Open Banking กําลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน โดยเปิดทางไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่พลิกโฉมวิธีที่ธุรกิจและสถาบันการเงินมีปฏิสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนไปใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดกว้างมากขึ้นช่วยเปิดโอกาสในการปรับเปลี่ยนให้เป็นปัจจุบันได้เร็วขึ้นและนำไปสู่ความหลากหลายทางบริการ และแนวโน้มของระเบียบข้อบังคับกําลังขับเคลื่อนอัตราการนําไปใช้งาน โดยรายงานจาก Juniper Research ประจําปี 2023 คาดการณ์ว่ามูลค่าธุรกรรมการชําระเงินผ่าน Open Banking จะสูงกว่า 330 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกภายในปี 2027
ข้อมูลมีบทบาทสําคัญในการเปลี่ยนไปใช้ Open Banking เมื่อบริษัทต่างๆ เข้าถึงข้อมูลทางการเงินโดยละเอียดได้ ก็จะสามารถทําการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ตั้งแต่การลดความเสี่ยงไปจนถึงการวางแผนการลงทุน อย่างไรก็ตาม Open Banking ไม่ใช่เรื่องของการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น ความเร็ว การปรับตัวได้ และชุดการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมนั้นก็มีความสําคัญพอๆ กัน ตลาดบริการทางการเงินกําลังเปลี่ยนจากการดําเนินงานแบบแยกส่วนมาเป็นสภาพแวดล้อมที่มีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ซึ่งสถาบันการเงินและบริษัทเทคโนโลยีทํางานร่วมกันเพื่อให้บริการในวงกว้าง
แต่ Open Banking ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย ปัญหาต่างๆ เช่น ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล คุณภาพของบริการที่ไม่สอดคล้องกัน และช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นทำให้ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ขณะที่การพัฒนาบริการด้านการเงินเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ธุรกิจต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมสําหรับความท้าทายเหล่านี้เพื่อให้เข้าถึงศักยภาพของ Open Banking ได้อย่างเต็มรูปแบบ นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- Open Banking คืออะไร
- Open Banking มีการทํางานอย่างไร
- ตัวอย่างบริการ Open Banking
- ใครใช้ระบบ Open Banking บ้าง
- ประโยชน์ของ Open Banking
- ความท้าทายของ Open Banking
Open Banking คืออะไร
Open Banking คือโมเดลบริการทางการเงินที่ช่วยให้นักพัฒนาบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลทางการเงินในระบบธนาคารแบบเดิมผ่านอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) โมเดลนี้เปลี่ยนแปลงวิธีการแชร์และเข้าถึงข้อมูลทางการเงินอย่างสิ้นเชิง
Open Banking ช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมข้อมูลทางการเงินของตัวเองได้มากขึ้น และช่วยให้เกิดบริการและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้ สําหรับบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าบริษัทสามารถนําเสนอบริการทางการเงินที่ออกแบบเองให้แก่ลูกค้า ตัดสินใจด้วยข้อมูลมากขึ้น และสร้างนวัตกรรมในด้านการชําระเงินและการจัดการบัญชี ด้วยการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น ธุรกิจจะสามารถปรับกระบวนการชําระเงินให้ง่ายขึ้นและสร้างกระแสรายรับใหม่ๆ ได้

Open Banking มีการทํางานอย่างไร
Open Banking ช่วยให้สามารถสร้างบริการทางการเงินที่ใช้งานร่วมกันได้ผ่านการใช้ API API เหล่านี้ช่วยอํานวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินที่ปลอดภัยระหว่างธนาคารกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่ได้รับอนุญาต ซึ่งแตกต่างจากบริการธนาคารแบบเดิมๆ ที่มักดําเนินงานในสภาพแวดล้อมแบบปิด โดย Open Banking จะกระจายบริการทางการเงินจากศูนย์กลาง
