ ๆกับความพึงพอใจและการรักษาลูกค้า

การจำลองลูกค้าสมมติอย่างละเอียดถือเป็นวิธีที่ดีในการออกแบบกระบวนการเฉพาะ ซึ่งมุ่งเน้นไปยังกรณีการใช้งานที่เจาะจงและการนำเสนอคุณค่าที่เจาะกลุ่มลูกค้าหลักของคุณ คุณสามารถเริ่มจัดทำรายละเอียดลูกค้าสมมติเหล่านี้ได้โดยให้ทีมที่ใกล้ชิดกับลูกค้าศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ประสบความสำเร็จและมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผลิตภัณฑ์ของคุณ และทำการวิเคราะห์ย้อนกลับเพื่อหาหลักเกณฑ์มาตรฐานที่ลูกค้าเหล่านี้มีร่วมกันในเส้นทางของพวกเขา

ผู้นำ SaaS รู้ว่ากระบวนการเริ่มต้นใช้งานควรรวดเร็วและง่ายดายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะการเข้าสู่ระบบครั้งแรก ต้อนรับลูกค้าใหม่ด้วยอีเมลหรือวิดีโอต้อนรับที่ปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคล พร้อมปุ่มกระตุ้นให้ดำเนินการในขั้นตอนถัดไป รวมทั้งอธิบายวิธีเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน การสื่อสารกับลูกค้าในหลายช่องทาง เช่น อีเมล ข้อความ SMS และการแจ้งเตือนแบบพุช จะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าคุณมองเห็นและให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่ ทั้งยังป้องกันปัญหาที่ผู้ใช้อาจจะพบเจอ นอกจากนี้ คุณควรระบุชัยชนะสำหรับลูกค้าที่คุณช่วยสร้างผลลัพธ์ได้ก่อนกำหนด และติดต่อสอบถามเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าประสบความสำเร็จตามเกณฑ์ที่พวกเขากำหนดไว้

กระบวนการเริ่มต้นใช้งานไม่ได้เป็นข้อกังวลของธุรกิจ SaaS ที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคเท่านั้น กระบวนการเริ่มต้นใช้งาน Stripe Connect ช่วยให้แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลส SaaS เริ่มต้นใช้งานบัญชีใหม่ได้อย่างราบรื่นด้วย UI สำเร็จรูปที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินที่ช่วยให้การยืนยันตัวตนเป็นเรื่องง่าย และช่วยให้คุณเริ่มต้นใช้งานได้เร็วขึ้น โซลูชันพร้อมใช้งานของ Stripe มีฟังก์ชันจัดการข้อผิดพลาด การจัดรูปแบบ และการตรวจสอบข้อมูลแบบในตัว ซึ่งช่วยยกระดับการลงทะเบียนของลูกค้าโดยไม่สร้างภาระให้กับวิศวกรที่บริษัทมีอยู่อย่างจำกัด

ใช้การวิเคราะห์มาปรับปรุงแนวทางการรักษาลูกค้า

การรักษาลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญในการขยายธุรกิจ SaaS และเป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยต้องอาศัยการติดตามประสิทธิภาพและการวางแผนการดำเนินงานอิงจากสิ่งที่คุณค้นพบ การรวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้า รวมถึงการถามลูกค้าจริงว่าต้องการอะไรจากผลิตภัณฑ์ สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันทรงคุณค่าที่จะช่วยให้คุณตอบสนองความต้องการและปรับแต่งข้อเสนอในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น การนำเมตริกการติดตามไปใช้ในทุกระดับในผลิตภัณฑ์ SaaS จะช่วยบริษัทของคุณศึกษาคุณค่าของฟีเจอร์แต่ละอย่างได้

