การขยายธุรกิจของคุณไปยังอินโดนีเซียเป็นโอกาสการเติบโตที่สำคัญ ตลาดอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตจากประมาณ 52.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ไปจนถึงกว่า 86.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2028 และการปรับแต่งกลยุทธ์ของคุณสำหรับลูกค้าในอินโดนีเซียจะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากตลาดนี้
ด้านล่างนี้ เราจะมาดูว่าคุณควรคำนึงถึงอะไรบ้างเมื่อเข้าสู่ระบบการชำระเงินของอินโดนีเซีย
- ให้ความสำคัญกับกระเป๋าเงินดิจิทัล
- ปรับตัวตามความต้องการในภูมิภาค
- ลงทุนในการป้องกันการฉ้อโกงเกี่ยวกับการชำระเงิน
สถานะของตลาด
การชำระเงินแบบดิจิทัลกำลังเติบโตในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง เช่น จาการ์ตา แต่ลูกค้าในภูมิภาคที่ห่างไกลจำนวนมากยังคงพึ่งพาเงินสดอยู่ อีคอมเมิร์ซได้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปรับใช้การชำระเงินแบบดิจิทัล โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลและการชำระเงินผ่านรหัส QR กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เราก็ไม่ควรมองข้ามความจริงที่ว่าประเทศอินโดนีเซียยังพึ่งพาเงินสดอยู่มาก อินโดนีเซียมีภูมิประเทศที่ประกอบด้วยหมู่เกาะจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดความท้าทายด้านโลจิสติกส์ต่อการปรับใช้วิธีการชำระเงินใหม่ให้แพร่หลาย ทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและความสอดคล้องกันของการชำระเงิน อย่างไรก็ตาม Bank Indonesia ที่รับรู้ถึงความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของการชำระเงินผ่านรหัส QR นี้ก็ได้เปิดตัวระบบรหัส QR มาตรฐานที่รู้จักกันในชื่อ Quick Response Code Indonesia Standard (QRIS) ระบบดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงข้ามระบบระหว่างแพลตฟอร์มการชำระเงินต่างๆ ที่ใช้รหัส QR เป็นหลักได้ และช่วยขยายขอบเขตการยอมรับการชำระเงินผ่านรหัส QR ให้กว้างขึ้นไปอีก
ระบบการชำระเงินของอินโดนีเซียมีระเบียบข้อบังคับที่ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับธุรกรรมในสกุลเงินรูเปียอินโดนีเซีย (IDR) สำหรับธุรกิจและลูกค้า โดย Bank Indonesia และ Otoritas Jasa Keuangan ซึ่งเป็นหน่วยงานบริการทางการเงินของประเทศจะแก้ไขปรับปรุงระเบียบข้อบังคับเหล่านี้อยู่เป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการทางการเงินที่พัฒนาขึ้นของประเทศและมาตรฐานระหว่างประเทศ
วิธีการชำระเงิน
ลูกค้าในอินโดนีเซียใช้วิธีการชำระเงินที่หลากหลาย ตั้งแต่การชำระเงินด้วยเงินสดแบบดั้งเดิมไปจนถึงวิธีการชำระเงินแบบดิจิทัลที่ทันสมัย
การใช้งานในปัจจุบัน
จากข้อมูลที่ผ่านมา ภูมิภาคที่มีความเฉพาะตัวของอินโดนีเซียนี้ทำให้ธุรกรรมเงินสดได้รับความนิยม โดยรายงานของ McKinsey ปี 2022 ระบุว่ามูลค่าธุรกรรมระบบบันทึกการขาย (POS) ที่ได้รับเป็นเงินสดนั้นมีสัดส่วนเป็น 51% ของมูลค่าทั้งหมด
ชาวอินโดนีเซียประมาณ 78% ในแบบสำรวจปี 2022 กล่าวว่าพวกเขาวางแผนที่จะนำวิธีการชำระเงินแบบไร้เงินสดมาใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการยอมรับธุรกรรมแบบไร้สัมผัส แนวโน้มนี้ได้รับอิทธิพลมาจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซและกระเป๋าเงินดิจิทัลในท้องถิ่น เช่น GoPay, LinkAja และ OVO ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนสามารถชำระเงินผ่านการสื่อสารสนามใกล้ (NFC) ได้
ธุรกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัลมีสัดส่วนถึง 39% ของการชำระเงินอีคอมเมิร์ซในปี 2022 และมีสัดส่วนถึง 28% ของธุรกรรม POS นอกจากนี้ QRIS ยังเร่งการนำการชำระเงินด้วยรหัส QR ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลอย่าง GoPay ที่ช่วยให้ผู้ใช้ชำระเงินผ่านรหัส QR ของธุรกิจได้
