หากคุณเคยตั้งค่าโปรแกรมบัตรมาก่อน หรือธุรกิจใดๆ เพื่อรับชําระเงิน ก็อาจเคยพบเห็นรหัสหมวดหมู่ผู้ค้า (MCC) MCC คือตัวเลข 4 หลักที่ใช้ระบุประเภทสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจนำเสนอ เดิมที MCC ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการรายงานภาษี แต่ขณะนี้ได้กลายเป็นส่วนสําคัญในการประมวลผลการชําระเงิน MCC ยังมอบสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายให้กับโปรแกรมบัตรของบริษัทผู้ออกบัตรด้วย เช่น ช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อทําความเข้าใจการใช้จ่ายของเจ้าของบัตร
เราจะอธิบายว่าเพราะเหตุใด MCC จึงมีความสําคัญ วิธีใช้รหัสเหล่านี้การทําธุรกรรม และวิธีนำไปใช้เพื่อยกระดับโปรแกรมบัตรของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- MCC คืออะไร
- วิธีการใช้ MCC ในกระบวนการของธุรกรรม
- เหตุใด MCC จึงสําคัญ
- วิธีดู MCC สําหรับธุรกรรม
- รายการ MCC
MCC คืออะไร
MCC และคําจํากัดความของรหัสนี้ได้รับการกําหนดโดยองค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO)
ผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินจะมอบหมาย MCC ให้กับธุรกิจเพื่อกําหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บสำหรับบริการชําระเงิน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับความเสี่ยงของธุรกิจ MCC ส่วนใหญ่ได้รับการยอมรับจากผู้ออกบัตรส่วนใหญ่ แต่เครือข่ายบัตรบางเครือข่ายก็มี MCC ในรูปแบบของตนเอง ธุรกิจต่างๆ จะไม่สามารถกําหนดรหัส MCC ของตัวเองได้ แต่สามารถขอรับการกําหนด MCC จากผู้ประมวลผลการชําระเงินของตน โดยจะได้รับหากธุรกิจมีคุณสมบัติตรงตามที่กําหนดไว้สําหรับ MCC นั้นๆ
วิธีการใช้ MCC ในกระบวนการของธุรกรรม
อธิบายง่ายๆ ก็คือ MCC จะแจ้งให้ผู้ออกบัตรและผู้ประมวลผลการชําระเงินทราบถึงวิธีจัดการธุรกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนี้
อัตราค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร
อัตราค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารคือค่าธรรมเนียมที่ธุรกิจต่างๆ ต้องจ่ายเพื่อรับชําระเงินผ่านบัตร เครือข่ายจะเป็นผู้กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารเสมอ โดยอิงตามแนวทางในวงกว้าง แต่อัตราค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเทศ การซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจในหมวดหมู่ที่เฉพาะจะส่งผลต่ออัตราค่าธรรมเนียมนี้ ตัวอย่างเช่น MCC ของธุรกิจประเภทต่างๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะมีอัตราการฉ้อโกงและอัตราการดึงเงินคืนต่ําก็อาจมีอัตราค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารต่ํากว่า ในทางกลับกัน MCC ของธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงก็อาจส่งผลให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารสูงขึ้นค่าธรรมเนียมสําหรับเจ้าของบัตร
ธุรกิจบางประเภทสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบริการจากเจ้าของบัตรสำหรับการชําระเงินด้วยบัตรใน MCC บางประเภท เช่น ธุรกรรมที่เกี่ยวกับรัฐบาลข้อมูลประจําตัวผู้ค้าที่มีความเสี่ยงสูง
โดยปกติแล้ว สถาบันผู้รับบัตรของผู้ค้าและผู้ประมวลผลการชําระเงินจะประเมินความเสี่ยงสัมพัทธ์ของธุรกิจประเภทนั้นๆ ซึ่งจะช่วยกําหนดค่าธรรมเนียม แม้ว่าวิธีการสําหรับการอนุมัติขั้นสูงของ Visa (VAA) หรือคะแนนข้อมูลการตัดสินใจของ Mastercard (MDIS) ในการกําหนดคะแนนความเสี่ยงจะไม่ใช่ข้อมูลสาธารณะ แต่ธุรกรรม MCC ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณการป้องกันการดึงเงินคืน
