Apple Pay เป็นแพลตฟอร์มการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าหรือบริการในร้านค้า ผ่านแอป และบนเว็บไซต์ได้โดยใช้อุปกรณ์ของ Apple เช่น iPhone, Apple Watche, iPad และ Mac ทั้งนี้ Apple Pay มีผู้ใช้กว่า 500 ล้านคนทั่วโลก และครองตลาดกระเป๋าเงินดิจิทัลในสหรัฐฯ ด้วยส่วนแบ่งกว่า 90%
ความสามารถของ Apple Pay เพิ่มขึ้นจนมีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Apple Cash สําหรับการชําระเงินระหว่างบุคคลกับบุคคลและ Apple Card ซึ่งเป็นบัตรเครดิต การเชื่อมต่อการทํางานกับบริการและอุปกรณ์ต่างๆ ของ Apple จะมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ครอบคลุมแก่ผู้ใช้ แพลตฟอร์มนี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ซึ่งช่วยรักษาความปลอดภัยให้ธุรกรรมด้วยการเข้ารหัสระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม Apple Pay เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีการใช้วิธีการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก เช่น Touch ID และ Face ID
Apple Pay รองรับการใช้งานในเกือบ 100 ประเทศและภูมิภาค การเข้าถึงทั่วโลกนี้เกิดขึ้นได้ผ่านการเป็นพาร์ทเนอร์กับธนาคารและสถาบันการเงินหลากหลายแห่ง ที่ช่วยให้เชื่อมต่อการทํางานกับบัญชีธนาคารต่างประเทศและบัตรเครดิตได้ง่าย Apple Pay มีอิทธิพลต่อตลาดการชําระเงินทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลและวิธีการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั่วโลก
ธุรกิจต่างๆ ที่สนใจเชื่อมต่อการทํางาน Apple Pay เป็นวิธีการชําระเงินควรเข้าใจข้อกําหนดทางเทคนิค กระบวนการทําธุรกรรม และประสบการณ์ของผู้ใช้แพลตฟอร์ม รวมถึงวิธีที่ Apple Pay เชื่อมต่อการทํางานกับระบบที่จุดขายและเกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ คู่มือนี้จะอธิบายสิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับการทํางานร่วมกับ Apple Pay
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- Apple Pay มีวิธีการทำงานอย่างไร
- มีการใช้งาน Apple Pay ในพื้นที่ใดบ้าง
- ใครคือผู้ที่ใช้ Apple Pay
- ประโยชน์ของการยอมรับ Apple Pay
- มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Apple Pay
- การยอมรับ Apple Pay เป็นวิธีการชําระเงิน
- ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Apple Pay
Apple Pay มีวิธีการทำงานอย่างไร
Apple Pay ใช้โปรโตคอลฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการรักษาความปลอดภัยร่วมกันเพื่ออํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมที่ปลอดภัยและสะดวกในสถานการณ์ทางธุรกิจที่หลากหลาย อุปกรณ์ที่ใช้งาน Apple Pay ซึ่งรวมถึง iPhone, Apple Watch, iPad และ Mac จะต้องมีฮาร์ดแวร์ที่จําเป็นสําหรับรับชําระเงินแบบไร้สัมผัส เช่น ชิปการสื่อสารข้อมูลในระยะใกล้ (NFC) ตลอดการทําธุรกรรม Apple จะไม่จัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตของผู้ใช้หรือเก็บรักษาข้อมูลธุรกรรมที่เชื่อมโยงกับผู้ใช้ ธุรกรรม Apple Pay ทั้งหมดได้รับการปกป้องด้วยการแปลงเป็นโทเค็น: บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแต่ละใบที่ผู้ใช้เพิ่มเข้ามาในแอปจะได้รับหมายเลขบัญชีอุปกรณ์เฉพาะ ซึ่ง Apple Pay จะใช้ระหว่างการทำธุรกรรมแทนหมายเลขบัตรจริง
ต่อไปนี้คือวิธีที่ผู้ใช้ตั้งค่า Apple Pay และทําธุรกรรมให้เสร็จสิ้น
การตั้งค่า: อันดับแรก ผู้ใช้จะเพิ่มบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในแอป Apple Wallet ผู้ใช้สามารถสแกนบัตรด้วยกล้องของอุปกรณ์หรือป้อนรายละเอียดด้วยตนเอง Apple Pay จะส่งข้อมูลบัตรไปยังบริษัทผู้ออกบัตรเพื่อการยืนยัน เมื่อผู้ใช้เพิ่มบัตรเรียบร้อยแล้ว Apple Pay จะสร้างหมายเลขบัญชีอุปกรณ์ที่เข้ารหัสและจัดเก็บไว้ใน Secure Element ของอุปกรณ์ ซึ่งเป็นชิปเฉพาะทาง
การชําระเงินที่ร้าน: เมื่อชําระเงินที่ร้านค้า ผู้ใช้จะถืออุปกรณ์ไว้ใกล้เครื่องอ่านบัตรแบบไร้สัมผัส ซึ่งจะเปิดแอป Apple Pay โดยอัตโนมัติ ชิป NFC ในอุปกรณ์จะสื่อสารกับเทอร์มินัล แล้วส่งผ่านหมายเลขบัญชีอุปกรณ์และรหัสความปลอดภัยแบบไดนามิกเฉพาะของธุรกรรม จากนั้น ผู้ใช้จะตรวจสอบสิทธิ์การชําระเงินผ่าน Touch ID, Face ID หรือรหัสผ่านของอุปกรณ์
การชําระเงินออนไลน์: สําหรับการซื้อสินค้าทางออนไลน์หรือในแอป ผู้ใช้จะเลือก Apple Pay เป็นวิธีการชําระเงิน จากนั้นตรวจสอบสิทธิ์การซื้อผ่าน Touch ID, Face ID หรือรหัสผ่าน ธุรกรรมจะดําเนินการโดยใช้หมายเลขบัญชีอุปกรณ์ ซึ่งรักษาความปลอดภัยให้รายละเอียดของบัตร
การชําระเงินระหว่างบุคคลกับบุคคล: เมื่อใช้ Apple Cash ผู้ใช้จะสามารถส่งและรับเงินผ่านแอป Messages หรือโดยใช้ Siri ระบบจะจัดเก็บเงินที่ผู้ใช้ได้รับไว้ในบัตร Apple Cash ในแอป Wallet ซึ่งสามารถนําไปใช้ซื้อสินค้าหรือโอนไปยังบัญชีธนาคารได้
มีการใช้งาน Apple Pay ในพื้นที่ใดบ้าง
Apple Pay เข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้อย่างน่าทึ่ง โดยมีผู้ใช้งานกว่า 500 ล้านคน ตลาดการชําระเงินแบบไร้สัมผัสทั่วโลกมีมูลค่า 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 19% ต่อปีไปจนถึง 2030 เนื่องจากคาดว่าการชําระเงินแบบดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาจะมีการเติบโตเป็นอย่างมาก เพราะการเข้าถึงของสมาร์ทโฟนและการขยายโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้สัมผัสในภูมิภาคดังกล่าว การเข้าถึงและการใช้งาน Apple Pay ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลักๆ แต่ละภูมิภาคจะได้รับการอธิบายไว้ด้านล่างนี้
อเมริกาเหนือ: Apple Pay มีสัดส่วนตลาดกว่า 90% ในสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็น 48% ของการชําระเงินด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลทั้งหมดที่หน้าร้านในปี 2022 วิธีนี้ได้รับประโยชน์จากกฎระเบียบข้อบังคับที่ส่งเสริม เช่น มาตรฐานของชิป EMV และโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้สัมผัสที่ดีเยี่ยม Apple Pay ยังเป็นวิธีการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ชั้นนําในแคนาดา ซึ่งมีการสนับสนุนด้วยระเบียบข้อบังคับที่คล้ายกัน
ยุโรป: Apple Pay เป็นวิธีการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ใช้มากที่สุดในยุโรป ซึ่งตามหลัง Google Pay แต่ส่วนแบ่งตลาดของสองวิธีนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ คําสั่งจากสหภาพยุโรป เช่น คําสั่งว่าด้วยบริการชําระเงิน (PSD2) ซึ่งส่งเสริม Open Banking และการชําระเงินแบบไร้สัมผัสนั้นมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของ Apple Pay ข้อกําหนดอื่นๆ เช่น การตรวจสอบสิทธิ์ลูกค้าแบบรัดกุม (SCA) ได้เพิ่มขั้นตอนในกระบวนการทําธุรกรรม
เอเชียแปซิฟิก: Apple Pay เป็นหนึ่งในวิธีการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีการใช้งานมากที่สุดในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสนใจในการชําระเงินแบบดิจิทัลเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนนั้น Apple Pay ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอันเนื่องมาจากการครองตลาดของคู่แข่งอย่าง WeChat Pay และ Alipay รวมถึงระเบียบที่เข้มงวดกว่า เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PIPL)
ลาตินอเมริกา: ในปี 2023 มีประชากรประมาณ 20% ในบราซิล และเม็กซิโกที่ใช้ Apple Payเพื่อการชําระเงินทางออนไลน์หรือที่ร้านค้า โครงการริเริ่มด้านการธนาคารแบบ Open Banking เช่น Pix ของบราซิลกําลังพลิกโฉมการชําระเงินแบบดิจิทัลในภูมิภาคนี้และส่งเสริมการใช้งาน Apple Pay โดยเฉพาะสําหรับธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคล
ตะวันออกกลางและแอฟริกา: การใช้งาน Apple Pay ในตะวันออกกลางและแอฟริกาอยู่ในระยะเริ่มต้น แพลตฟอร์มนี้มีส่วนแบ่งตลาด 15% ในโมร็อกโก และมีส่วนแบ่งตลาดต่ํากว่า 5% ในอียิปต์และเคนยา ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Apple Pay ติดอันดับที่ 4 ในหมู่วิธีการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ อนาคตของบริการดังกล่าวในภูมิภาคเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้านกฎข้อบังคับที่หลากหลาย ระดับการเข้าถึงทางการเงินที่แตกต่างกันไป และโครงสร้างพื้นฐานด้านการชําระเงินแบบดิจิทัล
ใครคือผู้ที่ใช้ Apple Pay
ลูกค้าและธุรกิจทั่วโลกเลือกใช้ Apple Pay เพื่อทําธุรกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ผู้ใช้ Apple Pay พบว่าวิธีการชําระเงินนี้รวดเร็วและสะดวกกว่าวิธีแบบเดิมๆ รวมทั้งฟีเจอร์ความปลอดภัยของ Apple Pay ที่ประกอบด้วยการแปลงเป็นโทเค็นและการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก ยังทําให้ผู้ใช้วางใจได้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้ Apple Pay ยังเชื่อในความมุ่งมั่นของ Apple ที่มีต่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งส่งผลให้มีการใช้แพลตฟอร์มนี้ในระดับสูง Apple Pay ได้รับการใช้งานสําหรับธุรกรรมแบบต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยการซื้อภายในร้าน การโอนเงินแบบบุคคลถึงบุคคล การซื้อในแอป และการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่ง Apple Pay ติด 5 อันดับสูงสุดของวิธีการชำระเงินในขั้นตอนการชําระเงิน
กลุ่มผู้ใช้หลักของ Apple Pay จะได้รับการอธิบายไว้ด้านล่างนี้
ประเภทผู้ใช้ที่เป็นบุคคลทั่วไป
ลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z: การใช้งาน Apple Pay สูงที่สุดในหมู่มิลเลนเนียล (26-41) และเจน Z (10-25) ผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล 51% ในกลุ่มมิลเลนเนียม และ 73% ในหมู่เจน Z ต่างเลือกใช้ Apple Pay
ลูกค้าที่มีรายได้สูง: Apple Pay ได้รับความนิยมในหมู่บุคคลทั่วไปที่มีรายได้สูงกว่ารายได้เฉลี่ย รายรับโดยเฉลี่ยของผู้ใช้แอป iPhone คือ $85,000 ขณะที่ผู้ใช้แอป Android มีรายได้เฉลี่ย $61,000
ลูกค้าที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี: ผู้ที่นำการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้ตั้งแต่ระยะแรกมีแนวโน้มที่จะใช้ Apple Pay มากกว่า
ผู้อยู่อาศัยในเมือง: การใช้งาน Apple Pay ในเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้สัมผัสที่พัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับชนบท
ประเภทผู้ใช้ทางธุรกิจ
ร้านค้าปลีก: ผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ กว่า 85% ยอมรับ Apple Pay
การคมนาคม: ระบบขนส่งมวลชนทั่วโลกอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถจ่ายค่าโดยสารโดยใช้ Apple Pay
สถานบริการ: โรงแรมและร้านอาหารต่างรองรับ Apple Pay เป็นทางเลือกในการชําระเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการเช็คอินและการชําระเงิน
ความบันเทิง: โรงภาพยนตร์และสถานที่จัดคอนเสิร์ตล้วนยอมรับ Apple Pay ในการซื้อตั๋วและอาหาร
ประโยชน์ของการยอมรับ Apple Pay
Apple Pay ได้รับการพัฒนาเป็นเครื่องมือที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญในธุรกิจได้ แพลตฟอร์มสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดําเนินงาน ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และส่งเสริมการเติบโตของรายรับ ธุรกิจที่ใช้ Apple Pay อาจได้รับประโยชน์เหล่านี้
ธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น: กระบวนการชําระเงินที่มีประสิทธิภาพของ Apple Pay ช่วยลดเวลาในการชําระเงิน ทำให้คิวลูกค้าสั้นลง มีอัตราความเร็วที่ดีขึ้น และการปฏิบัติงานที่ราบรื่นกว่าเดิม วิธีนี้ยังช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นลูกค้าประจำ
