การขยายธุรกิจเข้าสู่สหรัฐอเมริกาจะช่วยเปิดตลาดที่กว้างได้ ในฐานะแหล่งเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สหรัฐฯ มีรายรับจากอีคอมเมิร์ซรวมกันเป็นมูลค่า 905 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม มีตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลายในสหรัฐอเมริกาให้พิจารณา รวมถึงข้อกังวลด้านความปลอดภัย การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และความซับซ้อนในการจัดการการชําระเงินระหว่างประเทศ แต่ความท้าทายเหล่านี้ก็ยังมอบโอกาสให้ธุรกิจปรับปรุงประสบการณ์และแข่งขันได้สูง ซึ่งตรงตามวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ
ในคู่มือนี้ เราจะสํารวจข้อมูลของระบบการชําระเงินในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วย
- การลงทุนกับระเบียบการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุม
- เปิดรับวิธีการชําระเงินใหม่ๆ
- ทําให้กระบวนการชําระเงินง่ายขึ้น
สถานการณ์ในตลาด
ในสหรัฐอเมริกา สกุลเงินหลักคือดอลลาร์สหรัฐ (USD) และมีการรับบัตรเครดิตและบัตรเดบิตอย่างกว้างขวางในสหรัฐฯ มาหลายสิบปีแล้ว แต่วิธีการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็แพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น กระเป๋าเงินดิจิทัลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ อย่าง Apple Pay และ Google Pay ซึ่งช่วยให้ผู้คนซื้อสินค้าได้โดยใช้เพียงโทรศัพท์ ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี เช่น Open Banking กำลังพลิกสถานการณ์ของสถาบันการเงินและธุรกิจฟินเทครุ่นใหม่ไฟแรงในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งกรอบการกํากับดูแลที่ควบคุมอุตสาหกรรมนี้กําลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
หน่วยงานกํากับดูแลของรัฐและหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลายรายที่ดูแลภาคธุรกิจการเงิน ประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง, ธนาคารกลาง, สำนักงานควบคุมเงินตราของสหรัฐฯ (OCC), สถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (FDIC) และหน่วยงานคุ้มครองการเงินสำหรับผู้บริโภค (CFPB) หน่วยงานเหล่านี้ได้จัดทําแนวทางและระเบียบข้อบังคับในการรักษากิจกรรมทางการเงินที่โปร่งใสและปลอดภัย ความปลอดภัยและมั่นคง การคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายป้องกันการฟอกเงิน (AML) และนโยบาย "รู้จักลูกค้าของคุณ" (KYC) กฎหมาย AML และนโยบาย KYC มีไว้สำหรับป้องกันการฉ้อโกง และกิจกรรมที่มิชอบด้วยกฎหมาย
วิธีการชําระเงิน
การชําระเงินด้วยเงินสดมีประวัติอันยาวนานในสหรัฐอเมริกา แต่เทคโนโลยีการชําระเงินแบบดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่งมาแทนที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การซื้อสินค้าออนไลน์ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเติบโตอย่างมากในช่วงโรคระบาด ซึ่งเป็นการย้ำว่าลูกค้าจำนวนมากชอบใช้การชําระเงินดิจิทัล ภาพรวมของวิธีการชําระเงินที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา
การใช้งานในปัจจุบัน
นับตั้งแต่มีการเริ่มใช้ในตลาดสหรัฐฯ ในปี 1958 บัตรเครดิตก็กลายเป็นวิธีการชําระเงินที่ครองตลาดสำหรับลูกค้าและธุรกิจเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2023 ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาเกือบ 1 ใน 3 คนใช้บัตรเครดิตเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์ และโดยประมาณแล้วมีการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลในอัตราที่เท่ากัน
ลูกค้าส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาใช้การชําระเงินแบบไร้สัมผัส อเมริกาเหนือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สําหรับธุรกรรมแบบไร้สัมผัสในปี 2022 โดยมีส่วนแบ่งรายรับ 30% การชําระเงินแบบไร้สัมผัสนั้นน่าดึงดูดสำหรับลูกค้า เนื่องจากรวดเร็ว สะดวก และเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีการชําระเงินยอดนิยมอื่นๆ อย่างกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ Apple Pay และ Google Pay เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัล แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้จํากัดเพียงบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ยังมีตัวเลือกแบบบัตรเดบิตและแบบเติมเงินอีกด้วย