ในขณะที่การชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และรหัส QR เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การชำระเงินแบบดิจิทัลก็มีการใช้งานสำหรับการค้าปลีกและการซื้ออาหารเป็นหลัก โดยมีธุรกรรมดิจิทัลในอินโดนีเซียถึง 28% มาจากค้าปลีกและ 20% มาจากการสั่งซื้ออาหาร
วิธีการชำระเงินแบบ B2C ที่ได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย
- กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น GoPay)
- บัตรเครดิตและบัตรเดบิต
- รหัส QR
- ซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL)
วิธีการชำระเงินแบบ B2B ที่ได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย
- บัตรเครดิต
- การโอนเงินผ่านธนาคาร
แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น
ดัชนีการปรับใช้คริปโตทั่วโลกปี 2023 (Global Crypto Adoption Index) จัดอันดับให้อินโดนีเซียเป็นที่ 7 ของโลกในเรื่องการนำคริปโตเคอร์เรนซีมาใช้ โดยมีความสนใจหนาแน่นอยู่ในจาการ์ตา บาหลี และแหล่งเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ธุรกิจสตาร์ทอัพอย่าง Pintu และ Tokocrypto ได้ช่วยสร้างชุมชนคริปโตที่กำลังเติบโตขึ้นมา
ความง่ายและความยากในการเข้าสู่ตลาด
ก่อนที่คุณจะรับชำระเงินในอินโดนีเซีย โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจภาษี การดึงเงินคืน การชำระเงินข้ามพรมแดน และการรักษาความปลอดภัยในการชำระเงินแล้ว โดยเราสรุปข้อมูลสั้นๆ ไว้ให้คุณดังนี้
ภาษี
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอินโดนีเซียอยู่ที่ 11% สำหรับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายภาษีนี้โดยตรงสำหรับการซื้อทุกรายการ แต่ธุรกิจก็ต้องรับผิดชอบในการเรียกเก็บและนำส่งเงินจำนวนนี้ให้กับรัฐบาล การไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการนำส่งภาษีนั้นถูกดำเนินการอย่างจริงจัง และธุรกิจต่างๆ อาจต้องเผชิญกับผลกระทบทางกฎหมายจากการหลีกเลี่ยงหรือข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
การดึงเงินคืนและการโต้แย้งการชำระเงิน
ขั้นตอนการดึงเงินคืนในอินโดนีเซียนั้นเหมือนกับในหลายๆ ตลาด โดยจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถโต้แย้งธุรกรรมที่ตนเชื่อว่าเป็นธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือฉ้อโกงได้ ธนาคารและสถาบันการเงินจะอำนวยความสะดวกในขั้นตอนนี้ให้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการกำหนดช่วงเวลาที่ลูกค้าสามารถโต้แย้งข้อมูลที่ส่งได้ภายใน 60-120 วันนับจากวันที่ทำธุรกรรม เกตเวย์การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีกลไกที่ชัดเจนสำหรับการจัดการข้อร้องเรียนธุรกรรม ซึ่งรวมถึงการกำหนดกรอบเวลาสูงสุดสำหรับการยุติการโต้แย้งและดำเนินกระบวนการเพื่อแก้ไขข้อร้องเรียนของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
การชำระเงินระหว่างประเทศ
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าธุรกรรมข้ามพรมแดนทำงานอย่างไร หากคุณวางแผนที่จะรับชำระเงินจากนักท่องเที่ยวหรือธุรกิจต่างชาตินอกอินโดนีเซีย สิ่งที่ควรพิจารณามีดังนี้
ฟีเจอร์หลายสกุลเงิน
ธุรกิจในอินโดนีเซียจำนวนมากที่ให้บริการลูกค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น บาหลี จะระบุราคาสินค้าและบริการของตนในหลายสกุลเงิน แพลตฟอร์มดิจิทัลบางครั้งจะให้ลูกค้าเลือกดูราคาในสกุลเงินท้องถิ่นของตนได้ แม้ว่าการชำระเงินในขั้นสุดท้ายจะดำเนินการในสกุลเงิน IDR ก็ตามการแปลงสกุลเงิน
การรับการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านบัตรเครดิตหรือการโอนเงินผ่านธนาคารมักต้องมีการแปลงสกุลเงิน ธนาคารจึงมักจะขึ้นอัตราค่าธรรมเนียมระหว่างธนาคารเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นอัตราที่ธนาคารแลกเปลี่ยนสกุลเงินกัน ทำให้อัตราค่าธรรมเนียมที่เสนอให้แก่ลูกค้าแตกต่างกันไป ผู้ประมวลผลการชำระเงินมักจะเรียกเก็บเงิน 1%–3% ของยอดธุรกรรมสำหรับการแปลงสกุลเงิน ผู้ให้บริการอย่าง Stripe สามารถทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจที่รับเงินในหลายประเทศได้วิธีการชำระเงินจากตลาดอื่นๆ
การยอมรับวิธีการชำระเงินยอดนิยมจากประเทศอื่นๆ เช่น WeChat Pay และ Alipay ของจีนสามารถปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้
การรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
แนวทางการรักษาความปลอดภัยในการชำระเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และระเบียบข้อบังคับของอินโดนีเซียจะช่วยปกป้องภาคการเงินของตนได้ โดยภาพรวมมีดังนี้
กฎหมายคุ้มครองข้อมูล
ระเบียบข้อบังคับฉบับที่ 20 ของกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศในปี 2016 ได้กำหนดรากฐานสำหรับการคุ้มครองข้อมูลในการชำระเงินแบบดิจิทัลเอาไว้ โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องรับรองถึงการรักษาความลับ ความสมบูรณ์ ความเป็นจริง และความพร้อมให้บริการของข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ยังกำหนดให้ผู้ให้บริการขอความยินยอมก่อนจะเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยจะสอดคล้องกับหลักการในกรอบการคุ้มครองข้อมูลทั่วโลกโปรโตคอลของผู้ให้บริการชำระเงิน
Bank Indonesia เป็นผู้กำกับดูแลผู้ให้บริการชำระเงิน ซึ่งกำหนดให้ต้องขอใบอนุญาตและผ่านการประเมินอย่างสม่ำเสมอ โดยระเบียบข้อบังคับกำหนดให้ผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องมีระบบที่แข็งแกร่ง หลักเกณฑ์การดำเนินงานที่ชัดเจน และกระบวนการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดระเบียบข้อบังคับด้านเงินอิเล็กทรอนิกส์
อินโดนีเซียได้กำหนดระเบียบข้อบังคับสำหรับผู้ออกเงินอิเล็กทรอนิกส์ท่ามกลางการเติบโตของบริการการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น GoPay และ OVO โดยตาม[ระเบียบข้อบังคับฉบับปรับปรุง](https://www.abnrlaw.com/news/details-on-the-updated-e-money-regulation#:~:text=In%20addition%2C%20the%20PBI%2020,year%20(January%20%E2%80%93%20December)แล้ว บริษัทผู้ออกเงินอิเล็กทรอนิกส์ต้องรักษาเงินทุนขั้นต่ำ ปฏิบัติตามแนวทางการจัดการเงิน และมีกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่ชัดเจนระเบียบข้อบังคับอีคอมเมิร์ซ
ระเบียบข้อบังคับฉบับที่ 31 ที่ออกโดยกระทรวงการค้าเพิ่มความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยห้ามไม่ให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและมาร์เก็ตเพลสออนไลน์แข่งขันกับธุรกิจต่างๆ และจำกัดการเชื่อมต่อข้ามระบบระหว่างระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับอีคอมเมิร์ซกับระบบที่ไม่ใช้สำหรับอีคอมเมิร์ซกรอบการป้องกันการฟอกเงิน (AML)
อินโดนีเซียเป็นสมาชิกของกลุ่มการต่อต้านการฟอกเงินประจำเอเชียแปซิฟิก และปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศเพื่อป้องกันกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย โดยศูนย์รายงานและวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงินของอินโดนีเซีย (PPATK) จะติดตามและสืบสวนธุรกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งส่วนงานนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากกรอบ AML จาก Bank Indonesiaมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์
หน่วยงานไซเบอร์และคริปโตแห่งชาติของอินโดนีเซียทำงานเพื่อเสริมสร้างการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศและปกป้องภาคการเงินจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยองค์กรนี้กำหนดให้มีการตรวจสอบที่สม่ำเสมอ การทดสอบการเจาะระบบ และการฝึกอบรมด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อบรรลุเป้าหมายแนวทางสำหรับเครือข่ายธนาคารระหว่างธนาคาร
Bank Indonesia ได้นำเกตเวย์การชำระเงินแห่งชาติมาใช้เพื่อผสานการทำงานกับช่องทางการชำระเงินและส่งเสริมธุรกรรมไร้เงินสด โดยหนึ่งในคุณสมบัติหลักๆ คือการรับรองว่าข้อมูลธุรกรรมจะได้รับการเก็บรักษาไว้ในประเทศ รวมถึงการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้
ปัจจัยหลักที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ
ระบบการชำระเงินในอินโดนีเซียมีความท้าทายสำหรับทั้งธุรกิจและลูกค้า โดยความท้าทายเหล่านี้เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เทคโนโลยี และระเบียบข้อบังคับ โดยธุรกิจต่างๆ ที่เดินหน้าแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ก็สามารถเตรียมความพร้อมให้ตนเองบรรลุเป้าหมายนี้ได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย
แม้ว่าอุตสาหกรรมธนาคารของอินโดนีเซียจะเติบโตขึ้น แต่ก็มีคนวัยผู้ใหญ่จำนวน 98 ล้านคนที่ยังไม่ได้เข้าถึงระบบธนาคารตามข้อมูลในปี 2022 ซึ่งคิดเป็น 48% ของประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด เมื่อมีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่ไม่ได้ใช้ระบบการเงินที่เป็นทางการอย่างสมบูรณ์ การสำการชำระเงินแบบดิจิทัลมาใช้โดยพร้อมเพรียงกันนั้นก็เป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น การยอมรับเงินสดสำหรับการชำระเงินที่จุดขาย และมอบตัวเลือกการชำระเงินแบบดิจิทัลที่หลากหลายสำหรับการชำระเงินออนไลน์จะช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสในการค้นหาวิธีการชำระเงินที่เหมาะกับตนได้ดีที่สุดอินเทอร์เฟซการชำระเงินที่ปรับให้เหมาะกับท้องถิ่น
การลดอุปสรรคในการชำระเงินอาจส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซลดจำนวนรถเข็นที่ถูกละทิ้งลงและมีอัตราคอนเวอร์ชันที่สูงขึ้นได้ การแปลหน้าการชำระเงินเป็นภาษาอินโดนีเซียและยอมรับวิธีการชำระเงินในท้องถิ่น เช่น GoPay และ LinkAja จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินของลูกค้าในอินโดนีเซียได้ข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าที่ได้รับการยืนยันอย่างรอบคอบ
PPATK รายงานถึงการเพิ่มขึ้นของตัวเลขในรายงานที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงจากประมาณ 9,800 รายการในปี 2019 เป็น 23,000 รายการในปี 2021 การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้า เช่น การใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยและการตรวจสอบค่าการยืนยันบัตร (CVV) จะช่วยปกป้องบริษัทจากธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงได้มาตรการป้องกันการฉ้อโกงที่รัดกุม
เมื่อมีการใช้งานการชำระเงินดิจิทัลมากขึ้น ความเสี่ยงในการชำระเงินประเภทนี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ความสูญเสียที่เกิดจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ในอินโดนีเซียอาจมีมูลค่าสูงถึง 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 การใช้เครื่องมือการตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 3D Secure และซอฟต์แวร์แมชชีนเลิร์นนิงสำหรับการชำระเงินออนไลน์ จะช่วยลดจำนวนธุรกรรมที่ฉ้อโกงและการดึงเงินคืนให้กับธุรกิจของคุณได้
ประเด็นสำคัญ
การผสมผสานวิธีการชำระเงินแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัลของอินโดนีเซียทำให้เกิดงานด้านการชำระเงินที่ซับซ้อนสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มรับชำระเงินในอินโดนีเซีย การสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าในอินโดนีเซียต้องใช้วิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งรวมถึงความต้องการในการชำระเงินในท้องถิ่น ข้อควรพิจารณาทางวัฒนธรรม และมาตรการป้องกันการฉ้อโกงการชำระเงินที่แข็งแกร่ง ข้อมูลสรุปสั้นๆ รวมถึงเคล็ดลับเฉพาะสำหรับการรับชำระเงินในอินโดนีเซียมีดังนี้
ให้ความสำคัญกับกระเป๋าเงินดิจิทัล
รับชำระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในรูปแบบที่หลากหลาย
การชำระเงินด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลและรหัส QR Payments เป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย การปรับแต่งตัวเลือกการชำระเงินให้เหมาะกับความต้องการในท้องถิ่นโดยการนำตัวเลือกดิจิทัลเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้การดำเนินการชำระเงินง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าปรับปรุงหน้าการชำระเงินสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
นอกเหนือจากการเสนอวิธีการชำระเงินอุปกรณ์เคลื่อนที่ในการชำระเงินแล้ว โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าอินเทอร์เฟซการชำระเงินของคุณทำงานได้ดีบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรคใดๆใช้ QRIS
QRIS ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถรับชำระเงินจากผู้ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลได้โดยใช้รหัส QR เดียว การใช้ QRIS ช่วยให้ขั้นตอนการชำระเงินของธุรกิจและลูกค้าง่ายขึ้น
ปรับตัวตามความต้องการในภูมิภาค
ให้บริการวิธีการชำระเงินในท้องถิ่น
ลูกค้าในอินโดนีเซียชินกับการชำระเงินด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลในท้องถิ่นสำหรับการทำธุรกรรมที่จุดขายและทางออนไลน์ ดังนั้นให้เลือกเกตเวย์การชำระเงินที่รองรับกระเป๋าเงินในอินโดนีเซีย เช่น GoPay, LinkAja และ OVOแปลหน้าการชำระเงิน
อินเทอร์เฟซการชำระเงินที่ใช้ภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภาษาแห่งชาติ จะช่วยปรับปรุง ประสบการณ์ของผู้ใช้โดยการสร้างความคุ้นเคยที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและขจัดความจำเป็นในการแปลภาษาออกไปเสนอบริการสนับสนุนลูกค้าที่ปรับให้เหมาะกับท้องถิ่น
ให้ความสำคัญกับการแก้ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการชำระเงินอย่างรวดเร็วโดยการสร้างช่องทางการสนับสนุนลูกค้าที่เชื่อถือได้ซึ่งมีให้บริการในภาษาอินโดนีเซียและในเขตเวลาอินโดนีเซีย
ลงทุนในการป้องกันการฉ้อโกงเกี่ยวกับการชำระเงิน
นำมาตรการตรวจสอบสิทธิ์มาใช้
ธุรกิจสามารถสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของธุรกรรมได้ด้วยการนำการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยมาใช้ โดยกำหนดให้ลูกค้าต้องป้อนข้อมูลระบุตัวตนหลายรูปแบบก่อนที่ธุรกรรมจะได้รับการประมวลผลปกป้องข้อมูลลูกค้าในทุกขั้นตอน
การเก็บรักษาข้อมูลการชำระเงินของลูกค้าให้ปลอดภัยสามารถสร้างความไว้วางใจในบริษัทของคุณและช่วยให้ธุรกิจของคุณหลีกเลี่ยงความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับด้านการคุ้มครองข้อมูลของกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศ รวมถึงมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS)การชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย
ผสานการทำงานของการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 3D Secure และเครื่องมือการตรวจจับการฉ้อโกงที่ใช้แมชชีนเลิร์นนิงเข้ากับระบบรักษาความปลอดภัยของการชำระเงินออนไลน์เพื่อช่วยลดการฉ้อโกงบัตรเครดิตและการฉ้อโกงอีคอมเมิร์ซประเภทอื่นๆ ได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