ในธนาคารแบบเดิม ข้อมูลมักจะแยกกันอยู่ในแต่ละสถาบัน ทําให้แอปพลิเคชันภายนอกโต้ตอบกับบัญชีการเงินโดยตรงได้ยาก Open Banking เข้ามาเปลี่ยนจุดนี้ด้วยการบังคับใช้รูปแบบข้อมูลที่จัดทำให้เป็นมาตรฐานและโปรโตคอลการสื่อสารที่ปลอดภัย นี่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เท่าเทียม ซึ่งบริการของบริษัทอื่นสามารถผสานการทํางานกับธนาคารหลายแห่งภายใต้กฎ ข้อบังคับ และมาตรฐานทางเทคนิคเดียวกัน
API ใน Open Banking มักจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
API ข้อมูล: API เหล่านี้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลบัญชี ยอดคงเหลือ และประวัติธุรกรรมแบบอ่านอย่างเดียว
API ธุรกรรม: API เหล่านี้ให้คุณโอนเงิน ตั้งค่าการหักบัญชีอัตโนมัติ และเริ่มการชําระเงินได้
API ผลิตภัณฑ์: API เหล่านี้ช่วยให้บุคคลที่สามแสดงผลิตภัณฑ์ อัตรา และข้อกําหนดทางการเงินได้ โดยมักใช้สําหรับเว็บไซต์หรือมาร์เก็ตเพลสสำหรับการเปรียบเทียบ
จากการทลายอุปสรรคด้านข้อมูลและเปิดโอกาสให้แพลตฟอร์มต่างๆ ทำงานร่วมกันได้นั้น Open Banking จึงสามารถเร่งนวัตกรรมให้กับอุตสาหกรรมบริการทางการเงินด้วยการมอบข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดขึ้นแก่ธุรกิจพร้อมตัวเลือกบริการทางการเงินที่หลากหลายขึ้น

ตัวอย่างบริการ Open Banking
Open Banking ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเฟรมเวิร์กที่บริการทางการเงินสามารถเข้ามาใช้งานได้ Open Banking เป็นสิ่งที่มีเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นขอบเขตของบริการทางการเงินที่เข้ามาสู่ตลาดจึงมีแนวโน้มที่จะขยายตัว ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีที่มีการใช้ Open Banking ในปัจจุบัน
บริการเริ่มต้นการชําระเงิน
ผู้ค้าปลีกสามารถเริ่มต้นการชําระเงินจากบัญชีธนาคารของลูกค้าได้โดยตรง โดยไม่จําเป็นต้องใช้เกตเวย์การชําระเงิน วิธีนี้อาจนําไปสู่การชําระเงินที่รวดเร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ลดลงการรวมบัญชี
ที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทบริหารความมั่งคั่งสามารถดึงข้อมูลจากหลายบัญชี ทําให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของลูกค้า การทําเช่นนี้จะช่วยให้คําแนะนํามีความแม่นยําและเหมาะกับลูกค้าแต่ละรายการจัดงบประมาณอัตโนมัติ
ธุรกิจสามารถมอบระบบจัดการค่าใช้จ่ายที่ชาญฉลาดให้แก่พนักงาน ซึ่งจะจัดหมวดหมู่และติดตามการใช้จ่ายจากบัญชีธนาคารหลายบัญชีโดยอัตโนมัติ ทําให้จัดทำรายงานทางการเงินและกํากับดูแลได้ง่ายขึ้นเงินกู้ด่วนและการให้คะแนนเครดิต
สถาบันการเงินจะเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อประเมินเครดิตได้อย่างถูกต้องแม่นยํามากขึ้น และเร่งกระบวนการอนุมัติเงินกู้ให้รวดเร็วขึ้นการกระทบยอดใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ
ธุรกิจสามารถใช้ API Open Banking เพื่อทําให้กระบวนการจับคู่ใบแจ้งหนี้กับธุรกรรมเป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดงานด้านธุรการและเพิ่มความถูกต้องแม่นยําแพลตฟอร์มที่รองรับหลายธนาคาร
องค์กรที่ดําเนินงานในตลาดหลายแห่งสามารถรวมบัญชีของตนจากธนาคารต่างๆ ไว้ในแดชบอร์ดเดียว ทําให้ติดตามการดําเนินงานทั่วโลกได้ง่ายขึ้นการตลาดเฉพาะบุคคล
ผู้ค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมเพื่อมอบโปรโมชั่นหรือโปรแกรมสะสมคะแนนได้อย่างตรงเป้าหมายตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละคนโดยตรงระบบตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์
การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมในทันทีช่วยให้ธุรกิจตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติได้รวดเร็วกว่าที่เคย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียทางการเงิน
แม้ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ก็ช่วยให้เราเห็นว่า Open Banking จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมบริการทางการเงินอย่างไร
ใครใช้ระบบ Open Banking บ้าง
Open Banking ปรับโครงสร้างวิธีที่ธุรกิจและลูกค้าเข้าถึงและใช้ข้อมูลทางการเงินไปโดยสิ้นเชิง ภายในเฟรมเวิร์ก Open Banking มีบริการทางการเงินใหม่ที่ตอบสนองลูกค้าและกลุ่ม B2B ได้เกือบทั้งหมด นี่คือบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจาก Open Banking มากที่สุด
ลูกค้าประเภทบุคคลทั่วไป
ผู้คนใช้ Open Banking เพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายผ่านแอปพลิเคชันบุคคลที่สาม พวกเขาสามารถตรวจสอบรูปแบบการใช้จ่าย รับคําแนะนําทางการเงินที่ปรับแต่งให้เหมาะกับตัวเองโดยเฉพาะ หรือใช้ธุรกรรมอัตโนมัติ เช่น การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงินสถาบันการเงิน
ธนาคารแบบดั้งเดิม สหภาพเครดิต และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ใช้ Open Banking เพื่อปรับข้อเสนอให้ทันสมัยขึ้นและมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า พวกเขายังสามารถร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กเพื่อนําบริการที่เป็นนวัตกรรมมาสู่ตลาดได้ด้วยบริษัทฟินเทค
บริษัทรุ่นใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีใช้ฟีเจอร์การแชร์ข้อมูลที่ปลอดภัยของ Open Banking เพื่อสร้างบริการเฉพาะทาง โดยมีตั้งแต่แอปจัดงบประมาณไปจนถึงโซลูชันการจัดการทางการเงินที่ซับซ้อนสําหรับธุรกิจธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB)
องค์กรเหล่านี้ใช้ Open Banking เพื่อทํางานต่างๆ โดยอัตโนมัติ เช่น การกระทบยอดใบแจ้งหนี้กับธุรกรรมผ่านธนาคารและการแสดงสถานะทางการเงินของตัวเองให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นหน่วยงานกํากับดูแล
องค์กรที่กําหนดและบังคับใช้กฎทางการเงินพบว่า Open Banking มีประโยชน์สําหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยปกป้องลูกค้าและรับรองถึงแนวทางจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินบริษัทอีคอมเมิร์ซ
ธุรกิจที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการทางออนไลน์สามารถประมวลผลธุรกรรมได้โดยตรงมากขึ้น โดยมักจะตัดระบบการชําระเงินแบบเดิมๆ ออกไปและลดต้นทุนแพลตฟอร์มการทําบัญชี
ซอฟต์แวร์ทางการเงินสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมแบบเรียลไทม์ ทําให้จัดการบัญชีได้ง่ายขึ้นและลดความจําเป็นในการป้อนข้อมูลด้วยตัวเองนักพัฒนาซอฟต์แวร์
เมื่อใช้ Open Banking นักพัฒนาซอฟต์แวร์ API สามารถสร้างบริการและเครื่องมือมากมายที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้าที่เป็นบุคคลทั่วไปและธุรกิจ ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางใหม่ๆ สำหรับนวัตกรรมสถาบันด้านเครดิตและสินเชื่อ
หน่วยงานเหล่านี้สามารถทําการตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยํามากขึ้นโดยการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการมอบเงินกู้และขั้นตอนการให้คะแนนเครดิต
ประโยชน์ของ Open Banking
Open Banking มอบโอกาสที่หลากหลายให้ธุรกิจในการปรับปรุงการดําเนินงาน ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น และนําเสนอบริการที่มีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งสามารถกําหนดจุดยืนให้แก่ธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจาก Open Banking มีดังนี้
การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
Open Banking ช่วยให้ธุรกิจได้รับข้อมูลทางการเงินโดยละเอียดที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงไปจนถึงการวางแผนการลงทุน ความลึกของข้อมูลที่มีนั้นเกินกว่าความลึกของงบการเงินแบบเดิมๆ ไปมากความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
Open Banking ช่วยให้รับส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น ช่วยเร่งเวลาให้ธุรกรรมและช่วยให้กระทบยอดได้รวดเร็วขึ้น ความเร็วนี้นำไปสู่การปรับตัวได้ดียิ่งขึ้นในสภาพตลาดที่เดินหน้าอย่างรวดเร็วความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน
Open Banking สร้างสภาพแวดล้อมที่สถาบันการเงินและบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสามารถสร้างนวัตกรรมร่วมกันได้ ซึ่งนำไปสู่การนำเสนอบริการที่กว้างขึ้นและซับซ้อนมากขึ้นสําหรับลูกค้าธุรกิจกระบวนการชําระเงินที่เพิ่มประสิทธิภาพ
Open Banking API ช่วยให้มีวิธีการชําระเงินโดยตรงได้มากขึ้น โดยมักจะไม่ต้องผ่านเกตเวย์แบบเดิมและส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการทําธุรกรรมลดลงการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
Open Banking มักจะนำระเบียบการที่เป็นมาตรฐานและมาตรการคุ้มครองข้อมูลอย่างรัดกุมมาใช้ด้วย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายได้ง่ายขึ้นการปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า
ธุรกิจสามารถให้บริการด้านการเงินที่ปรับแต่งให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันเงินกู้แบบเฉพาะทางไปจนถึงบริการธนารักษ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนซึ่งเข้าถึงได้ผ่าน Open Bankingการจัดสรรทรัพยากร
การปฏิบัติงานทางการเงินที่เรียบง่ายหมายความว่าพนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่ด้านอื่น ๆ ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการกระทบยอดอัตโนมัติหรือการปรับกระบวนการออกใบแจ้งหนี้ให้ราบรื่น Open Banking API ก็ช่วยให้พนักงานทำประโยชน์ได้เต็มศักยภาพมากขึ้นการเจาะตลาด
Open Banking ช่วยให้ธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ได้ และเสริมด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทฟินเทคในท้องถิ่นและการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่ง่ายขึ้นเพื่อการปรับแต่งตามท้องถิ่นตัวกระตุ้นนวัตกรรม
สําหรับธุรกิจในภาคเทคโนโลยีและการเงิน Open Banking จะเสนอวิธีใหม่ๆ ที่สามารถสร้างรายได้แบบไดนามิก และช่วยเพิ่มกระแสรายรับและการรักษาลูกค้า
ความท้าทายของ Open Banking
แม้ Open Banking จะมอบประโยชน์และโอกาสในการสร้างนวัตกรรมมากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ธุรกิจและสถาบันการเงินต่างๆ ต้องตระหนักถึงเช่นกัน ตั้งแต่ปัญหาด้านการผสานการทํางานไปจนถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัย นี่คือข้อเสียบางส่วนของ Open Banking
คุณภาพไม่สอดคล้องกัน
ในขณะที่บริการของบุคคลที่สามบางรายอาจยอดเยี่ยม แต่บริการบางอย่างก็อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุด ความไม่สอดคล้องในด้านคุณภาพอาจทําให้บริการหยุดชะงักหรือข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ทําให้เกิดความยุ่งยากในการปฏิบัติงานและส่งผลให้ต้องมีการปรับที่มีค่าใช้จ่ายสูงปัญหาการผสานการทำงาน
การรวมบริการของบุคคลที่สามกับ API หลายๆ อย่างอาจทําให้เกิดปัญหาทางเทคนิคที่คาดไม่ถึง ปัญหาแทรกซ้อนเหล่านี้มักต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเวลาหลายชั่วโมงในการแก้ไข ซึ่งส่งผลต่อลําดับเวลาการดําเนินงานและอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายการสร้างมาตรฐานที่จํากัด
การไม่มีมาตรฐานสากลทําให้บริการต่างๆ สื่อสารกันได้ยาก การขาดความสอดคล้องนี้อาจต้องมีการแทรกแซงโดยมนุษย์เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทํางานร่วมกันได้และใช้งานได้อุปสรรคด้านระเบียบข้อบังคับ
ในขณะที่ Open Banking เปลี่ยนแปลงไป กฎระเบียบก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน การตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่เสมออาจเป็นงานที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างหนัก โดยต้องมีทีมภายในหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอกโดยเฉพาะเพื่อช่วยธุรกิจของคุณปฏิบัติตามข้อกําหนดอยู่เสมอ การไม่ปรับตัวอาจทําให้เกิดบทลงโทษหรือปัญหาด้านกฎหมายได้ช่องว่างด้านความรับผิดชอบ
เมื่อมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย การพิจารณาหาคนผิดในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดหรือการละเมิดความปลอดภัยก็ซับซ้อนตามไปด้วย ความคลุมเครือนี้อาจทําให้การแก้ไขปัญหาช้าลงและนําไปสู่การหยุดทํางานเป็นเวลานานหรือปัญหาของลูกค้าที่ไม่ได้แก้ไขค่าใช้จ่ายแอบแฝง
นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการสมัครใช้งาน API แล้ว อาจมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ผูกกับการปฏิบัติตามข้อกําหนดหรือการปรับทางเทคนิค ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสะสมเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจไม่คุ้มกับประโยชน์ของการประหยัดต้นทุนด้วย Open Bankingความเสี่ยงด้านการพึ่งพา
การมอบหมายงานหลักด้านการเงินให้บริการภายนอกอาจทําให้ธุรกิจอยู่ภายใต้การควบคุมของบริการเหล่านี้ในระดับหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงในความพร้อมให้บริการหรือข้อกําหนดการใช้งานอาจทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนอย่างกระทันหันในการปฏิบัติงานที่ใช้บริการเหล่านี้ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงหรือใช้เวลานานความไม่แน่นอนของตลาด
Open Banking ยังคงเป็นสนามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นของสาธารณะ ปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้เหล่านี้อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ในระยะยาว ทําให้การวางแผนที่แน่นอนเป็นเรื่องที่ท้าทายช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
แม้จะมีความพยายามที่ดีที่สุดในการรักษาระบบให้ปลอดภัย แต่ก็อาจมีคนฉวยโอกาสจากช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นในการปกป้องข้อมูลและโปรโตคอลความปลอดภัย ผลกระทบของการละเมิดข้อมูลหรือการละเมิดด้านความปลอดภัยอื่นๆ อาจขยายไปนอกเหนือจากการสูญเสียทางการเงินไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียง ส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของลูกค้า และอาจนําไปสู่ผลทางกฎหมาย
โอกาสของ Open Banking ในการเพิ่มระดับการบริการลูกค้าและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจควรใช้ความระมัดระวังเมื่อนําเทคโนโลยีนี้ไปใช้และดําเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ธุรกิจที่เข้าสู่พื้นที่นี้อย่างรอบคอบ มีกลยุทธ์ และเตรียมพร้อมมาตรการบรรเทาความเสี่ยงที่เหมาะสมจะได้ประโยชน์มากมาย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