สำหรับโมเดล SaaS ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าน้อย เกณฑ์เปรียบเทียบอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินที่สำคัญจะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับว่าจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อลงทะเบียนทดลองใช้ฟรีหรือไม่ หากไม่จำเป็นต้องใช้บัตรสำหรับการทดลองใช้ฟรี อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินที่ต่ำกว่า 1% เป็นหลักฐานที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์ตลาด ในขณะที่อัตรา 2% ขึ้นไปแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ในกรณีที่ต้องใช้บัตรเครดิตในการลงทะเบียนและระบบจะเรียกเก็บเงินผู้ใช้หากไม่ได้ยกเลิกการทดลองใช้ในเวลาที่กำหนด อัตราที่ต่ำกว่า 40% อย่างมากแสดงว่าผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์ตลาด อัตรา 40% แสดงว่าผลิตภัณฑ์มีศักยภาพ และอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน 60% เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคุณชนะใจของลูกค้าได้ในช่วงทดลองใช้

ใช้กลยุทธ์การเรียกเก็บเงินและการติดตามหนี้ที่ปรับเปลี่ยนได้

เมื่อพูดถึงอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินและการรักษาลูกค้า สิ่งที่ต้องพิจารณาไม่ใช่แค่ประสบการณ์ของลูกค้าเท่านั้น วิธีการเรียกเก็บเงินและการติดตามหนี้ก็ส่งผลต่อความสามารถของคุณในการรักษาลูกค้าอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อคุณขยายธุรกิจ โดยทั่วไปแล้ว เกณฑ์เปรียบเทียบสำหรับโมเดล SaaS ที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากมักจะอิงตามอัตราการเลิกใช้บริการในแต่ละปีมากกว่า ในปีแรกๆ ของธุรกิจอัตราดังกล่าวมักจะอยู่ที่ 10% หลังจากนั้น 7% ถือว่าเป็นอัตราที่ดีมากและควรคงระดับนี้ไว้ การติดตามอัตราการสูญเสียรายรับสุทธิที่ติดลบหรือมูลค่าของลูกค้าที่เพิ่มสัญญาหรือการเติบโตในลักษณะที่คล้ายกันปีต่อปี ก็เป็นเมตริกที่สำคัญในการติดตาม SaaS ที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามาก

Stripe Billing ช่วยให้ผู้ใช้จัดการการชำระเงินตามรอบบิลของตัวเองได้อย่างง่ายดาย และเมื่อการเรียกเก็บเงินสำหรับการชำระเงินตามรอบบิลดำเนินการไม่สำเร็จ Smart Retries ของ Stripe จะใช้แมชชีนเลิร์นนิงมากู้คืนการเรียกเก็บเงินที่ดำเนินการไม่สำเร็จในครั้งแรกได้ถึง 38% โดยเฉลี่ย Smart Retries ของ Stripe ใช้สัญญาณแบบไดนามิกที่ขึ้นอยู่กับเวลาหลายร้อยรายการ ได้แก่

  • จำนวนอุปกรณ์ที่แสดงวิธีการชำระเงินที่กำหนดไว้ในช่วง N ชั่วโมงที่ผ่านมา
  • เวลาที่เหมาะสมในการชำระเงิน (การชำระเงินสำหรับบัตรเดบิตในบางประเทศมีอัตราความสำเร็จมากกว่าเล็กน้อยในช่วงเวลา 00:01 น. ในเขตเวลาท้องถิ่น)

เมื่อเทียบกับโซลูชันที่ใช้กฎตายตัว โซลูชันอย่าง Stripe Billing ซึ่งใช้กลยุทธ์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเรียนรู้จากพฤติกรรมของลูกค้า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการยกระดับการดำเนินงานของคุณในด้านนี้

สุดท้าย ในกรณีที่ลูกค้าเลิกใช้ผลิตภัณฑ์ การสละเวลาเล็กน้อยมาสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าก่อนเลิกใช้บริการและแก้ไขความคิดเห็นในเชิงลบอย่างรวดเร็ว สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับปัญหาของลูกค้าและช่วยให้คุณแก้ปัญหาในอนาคตได้

อย่าประเมินประสิทธิภาพของการตลาดเนื้อหาต่ำเกินไป

การลงทุนกับเนื้อหาไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับธุรกิจ SaaS เสมอไป แต่เมื่ออุตสาหกรรมเติบโตขึ้น เนื้อหากลับเป็นวิธีที่ทรงพลังอย่างมากในการแสดงให้กลุ่มเป้าหมายเห็นว่าคุณเข้าใจความต้องการ ความกังวล และปัญหาของพวกเขา ซึ่งซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มของคุณมีจุดมุ่งหมายที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น นี่คือเป้าหมายของการดำเนินงานด้านการตลาดอย่างกว้างๆ แต่การตลาดเนื้อหา เช่น โพสต์บนบล็อก หน้าแลนดิ้งเพจ เอกสารนำเสนอ วิดีโอ พอดแคสต์ ฯลฯ มอบเครื่องมือในระยะยาวที่ช่วยให้คุณสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น เนื้อหาอาจจะมีบทบาทหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการผสานรวมการแสดงออกของแบรนด์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การแสดงให้เห็นกรณีการใช้งานผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการเน้นให้เห็นภาพว่าธุรกิจของคุณตอบโจทย์ความต้องการและแก้ไขข้อกังวลของลูกค้าในวงกว้างได้อย่างไร

สำหรับบริษัทซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มที่สนับสนุนบริษัทเหล่านี้ การสร้างและการวางกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากคลังเนื้อหาที่ออกแบบมาให้ทำงานที่กำหนดโดยเฉพาะ จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผยแพร่เนื้อหาที่พูดแทนแบรนด์ของคุณและมอบทรัพยากรที่น่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้จะช่วยให้คุณกลายเป็นผู้นำทางความคิดในชุมชน ซึ่งจะสร้างโอกาสในการขายใหม่ๆ และเพิ่มการรักษาลูกค้าจากการที่บริษัท SaaS ของคุณกลายเป็นบริษัทอันดับแรกเมื่อลูกค้า (หรือผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า) มองหาทรัพยากรและการสนับสนุน

เมื่อคุณต้องจัดทำแผนเนื้อหา ให้ตอบคำถามต่อไปนี้ "กลุ่มเป้าหมายของฉันคือใคร" และ "ฉันแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมายของฉันอย่างไร" การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและคาดการณ์ว่าลูกค้าจะมีข้อสงสัยอย่างไรบ้าง จะช่วยให้คุณพัฒนาเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการ สร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ ไปพร้อมๆ กับการตอบคำถามในยามที่ลูกค้าต้องการคำตอบมากที่สุด

สร้างกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายซ้ำที่จะสร้างการมองเห็นข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเมื่อลูกค้าเข้าเว็บไซต์เป็นครั้งแรกนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายซ้ำจึงช่วยเพิ่มโอกาสที่คุณจะนำพวกเขากลับมาและเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน การกำหนดเป้าหมายซ้ำเป็นกลยุทธ์การตลาดที่จะนำธุรกิจ SaaS ของคุณมาอยู่ตรงหน้าลูกค้าคาดหวังโดยการเสนอผลิตภัณฑ์ของคุณแก่ลูกค้าเมื่อลูกค้าท่องอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำให้ธุรกิจของคุณอยู่ในความคิดของลูกค้าเสมอและนำผู้เข้าชมรายเดิมกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณเพื่อทำการขาย

กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายซ้ำที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือการทำงานร่วมกับเครือข่าย Google Display Network (GDN) หรือ Facebook เพื่อซื้อโฆษณาและเสริมสร้างลูกค้าเป้าหมาย จากตัวเลขทางสถิติที่น่าตกใจ พบว่า GDN เข้าถึง 90% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก และผู้ใช้ 65% มองเห็น GND ทุกวัน ส่วน Facebook มีกลุ่มเป้าหมายโฆษณาทั้งหมดมากกว่า 2,000 ล้านคน หรือคิดเป็น 72.5% ของผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ทุกเดือนทั้งหมด 2,910 ล้านคน

นอกจากนี้คุณยังสามารถกำหนดเป้าหมายซ้ำกับผู้ใช้ที่ทดลองใช้ฟรี ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนมาใช้แพ็กเกจแบบชำระเงินหลังจากการทดลองใช้สิ้นสุดลง โดยการเสนอส่วนลดในเวลาที่เหมาะสมหรือขยายระยะเวลาการทดลองใช้ การกำหนดเป้าหมายซ้ำยังเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันเพื่อป้องกันการเลิกใช้บริการ โดยใช้วิธีการอัปเดตการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เนื้อหาใหม่ และกิจกรรมใหม่ๆ และการสัมมนาผ่านเว็บ

ทำให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ

สุดท้าย เพื่อรักษาผลกำไรที่ทำมา คุณต้องทำให้ขั้นตอนต่างๆ เป็นระบบอัตโนมัติให้ได้มากที่สุด เพื่อปรับปรุงการบริหารเวลาและช่วยให้ทีมของคุณมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์หลักได้มากขึ้น สำหรับแพลตฟอร์ม SaaS การทำให้ฟังก์ชันแบ็กเอนด์กลายเป็นระบบอัตโนมัติจะช่วยให้คุณมีทรัพยากรมากขึ้นเมื่อคุณต้องขยายธุรกิจ แต่การเปลี่ยนมาใช้ระบบอัตโนมัติไม่มีวิธีใดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ คุณจึงต้องทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าวิธีใดบ้างที่เหมาะกับลูกค้าและบริษัทของคุณ ก่อนจะเริ่มต้น คุณสามารถใช้ระบบอัตโนมัติมาทำการตลาดและกำหนดเวลาโพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือสร้างอีเมลขายอัตโนมัติที่จะช่วยให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินได้อย่างราบรื่น หรือช่วยในการขายต่อยอดและการขายที่เกี่ยวเนื่อง ระบบอัตโนมัติอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเริ่มต้นใช้งานของคุณ การติดตามความคืบหน้าจะช่วยให้คุณมองเห็นจุดที่ลูกค้าอาจหยุดชะงักและแจ้งให้ดำเนินการแบบอัตโนมัติเพื่อแจ้งปัญหาไปยังทีมความสำเร็จของลูกค้า

วิธีสำคัญที่สุดวิธีหนึ่งในการขยายธุรกิจ SaaS ของคุณคือการทำให้ขั้นตอนเกี่ยวกับรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าและการปฏิบัติงานทางการเงินเป็นระบบอัตโนมัติ Stripe ช่วยให้บริษัท SaaS นำการรายงานรายรับ การชำระเงิน และการเรียกเก็บเงินมารวมกันในระบบนิเวศเดียวกัน แทนที่จะต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์หลายตัวของบริษัทอื่นหรือโซลูชันของตัวเองที่ยุ่งยากซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง Revenue Recognition ของ Stripe ช่วยให้ธุรกิจทำบัญชีแบบเกณฑ์คงค้างได้อย่างง่ายดายด้วยวิธีการอัตโนมัติที่รับรองการปฏิบัติตามข้อบังคับ ASC 606 และ IFRS 15 ส่วน Stripe Tax ที่รวมอยู่ใน Stripe Billing และ Payments จะช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษีการขายสำหรับธุรกรรม Stripe ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ เป้าหมายโดยรวมคือการผสานธุรกิจและแพลตฟอร์ม SaaS เข้ากับชุดโซลูชันที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับขั้นตอนฟรอนท์เอนด์และแบ็กเอนด์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายธุรกิจ

พร้อมขยายธุรกิจ SaaS แล้วหรือยัง พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาคำตอบว่า Stripe จะช่วยคุณได้อย่างไร

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

เข้าร่วมกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง รวมถึงส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe รวมถึงการประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas