อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) สำหรับการธนาคารเป็นส่วนสำคัญของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีที่ลูกค้าและธุรกิจจัดการกับเงิน เทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน (เช่น บริการธนาคารออนไลน์) และประเภทของสถาบันที่สามารถให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้
ด้านล่างนี้ เราจะสำรวจว่าการธนาคารที่ใช้ API คืออะไร ทำงานอย่างไร มีการใช้งานอย่างไร และมีประโยชน์อะไรบ้างต่อธุรกิจ
เนื้อหาหลักในบทความ
- API คืออะไร
- การธนาคารที่ใช้ API คืออะไร
- การธนาคารที่ใช้ API ทำงานอย่างไร
- กรณีการใช้งานและการประยุกต์ใช้การธนาคารที่ใช้ API
- ประโยชน์ของการธนาคารที่ใช้ API
- แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นสำหรับการธนาคารที่ใช้ API
- Stripe Connect จะช่วยได้อย่างไร
API คืออะไร
API เป็นโปรโตคอลการสื่อสาร หรือกล่าวได้ว่าเป็นชุดกฎและเครื่องมือที่ช่วยให้ส่วนประกอบซอฟต์แวร์ต่างๆ สามารถสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้ โปรโตคอลเหล่านี้กำหนดวิธีการและโครงสร้างข้อมูลที่นักพัฒนาสามารถใช้เพื่อสื่อสารกับส่วนประกอบซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ ไลบรารี หรือบริการอื่นๆ
การธนาคารที่ใช้ APIคืออะไร
การธนาคารที่ใช้ API คือการใช้ API เพื่อให้แอปพลิเคชันภายนอกที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงบริการธนาคารและข้อมูลทางการเงิน นักพัฒนาภายนอก (หรือธนาคารอื่นๆ) สามารถใช้ฟังก์ชันการธนาคาร เช่น การชำระเงิน การยืนยันตัวตน และการแชร์ข้อมูลผ่าน API ที่กำหนดไว้อย่างเหมาะสม
เมื่อใช้การธนาคารที่ใช้ API สถาบันการเงินจะสามารถสร้างระบบที่ทำงานร่วมกันได้ซึ่งสื่อสารกับแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันภายนอกได้โดยตรง แทนที่จะใช้ระบบปิดที่ใช้เทคโนโลยีเฉพาะของตนเอง การออกแบบในลักษณะนี้ช่วยให้สามารถพัฒนา ทดสอบ และนำบริการทางการเงินเฉพาะทางไปใช้จริงได้อย่างรวดเร็ว
การธนาคารที่ใช้ API ทำงานอย่างไร
การธนาคารที่ใช้ API ใช้สถาปัตยกรรมแบบหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีฟังก์ชันที่ต่างกัน และทุกชั้นจะโต้ตอบกันผ่าน API ที่กำหนดไว้อย่างเหมาะสม ฟังก์ชันหลักที่ธนาคารให้บริการ (เช่น การจัดการบัญชี การชำระเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล) จะได้รับการจัดโครงสร้างและเปิดให้ใช้ผ่าน API เพื่อให้บุคคลภายนอกนำไปใช้งาน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ธนาคารเปิดโอกาสให้ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้และทำให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับบุคคลภายนอก
เริ่มตั้งแต่ชั้นบริการหลัก ฟังก์ชันการธนาคารแต่ละรายการ ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน, การยืนยันตามข้อกำหนด Know Your Customer (KYC) หรือประวัติธุรกรรม ก็จะถูกรวมไว้ในโมดูลที่แตกต่างกันโดยมี API เป็นของตัวเอง API เหล่านี้ทำงานตามโปรโตคอลเฉพาะและใช้รูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน เช่น JSON และ XML ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่นักพัฒนาจากภายนอกใช้ในการโต้ตอบกับบริการของธนาคาร
เกตเวย์ API จะตรวจสอบสิทธิ์และกำหนดเส้นทาง API ที่เข้ามาจากบริการภายนอก โดยทำหน้าที่เป็นชั้นที่ปกป้องบริการหลัก เมื่อแอปพลิเคชันของบริษัทอื่นต้องการเริ่มต้นการชำระเงินหรือเข้าถึงข้อมูลบัญชี แอปจะส่งคำขอไปยังเกตเวย์ API เกตเวย์จะระบุคำขอขาเข้า ทำการตรวจสอบความปลอดภัยที่จำเป็น เช่น การตรวจสอบโทเค็นและการตรวจสอบสิทธิ์ OAuth และกำหนดเส้นทางคำขอไปยังโมดูลบริการที่เหมาะสม
ระบบที่แยกส่วนนี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านการเงินที่รวดเร็วและตรงจุดมากขึ้น นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟังก์ชันการธนาคารที่เจาะจงได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องโต้ตอบหรือทำความเข้าใจระบบทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทคสามารถสร้างบริการชำระเงินเฉพาะทางโดยใช้เพียง API การชำระเงิน โดยที่ไม่ต้องผสานการทำงานกับบริการธนาคารอื่นๆ