กระบวนการอัตโนมัติ: Apple Pay ขจัดความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการต่างๆ ด้วยตัวเองและลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชําระเงิน
การเข้าถึงข้อมูลธุรกรรม: ข้อมูลธุรกรรมแบบเรียลไทม์ของ Apple Pay มีข้อดีทางธุรกิจจํานวนมาก โดยมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการใช้จ่ายของลูกค้า ความต้องการ และข้อมูลประชากร การเข้าถึงข้อมูลนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง คาดการณ์ยอดขายได้อย่างถูกต้อง ปรับแต่งแคมเปญการตลาดให้เหมาะกับลูกค้า ยกระดับข้อเสนอผลิตภัณฑ์ และสามารถทําการตัดสินใจที่สําคัญบนพื้นฐานของข้อมูล
เพิ่มความปลอดภัย: การตรวจสอบสิทธิ์แบบไบโอเมตริกและการแปลงเป็นโทเค็นของ Apple Pay ช่วยปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน สร้างความไว้วางใจและความมั่นใจแก่ลูกค้า
การมีส่วนร่วมที่เหมาะกับแต่ละบุคคล: Apple Pay ผสานการทํางานกับโปรแกรมสะสมคะแนนและระบบรางวัลเพื่อให้สามารถมอบข้อเสนอและโปรโมชันที่เหมาะกับแต่ละบุคคลได้ วิธีนี้จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งอาจนําไปสู่การมีส่วนร่วมที่มากยิ่งขึ้น
ธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงกว่า: ความสะดวกสบายและการรักษาความปลอดภัยของ Apple Pay กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น โดยการรายงานจากกรณีศึกษาหนึ่งให้ข้อมูลว่ามูลค่าคําสั่งซื้อโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% เมื่อลูกค้าใช้ Apple Pay
การละทิ้งรถเข็นที่ลดลง: ประสบการณ์การชําระเงินที่ราบรื่นของ Apple Pay ลดการละทิ้งรถเข็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของยอดขายและกระตุ้นการเติบโตของรายรับ
กระแสรายรับที่หลากหลาย: Apple Pay สร้างกระแสรายรับใหม่ๆ ผ่านโซลูชันต่างๆ เช่น การซื้อภายในแอปและการออกตั๋วแบบไร้สัมผัส
ป้องกันการฉ้อโกงได้ดียิ่งขึ้น: ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยขั้นสูงของ Apple Pay ช่วยปกป้องธุรกิจจากการสูญเสียทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นโดยการต่อสู้กับกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง
ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: การผสานการทํางานกับ Apple Pay จะช่วยให้ธุรกิจโดดเด่นกว่าคู่แข่งและแสดงความมุ่งมั่นในการปรับใช้นวัตกรรมและการให้ความสําคัญกับลูกค้า Apple Pay ดึงดูดลูกค้าที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและช่วยพัฒนาการรับรู้แบรนด์ ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจก้าวทันอนาคตเมื่อเทคโนโลยีการชําระเงินดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงไป
มาตรการรักษาความปลอดภัยของ Apple Pay
การรักษาความปลอดภัยของ Apple Pay ประกอบด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนดังต่อไปนี้
Secure Enclave: Secure Enclave คือชิปเฉพาะที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ Apple ซึ่งทําหน้าที่เป็นที่เก็บฮาร์ดแวร์ที่ปลอดภัยสําหรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลประจําตัวแบบไบโอเมตริก ชิปจะถูกแยกออกจากระบบปฏิบัติการส่วนที่เหลือของอุปกรณ์ทําให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ยาก
Secure Element: นี่คือชิปอีกอันในอุปกรณ์ Apple ที่จัดการกับการชําระเงินแบบไร้สัมผัสโดยใช้เทคโนโลยี NFC ชิปนี้มีหน้าที่จัดเก็บและจัดการโทเค็น (ข้อมูลบัตรเครดิตเวอร์ชันที่เข้ารหัส) ที่ใช้สําหรับธุรกรรม Apple Pay อย่างปลอดภัย
Touch ID และ Face ID: การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริกช่วยเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยให้กับธุรกรรม Apple Pay เฉพาะผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตที่มีลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้าที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะเข้าถึงและใช้งาน Apple Pay ได้
การเข้ารหัส: ข้อมูลทั้งหมดบนอุปกรณ์ Apple ซึ่งรวมถึงข้อมูลการชําระเงิน จะได้รับการเข้ารหัสตามค่าเริ่มต้นโดยใช้ Advanced Encryption Standard (AES) 256 ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยจะแสดงข้อมูลที่ไม่สามารถอ่านได้ แม้ว่าบุคคลอื่นจะได้รับสิทธิ์เข้าถึงอุปกรณ์ก็ตาม นอกจากนี้ Apple Pay ยังใช้เทคโนโลยี NFC ในการสื่อสารกับเทอร์มินัลการชําระเงินแบบไร้สัมผัสเพื่อเพิ่มการเข้ารหัสอีกชั้นหนึ่ง ข้อมูลที่ส่งผ่าน NFC จะถูกเข้ารหัสโดยใช้โปรโตคอลมาตรฐานของอุตสาหกรรม เช่น Transport Layer Security (TLS) และ Secure Sockets Layer (SSL)
โทเค็นแบบไดนามิก: แทนที่จะส่งรายละเอียดบัตรเครดิต Apple Pay ใช้ระบบการแปลงเป็นโทเค็นแบบไดนามิกที่แทนที่รายละเอียดของบัตรด้วยโทเค็นเข้ารหัสลับที่ไม่ซ้ํากัน ซึ่งจะถูกส่งไปยังเทอร์มินัลการชําระเงิน การดําเนินการนี้จะช่วยขจัดความเสี่ยงที่ข้อมูลบัตรจะถูกเปิดเผยในระหว่างขั้นตอนการชําระเงิน โทเค็นแต่ละโทเค็นนั้นใช้ได้กับธุรกรรมรายการเดียว ดังนั้นแม้ว่ามิจฉาชีพจะเข้าถึงโทเค็นได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้โทเค็นนั้นกับธุรกรรมอื่นๆ
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย: Apple เป็นพาร์ทเนอร์กับเกตเวย์การชําระเงินที่เชื่อถือได้และปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบการรักษาความปลอดภัยแบบรัดกุม
การติดตามตรวจสอบแบบเรียลไทม์: ระบบการตรวจจับการฉ้อโกงที่ล้ําสมัยของ Apple จะตรวจสอบธุรกรรมเพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติและกิจกรรมที่น่าสงสัย วิเคราะห์รูปแบบธุรกรรม ข้อมูลตําแหน่งทางภูมิศาสตร์ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการระบุและป้องกันการใช้งานที่เป็นการฉ้อโกง
การให้คะแนนความเสี่ยง: ระบบจะกําหนดคะแนนความเสี่ยงให้กับธุรกรรม Apple Pay แต่ละรายการ ธุรกรรมที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูงอาจถูกทำเครื่องหมายให้มีการยืนยันเพิ่มเติมหรือถูกบล็อกเพื่อการปกป้องผู้ใช้
การควบคุมการเข้าใช้งานแบบแยกส่วน: ธุรกิจต่างๆ มีสิทธิ์ควบคุมการเข้าถึง Apple Pay ภายในองค์กรของตัวเองได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งกําหนดว่าพนักงานรายใดบ้างที่สามารถเข้าถึงและใช้งาน Apple Pay กําหนดวงเงินใช้จ่าย และดําเนินการตามข้อกําหนดด้านการตรวจสอบสิทธิ์ที่บังคับใช้ได้
การตรวจสอบธุรกรรม: ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงบันทึกธุรกรรมแบบละเอียดได้ใน Apple Business Manager ฟีเจอร์นี้มอบการเข้าถึงข้อมูลธุรกรรม Apple Pay ทั้งหมดอย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยให้คุณติดตามและกระทบยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะ: Apple ลงทุนทรัพยากรจํานวนมากในการวิจัยและพัฒนาการรักษาความปลอดภัยเพื่อให้ Apple Pay เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่กําลังเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทําการตรวจสอบความปลอดภัยแบบอิสระให้ระบบและโครงสร้างพื้นฐานเป็นประจํา เพื่อให้สามารถแก้ไขช่องโหว่ได้อย่างทันท้วงที
การยอมรับ Apple Pay เป็นวิธีการชําระเงิน
การยอมรับ Apple Pay อาจต้องอาศัยการตั้งค่าเพียงเล็กน้อย (หรือไม่ต้องดําเนินการใดๆ เลย) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกตเวย์การชําระเงิน แต่ธุรกิจยังคงต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดบางอย่างเพื่อเริ่มต้นใช้งาน Apple Pay ข้อกําหนดพื้นฐานประกอบด้วยการจดทะเบียนธุรกิจและใบอนุญาตที่จําเป็นทั้งหมดในภูมิภาคที่ดําเนินงานและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยรวมถึงการดําเนินการตามข้อบังคับด้านภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมทั้งรวบรวมและนําส่งภาษีตามข้อบังคับ รวมทั้งการใช้กระบวนการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการรู้จักลูกค้าของคุณ (KYC) เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าและป้องกันกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งสหภาพยุโรป (GDPR) และกฎหมายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (CCPA) และมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) เพื่อการจัดการบัตรชําระเงินที่ปลอดภัย
นอกเหนือจากการรับรองการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับแล้ว ธุรกิจต่างๆ จะต้องมีความสามารถทางเทคนิคขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้
อุปกรณ์ที่รองรับ: Apple Pay ใช้งานได้กับอุปกรณ์ iOS ที่มีฟังก์ชัน NFC รวมถึง iPhone, iPad และ Apple Watch
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: ธุรกิจจะต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรในการประมวลผลธุรกรรมผ่าน Apple Pay
ธุรกิจต้องทำงานร่วมกับเกตเวย์การชําระเงินเพื่อรับการชําระเงินผ่าน Apple Pay ทั้งนี้ เกตเวย์แต่ละรายการจะมีข้อกำหนดในการตั้งค่าเป็นของตัวเอง Stripe อาศัยการตั้งค่าเพียงเล็กน้อย เนื่องจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของบริษัทนั้นพร้อมรองรับ Apple Pay ธุรกิจต่างๆ ควรตรวจสอบข้อกําหนดและเงื่อนไขในข้อตกลงของผู้ค้า ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงการสนับสนุนลูกค้าจากผู้ให้บริการอย่างรอบคอบในกรณีที่เกิดปัญหาหรือข้อสอบถามทางเทคนิค
ธุรกิจที่ต้องการตั้งค่า Apple Pay ผ่าน Stripe จะต้องดําเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ให้เสร็จสิ้น
ตั้งค่าบัญชี Stripe: ธุรกิจจะต้องมีบัญชี Stripe ที่ทํางานได้อย่างสมบูรณ์และมีสิทธิ์ที่จําเป็นในการรับชําระเงินผ่าน Apple Pay ธุรกิจที่ไม่มีบัญชี Stripe จะต้องลงทะเบียนกับ Stripe และเปิดใช้งานบัญชี ในขั้นตอนนี้ ธุรกิจต่างๆ ควรยืนยันว่าบัญชี Stripe รองรับสกุลเงินที่ต้องการยอมรับผ่าน Apple Pay ด้วย
กําหนดค่า Stripe Connect จากนั้นธุรกิจต้องตั้งค่า Stripe Connect และเชื่อมโยงบัญชีผู้ค้ากับ Apple Pay
เชื่อมต่อการทํางาน Stripe API หรือ SDK: ธุรกิจจะต้องมีส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ (API) ของ Stripe หรือชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) ที่เชื่อมต่อการทํางานเข้ากับแอปหรือเว็บไซต์ เพื่อส่งคําขอให้ชําระเงินและรับการยืนยันการชําระเงิน
ตั้งค่า Apple Pay ให้เสร็จสมบูรณ์: ธุรกิจต่างๆ ต้องทําตามคําแนะนําเฉพาะในการตั้งค่าของ Apple เพื่อเปิดใช้ Apple Pay ภายในแอปหรือเว็บไซต์ของธุรกิจเหล่านั้น
ทดสอบฟังก์ชัน: ธุรกิจควรทดสอบการเชื่อมต่อการทํางานอย่างละเอียดก่อนเปิดให้บริการ Apple Pay แก่ลูกค้า
ตัวเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Apple Pay
แม้ Apple Pay จะครองตลาด แต่ธุรกิจและลูกค้าก็มีทางเลือกในการชําระเงินมากมาย ทางเลือกที่นอกเหนือจาก Apple Pay ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาจะได้รับการระบุไว้ด้านล่างนี้
Google Pay
Google Pay มีการเข้าถึงที่กว้างขวางและสามารถเข้ากันได้กับอุปกรณ์ Android และ iOS ส่วนใหญ่ที่มีฟังก์ชัน NFC ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สําคัญสําหรับธุรกิจที่ตอบสนองฐานลูกค้าที่หลากหลาย สําหรับธุรกิจที่ใช้ Google อยู่แล้ว Google Pay สามารถเชื่อมต่อการทํางานกับ Google Play Store, Google Ads และบริการอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับขั้นตอนการชําระเงิน จากมุมมองของลูกค้า Google Pay มีประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ที่ใกล้เคียงกับ Apple Pay ทั้งนี้ Google Pay มีส่วนแบ่งตลาดอันคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่มีผู้ใช้ Android เป็นส่วนมาก
Samsung Pay
Samsung Pay มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยใช้เทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่ปลอดภัยทางแม่เหล็ก (MST) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Samsung ร่วมกับ NFC นอกจากนี้ยังใช้ได้กับเทอร์มินัลการชําระเงินเกือบทุกตัว แม้แต่โมเดลเก่า และการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูงยังอาจเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่จัดการกับธุรกรรมที่ละเอียดอ่อน Samsung Pay ยังเชื่อมต่อการทํางานกับโปรแกรมสะสมคะแนนของ Samsung ที่มีชื่อว่า Samsung Rewards ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเสนอรางวัลจูงใจให้กับลูกค้าผ่านคะแนนและรางวัล Samsung ยังมีส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ซึ่งทำให้ธุรกิจที่ยอมรับ Samsung Pay มีฐานลูกค้าในทันที อย่างไรก็ตาม การใช้งานของ Samsung นั้นยังจํากัดอยู่กับอุปกรณ์ Samsung
กระเป๋าเงินดิจิทัลอื่นๆ
ธนาคารและผู้ให้บริการชําระเงินหลายแห่งมีกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นของตนเอง โดยส่วนมาก วิธีนี้มักจะมาพร้อมกับการเชื่อมต่อการทํางานที่ดีเยี่ยมกับแพลตฟอร์มธนาคารและบริการทางการเงินที่มีอยู่ ซึ่งอาจเป็นการสร้างประสบการณ์ที่สะดวกและคุ้นเคยให้กับลูกค้าที่ใช้บริการเหล่านั้นอยู่แล้ว กระเป๋าเงินดิจิทัลบางรายการยังมีโปรแกรมรางวัลและโปรโมชัน จึงทําให้ธุรกิจมีวิธีเพิ่มเติมในการดึงดูดและรักษาลูกค้า กระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปรับให้เหมาะกับตลาดและภูมิภาคเฉพาะเจาะจง รวมทั้ิงตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นอาจเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่ดําเนินงานในพื้นที่ดังกล่าว แต่กระเป๋าเงินดิจิทัลในท้องถิ่นบางประเภทอาจไม่เป็นสากลเท่าโซลูชันอื่นๆ ที่มีการใช้งานในวงกว้างอย่าง Apple Pay และ Google Pay
บัตรชําระเงินแบบไร้สัมผัส
บัตรแบบไร้สัมผัสได้รับการยอมรับการชําระเงินในวงกว้างที่สุดและใช้งานได้กับทุกเทอร์มินัลการชําระเงินที่รองรับการชําระเงินแบบไร้สัมผัส ข้อดีนี้นำไปสู่ประสบการณ์การทําธุรกรรมที่ราบรื่นสําหรับลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะใช้สมาร์ทโฟนยี่ห้อใดก็ตาม ธุรกิจต่างๆ ไม่จําเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมในการรับบัตรแบบไร้สัมผัส ซึ่งทําให้วิธีนี้เป็นโซลูชันที่เรียบง่ายและคุ้มค่า บัตรแบบไร้สัมผัสเป็นตัวเลือกที่ใช้งานง่ายสําหรับลูกค้าและธุรกิจ โดยสร้างตามแนวคิดที่ผู้คนคุ้นเคยจากบัตรเครดิตและบัตรเดบิตแบบเดิมๆ แม้บัตรแบบไร้สัมผัสจะสะดวก แต่ข้อกังวลด้านการรักษาความปลอดภัยก็ส่งผลให้ธุรกิจแห่งต่างๆ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้า
การชําระเงินด้วยรหัส QR
รหัส QR ลดความจําเป็นในการสัมผัสกับเทอร์มินัลการชําระเงิน ซึ่งเหมาะสําหรับสถานการณ์ที่มีความกังวลด้านสุขอนามัย วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายในการตั้งค่าเพียงเล็กน้อย จึงเป็นทางเลือกสําหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือผู้ที่ต้องการโซลูชันที่คุ้มค่า และสามารถดําเนินการได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การชําระเงินด้วยรหัส QR อาจมีการเข้าถึงที่จํากัดเมื่อเทียบกับโซลูชันที่ได้รับการพัฒนามากกว่า เพราะยังไม่ได้มีการนําไปใช้อย่างแพร่หลาย
นอกสหรัฐฯ ยังมีตัวเลือกที่หลากหลายในภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจาก Apple Pay
เอเชียแปซิฟิก
Alipay: Alipay มีผู้ใช้กว่า 900 ล้านคนและเชื่อมต่อการทํางานกับบริการออนไลน์และออฟไลน์ที่หลากหลาย ความแพร่หลายของวิธีนี้ครอบคลุมถึงตลาดเอเชียอื่นๆ ทําให้เป็นตัวเลือกที่สําคัญสําหรับธุรกิจที่ดําเนินงานในภูมิภาคนี้
