บริษัทในปัจจุบันมักประสบปัญหากับระบบการเงินล่าช้าและกระจัดกระจาย ซึ่งอาจจํากัดการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทําให้ธุรกรรมล่าช้า และการผสานการทํางานมีความซับซ้อน ในทางกลับกัน ลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่น ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมและเครือข่ายแบบปิดมักจะให้ไม่ได้
Open Banking กําลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน โดยเปิดทางไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่พลิกโฉมวิธีที่ธุรกิจและสถาบันการเงินมีปฏิสัมพันธ์กัน การสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินอย่างปลอดภัยจะช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพในการชําระเงิน ปรับปรุงการตัดสินใจทางการเงิน และนําเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมมากขึ้นได้
รายงานจาก Juniper Research ปี 2023 คาดการณ์ว่ามูลค่าธุรกรรมการชําระเงิน Open Banking จะสูงกว่า 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกภายในปี 2027 ตลาดบริการทางการเงินกําลังเปลี่ยนจากการดําเนินงานแบบแยกส่วนมาเป็นสภาพแวดล้อมที่มีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ซึ่งสถาบันการเงินและบริษัทเทคโนโลยีทํางานร่วมกันเพื่อนำเสนอบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การนําไปใช้ยังคงมีความซับซ้อนอยู่ โดยความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และกรอบการกํากับดูแลที่ไม่สอดคล้องกัน ทําให้เกิดความท้าทายที่ธุรกิจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Open Banking วิธีการทํางาน ประโยชน์ และความท้าทายที่ต้องพิจารณา
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- Open Banking คืออะไร
- Open Banking มีการทํางานอย่างไร
- 8 ตัวอย่างบริการ Open Banking
- ใครใช้ระบบ Open Banking บ้าง
- ประโยชน์ของ Open Banking
- ความท้าทายของ Open Banking
- Stripe Financial Connections จะช่วยคุณได้อย่างไร
Open Banking คืออะไร
Open Banking คือโมเดลบริการทางการเงินที่ช่วยให้นักพัฒนาบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคจาระบบธนาคารแบบเดิมผ่านอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) โมเดลนี้เปลี่ยนแปลงวิธีการแชร์และเข้าถึงข้อมูลทางการเงินอย่างสิ้นเชิงโดยการเพิ่มความโปร่งใส การแข่งขัน และนวัตกรรม
Open Banking ช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมข้อมูลทางการเงินของตัวเองได้มากขึ้น และช่วยให้เกิดบริการและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้ โดยจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงข้อมูลทางการเงินแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพบริการการชําระเงิน เพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ด้านการธนาคาร และปรับปรุงการจัดการบัญชีลูกค้าได้ สําหรับบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าบริษัทสามารถนําเสนอบริการทางการเงินที่ออกแบบเองให้แก่ลูกค้า ตัดสินใจด้วยข้อมูลมากขึ้น และสร้างนวัตกรรมในด้านการชําระเงินและการจัดการบัญชี ด้วยการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น ธุรกิจจะสามารถปรับกระบวนการชําระเงินให้ง่ายขึ้นและสร้างกระแสรายรับใหม่ๆ ได้
ด้วยแผนริเริ่ม Open Banking ที่เพิ่มขึ้นและข้อกําหนดในการปฏิบัติตามข้อกําหนด เช่น คําสั่งว่าด้วยบริการชําระเงิน (PSD2) ในสหภาพยุโรป ธุรกิจต่างๆ จึงใช้ Open Banking เพื่อมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเหมาะกับลูกค้าแต่ละรายมากขึ้น

Open Banking มีการทํางานอย่างไร
ในธนาคารแบบเดิม ข้อมูลมักจะแยกกันอยู่ในแต่ละสถาบัน ทําให้แอปพลิเคชันภายนอกโต้ตอบกับบัญชีการเงินโดยตรงได้ยาก Open Banking เข้ามาเปลี่ยนจุดนี้ด้วยการบังคับใช้รูปแบบข้อมูลที่จัดทำให้เป็นมาตรฐานและโปรโตคอลการสื่อสารที่ปลอดภัย นี่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เท่าเทียม ซึ่งบริการของบริษัทอื่นสามารถผสานการทํางานกับธนาคารหลายแห่งภายใต้กฎ ข้อบังคับ และมาตรฐานทางเทคนิคเดียวกัน
Open Banking ช่วยให้สามารถสร้างบริการทางการเงินที่ใช้งานร่วมกันได้โดยการอนุญาตให้ผู้ให้บริการบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลลูกค้าผ่าน API ได้อย่างปลอดภัย API เหล่านี้ช่วยอํานวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินอย่างปลอดภัยระหว่างธนาคารกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่ได้รับอนุญาต
API ใน Open Banking มักจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
API ข้อมูล: ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลบัญชี ยอดคงเหลือ และประวัติธุรกรรมแบบอ่านอย่างเดียว
API ธุรกรรม: ช่วยให้โอนเงิน หักบัญชีอัตโนมัติ และมอบบริการชําระเงินได้
API ผลิตภัณฑ์: ช่วยให้บุคคลที่สามสามารถแสดงรายการผลิตภัณฑ์ อัตรา และข้อกําหนดทางการเงิน โดยมักใช้สําหรับเว็บไซต์หรือมาร์เก็ตเพลสสำหรับการเปรียบเทียบ
Open Banking ทลายอุปสรรคด้านข้อมูลและเปิดโอกาสให้แพลตฟอร์มต่างๆ ทํางานร่วมกัน จึงช่วยเร่งนวัตกรรมในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินโดยการนําเสนอโครงการริเริ่มที่ขับเคลื่อนด้วยตลาดมากขึ้นแก่ธุรกิจต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจและลูกค้า

8 ตัวอย่างบริการ Open Banking
Open Banking ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเฟรมเวิร์กที่บริการทางการเงินสามารถเข้ามาใช้งานได้ เฟรมเวิร์กนี้ช่วยให้ผู้ให้บริการบุคคลที่สาม แอปธนาคาร และสถาบันการเงินอื่นๆ สร้างบริการทางการเงินอันล้ำสมัยที่ปรับปรุงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ของลูกค้าได้
ในขณะที่โครงการริเริ่ม Open Banking มีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ คาดว่าขอบเขตของบริการทางการเงินที่เข้ามาสู่ตลาดจึงน่าจะขยายตัว ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการใช้ Open Banking ในปัจจุบัน
บริการเริ่มต้นการชําระเงิน: ผู้ค้าปลีกสามารถเริ่มต้นการชําระเงินจากบัญชีธนาคารของลูกค้าได้โดยตรง โดยไม่จําเป็นต้องใช้เกตเวย์การชําระเงินแบบดั้งเดิม วิธีนี้อาจทำให้การชําระเงินรวดเร็วขึ้น ค่าธรรมเนียมธุรกรรมลดลง และการรักษาความปลอดภัยดีขึ้น
การรวมบัญชี: ที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทบริหารความมั่งคั่งสามารถดึงข้อมูลจากบัญชีลูกค้าหลายบัญชี ทําให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของลูกค้า ช่วยให้วางแผนทางการเงินและให้คําแนะนําเฉพาะบุคคลได้แม่นยํายิ่งขึ้น
การจัดงบประมาณอัตโนมัติ: ธุรกิจสามารถมอบระบบจัดการค่าใช้จ่ายที่ชาญฉลาดให้แก่พนักงาน ซึ่งจะจัดหมวดหมู่และติดตามการใช้จ่ายจากบัญชีธนาคารหลายบัญชีโดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้ช่วยปรับปรุงการรายงานทางการเงินและการจัดการงบประมาณ
เงินกู้ด่วนและการให้คะแนนเครดิต: สถาบันการเงินและผู้ให้กู้สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคแบบเรียลไทม์จาก Open Finance API เพื่อประเมินเครดิตได้แม่นยํายิ่งขึ้น และเร่งกระบวนการอนุมัติเงินกู้ให้รวดเร็วขึ้น
การกระทบยอดใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ: ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ Open Banking API เพื่อทําให้กระบวนการจับคู่ใบแจ้งหนี้กับธุรกรรมเป็นระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดภาระงานด้านการบริหาร ลดข้อผิดพลาด และปรับปรุงการจัดการกระแสเงินสดได้
แพลตฟอร์มที่รองรับหลายธนาคาร: องค์กรที่ดําเนินงานในตลาดหลายแห่งสามารถรวมบัญชีของตนจากธนาคารต่างๆ ไว้ในแดชบอร์ดเดียว ทําให้ติดตามการดําเนินงานทั่วโลกได้ง่ายขึ้น
การตลาดเฉพาะบุคคล: ผู้ค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมเพื่อมอบโปรโมชั่นหรือโปรแกรมสะสมคะแนนได้อย่างตรงเป้าหมายตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละคนโดยตรง
ระบบตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์: การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมในทันทีช่วยให้ธุรกิจตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติได้รวดเร็วกว่าที่เคย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียทางการเงิน
แม้ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ก็ช่วยให้เราเห็นว่า Open Banking จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมบริการทางการเงินอย่างไร ในขณะที่กฎระเบียบและโครงการริเริ่มที่ขับเคลื่อนโดยตลาดมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการบุคคลที่สามและสถาบันการเงินอื่นๆ ก็กําลังสํารวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ อยู่เช่นกัน
ใครใช้ระบบ Open Banking บ้าง
Open Banking ปรับโครงสร้างวิธีที่ธุรกิจ ผู้ให้บริการทางการเงิน และลูกค้าเข้าถึงและใช้ข้อมูลทางการเงินไปโดยสิ้นเชิง ภายในเฟรมเวิร์ก Open Banking มีบริการทางการเงินใหม่ที่ตอบสนองลูกค้าและกลุ่ม B2B ได้เกือบทั้งหมด นี่คือบางส่วนที่ใช้โครงการริเริ่ม Open Banking
ลูกค้าที่เป็นบุคคลทั่วไป: ลูกค้าใช้ Open Banking เพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายผ่านแอปพลิเคชันบุคคลที่สาม พวกเขาสามารถตรวจสอบรูปแบบการใช้จ่าย รับคําแนะนําทางการเงินที่ปรับแต่งให้เหมาะกับตัวเองโดยเฉพาะ หรือใช้ธุรกรรมอัตโนมัติ เช่น การชําระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน
สถาบันการเงิน: ธนาคารแบบดั้งเดิม สหภาพเครดิต และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ใช้ Open Banking เพื่อปรับข้อเสนอให้ทันสมัยขึ้นและมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า พวกเขายังร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กเพื่อนําบริการที่เป็นนวัตกรรมมาสู่ตลาดได้ด้วย
บริษัทฟินเทค: บริษัทรุ่นใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีใช้ฟีเจอร์การแชร์ข้อมูลที่ปลอดภัยของ Open Banking เพื่อสร้างบริการเฉพาะทาง โดยมีตั้งแต่แอปจัดงบประมาณไปจนถึงโซลูชันการจัดการทางการเงินที่ซับซ้อนสําหรับธุรกิจ
ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) องค์กรเหล่านี้ใช้ Open Banking เพื่อทํางานต่างๆ โดยอัตโนมัติ เช่น การกระทบยอดใบแจ้งหนี้กับธุรกรรมผ่านธนาคารและการแสดงสถานะทางการเงินของตัวเองให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น
หน่วยงานกํากับดูแล: องค์กรที่กําหนดและบังคับใช้กฎทางการเงินพบว่า Open Banking มีประโยชน์สําหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยปกป้องลูกค้าและรับรองถึงแนวทางจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน
บริษัทอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการทางออนไลน์สามารถประมวลผลธุรกรรมได้โดยตรงมากขึ้น โดยมักจะตัดระบบการชําระเงินแบบเดิมๆ ออกไปและลดต้นทุน
แพลตฟอร์มการทําบัญชี ซอฟต์แวร์ทางการเงินสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมแบบเรียลไทม์ ทําให้จัดการบัญชีได้ง่ายขึ้นและลดความจําเป็นในการป้อนข้อมูลด้วยตัวเอง
นักพัฒนาซอฟต์แวร์: เมื่อใช้ Open Banking นักพัฒนาซอฟต์แวร์ API สามารถสร้างบริการและเครื่องมือมากมายที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้าที่เป็นบุคคลทั่วไปและธุรกิจ ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางใหม่ๆ สำหรับนวัตกรรม
สถาบันด้านเครดิตและสินเชื่อ: หน่วยงานเหล่านี้สามารถทําการตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยํามากขึ้นโดยการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการมอบเงินกู้และขั้นตอนการให้คะแนนเครดิต
Open Banking กําลังสร้างนวัตกรรมระลอกใหม่ในภาคการเงิน ช่วยให้ผู้ให้บริการบุคคลที่สามสร้างผลิตภัณฑ์ด้านการธนาคารที่มีความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการเข้าถึงมากขึ้น ระบบนิเวศทางการเงินจะเชื่อมโยงกันมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งลูกค้าและธุรกิจ เนื่องจากระเบียบข้อบังคับ Open Banking เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ประโยชน์ของ Open Banking
Open Banking มอบโอกาสที่หลากหลายให้ธุรกิจในการปรับปรุงการดําเนินงาน ปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น และนําเสนอบริการที่มีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งสามารถกําหนดจุดยืนให้แก่ธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจาก Open Banking มีดังนี้
การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล: Open Banking ช่วยให้ธุรกิจได้รับข้อมูลทางการเงินโดยละเอียดที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงไปจนถึงการวางแผนการลงทุน ความลึกของข้อมูลที่มีนั้นเกินกว่าความลึกของงบการเงินแบบเดิมๆ ไปมากในการประเมินโอกาสการลงทุนและการจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ
ความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน: Open Banking ช่วยให้รับส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น ช่วยเร่งเวลาให้ธุรกรรมและช่วยให้กระทบยอดได้รวดเร็วขึ้น ความเร็วนี้ช่วยปรับปรุงการจัดการกระแสเงินสดและสภาวะตลาดที่ดําเนินไปอย่างรวดเร็ว
ความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน Open Banking สร้างสภาพแวดล้อมที่สถาบันการเงินและบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสามารถสร้างนวัตกรรมร่วมกันได้ ซึ่งนำไปสู่การนำเสนอบริการที่กว้างขึ้นและซับซ้อนมากขึ้นสําหรับลูกค้าธุรกิจ
กระบวนการชําระเงินที่เพิ่มประสิทธิภาพ: Open Banking API ช่วยให้มีวิธีการชําระเงินโดยตรงได้มากขึ้น โดยมักจะไม่ต้องผ่านเกตเวย์แบบเดิมและส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการทําธุรกรรมลดลง
การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: Open Banking มักจะนำระเบียบการที่เป็นมาตรฐานและมาตรการคุ้มครองข้อมูลอย่างรัดกุมมาใช้ด้วย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายได้ง่ายขึ้น
การปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า: ธุรกิจสามารถให้บริการด้านการเงินที่ปรับแต่งให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันเงินกู้แบบเฉพาะทางไปจนถึงบริการธนารักษ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนซึ่งเข้าถึงได้ผ่าน Open Banking
การจัดสรรทรัพยากร: การปฏิบัติงานทางการเงินที่เรียบง่ายหมายความว่าพนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่ด้านอื่น ๆ ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการกระทบยอดอัตโนมัติหรือการปรับกระบวนการออกใบแจ้งหนี้ให้ราบรื่น Open Banking API ก็ช่วยให้พนักงานทำประโยชน์ได้เต็มศักยภาพมากขึ้น
การเจาะตลาด: Open Banking ช่วยให้ธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ได้ และเสริมด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทฟินเทคในท้องถิ่นและการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่ง่ายขึ้นเพื่อการปรับแต่งตามท้องถิ่น
ตัวกระตุ้นนวัตกรรม: สําหรับธุรกิจในภาคเทคโนโลยีและการเงิน Open Banking จะเสนอวิธีใหม่ๆ ที่สามารถสร้างรายได้แบบไดนามิก และช่วยเพิ่มกระแสรายรับและการรักษาลูกค้า
การผสานการทํางานกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามและการนําแอป Open Banking มาใช้จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ แข่งขันได้ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดําเนินงาน และมอบบริการทางการเงินที่ทันสมัยได้
ความท้าทายของ Open Banking
แม้ Open Banking จะมอบประโยชน์และโอกาสในการสร้างนวัตกรรมมากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ธุรกิจและสถาบันการเงินต่างๆ ต้องตระหนักถึงเช่นกัน ตั้งแต่ปัญหาด้านการผสานการทํางาน ไปจนถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแล นี่คือข้อเสียบางส่วนของ Open Banking
คุณภาพไม่สอดคล้องกัน: ผู้ให้บริการบุคคลที่สามบางรายอาจไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกัน แม้ว่าบริการบางอย่างจะยอดเยี่ยม แต่บริการอื่นๆ อาจมีคุณภาพที่ไม่สอดคล้องกัน ทําให้บริการหยุดชะงักหรือข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ หรือแม้แต่ทำให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่สร้างปัญหาในการปฏิบัติงานและจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนที่มีค่าใช้จ่ายสูง
ปัญหาด้านการผสานการทำงาน: การรวมบริการของบุคคลที่สามกับ API หลายๆ อย่างอาจทําให้เกิดปัญหาทางเทคนิคที่คาดไม่ถึงเนื่องจากปัญหาความไม่เข้ากัน ปัญหาแทรกซ้อนเหล่านี้มักต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเวลาหลายชั่วโมงในการแก้ไข ซึ่งส่งผลต่อลําดับเวลาการดําเนินงานและอาจเพิ่มค่าใช้จ่าย
การสร้างมาตรฐานที่จํากัด: การไม่มีมาตรฐานสากลทําให้บริการต่างๆ สื่อสารกันได้ยาก การขาดความสอดคล้องนี้อาจต้องมีการแทรกแซงโดยมนุษย์เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทํางานร่วมกันได้และใช้งานได้
อุปสรรคด้านระเบียบข้อบังคับ: ในขณะที่ Open Banking เปลี่ยนแปลงไป กฎระเบียบก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน การตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่เสมออาจเป็นงานที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างหนัก โดยต้องมีทีมภายในหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอกโดยเฉพาะเพื่อช่วยธุรกิจของคุณปฏิบัติตามข้อกําหนดอยู่เสมอ การไม่ปรับตัวอาจทําให้เกิดบทลงโทษหรือปัญหาด้านกฎหมายได้
ช่องว่างด้านความรับผิดชอบ เมื่อมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย การพิจารณาหาคนผิดในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดหรือการละเมิดความปลอดภัยก็ซับซ้อนตามไปด้วย ความคลุมเครือนี้อาจทําให้การแก้ไขปัญหาช้าลงและนําไปสู่การหยุดทํางานเป็นเวลานานหรือปัญหาของลูกค้าที่ไม่ได้แก้ไข
ค่าใช้จ่ายแอบแฝง: นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการสมัครใช้งาน API แล้ว อาจมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ผูกกับการปฏิบัติตามข้อกําหนดหรือการปรับทางเทคนิค ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสะสมเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจไม่คุ้มกับประโยชน์ของการประหยัดต้นทุนด้วย Open Banking
ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา: การมอบหมายงานหลักด้านการเงินให้บริการภายนอกอาจทําให้ธุรกิจอยู่ภายใต้การควบคุมของบริการเหล่านี้ในระดับหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงในความพร้อมให้บริการหรือข้อกําหนดการใช้งานอาจทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนอย่างกระทันหันในการปฏิบัติงานที่ใช้บริการเหล่านี้ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงหรือใช้เวลานาน
ความไม่แน่นอนของตลาด Open Banking ยังคงเป็นสนามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นของสาธารณะ ปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้เหล่านี้อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ในระยะยาว ทําให้การวางแผนที่แน่นอนเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย แม้จะมีความพยายามอย่างดีที่สุดในการรักษาระบบให้ปลอดภัย แต่ก็อาจมีคนฉวยโอกาสจากช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นในการปกป้องข้อมูลและโปรโตคอลความปลอดภัย ผลกระทบของการละเมิดข้อมูลหรือการละเมิดด้านความปลอดภัยอื่นๆ อาจขยายไปนอกเหนือจากการสูญเสียทางการเงินไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียง ส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของลูกค้า และอาจนําไปสู่ผลทางกฎหมาย
โอกาสของ Open Banking ในการเพิ่มระดับการบริการลูกค้าและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจควรใช้ความระมัดระวังเมื่อนําเทคโนโลยีนี้ไปใช้และดําเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ด้วยมาตรการลดความเสี่ยงที่เหมาะสม โครงการริเริ่ม Open Banking สามารถสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการลดความเสี่ยงได้
Financial Connections จะช่วย Stripe ได้อย่างไร
Stripe Financial Connections คือชุดส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ (API) ที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารของลูกค้าและดึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้าได้อย่างปลอดภัย จึงช่วยให้คุณสร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ทันสมัยได้
Financial Connections ช่วยให้คุณดําเนินการต่อไปนี้ได้
- ทําให้กระบวนการเริ่มต้นใช้งานเป็นเรื่องง่าย: นำเสนอขั้นตอนการยืนยันตัวตนบัญชีธนาคารที่ราบรื่นและทันทีที่ไม่ต้องยืนยันตัวตนและบัญชีด้วยตัวเอง
- เข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่ครบถ้วน: ดึงข้อมูลบัญชีธนาคารของลูกค้าที่ครอบคลุม รวมถึงยอดคงเหลือ ธุรกรรม และรายละเอียดบัญชี
- สร้างขั้นตอนการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าโดยอัตโนมัติ: ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมโยงบัญชีธนาคารสําหรับการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการชําระเงินสําเร็จ
- ยกระดับการจัดการความเสี่ยง: วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของลูกค้าเพื่อทําการตัดสินใจเกี่ยวกับสินเชื่อ การให้กู้ยืม และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ อย่างมีข้อมูลมากขึ้น
- ปฏิบัติตามกฎระเบียบ: Financial Connections ช่วยให้คุณปฏิบัติตามข้อกําหนด "รู้จักลูกค้าของคุณ" (KYC) และการต่อต้านการฟอกเงิน (AML)
- สร้างนวัตกรรมด้วยความมั่นใจ: สร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ บนโครงสร้างพื้นฐาน Financial Connections ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Financial Connections สามารถช่วยได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