การตั้งค่าแบบหลายชั้นนี้ช่วยให้ธุรกิจอัปเดตหรือแทนที่แต่ละส่วนแยกกันได้ ซึ่งช่วยลดภาระในการบำรุงรักษาและมอบความยืดหยุ่น นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังสามารถใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับเกตเวย์ API เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ป้องกันการเข้าถึงระบบบริการธนาคารหลักที่สำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือเป็นอันตราย ชั้นการตรวจสอบและการวิเคราะห์มักจะพัฒนาขึ้นโดยอาศัย API เหล่านี้เป็นพื้นฐาน และจะติดตามการใช้งาน ความหน่วง และเมตริกประสิทธิภาพอื่นๆ ของ API ข้อมูลวิเคราะห์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจทราบแนวโน้ม คาดการณ์ปัญหาคอขวด และรักษาประสิทธิภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
กรณีการใช้งานและการประยุกต์ใช้การธนาคารที่ใช้ API
การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้เกิดระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวและการให้บริการธนาคาร (BaaS) การประยุกต์ใช้เหล่านี้แสดงถึงลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปของบริการทางการเงิน โดยช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง อีกทั้งยังทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดการประยุกต์ใช้ทั้ง 2 รูปแบบเหล่านี้
การชำระเงินแบบผสานรวมในตัว
ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวเป็นผลมาจากการผสานรวมการประมวลผลการชำระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันของบริษัทอื่นโดยตรง ซึ่งช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้าออกจากแอปเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์
เกตเวย์การชำระเงินและ API: โดยปกติแล้ว API จากผู้ประมวลผลการชำระเงินจะทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัว โดยจะประมวลผลธุรกรรมประเภทต่างๆ เช่น การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต การชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล และการโอนเงินต่างชาติ นักพัฒนาใช้ API เหล่านี้เพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันกับเครือข่ายการชำระเงิน
การประมวลผลแบบเรียลไทม์: ความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมแบบเรียลไทม์คือสิ่งที่ทำให้ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวโดดเด่น ทันทีที่ลูกค้าเริ่มการชำระเงิน การเรียกใช้ API จะเปิดใช้งานเพื่อประมวลผลธุรกรรม ตรวจสอบข้อมูลประจำตัวของลูกค้า และอัปเดตยอดคงเหลือในบัญชีธนาคาร ซึ่งมักเกิดขึ้นภายในไม่กี่มิลลิวินาที
กรณีการใช้งาน: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นตัวอย่างที่ดีของระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัว ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้เว็บไซต์อื่น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนที่จำเป็นและเร่งกระบวนการซื้อ ในบริการการชำระเงินตามรอบบิล ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวช่วยให้เกิดการต่ออายุบริการอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้าดำเนินการใดๆ
BaaS
BaaS เป็นกระบวนการครบวงจรที่ช่วยให้บุคคลภายนอกเข้าถึงและใช้ฟังก์ชันหลักด้านการธนาคารผ่าน API ได้ ผู้ให้บริการ BaaS มักจะเป็นธนาคารที่นำเสนอชุด API เพื่อให้แพลตฟอร์มของบริษัทอื่นเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีแบรนด์ของตนเองได้
ฟังก์ชัน: ในกรณีของ BaaS ฟังก์ชันการทำงานมีตั้งแต่บริการง่ายๆ (เช่น การตรวจสอบยอดคงเหลือในบัญชี ประวัติการทำธุรกรรม) ไปจนถึงบริการที่มีความเฉพาะทางยิ่งขึ้น เช่น การให้คะแนนเครดิต กระบวนการออกสินเชื่อ และการยืนยันตัวตน
API และบุคคลภายนอก: ใน BaaS ชุด API ที่มีอยู่นั้นครอบคลุม จึงทำให้แพลตฟอร์มของบุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน เริ่มต้นธุรกรรม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ได้ สถาบันการเงิน สตาร์ทอัพฟินเทค และแม้แต่องค์กรที่ไม่ใช่สถาบันการเงินก็สามารถใช้ API เหล่านี้เพื่อสร้างแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น เครื่องมือจัดการการเงินส่วนบุคคลและแพลตฟอร์มสินเชื่อเฉพาะทาง
กรณีการใช้งาน: ตัวอย่างหนึ่งของ BaaS คือธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินแก่ลูกค้า BaaS ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมีตัวเลือกต่างๆ เช่น บัตรเครดิตที่มีแบรนด์และโปรแกรมสะสมคะแนนโดยไม่จำเป็นต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินตั้งแต่เริ่มต้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือสตาร์ทอัพฟินเทคที่นำเสนอแพลตฟอร์มการลงทุนเฉพาะทาง เมื่อใช้ API ที่ BaaS มีให้ สตาร์ทอัพฟินเทคก็จะสามารถเข้าถึงฟังก์ชันการธนาคารเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนได้
