ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการธนาคารที่ใช้ API: วิธีที่ API ช่วยมอบบริการทางการเงินและบริการธนาคารที่ผสานรวมในตัว

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก อาทิ Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. API คืออะไร
  3. การธนาคารที่ใช้ APIคืออะไร
  4. การธนาคารที่ใช้ API ทำงานอย่างไร
  5. กรณีการใช้งานและการประยุกต์ใช้การธนาคารที่ใช้ API
    1. การชำระเงินแบบผสานรวมในตัว
    2. BaaS
  6. ประโยชน์ของการธนาคารที่ใช้ API
  7. แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นสำหรับการธนาคารที่ใช้ API
    1. การชำระเงินแบบทันที
    2. การเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขึ้น
    3. ระบบอัตโนมัติและ AI
    4. แซนด์บ็อกซ์สำหรับระเบียบข้อบังคับ
  8. Stripe Connect จะช่วยได้อย่างไร

อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) สำหรับการธนาคารเป็นส่วนสำคัญของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีที่ลูกค้าและธุรกิจจัดการกับเงิน เทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน (เช่น บริการธนาคารออนไลน์) และประเภทของสถาบันที่สามารถให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้

ด้านล่างนี้ เราจะสำรวจว่าการธนาคารที่ใช้ API คืออะไร ทำงานอย่างไร มีการใช้งานอย่างไร และมีประโยชน์อะไรบ้างต่อธุรกิจ

เนื้อหาหลักในบทความ

  • API คืออะไร
  • การธนาคารที่ใช้ API คืออะไร
  • การธนาคารที่ใช้ API ทำงานอย่างไร
  • กรณีการใช้งานและการประยุกต์ใช้การธนาคารที่ใช้ API
  • ประโยชน์ของการธนาคารที่ใช้ API
  • แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นสำหรับการธนาคารที่ใช้ API
  • Stripe Connect จะช่วยได้อย่างไร

API คืออะไร

API เป็นโปรโตคอลการสื่อสาร หรือกล่าวได้ว่าเป็นชุดกฎและเครื่องมือที่ช่วยให้ส่วนประกอบซอฟต์แวร์ต่างๆ สามารถสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้ โปรโตคอลเหล่านี้กำหนดวิธีการและโครงสร้างข้อมูลที่นักพัฒนาสามารถใช้เพื่อสื่อสารกับส่วนประกอบซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ ไลบรารี หรือบริการอื่นๆ

การธนาคารที่ใช้ APIคืออะไร

การธนาคารที่ใช้ API คือการใช้ API เพื่อให้แอปพลิเคชันภายนอกที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงบริการธนาคารและข้อมูลทางการเงิน นักพัฒนาภายนอก (หรือธนาคารอื่นๆ) สามารถใช้ฟังก์ชันการธนาคาร เช่น การชำระเงิน การยืนยันตัวตน และการแชร์ข้อมูลผ่าน API ที่กำหนดไว้อย่างเหมาะสม

เมื่อใช้การธนาคารที่ใช้ API สถาบันการเงินจะสามารถสร้างระบบที่ทำงานร่วมกันได้ซึ่งสื่อสารกับแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันภายนอกได้โดยตรง แทนที่จะใช้ระบบปิดที่ใช้เทคโนโลยีเฉพาะของตนเอง การออกแบบในลักษณะนี้ช่วยให้สามารถพัฒนา ทดสอบ และนำบริการทางการเงินเฉพาะทางไปใช้จริงได้อย่างรวดเร็ว

การธนาคารที่ใช้ API ทำงานอย่างไร

การธนาคารที่ใช้ API ใช้สถาปัตยกรรมแบบหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีฟังก์ชันที่ต่างกัน และทุกชั้นจะโต้ตอบกันผ่าน API ที่กำหนดไว้อย่างเหมาะสม ฟังก์ชันหลักที่ธนาคารให้บริการ (เช่น การจัดการบัญชี การชำระเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล) จะได้รับการจัดโครงสร้างและเปิดให้ใช้ผ่าน API เพื่อให้บุคคลภายนอกนำไปใช้งาน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ธนาคารเปิดโอกาสให้ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้และทำให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับบุคคลภายนอก

เริ่มตั้งแต่ชั้นบริการหลัก ฟังก์ชันการธนาคารแต่ละรายการ ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน, การยืนยันตามข้อกำหนด Know Your Customer (KYC) หรือประวัติธุรกรรม ก็จะถูกรวมไว้ในโมดูลที่แตกต่างกันโดยมี API เป็นของตัวเอง API เหล่านี้ทำงานตามโปรโตคอลเฉพาะและใช้รูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน เช่น JSON และ XML ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่นักพัฒนาจากภายนอกใช้ในการโต้ตอบกับบริการของธนาคาร

เกตเวย์ API จะตรวจสอบสิทธิ์และกำหนดเส้นทาง API ที่เข้ามาจากบริการภายนอก โดยทำหน้าที่เป็นชั้นที่ปกป้องบริการหลัก เมื่อแอปพลิเคชันของบริษัทอื่นต้องการเริ่มต้นการชำระเงินหรือเข้าถึงข้อมูลบัญชี แอปจะส่งคำขอไปยังเกตเวย์ API เกตเวย์จะระบุคำขอขาเข้า ทำการตรวจสอบความปลอดภัยที่จำเป็น เช่น การตรวจสอบโทเค็นและการตรวจสอบสิทธิ์ OAuth และกำหนดเส้นทางคำขอไปยังโมดูลบริการที่เหมาะสม

ระบบที่แยกส่วนนี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านการเงินที่รวดเร็วและตรงจุดมากขึ้น นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟังก์ชันการธนาคารที่เจาะจงได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องโต้ตอบหรือทำความเข้าใจระบบทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทคสามารถสร้างบริการชำระเงินเฉพาะทางโดยใช้เพียง API การชำระเงิน โดยที่ไม่ต้องผสานการทำงานกับบริการธนาคารอื่นๆ

การตั้งค่าแบบหลายชั้นนี้ช่วยให้ธุรกิจอัปเดตหรือแทนที่แต่ละส่วนแยกกันได้ ซึ่งช่วยลดภาระในการบำรุงรักษาและมอบความยืดหยุ่น นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังสามารถใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับเกตเวย์ API เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ป้องกันการเข้าถึงระบบบริการธนาคารหลักที่สำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือเป็นอันตราย ชั้นการตรวจสอบและการวิเคราะห์มักจะพัฒนาขึ้นโดยอาศัย API เหล่านี้เป็นพื้นฐาน และจะติดตามการใช้งาน ความหน่วง และเมตริกประสิทธิภาพอื่นๆ ของ API ข้อมูลวิเคราะห์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจทราบแนวโน้ม คาดการณ์ปัญหาคอขวด และรักษาประสิทธิภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

กรณีการใช้งานและการประยุกต์ใช้การธนาคารที่ใช้ API

การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้เกิดระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวและการให้บริการธนาคาร (BaaS) การประยุกต์ใช้เหล่านี้แสดงถึงลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปของบริการทางการเงิน โดยช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง อีกทั้งยังทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดการประยุกต์ใช้ทั้ง 2 รูปแบบเหล่านี้

การชำระเงินแบบผสานรวมในตัว

ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวเป็นผลมาจากการผสานรวมการประมวลผลการชำระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันของบริษัทอื่นโดยตรง ซึ่งช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้าออกจากแอปเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์

  • เกตเวย์การชำระเงินและ API: โดยปกติแล้ว API จากผู้ประมวลผลการชำระเงินจะทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัว โดยจะประมวลผลธุรกรรมประเภทต่างๆ เช่น การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต การชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล และการโอนเงินต่างชาติ นักพัฒนาใช้ API เหล่านี้เพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันกับเครือข่ายการชำระเงิน