MCC บางรายการจะไม่ได้รับการป้องกันการฉ้อโกงในระดับเดียวกัน โดยเฉพาะธุรกรรมที่ไม่ได้แสดงบัตรจริง (CNP) ปัญหานี้มักเกิดกับธุรกิจที่มีอัตราการฉ้อโกงสูง ซึ่งทำให้อัตราการดึงเงินคืนสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทการตลาดทางไกลและร้านค้ายาบางแห่งได้รับการจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ที่มีความเสี่ยงสูง จึงมีค่าธรรมเนียมการดึงเงินคืนสูงขึ้นวัตถุประสงค์ด้านภาษี
MCC ยังถูกนำไปใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี โดยจะระบุให้เจ้าของบัตรทราบหากต้องรายงานธุรกรรมไปยัง IRS ในกรณีส่วนใหญ่ธุรกิจจะต้องรายงานการซื้อบริการ แต่ไม่ต้องรายงานสำหรับสินค้า
เหตุใด MCC จึงสําคัญ
MCC มีความสําคัญต่อกระบวนการชําระเงินด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
การตั้งค่าการควบคุมการใช้จ่าย
บริษัทผู้ออกบัตรสามารถใช้ MCC เพื่อจํากัดการใช้บัตรที่ออกกับธุรกิจบางประเภท หรืออนุญาตให้บัตรใช้ในธุรกิจบางประเภทเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากกําลังสร้างแพลตฟอร์มสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง คุณสามารถตั้งค่าการควบคุมการใช้จ่ายเพื่อให้บัตรของคุณใช้กับการซื้อด้วย MCC เกี่ยวกับการเดินทางได้เท่านั้น พาร์ทเนอร์ธนาคารสำหรับ Issuing บางรายของ Stripe กําหนดให้เราบล็อก MCC ที่มีความเสี่ยงสูงในระดับโปรแกรม เช่น ธุรกิจการพนันการรวบรวมข้อมูลการใช้จ่ายของเจ้าของบัตร
ข้อมูล MCC จะพร้อมใช้งานสําหรับธุรกรรมทุกรายการและในออบเจ็กต์ Authorization รวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ เกี่ยวกับธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นยอดเงิน วิธีการอนุมัติ และรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจที่ใช้บัตรนั้นการมอบรางวัลสำหรับเจ้าของบัตร
MCC ช่วยในการมอบรางวัลให้เจ้าของบัตร ตัวอย่างเช่น หากบริษัทผู้ออกบัตรเสนอเงินคืน 3% ให้เจ้าของบัตรสำหรับการชําระค่าอุปกรณ์ธุรกิจ ธุรกรรมซึ่งทำกับผู้ค้าที่ระบุ MCC ว่าเป็นอุปกรณ์สํานักงานก็จะช่วยแจ้งให้บริษัทผู้ออกบัตรจ่ายรางวัลดังกล่าวการกำหนดค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร
MCC จะระบุประเภทธุรกรรม ซึ่งกําหนดค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารที่เกี่ยวข้องสําหรับธุรกรรมนั้นๆ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมักจะจ่ายค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารที่สูงขึ้น จึงลดผลกําไรที่ธุรกิจจะได้รับจากธุรกรรมแต่ละรายการธุรกรรมข้ามพรมแดน
MCC อาจส่งผลต่อวิธีประมวลผลธุรกรรมข้ามพรมแดน รวมถึงค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินและกฎการยอมรับ โดยธุรกรรมที่เกี่ยวกับธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะคิดค่าธรรมเนียมสูงขึ้น
วิธีดู MCC สําหรับธุรกรรม
ใน Stripe Issuing ระบบจะระบุ MCC สําหรับธุรกรรมแต่ละรายการเป็นค่า merchant_data.category
ในออบเจ็กต์ Authorization ธุรกิจบางแห่งอาจไม่ได้รับการจัดให้อยู่ในหมวดหมู่เฉพาะเจาะจง แต่จะมีหมวดหมู่เป็นเบ็ดเตล็ด
MCC รวมอยู่ในออบเจ็กต์ Authorization ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกรรมมากกว่า 20 รายการ
รายการ MCC
แง่มุมที่เป็นจุดด้อยของ MCC คือการไม่มีชุดรหัสหมวดหมู่ผู้ค้าที่นิติบุคคลและองค์กรทั้งหมดยอมรับกันทั่วไป แต่ช่วงของรหัสหมวดหมู่ต่างๆ มักจะสอดคล้องกัน ต่อไปนี้คือรายละเอียดของช่วงรหัสสําหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
- 0001–1499: บริการด้านเกษตรกรรม
- 1500–2999: บริการตามสัญญา
- 4000–4799: บริการด้านการคมนาคม
- 4800–4999: บริการสาธารณูปโภค
- 5000–5599: บริการร้านค้าปลีก
- 5600–5699: ร้านเสื้อผ้า
- 5700–7299: ร้านสินค้าเบ็ดเตล็ด
- 7300–7999: บริการสําหรับธุรกิจ
- 8000–8999: บริการเฉพาะทางและองค์กรที่มีบริการสมัครสมาชิก
- 9000–9999: บริการของรัฐบาล
ดูรายการรหัสหมวดหมู่ผู้ค้าทั้งหมดของ Stripe Issuing