วิธีการชําระเงินแบบ B2C ที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา
- บัตรเครดิต
- บัตรเดบิต
- กระเป๋าเงินดิจิทัล (e.g., Apple Pay and Google Pay)
- การชำระเงินแบบ "ซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง" สำหรับธุรกิจ") (เช่น Affirm, Afterpay และKlarna)
วิธีการชําระเงินแบบ B2B ที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา
แนวโน้มใหม่
รหัส QRกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นวิธีการชำระเงินที่สะดวก มีการประมาณว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟน 89 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาสแกนรหัส QR บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในปี 2022 โดยเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับปี 2020 มีการคาดการณ์ว่าตลาดการชําระเงินด้วยรหัส QR ทั่วโลกจะเติบโตจาก 1.12 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2022 เป็นเกือบ 5.16 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ภายในปี 2032 โดยอเมริกาเหนือเป็นตลาดที่เติบโตสูงสุด
เมื่อสแกนรหัสด้วยสมาร์ทโฟน ลูกค้าก็สามารถชําระเงินได้โดยไม่ต้องใช้บัตรตัวจริงหรือเงินสด นอกจากนี้ รหัส QR ยังช่วยให้การชําระเงินตามใบแจ้งหนี้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดยลูกค้าสามารถสแกนรหัสเพื่อโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของธุรกิจได้โดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังสนใจการชําระเงินแบบ "ซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง" (BNPL) ผ่านผู้ให้บริการเช่น Affirm, Afterpay และ Klarna อีกด้วย ตลาด BNPL ของสหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2022 และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตแบบทบต้นปีจากปี 2023 ถึง 2030 เพิ่มขึ้น 24%
ความง่ายและความยากในการเข้าสู่ตลาด
แม้การรับชําระเงินในสหรัฐฯ จะง่ายกว่าในตลาดเกิดใหม่ แต่การเข้าสู่ตลาดที่ซับซ้อนอย่างในสหรัฐฯ นั้นตามมาด้วยความท้าทายด้านภาษีเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นภาษี การดึงเงินคืน การชําระเงินระหว่างประเทศ และความปลอดภัยด้านการชําระเงิน ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับการขยายตลาดเข้าสู่สหรัฐอเมริกามีดังนี้
ภาษี
ระบบภาษีในสหรัฐฯ มีหลายระดับ ซึ่งมีผลมาจากกรอบด้านระเบียบข้อบังคับหลายอย่าง ธุรกิจด้านภาษีหลายแห่งต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการชําระเงินดังนี้
- ภาษีของรัฐบาลกลาง: ภาษีเงินได้และภาษีเงินได้นิติบุคคลถือเป็นข้อควรพิจารณาหลักด้านภาษีในระดับรัฐบาล
- ภาษีของรัฐ: อาจรวมถึงภาษีแฟรนไชส์หรือภาษีสรรพสามิต ซึ่งแตกต่างกันไปตามรัฐ
- ภาษีการขาย: ภาระหน้าที่ในภาษีการขายจะแตกต่างกันไปตามรัฐและบางครั้งอาจแตกต่างกันไปในเทศบาล
การดึงเงินคืนและการโต้แย้งการชําระเงิน
สหรัฐฯ ไม่มีหน่วยงานกํากับดูแลส่วนกลางสําหรับการดึงเงินคืนแต่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยทั่วไปจะมีผลบังคับใช้แทน การดึงเงินคืนไม่ได้เป็นเพียงการสูญเสียยอดขายครั้งเดียว เท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดค่าธรรมเนียมและการปิดบัญชีธุรกิจของคุณหากการดึงเงินคืนมีจํานวนเกินกว่าที่กําหนด
การชําระเงินระหว่างประเทศ
หากธุรกิจของคุณจําเป็นต้องรับชําระเงินจากนอกสหรัฐอเมริกาหรือในสกุลเงินอื่น โปรดพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
การแปลงสกุลเงิน
การแปลงสกุลเงินจําเป็นสําหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ ในสหรัฐฯ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่จะกำหนดโดยอัตราลอยตัว ซึ่งอุปสงค์และอุปทานในตลาดเป็นตัวกำหนดมูลค่าของสกุลเงิน ธุรกิจต่างๆ สามารถแปลงสกุลเงินผ่านธนาคารแบบดั้งเดิม แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ก็ได้ ซึ่งแต่ละองค์กรก็มีข้อดีข้อเสียในตัว เช่น ค่าธรรมเนียมที่สูงจากธนาคาร และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มออนไลน์แพลตฟอร์มที่เข้ากับแต่ละท้องถิ่น
ตลาดแต่ละแห่งมีวิธีการชําระเงินที่ลูกค้าต้องการแตกต่างกัน ทําให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของลูกค้า ตัวอย่างเช่น iDEAL เป็นวิธีการชําระเงินออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในเนเธอร์แลนด์ที่ช่วยให้ลูกค้าชาวดัตช์ชําระเงินได้ง่ายขึ้นการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมาย
การปฏิบัติตามข้อกําหนดประกอบด้วยการเก็บบันทึกและการรายงานข้อมูลที่ถูกต้อง นอกจากนี้ รายรับจากสกุลเงินอาจนำไปคิดภาษีด้วย ซึ่งธุรกิจจําเป็นต้องทราบเมื่อจัดการสกุลเงินต่างๆ
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ปัจจัยด้านการกํากับดูแล การปฏิบัติตามข้อกำหนด และความปลอดภัยในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจด้านการชําระเงินเป็นอย่างมาก เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้มักมีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูง เรามาพิจารณาประเด็นกันทีละข้อ
การป้องกันการฉ้อโกง
ธุรกิจหลายแห่งกำลังนําแมชชีนเลิร์นนิงและโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปใช้งานเพื่อลดความเสี่ยงด้านกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง โซลูชันเหล่านี้รวมถึงระบบอัตโนมัติเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้และอัลกอริทึมที่สแกนหากิจกรรมการชําระเงินที่น่าสงสัยเพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติการคุ้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัว
กฎหมายที่เข้มงวดนี้ช่วยกํากับดูแลการคุ้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า รัฐต่างๆ กำลังใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลในวงกว้าง แม้ว่าธุรกิจจะดําเนินงานในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่การปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กฎระเบียบคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) ของสหภาพยุโรปก็มีความสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานลูกค้าการป้องกันการฟอกเงิน (AML)
AML คือชุดขั้นตอน กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งการสร้างรายได้ที่ผิดกฎหมายและส่งผ่านรายได้นั้นผ่านระบบการเงินเสมือนว่าบริษัทได้รับเงินนั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมาย AML เป็นกฎที่เข้มงวดและต้องมีการสอบทานธุรกิจจากบริษัท หลักพื้นฐานบางประการที่ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องปฏิบัติตามประกอบไปด้วย การยืนยันตัวตนของลูกค้าและการเก็บบันทึกข้อมูลธุรกรรมอย่างละเอียด ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบโดยหน่วยงานกํากับดูแลการรักษาความปลอดภัยทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค
หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาหลายแห่งมีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามข้อกําหนดและระเบียบข้อบังคับ หนึ่งในนั้นคือ CFPB และคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) ซึ่งควบคุมหลักปฏิบัติทางธุรกิจในทางมิชอบ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ซึ่งเน้นการซื้อขายหลักทรัพย์และหุ้น
ปัจจัยหลักที่ช่วยให้ประสบความสําเร็จ
ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการเกี่ยวกับการชําระเงินที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน กลยุทธ์ที่รอบด้านจะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสําเร็จในตลาดนี้ได้
มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เหมาะสม
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจที่รับชําระเงินออนไลน์ ในปี 2023 การรายงานความเสียหายทางการเงินที่เกิดจากอาชญากรรมไซเบอร์ไปยังศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตของสหรัฐฯ มีจํานวนสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่มูลค่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ การรวมมาตรการป้องกันการฉ้อโกง เช่น 3D Secure และอัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิง รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) เพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของเจ้าของบัตรสามารถช่วยธุรกิจยกระดับความสามารถในการตรวจจับการฉ้อโกงได้ระบบดึงเงินคืนที่มีประสิทธิภาพ
ธุรกิจต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนมากในด้านการจัดการการดึงเงินคืน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน การสร้างระบบที่โปร่งใสสําหรับจัดการกับการโต้แย้งการชําระเงินอย่างรวดเร็วจะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงได้การเน้นการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
ลูกค้าในสหรัฐฯ จํานวนมากเลือกซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน ดังนั้น การใช้เกตเวย์การชําระเงินที่สะดวกบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จึงทวีความสําคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และสําหรับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ วิธีการชําระเงินในแอปจะทําให้ธุรกรรมง่ายขึ้นประสบการณ์การชําระเงินที่ยกระดับขึ้น
การปรับหน้าชําระเงินของธุรกิจให้เรียบง่ายโดยมีวิธีการที่ชัดเจนและขั้นตอนที่น้อยที่สุด จะกระตุ้นให้ลูกค้าทําการชําระเงินให้เสร็จสิ้นได้มากขึ้น การช่วยให้ลูกค้าทําธุรกรรมให้เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องสร้างบัญชีก็สามารถเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้นได้ด้วย
ประเด็นสำคัญ
ธุรกิจที่รับชําระเงินในสหรัฐอเมริกาจะต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมหลายด้านเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้า รวมถึงการเสริมสร้างระเบียบการรักษาความปลอดภัย การเปิดรับเทรนด์การชําระเงินใหม่ๆ และการทําให้ขั้นตอนการชําระเงินดําเนินไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อไปนี้เป็นข้อมูลสรุปสั้นๆ พร้อมเคล็ดลับการสร้างกลยุทธ์การชําระเงินของคุณ
ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
ตรวจสอบข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าในหลายๆ วิธี
ใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยโดยการยืนยันตัวตนของลูกค้าแต่ละรายผ่านวิธีต่างๆ เช่น การยืนยันรหัสผ่านและไบโอเมตริกให้ความสําคัญกับการคุ้มครองข้อมูล
ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของแต่ละรัฐและข้อกําหนด PCI DSS เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและมอบความอุ่นใจให้ลูกค้าลดความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง
เมื่ออีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้น ความเสี่ยงในการฉ้อโกงจากวิธีการชำระเงินแบบ CNP ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ไม่ต้องแสดงบัตรจริงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ใช้เครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกงกับการซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น การยืนยันตัวตนแบบ 3D Secure และอัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิง
เปิดรับวิธีการชําระเงินใหม่ๆ
ขยายตัวเลือกการชําระเงินด้วยบัตร
เนื่องจากบัตรเครดิตและเดบิตมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ธุรกิจควรรองรับวิธีการชําระเงินเหล่านี้ แต่ควรพิจารณาให้ครอบคลุมกว่าบัตรใบจริง โดยรับชําระเงินผ่านบัตรแบบไร้สัมผัสปรับให้เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่
กระเป๋าเงินดิจิทัลและรหัส QR เป็นวิธีที่กำลังได้รับความสนใจ ตัวเลือกเหล่านี้จึงช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าปรับตัวเลือกการชําระเงินให้ตรงกับลูกค้า
ไม่ว่าจะรับการชําระเงินจากบุคคลทั่วไปหรือบริษัท คุณก็ควรพิจารณาว่าตัวเลือกการชําระเงินแบบใดเหมาะกับกลุ่มลูกค้าของคุณที่สุด พิจารณาตัวเลือกการชําระเงินทางเลือกอื่นนอกเหนือจากบัตรเครดิต เช่น การชําระเงินแบบ BNPL
ทําให้กระบวนการชําระเงินง่ายขึ้น
ชําระเงินได้อย่างรวดเร็ว
การใช้วิธีการชําระเงินในคลิกเดียวหรือในหน้าเดียวช่วยประหยัดเวลาและลดการทิ้งรถเข็นกลางคันลงได้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับภาษีหรือค่าธรรมเนียมอย่างโปร่งใส
การแสดงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่น ภาษี ค่าธรรมเนียมบริการ หรือค่าธรรมเนียมการจัดส่งตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆ ของการชําระเงินจะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกค้าออกจากขั้นตอนเนื่องจากราคารวมสูงกว่าที่คาดไว้ ลูกค้าให้ความสำคัญกับความโปร่งใสเป็นหลัก และความโปร่งใสนี้จะช่วยให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการในระยะยาวได้รองรับหลายสกุลเงิน
สําหรับนักท่องเที่ยวและลูกค้าต่างประเทศ การยอมรับการชําระเงินในสกุลเงินอื่นอาจทําให้เข้าถึงการซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น ลูกค้าบางรายในต่างประเทศอาจนิยมใช้ตัวเลือกการชําระเงินในท้องถิ่นมากกว่า ดังนั้น การมีตัวเลือกเหล่านี้จะสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