  • การประมวลผลแบบเรียลไทม์: ความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมแบบเรียลไทม์คือสิ่งที่ทำให้ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวโดดเด่น ทันทีที่ลูกค้าเริ่มการชำระเงิน การเรียกใช้ API จะเปิดใช้งานเพื่อประมวลผลธุรกรรม ตรวจสอบข้อมูลประจำตัวของลูกค้า และอัปเดตยอดคงเหลือในบัญชีธนาคาร ซึ่งมักเกิดขึ้นภายในไม่กี่มิลลิวินาที

  • กรณีการใช้งาน: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นตัวอย่างที่ดีของระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัว ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้เว็บไซต์อื่น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนที่จำเป็นและเร่งกระบวนการซื้อ ในบริการการชำระเงินตามรอบบิล ระบบชำระเงินที่ผสานรวมในตัวช่วยให้เกิดการต่ออายุบริการอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้าดำเนินการใดๆ

BaaS

BaaS เป็นกระบวนการครบวงจรที่ช่วยให้บุคคลภายนอกเข้าถึงและใช้ฟังก์ชันหลักด้านการธนาคารผ่าน API ได้ ผู้ให้บริการ BaaS มักจะเป็นธนาคารที่นำเสนอชุด API เพื่อให้แพลตฟอร์มของบริษัทอื่นเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีแบรนด์ของตนเองได้

  • ฟังก์ชัน: ในกรณีของ BaaS ฟังก์ชันการทำงานมีตั้งแต่บริการง่ายๆ (เช่น การตรวจสอบยอดคงเหลือในบัญชี ประวัติการทำธุรกรรม) ไปจนถึงบริการที่มีความเฉพาะทางยิ่งขึ้น เช่น การให้คะแนนเครดิต กระบวนการออกสินเชื่อ และการยืนยันตัวตน

  • API และบุคคลภายนอก: ใน BaaS ชุด API ที่มีอยู่นั้นครอบคลุม จึงทำให้แพลตฟอร์มของบุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน เริ่มต้นธุรกรรม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ได้ สถาบันการเงิน สตาร์ทอัพฟินเทค และแม้แต่องค์กรที่ไม่ใช่สถาบันการเงินก็สามารถใช้ API เหล่านี้เพื่อสร้างแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น เครื่องมือจัดการการเงินส่วนบุคคลและแพลตฟอร์มสินเชื่อเฉพาะทาง

  • กรณีการใช้งาน: ตัวอย่างหนึ่งของ BaaS คือธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินแก่ลูกค้า BaaS ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมีตัวเลือกต่างๆ เช่น บัตรเครดิตที่มีแบรนด์และโปรแกรมสะสมคะแนนโดยไม่จำเป็นต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินตั้งแต่เริ่มต้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือสตาร์ทอัพฟินเทคที่นำเสนอแพลตฟอร์มการลงทุนเฉพาะทาง เมื่อใช้ API ที่ BaaS มีให้ สตาร์ทอัพฟินเทคก็จะสามารถเข้าถึงฟังก์ชันการธนาคารเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนได้

ประโยชน์ของการธนาคารที่ใช้ API

การธนาคารที่ใช้ API ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีทางการเงินสมัยใหม่ ในขณะที่บริการนี้ยังคงกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์สำคัญหลายประการก็ปรากฏขึ้น ต่อไปนี้คือข้อดีบางส่วน

  • การพัฒนาและการปรับใช้อย่างรวดเร็ว: การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้ลดระยะเวลาของวงจรการพัฒนา เมื่อใช้ชุดฟังก์ชันที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าผ่าน API นักพัฒนาจะสามารถเชื่อมต่อกับบริการธนาคารได้ทันที วงจรการพัฒนาที่รวดเร็วนี้ช่วยเร่งระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด และช่วยให้การอัปเดตผลิตภัณฑ์เดิมได้เร็วขึ้น