WeChat Pay: WeChat Pay ของ Tencent เป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกับ Alipay ในจีน โดยให้บริการฟีเจอร์ที่คล้ายกันและมีฐานผู้ใช้กว่า 900 ล้านราย การเชื่อมต่อการทํางานกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ WeChat ช่วยเพิ่มจุดแข็งให้แก่ตัวเลือกนี้
OVO: OVO ครองตลาดอินโดนีเซียด้วยโซลูชันกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ครอบคลุมสําหรับการชําระเงินแบบบุคคลถึงบุคคล การชําระเงินตามใบเรียกเก็บ และตัวเลือกด้านการลงทุน
Paytm: Paytm เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลชั้นนําของอินเดียที่ให้บริการทางการเงินหลากหลายประเภท ทั้งการชําระเงิน เงินกู้ยืมจํานวนเล็กน้อย และการจัดการความมั่งคั่ง
ยุโรป
Google Pay: Google Pay มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในยุโรป โดยเฉพาะในหมู่ผู้ใช้ Android การผสานการทํางานกับบริการของ Google และส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นในยุโรปทําให้เป็นตัวเลือกที่ทรงประสิทธิภาพสําหรับธุรกิจต่างๆ ในภูมิภาค
Samsung Pay: Samsung Pay มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ใช้อุปกรณ์ Samsung เทคโนโลยี MST และการเชื่อมต่อการทํางานกับโปรแกรมสะสมคะแนนมอบจุดแข็งที่แตกต่างให้กับธุรกิจ
Swish: Swish ของสวีเดนมีการใช้งานในระดับเกือบสากลโดยมีผู้ใช้กว่า 8 ล้านคนในประเทศ วิธีนี้เน้นการชําระเงินแบบบุคคลถึงบุคคลในทันที ทําให้เป็นโซลูชันที่สะดวกสําหรับธุรกิจในภูมิภาค
MB WAY: MB WAY ของโปรตุเกสมีผู้ใช้กว่า 4 ล้านคนบนแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสําหรับการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ การชําระเงินตามใบเรียกเก็บ และการออกตั๋วสำหรับการขนส่งสาธารณะ
ลาตินอเมริกา
Mercado Pago: Mercado Pago เป็นผู้นําตลาดลาตินอเมริกาด้วยชุดบริการทางการเงินที่ครอบคลุม เช่น การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ การชําระเงินออนไลน์ และโซลูชันที่จุดขาย การเชื่อมต่อการทํางานกับมาร์เก็ตเพลส Mercado Libre ช่วยเพิ่มจุดแข็งให้กับการเข้าถึงผู้ใช้
Nubank: Nubank เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในประเทศบราซิล โดยมีฟีเจอร์มากมาย เช่น การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน บัตรเติมเงิน และเครื่องมือการลงทุน
Tpaga: Tpaga ของโคลอมเบียเป็นโซลูชันกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อเนกประสงค์สําหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป ซึ่งอํานวยความสะดวกด้านการชําระเงิน การชําระเงินตามใบเรียกเก็บ และการบริจาค
Clip: Clip คือโซลูชันการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อันแสนสะดวกของเม็กซิโกสําหรับธุรกิจที่มุ่งเน้นการชําระเงินที่จุดขายและธุรกรรมแบบไร้สัมผัส
แอฟริกา
M-PESA: M-PESA ดําเนินงานทั่วแอฟริกาตะวันออกและได้ปฏิวัติการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยบริการโอนเงินแบบบุคคลถึงบุคคลและเครือข่ายตัวแทนที่ครอบคลุม ความสําเร็จของกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกระเป๋าเงินดิจิทัลในภูมิภาคที่ผู้คนไม่มีบัญชีธนาคารและมีอัตราการใช้ธนาคารต่ำ
EcoCash: EcoCash มีผู้ใช้กว่า 7 ล้านคนบนแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสําหรับการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ การชําระเงินตามใบเรียกเก็บ และบริการประกันภัย
Orange Money: Orange Money ดําเนินงานในประเทศแถบแอฟริกาหลายประเทศและใช้เครือข่ายโทรคมนาคม Orange ที่ครอบคลุมกว้างขวาง เพื่อให้บริการทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยรวมถึงบัญชีการชําระเงิน การโอนเงิน และบัญชีออมทรัพย์
Wave: Wave เป็นแพลตฟอร์มการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เรียบง่ายและค่าบริการต่ำในเซเนกัล ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคาร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