ประโยชน์ของการธนาคารที่ใช้ API
การธนาคารที่ใช้ API ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีทางการเงินสมัยใหม่ ในขณะที่บริการนี้ยังคงกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์สำคัญหลายประการก็ปรากฏขึ้น ต่อไปนี้คือข้อดีบางส่วน
การพัฒนาและการปรับใช้อย่างรวดเร็ว: การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้ลดระยะเวลาของวงจรการพัฒนา เมื่อใช้ชุดฟังก์ชันที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าผ่าน API นักพัฒนาจะสามารถเชื่อมต่อกับบริการธนาคารได้ทันที วงจรการพัฒนาที่รวดเร็วนี้ช่วยเร่งระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด และช่วยให้การอัปเดตผลิตภัณฑ์เดิมได้เร็วขึ้น
ความยืดหยุ่นและการแยกส่วน: API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเลือกฟังก์ชันการทำงานแยกกันและรวมไว้ในแอปพลิเคชันต่างๆ สถาบันการเงินและนักพัฒนาจากภายนอกสามารถเลือกใช้บริการที่ต้องการให้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทางการเงินของตนได้
ชั้นความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง: สถาปัตยกรรมการธนาคารที่ใช้ API มักจะมีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยอันทรงประสิทธิภาพ เช่น โปรโตคอลการตรวจสอบสิทธิ์ การเข้ารหัสข้อมูล และมาตรการอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยเหล่านี้มักรวมอยู่ในชั้นของตัว API และให้การปกป้องที่มีประสิทธิภาพสำหรับทั้งธนาคารและลูกค้า
ความสามารถในการขยาย: API ได้รับการออกแบบให้รองรับความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าธุรกิจดังกล่าวจะเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ API ก็สามารถรองรับการดำเนินงานที่หลากหลายโดยไม่ต้องปรับปรุงระบบใหม่ทั้งหมด ความสามารถในการขยายขอบเขตนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อธุรกิจที่กำลังเติบโต
การบำรุงรักษาที่ง่ายขึ้น: สถาปัตยกรรม API แบบแยกส่วนช่วยให้นักพัฒนาอัปเดตหรือแทนที่องค์ประกอบแต่ละส่วนได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวม ฟังก์ชันนี้ช่วยให้คุณบำรุงรักษาและปรับปรุงบริการได้ง่ายขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า
ความสามารถในการทำงานร่วมกัน: การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้ระบบและบริการต่างๆ ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น สถาบันการเงินสามารถโต้ตอบกับบริการของบริษัทอื่นได้อย่างง่ายดาย และในทางกลับกัน บริษัทอื่นก็สามารถโต้ตอบกับบริการของสถาบันการเงินได้ง่ายๆ เช่นกัน เพื่อนำเสนอฟังก์ชันที่หลากหลายยิ่งขึ้น ความสามารถในการทำงานร่วมกันนี้ครอบคลุมมากกว่าแค่ภาคธุรกิจการเงิน แต่ขยายไปถึงธุรกิจค้าปลีก การดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรมอื่นๆ
การวิเคราะห์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์: API มักมาพร้อมกับฟีเจอร์การวิเคราะห์ในตัว ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ติดตามธุรกรรม รูปแบบการใช้งาน และประสิทธิภาพของระบบได้ ข้อมูลวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปดำเนินการได้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการปรับปรุงการดำเนินงาน
โอกาสในการสร้างรายรับ: การธนาคารที่ใช้ API เปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายรับ สถาบันการเงินสามารถสร้างรายได้จาก API ของตนได้ (เช่น ผ่านรูปแบบการจ่ายตามการใช้งานหรือรูปแบบการชำระเงินตามรอบบิล) ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์จากบริษัทอื่นสามารถเสนอบริการที่เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าของตนได้
ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น: การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้เกิดการโต้ตอบที่ราบรื่นและสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า โดยสามารถเร่งการประมวลผลการชำระเงินหรือทำให้เครื่องมือการจัดการทางการเงินใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ประโยชน์เช่นนี้ช่วยยกระดับประสบการณ์โดยรวมของลูกค้าได้
ประโยชน์ที่สำคัญเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้การธนาคารที่ใช้ API มีแรงผลักที่พลิกโฉมบริการทางการเงิน
แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นสำหรับการธนาคารที่ใช้ API
การธนาคารที่ใช้ API กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีแนวโน้มและระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงภาคส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้คือแนวโน้มสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น
การชำระเงินแบบทันที
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นและระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ กำลังผลักดันให้การชำระเงินเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาทีแทนที่จะเป็นนาทีหรือชั่วโมง หลายประเทศกำลังพัฒนาเครือข่ายการชำระเงินทันทีของตนเอง เช่น Unified Payments Interface (UPI) ในอินเดียและ Pix ในบราซิล
เขตอำนาจศาลบางแห่งได้กำหนดเวลาการชำระเงินให้สั้นลง ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปนำระเบียบข้อบังคับมาใช้ในปี 2024 ซึ่งกำหนดให้การโอนเงินผ่านธนาคารทันทีแบบ SEPA ต้องมาถึงภายใน 10 วินาที
การเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขึ้น
นอกเหนือจากยอดคงเหลือในบัญชีและการชำระเงินแล้ว API ยังถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดยิ่งขึ้น เช่น การลงทุน การประกันภัย การจำนอง และเงินบำนาญ ซึ่งช่วยให้มองเห็นภาพรวมทางการเงินของลูกค้าได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น จึงทำให้ผลิตภัณฑ์และการประเมินความเสี่ยงมีความเฉพาะตัวมากขึ้น
ระบบอัตโนมัติและ AI
ด้วยข้อมูลธุรกรรมจำนวนมากที่ไหลผ่าน API จึงมีโอกาส (และความจำเป็น) มากขึ้นในการใช้ระบบอัตโนมัติสำหรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด การตรวจจับการฉ้อโกง และการตรวจสอบความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ ธุรกิจต่างๆ กำลังใช้ AI เพื่อตั้งค่าสถานะพฤติกรรมที่ผิดปกติ ยืนยันตัวตน และตรวจสอบธุรกรรม
แซนด์บ็อกซ์สำหรับระเบียบข้อบังคับ
เพื่อส่งเสริมการปรับปรุงไปพร้อมกับการจัดการความเสี่ยง หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งจึงเสนอสภาพแวดล้อมการทดสอบ (เช่นแซนด์บ็อกซ์) สำหรับการธนาคารที่ใช้ API ซึ่ง บริษัทต่างๆ สามารถทดลองบริการใหม่ภายใต้การดูแลแบบผ่อนปรน ซึ่งช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถสำรวจบริการใหม่ๆ ที่ใช้ API ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การกำกับดูแล
Stripe Connect จะช่วยได้อย่างไร
Stripe Connect จะจัดการในการรับส่งเงินระหว่างหลายฝ่ายสำหรับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์และมาร์เก็ตเพลส โดยมีกระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่รวดเร็ว มีองค์ประกอบแบบผสานรวม มีการเบิกจ่ายทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย
Connect สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- เปิดตัวได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ใช้ฟังก์ชันที่จัดการอัตโนมัติโดย Stripe หรือแบบผสานรวมเพื่อเริ่มให้บริการได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าหรือเสียเวลาไปกับการพัฒนาระบบที่มักต้องใช้สำหรับการให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงิน
- จัดการการชำระเงินจำนวนมาก: ใช้เครื่องมือและบริการจาก Stripe แล้วไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรเพิ่มเติมไปกับการรายงานส่วนต่างกำไร แบบฟอร์มภาษี ความเสี่ยง วิธีการชำระเงินทั่วโลก หรือการปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน
- ขยายธุรกิจไปทั่วโลก: ช่วยให้ผู้ใช้ของคุณเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้มากขึ้นด้วยวิธีการชำระเงินในท้องถิ่นและความสามารถในการคำนวณภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST ได้อย่างง่ายดาย
- สร้างช่องทางรายรับใหม่ๆ: เพิ่มรายรับจากการชำระเงินโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในแต่ละธุรกรรม
สร้างรายได้จากความสามารถของ Stripe โดยเปิดใช้การชำระเงินที่หน้าร้าน การเบิกจ่ายทันที การเก็บภาษีการขาย การจัดหาเงินทุน บัตรชำระค่าใช้จ่าย และอื่นๆ บนแพลตฟอร์มของคุณ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Connect หรือเริ่มใช้งานวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