  • ความยืดหยุ่นและการแยกส่วน: API ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเลือกฟังก์ชันการทำงานแยกกันและรวมไว้ในแอปพลิเคชันต่างๆ สถาบันการเงินและนักพัฒนาจากภายนอกสามารถเลือกใช้บริการที่ต้องการให้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทางการเงินของตนได้

  • ชั้นความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง: สถาปัตยกรรมการธนาคารที่ใช้ API มักจะมีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยอันทรงประสิทธิภาพ เช่น โปรโตคอลการตรวจสอบสิทธิ์ การเข้ารหัสข้อมูล และมาตรการอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยเหล่านี้มักรวมอยู่ในชั้นของตัว API และให้การปกป้องที่มีประสิทธิภาพสำหรับทั้งธนาคารและลูกค้า

  • ความสามารถในการขยาย: API ได้รับการออกแบบให้รองรับความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าธุรกิจดังกล่าวจะเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ API ก็สามารถรองรับการดำเนินงานที่หลากหลายโดยไม่ต้องปรับปรุงระบบใหม่ทั้งหมด ความสามารถในการขยายขอบเขตนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อธุรกิจที่กำลังเติบโต

  • การบำรุงรักษาที่ง่ายขึ้น: สถาปัตยกรรม API แบบแยกส่วนช่วยให้นักพัฒนาอัปเดตหรือแทนที่องค์ประกอบแต่ละส่วนได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวม ฟังก์ชันนี้ช่วยให้คุณบำรุงรักษาและปรับปรุงบริการได้ง่ายขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า

  • ความสามารถในการทำงานร่วมกัน: การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้ระบบและบริการต่างๆ ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น สถาบันการเงินสามารถโต้ตอบกับบริการของบริษัทอื่นได้อย่างง่ายดาย และในทางกลับกัน บริษัทอื่นก็สามารถโต้ตอบกับบริการของสถาบันการเงินได้ง่ายๆ เช่นกัน เพื่อนำเสนอฟังก์ชันที่หลากหลายยิ่งขึ้น ความสามารถในการทำงานร่วมกันนี้ครอบคลุมมากกว่าแค่ภาคธุรกิจการเงิน แต่ขยายไปถึงธุรกิจค้าปลีก การดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรมอื่นๆ

  • การวิเคราะห์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์: API มักมาพร้อมกับฟีเจอร์การวิเคราะห์ในตัว ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ติดตามธุรกรรม รูปแบบการใช้งาน และประสิทธิภาพของระบบได้ ข้อมูลวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปดำเนินการได้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการปรับปรุงการดำเนินงาน

  • โอกาสในการสร้างรายรับ: การธนาคารที่ใช้ API เปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายรับ สถาบันการเงินสามารถสร้างรายได้จาก API ของตนได้ (เช่น ผ่านรูปแบบการจ่ายตามการใช้งานหรือรูปแบบการชำระเงินตามรอบบิล) ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์จากบริษัทอื่นสามารถเสนอบริการที่เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าของตนได้

  • ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น: การธนาคารที่ใช้ API ช่วยให้เกิดการโต้ตอบที่ราบรื่นและสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า โดยสามารถเร่งการประมวลผลการชำระเงินหรือทำให้เครื่องมือการจัดการทางการเงินใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ประโยชน์เช่นนี้ช่วยยกระดับประสบการณ์โดยรวมของลูกค้าได้

ประโยชน์ที่สำคัญเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้การธนาคารที่ใช้ API มีแรงผลักที่พลิกโฉมบริการทางการเงิน

แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นสำหรับการธนาคารที่ใช้ API

การธนาคารที่ใช้ API กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีแนวโน้มและระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงภาคส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้คือแนวโน้มสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น

การชำระเงินแบบทันที

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นและระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ กำลังผลักดันให้การชำระเงินเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาทีแทนที่จะเป็นนาทีหรือชั่วโมง หลายประเทศกำลังพัฒนาเครือข่ายการชำระเงินทันทีของตนเอง เช่น Unified Payments Interface (UPI) ในอินเดียและ Pix ในบราซิล

เขตอำนาจศาลบางแห่งได้กำหนดเวลาการชำระเงินให้สั้นลง ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปนำระเบียบข้อบังคับมาใช้ในปี 2024 ซึ่งกำหนดให้การโอนเงินผ่านธนาคารทันทีแบบ SEPA ต้องมาถึงภายใน 10 วินาที

การเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขึ้น

นอกเหนือจากยอดคงเหลือในบัญชีและการชำระเงินแล้ว API ยังถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดยิ่งขึ้น เช่น การลงทุน การประกันภัย การจำนอง และเงินบำนาญ ซึ่งช่วยให้มองเห็นภาพรวมทางการเงินของลูกค้าได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น จึงทำให้ผลิตภัณฑ์และการประเมินความเสี่ยงมีความเฉพาะตัวมากขึ้น

ระบบอัตโนมัติและ AI

ด้วยข้อมูลธุรกรรมจำนวนมากที่ไหลผ่าน API จึงมีโอกาส (และความจำเป็น) มากขึ้นในการใช้ระบบอัตโนมัติสำหรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด การตรวจจับการฉ้อโกง และการตรวจสอบความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ ธุรกิจต่างๆ กำลังใช้ AI เพื่อตั้งค่าสถานะพฤติกรรมที่ผิดปกติ ยืนยันตัวตน และตรวจสอบธุรกรรม

แซนด์บ็อกซ์สำหรับระเบียบข้อบังคับ

เพื่อส่งเสริมการปรับปรุงไปพร้อมกับการจัดการความเสี่ยง หน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งจึงเสนอสภาพแวดล้อมการทดสอบ (เช่นแซนด์บ็อกซ์) สำหรับการธนาคารที่ใช้ API ซึ่ง บริษัทต่างๆ สามารถทดลองบริการใหม่ภายใต้การดูแลแบบผ่อนปรน ซึ่งช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถสำรวจบริการใหม่ๆ ที่ใช้ API ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การกำกับดูแล

Stripe Connect จะช่วยได้อย่างไร

Stripe Connect จะจัดการในการรับส่งเงินระหว่างหลายฝ่ายสำหรับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์และมาร์เก็ตเพลส โดยมีกระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่รวดเร็ว มีองค์ประกอบแบบผสานรวม มีการเบิกจ่ายทั่วโลก และอื่นๆ อีกมากมาย

Connect สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้

  • เปิดตัวได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ใช้ฟังก์ชันที่จัดการอัตโนมัติโดย Stripe หรือแบบผสานรวมเพื่อเริ่มให้บริการได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าหรือเสียเวลาไปกับการพัฒนาระบบที่มักต้องใช้สำหรับการให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงิน
  • จัดการการชำระเงินจำนวนมาก: ใช้เครื่องมือและบริการจาก Stripe แล้วไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรเพิ่มเติมไปกับการรายงานส่วนต่างกำไร แบบฟอร์มภาษี ความเสี่ยง วิธีการชำระเงินทั่วโลก หรือการปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน
  • ขยายธุรกิจไปทั่วโลก: ช่วยให้ผู้ใช้ของคุณเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้มากขึ้นด้วยวิธีการชำระเงินในท้องถิ่นและความสามารถในการคำนวณภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST ได้อย่างง่ายดาย
  • สร้างช่องทางรายรับใหม่ๆ: เพิ่มรายรับจากการชำระเงินโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในแต่ละธุรกรรม

สร้างรายได้จากความสามารถของ Stripe โดยเปิดใช้การชำระเงินที่หน้าร้าน การเบิกจ่ายทันที การเก็บภาษีการขาย การจัดหาเงินทุน บัตรชำระค่าใช้จ่าย และอื่นๆ บนแพลตฟอร์มของคุณ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Connect หรือเริ่มใช้งานวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย