บัตรดิจิทัลเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คาดว่าตลาดบัตรดิจิทัลทั่วโลกจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเกือบ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 เป็น 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 บัตรดิจิทัลเป็นโซลูชันสําหรับตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทํางานจากทางไกล การซื้อออนไลน์ และการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัล
บัตรที่ทำจากพลาสติกแบบดั้งเดิมแม้จะใช้งานได้ แต่ก็มักมีข้อจํากัดที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะวิธีการชําระเงิน บัตรดิจิทัลจะมอบความยืดหยุ่นและความปลอดภัยที่รัดกุม แต่ยังมีฟังก์ชันต่างๆ ที่สามารถปรับแต่งเปลี่ยนการจัดการค่าใช้จ่ายและการชําระเงินแก่ผู้ให้บริการได้ตามต้องการ สิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับบัตรดิจิทัล
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- บัตรดิจิทัลคืออะไร
- บัตรดิจิทัลใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
- บัตรดิจิทัลปลอดภัยหรือไม่
- ข้อดีและข้อเสียของบัตรดิจิทัล
- วิธีรับบัตรดิจิทัลสําหรับธุรกิจของคุณ
บัตรดิจิทัลคืออะไร
บัตรดิจิทัลเหมือนบัตรพลาสติก เช่น บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในเวอร์ชันดิจิทัล โดยมีรายละเอียดของบัตรที่ใช้กับธุรกรรมออนไลน์เป็นหลัก ภาพรวมของฟีเจอร์และลักษณะเฉพาะของบัตรดิจิทัลมีดังนี้
รายละเอียดของบัตร: บัตรดิจิทัลจะมีหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสรักษาความปลอดภัยเช่นเดียวกับบัตรทั่วไป โดยปกติแล้วจะเป็นตัวเลขยืนยันบัตร (CVV) หรือรหัสยืนยันบัตร (CVC) โดยระบบจะสร้างรายละเอียดเหล่านี้ทางอิเล็กทรอนิกส์
การใช้งาน: ปกติแล้วบัตรดิจิทัลจะใช้กับการซื้อออนไลน์หรือธุรกรรมที่ไม่จําเป็นต้องแสดงบัตรจริง
การรักษาความปลอดภัย: หนึ่งในข้อดีหลักๆ ของบัตรดิจิทัลก็คือการรักษาความปลอดภัยของการชําระเงิน บัตรดิจิทัลบางประเภทออกแบบมาเพื่อการใช้งานครั้งเดียว ซึ่งหมายความว่าเมื่อนําไปใช้ทําธุรกรรมแล้ว บัตรเหล่านั้นจะใช้ไม่ได้อีก วิธีนี้จะลดความเสี่ยงในการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการฉ้อโกง บัตรดิจิทัลอื่นๆ อาจกําหนดวงเงินหรือล็อกให้ธุรกิจบางประเภทใช้งานเท่านั้น
การออกบัตร: บัตรดิจิทัลสามารถออกได้ทันที ทําให้รวดเร็วกว่าการออกบัตรใบจริงที่จะส่งทางไปรษณีย์
การเชื่อมโยงบัตร: บัตรดิจิทัลอาจเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารหรือวงเงินเครดิตแบบดั้งเดิม รวมทั้งอาจใช้วิธีการเติมเงินได้ ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ออกบัตร
ความยืดหยุ่น: คุณสามารถตั้งค่าบัตรดิจิทัลโดยใช้การควบคุมการใช้จ่าย เช่น วงเงินธุรกรรม ยอดใช้จ่ายรวม ช่วงวันที่ หรือหมวดหมู่ผู้ค้า
การจัดการค่าใช้จ่าย: ธุรกิจมักจะใช้บัตรดิจิทัลเพื่อการจัดการค่าใช้จ่าย โดยสามารถออกบัตรดิจิทัลให้แก่พนักงานสําหรับการซื้อที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมีการควบคุมและการกํากับดูแลการใช้จ่ายเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง
ความยั่งยืน: เนื่องจากไม่ต้องใช้พลาสติก บัตรดิจิทัลจึงถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าบัตรแบบเดิมๆ
บัตรดิจิทัลใช้เพื่อจุดประสงค์ใด
บัตรดิจิทัลได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจากฟีเจอร์ด้านการปรับตามความต้องการและความปลอดภัย ต่อไปนี้คือวิธีการใช้งานทั่วไปของธุรกิจ
การซื้อออนไลน์: การใช้บัตรดิจิทัลเป็นวิธีการชําระเงินที่นิยมสําหรับธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ วิธีนี้เป็นวิธีทําธุรกรรมโดยไม่เปิดเผยรายละเอียดหลักของบัตรหรือธนาคาร ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดการฉ้อโกง
การจัดการการชําระเงินตามรอบบิล: ธุรกิจมักจะเลือกใช้บัตรดิจิทัลเมื่อลงทะเบียนใช้งานซอฟต์แวร์หรือบริการออนไลน์ หากไม่จําเป็นต้องใช้บริการอีกต่อไป คุณสามารถปิดใช้งานบัตรดิจิทัลเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมได้
ค่าเดินทาง: ธุรกิจบางแห่งจะออกบัตรดิจิทัลให้แก่พนักงานเพื่อใช้จ่ายในการเดินทางที่กำหนด ซึ่งจะมอบการควบคุมการใช้จ่ายที่แม่นยําและการกระทบยอดค่าใช้จ่ายที่ง่ายขึ้น
การชําระเงินให้แก่ผู้ขาย: ธุรกิจสามารถสร้างบัตรดิจิทัลโดยกําหนดขีดจํากัดให้กับผู้ให้บริการ เพื่อให้จัดการและติดตามการชําระเงินได้ง่ายขึ้น
กรณีการใช้งานแบบครั้งเดียว: สําหรับธุรกรรมที่มีการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม ธุรกิจจะสร้างบัตรดิจิทัลแบบใช้ครั้งเดียวได้ หลังจากทําธุรกรรม รายละเอียดของบัตรจะถูกเลิกใช้ ทําให้การละเมิดข้อมูลส่งผลกระทบต่อคุณน้อยลง
รายจ่ายของพนักงาน: ธุรกิจบางแห่งอาจต้องการมอบบัตรดิจิทัลให้แก่พนักงานโดยกําหนดขีดจํากัดไว้ล่วงหน้าสําหรับการซื้อที่เกี่ยวกับธุรกิจ แทนที่จะออกบัตรองค์กรใบจริง
แคมเปญโฆษณา: เมื่อใช้แคมเปญการโฆษณาออนไลน์ ธุรกิจอาจใช้บัตรดิจิทัลเพื่อจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ หากเกินงบประมาณของแคมเปญแล้ว บัตรจะป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเกิน
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน: สําหรับบริการที่เรียกเก็บเงินตามการใช้งาน เช่น การโฮสต์บนคลาวด์ บัตรดิจิทัลสามารถช่วยธุรกิจในการจัดการค่าใช้จ่ายที่คาดเดาไม่ได้ ด้วยการจํากัดวงเงินที่จะเรียกเก็บ
บัตรดิจิทัลปลอดภัยหรือไม่
บัตรดิจิทัลมีฟีเจอร์ความปลอดภัยมากมายที่จัดการกับช่องโหว่ที่พบบ่อยในกับธุรกรรมผ่านบัตรแบบเดิมๆ ต่อไปนี้คือรายละเอียดในมุมมองด้านความปลอดภัย
มีการเปิดเผยข้อมูลแบบจำกัด: เนื่องจากธุรกิจมักสร้างบัตรดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์ที่เจาะจง ระบบจึงไม่เปิดเผยรายละเอียดหลักของบัตรหรือธนาคารระหว่างการทําธุรกรรม วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการขโมยข้อมูล
บัตรสําหรับใช้งานครั้งเดียว: บัตรดิจิทัลจํานวนมากถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ครั้งเดียว หลังจากทำธุรกรรมตามเป้าหมายแล้ว รายละเอียดของบัตรจะใช้ไม่ได้อีก จึงทําให้มิจฉาชีพไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
การควบคุมการใช้จ่าย: ผู้ใช้สามารถกําหนดขีดจำกัดที่เจาะจงสําหรับบัตรดิจิทัลได้โดยใช้ยอดรวม ช่วงเวลาที่ใช้งานได้ หรือหมวดหมู่ผู้ค้า วิธีนี้จะช่วยให้มีการควบคุมเสริมอีกชั้นหนึ่งและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต
บัตรเฉพาะสำหรับธุรกิจบางประเภท: บัตรดิจิทัลบางรายการสามารถล็อกให้ใช้งานได้กับเฉพาะธุรกิจบางประเภท แม้ว่าอาจมีการเปิดเผยรายละเอียดบัตร แต่ก็จะไม่สามารถใช้งานที่อื่นได้อีก
การออกบัตรและการยกเลิกทันที: บัตรดิจิทัลสามารถสร้างได้ทันทีและยกเลิกภายในเวลาสั้นๆ หากสงสัยว่ามีการละเมิดหรือการใช้งานในทางที่ผิด คุณสามารถปิดใช้งานบัตรได้ทันที
การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์: แพลตฟอร์มหลายแห่งที่ให้บริการบัตรดิจิทัลจะให้การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สําหรับการทําธุรกรรมทุกรายการ ทําให้ระบุและรายงานกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ง่ายขึ้น
ไม่มีความเสี่ยงทางกายภาพ: หากไม่มีบัตรจริง ก็จะไม่มีความเสี่ยงที่จะสูญหายหรือถูกขโมยเหมือนบัตรทั่วไป
แม้บัตรดิจิทัลมีกลไกความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่วิธีการชำระเงินบางอย่างก็อาจมีความเสี่ยงได้ แนวทางปฏิบัติแนะนำ เช่น การใช้เครือข่ายที่เชื่อถือได้ การอัปเดตซอฟต์แวร์อยู่เสมอ และการติดตามประวัติธุรกรรมอยู่เป็นประจํา จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของบัตรดิจิทัลได้
ข้อดีและข้อเสียของบัตรดิจิทัล
บัตรดิจิทัลเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านการเงินต่างๆ ที่ธุรกิจต้องเผชิญโดยทั่วไป แต่วิธีการชําระเงินนี้ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง ก่อนตัดสินใจว่าบัตรดิจิทัลเป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับธุรกิจของคุณหรือไม่ โปรดพิจารณาข้อดีและข้อเสียเทียบกันตามวิธีดังนี้
ข้อดีของบัตรดิจิทัล
การลดความเสี่ยง: บัตรดิจิทัลโดยเฉพาะแบบใช้งานครั้งเดียวจะช่วยลดโอกาสเกิดการฉ้อโกงได้เป็นอย่างมาก เมื่อใช้งานแล้ว รายละเอียดของบัตรเหล่านี้จะใช้ซ้ำไม่ได้อีก ทำให้ไม่มีโอกาสทําธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต สําหรับธุรกิจ วิธีการนี้จะช่วยลดความจําเป็นในการควบคุมความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดด้านการเงิน
การควบคุมงบประมาณ: ธุรกิจสามารถออกบัตรดิจิทัลที่มีวงเงินแบบกําหนดไว้ล่วงหน้าได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าแผนกได้รับการจัดสรรงบประมาณเฉพาะสําหรับการซื้อซอฟต์แวร์ ก็จะสามารถกำหนดวงเงินที่เจาะจงของบัตรดิจิทัลได้เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกิน
การออกบัตรทันที: การรอบัตรใบจริงอาจทําให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเมื่อจําเป็นต้องทําธุรกรรมทันที บัตรดิจิทัลนั้นไม่ต้องรอ ซึ่งเป็นประโยชน์ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดําเนินไปอย่างรวดเร็ว
การใช้งานที่กําหนดเอง: ผู้ใช้สามารถกําหนดให้บัตรดิจิทัลใช้งานได้กับธุรกิจที่กําหนดเท่านั้น ซึ่งช่วยลดอัตราการใช้งานในทางที่ผิดหรือการจัดสรรเงินที่ไม่เหมาะสม
การกระทบยอดที่ง่ายดาย: สําหรับทีมบัญชี บัตรดิจิทัลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ทีมได้ ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงบัตรแต่ละใบเข้ากับโครงการหรือแผนกเฉพาะได้ เมื่อมีการทำธุรกรรม ระบบจะจัดหมวดหมู่ธุรกรรมเหล่านี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้กระบวนการกระทบยอดในช่วงสิ้นเดือนเป็นเรื่องง่าย
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: บัตรดิจิทัลเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนกว่าเนื่องจากไม่ต้องผลิตจากพลาสติกและไม่ต้องจัดส่ง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรหลายข้อ
ข้อเสียของบัตรดิจิทัล
ไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากล: แม้บัตรดิจิทัลจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ธุรกิจบางแห่งก็ไม่ยอมรับและกำหนดให้ใช้บัตรจริงอยู่
การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป: แม้บัตรดิจิทัลจะมอบความสะดวกสบาย แต่ก็หมายความว่าธุรกิจจะต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มการออกบัตร ข้อบกพร่องทางเทคนิค การขัดข้อง หรือปัญหาการรั่วไหลทางไซเบอร์อาจทําให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติงานได้
ต้องอาศัยความเข้าใจ: การเริ่มใช้บัตรดิจิทัลในธุรกิจอาจต้องใช้การอบรมสําหรับพนักงาน โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ชํานาญด้านเทคโนโลยี เนื่องจากอาจทำให้เกิดการไม่ยอมรับหรือเกิดข้อผิดพลาดขั้นต้น
ความท้าทายในการผสานการทํางาน: ระบบการจัดการค่าใช้จ่ายหรือการทําบัญชีอาจไม่รองรับบัตรดิจิทัล ทำให้เกิดความซับซ้อนสําหรับกระบวนการผสานการทํางาน ซึ่งอาจจําเป็นต้องมีการลงทุนซอฟต์แวร์เพิ่มเติมหรือการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
การเสียสิทธิประโยชน์จากบัตรใบจริง: บัตรองค์กรใบจริงบางประเภทมีสิทธิพิเศษ เช่น การเข้าใช้บริการเลานจ์ที่สนามบินหรือประกันการเดินทาง การเปลี่ยนไปใช้รูปแบบดิจิทัลทั้งหมดอาจทำให้เสียสิทธิประโยชน์เหล่านี้
วิธีรับบัตรดิจิทัลสําหรับธุรกิจของคุณ
การรับบัตรดิจิทัลสําหรับธุรกิจของคุณนั้นทำได้ง่าย แต่ขั้นตอนดังกล่าวอาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ ต่อไปนี้คือขั้นตอนทั่วไปที่ธุรกิจส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติตามได้
ศึกษาเกี่ยวกับผู้ให้บริการ: บัตรดิจิทัลมีให้บริการหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีฟีเจอร์ โครงสร้างค่าธรรมเนียม และการผสานการทํางานเฉพาะตัว โปรดใช้เวลาทําความเข้าใจว่าบริการใดตรงกับความต้องการทางธุรกิจของคุณที่สุด
การสร้างบัญชี: หลังจากเลือกผู้ให้บริการแล้ว คุณก็จะต้องสร้างบัญชีธุรกิจ โดยมักต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ รวมถึงชื่อทางกฎหมาย ที่อยู่ และหมายเลขประจําตัวผู้เสียภาษี
ขั้นตอนการยืนยัน: ผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะดําเนินการยืนยันตัวตนเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ว่าธุรกิจของคุณเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการส่งเอกสารประกอบ เช่น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ รายการเดินบัญชีธนาคาร หรือแบบแสดงรายการภาษี
กําหนดมาตรการควบคุมบัตร: เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว คุณจะสามารถปรับแต่งการตั้งค่าบัตรดิจิทัลได้ รวมถึงการกำหนดวงเงินใช้จ่าย การพิจารณาว่าพนักงานคนใดบ้างที่ใช้งานได้ และระบุหมวดหมู่ผู้ค้า (หากจําเป็น)
การผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์การทําบัญชี: ผู้ให้บริการบัตรดิจิทัลจํานวนมากนําเสนอการผสานการทํางานกับเครื่องมือการจัดการค่าใช้จ่ายและบัญชีที่ได้รับความนิยม การเชื่อมต่อเหล่านี้จะทําให้การติดตามค่าใช้จ่ายและการกระทบยอดเป็นเรื่องง่าย
ออกบัตร: หลังจากกําหนดค่าแล้ว คุณสามารถเริ่มออกบัตรดิจิทัลให้กับพนักงานหรือแผนกที่เกี่ยวข้องได้ แพลตฟอร์มส่วนใหญ่อนุญาตให้คุณสร้างบัตรเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ใช้งานได้ทันที
จัดการอย่างสม่ำเสมอ: หมั่นตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจํา ปรับการตั้งค่าบัตรตามต้องการ และตรวจสอบกิจกรรมที่น่าสงสัย แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ให้ข้อมูลเชิงลึกและรายงานแบบเรียลไทม์เพื่อช่วยในการควบคุมดูแลนี้
บัตรดิจิทัลไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือที่ธุรกิจสามารถนํามาใช้เพิ่มความปลอดภัยและปรับปรุงประสบการณ์การทําธุรกรรมให้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจสามารถติดตามค่าใช้จ่ายอย่างใกล้ชิดและปรับเปลี่ยนการทำงานอย่างรวดเร็วด้วยบัตรดิจิทัล โดยอิงตามข้อมูลแบบเรียลไทม์
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