การมีบัตรเครดิตบันทึกในระบบคือแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่เก็บข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าไว้ในระบบการชําระเงินของธุรกิจ โดยปกติแล้วข้อมูลนี้มักจะประกอบด้วยหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และชื่อผู้ถือบัตร การดำเนินงานในลักษณะนี้ช่วยให้ทําธุรกรรมได้รวดเร็วและง่ายขึ้น ในกรณีการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า เช่น บริการสมาชิก หรือการซื้อตามปกติ ธุรกิจสามารถเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิตที่บันทึกไว้โดยไม่ต้องให้ลูกค้าป้อนข้อมูลทุกครั้ง
การชำระเงินประเภทนี้มีตลาดขนาดใหญ่รองรับอยู่ โดยชาวอเมริกันมีการสมัครใช้บริการแบบชําระเงินกับแพลตฟอร์มด้านสื่อและความบันเทิงโดยเฉลี่ย 12 บริการต่อคนในปี 2020 ซึ่งคนรุ่นมิลเลนเนียลโดยเฉลี่ยมีการสมัครใช้ 17 บริการต่อคน
แต่การจัดเก็บบัตรของลูกค้าต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ธุรกิจที่ต้องการปลูกฝังประสบการณ์ลูกค้าที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุดจะต้องเข้าใจว่าบัตรในระบบทํางานอย่างไร ตลอดจนความเสี่ยงและความท้าทายในการจัดเก็บและการใช้วิธีการชําระเงิน ธุรกิจมีหน้าที่ต้องปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนนี้จากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล โดยต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การใช้งานโดยทั่วไปของบัตรเครดิตในระบบ
- บัตรเครดิตในระบบทํางานอย่างไร
- การมีบัตรเครดิตในระบบกับการแปลงเป็นโทเค็นแตกต่างกันอย่างไร
- ข้อดีข้อเสียของการเก็บรักษาบัตรเครดิตไว้ในระบบ
- ทางเลือกอื่นสำหรับธุรกิจนอกเหนือจากการเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบ
การใช้งานโดยทั่วไปของบัตรเครดิตที่บันทึกในระบบ
การเก็บบัตรของลูกค้าไว้ในระบบได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เดิมทีธุรกิจต่างๆ จะเขียนรายละเอียดบัตรของลูกค้าเอาไว้ซึ่งช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการด้วยบัญชีของตัวเองได้ วิธีนี้สะดวกสําหรับลูกค้าประจำซึ่งมักใช้กับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่โดยอาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นและธุรกรรมมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงมีการเปลี่ยนมาใช้โซลูชันดิจิทัล ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ ใช้ระบบเข้ารหัสเพื่อจัดเก็บข้อมูลบัตรของลูกค้า ทําให้ธุรกรรมรวดเร็วขึ้นและมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงน้อยลง การเปลี่ยนแปลงนี้ทําให้ธุรกิจสมัยใหม่จัดการการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าได้ง่ายขึ้น และทำให้ลูกค้าทำการซื้อได้อย่างไม่ยุ่งยาก ต่อไปนี้คือธุรกิจบางประเภทที่ใช้บัตรที่บันทึกไว้ในระบบ
บริการสมาชิก: ธุรกิจหลายแห่งให้บริการที่ต้องมีการชําระเงินเป็นประจํา เช่น การสมาชิกรายเดือนสําหรับซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มสตรีมมิง หรือคลับสมาชิก การมีบัตรเครดิตบันทึกไว้ในระบบช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้เรียกเก็บเงินจากบัตรของลูกค้าได้อัตโนมัติในแต่ละรอบการเรียกเก็บเงิน การดำเนินงานลักษณะนี้ช่วยลดความจําเป็นในการชําระเงินเองในแต่ละครั้ง ทําให้บริการดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสะดุด
ธุรกิจอื่นๆ ที่มีคําสั่งซื้อแบบตามแบบแผน: เช่นเดียวกับบริการสมาชิก บางธุรกิจโดยเฉพาะในภาคธุรกิจอาหารและค้าปลีกก็ใช้บัตรเครดิตแบบบันทึกในระบบกับคําสั่งซื้อตามแบบแผน ลูกค้าที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์เดียวกันเป็นประจําจะได้ประโยชน์จากระบบนี้ เพราะจะช่วยประหยัดเวลาและแรงงานด้วยการสั่งซื้อใหม่และการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ
ธุรกิจบริการและให้เช่า: โรงแรมและบริษัทให้เช่ารถยนต์มักจะเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามแต่กรณี ลูกค้ายื่นบัตรเครดิตให้ในตอนเช็คอินเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เช่น บริการรูมเซอร์วิส หรือค่าความเสียหายของยานพาหนะ ซึ่งจะทําให้ประสบการณ์การชําระเงินง่ายขึ้น
ผู้ให้บริการสาธารณูปโภคและผู้ให้บริการอื่นๆ: บริษัทสาธารณูปโภคและผู้ให้บริการจํานวนมากสนับสนุนให้ลูกค้าเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบเพื่อเรียกเก็บเงินรายเดือน เช่น ค่าไฟฟ้า น้ำประปา หรือบริการอินเทอร์เน็ต วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจว่าลูกค้าจะชำระตามใบเรียกเก็บเงินตรงเวลาและลดความเสี่ยงที่บริการจะสะดุดเนื่องจากไม่ได้ชําระเงินตามใบเรียกเก็บ
บริการด้านการดูแลสุขภาพ: สำหรับการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาต่อเนื่องของบุคคล การมีบัตรเครดิตบันทึกไว้ในระบบช่วยอํานวยความสะดวกในขั้นตอนการชําระเงิน โดยทำให้การเรียกเก็บเงินสำหรับการนัดหมายหรือการรักษาเป็นประจําทำได้รวดเร็วโดยไม่ต้องจัดการการชําระเงินทุกครั้ง
ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซ: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมักจัดเก็บรายละเอียดบัตรเครดิตของลูกค้าไว้เพื่อความสะดวกในการการชําระเงินที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งลูกค้ามักจะพึงพอใจกับความสะดวกแบบนี้ในกรณีที่การทําธุรกรรมให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วสำคัญเป็นอันดับแรก เช่น ในช่วงแฟลชเซลหรือการซื้อสินค้ายอดนิยมที่ของอาจจะหมดเร็ว
บริการฉุกเฉิน: บริการบางอย่าง เช่น ความช่วยเหลือบนท้องถนนหรือบริการซ่อมแซมฉุกเฉิน บันทึกบัตรเครดิตไว้ในระบบเพื่อเร่งกระบวนการจัดส่งความช่วยเหลือโดยไม่ต้องกังวลว่าต้องจ่ายเงินไปก่อน วิธีนี้มีประโยชน์ในสถานการณ์ที่การรับบริการทันทีสําคัญกว่าการชําระเงินทันที
บัตรเครดิตที่บันทึกไว้ในระบบทำงานอย่างไร
นี่คือภาพรวมของขั้นตอนดังกล่าว:
การเริ่มใช้งานครั้งแรก: ขั้นแรกลูกค้าให้รายละเอียดบัตรเครดิตของตนกับธุรกิจ กรณีนี้มักเกิดขึ้นระหว่างการซื้อหรือเมื่อลงชื่อสมัครใช้บริการ ข้อมูลบัตรของลูกค้า ซึ่งรวมถึงหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสยืนยันบัตร (CVV)จะถูกกรอกเข้าไปในระบบการชําระเงินของธุรกิจ
การจัดเก็บข้อมูล: เมื่อลูกค้าได้ให้รายละเอียดแล้ว ธุรกิจจะเก็บข้อมูลนี้ไว้ในระบบการประมวลผลการชําระเงินของตน การจัดเก็บข้อมูลนี้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อปกป้องข้อมูลจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ข้อมูลมักจะเข้ารหัสหรือแปลงเป็นโทเค็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
การอนุมัติให้ใช้ในอนาคต: ลูกค้ามักจะตกลงให้ธุรกิจเรียกเก็บเงินค่าธุรกรรมในอนาคตจากบัตรของตน ข้อตกลงนี้มักจะอยู่ในข้อกําหนดและเงื่อนไขของบริการ และอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการใช้บัตร วัตถุประสงค์การใช้ และวิธีการยกเลิกการอนุมัติโดยลูกค้า
การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ: สําหรับการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า เช่น การชําระเงินตามรอบบิลหรือบริการรายเดือน ธุรกิจจะเรียกเก็บเงินอัตโนมัติจากบัตรเครดิตที่บันทึกไว้ตามช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งขั้นตอนนี้ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องทำการชําระเงินเองในแต่ละครั้ง
เพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกรรม: ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การซื้อสินค้าออนไลน์ การมีบัตรเครดิตบันทึกไว้ในระบบช่วยให้ขั้นตอนการชำระเงินดีขึ้น เนื่องจากลูกค้าสามารถทําการซื้อได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องป้อนรายละเอียดบัตรในแต่ละครั้ง
มาตรการรักษาความปลอดภัย: ธุรกิจต่างๆ จะต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลบัตรเครดิตที่จัดเก็บไว้ ซึ่งรวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) การใช้้เซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัย และตรวจสอบให้มั่นใจว่าเกตเวย์การชําระเงิน ปลอดภัยจากการละเมิด
การอัปเดตรายละเอียดบัตร: หากบัตรหมดอายุหรือมีการเปลี่ยนบัตร ลูกค้าจะต้องอัปเดตรายละเอียดบัตรของตนกับธุรกิจ ธุรกิจบางแห่งอาจส่งการแจ้งเตือนเมื่อบัตรใกล้ถึงวันหมดอายุเพื่อเตือนลูกค้าให้อัปเดตข้อมูลของตน
การควบคุมและการเข้าถึงลูกค้า: โดยทั่วไปลูกค้าจะดูและจัดการข้อมูลบัตรเครดิตของตนในระบบได้ ซึ่งมักจะดําเนินการผ่านพอร์ทัลบัญชีลูกค้า ลูกค้าสามารถอัปเดตรายละเอียดของบัตร ลบบัตรออก หรือเพิ่มบัตรได้ตามต้องการ
การมีบัตรเครดิตบันทึกไว้ในระบบกับการแปลงเป็นโทเค็นแตกต่างกันอย่างไร
การมีบัตรเครดิตบันทึกไว้ในระบบกับการแปลงเป็นโทเค็นเป็นแนวคิด 2 แบบที่ต่างกันในการประมวลผลการชําระเงิน แต่มักนำมาใช้ร่วมกันเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายที่มากขึ้น ต่อไปนี้เป็นคําอธิบายของแต่ละแนวคิดและวิธีการใช้
บัตรในระบบ
เมื่อธุรกิจเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้ในระบบ หมายความว่าธุรกิจบันทึกรายละเอียดบัตรเครดิตของลูกค้า เช่น หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และชื่อผู้ถือบัตรไว้ในระบบการชําระเงิน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเรียกเก็บเงินจากบัตรสําหรับธุรกรรมได้โดยไม่ต้องให้ลูกค้าป้อนรายละเอียดซ้ำ วิธีนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายกับการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าหรือการชําระเงินตามรอบบิล อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลและเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม
การแปลงเป็นโทเค็น
การแปลงเป็นโทเค็นเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ช่วยปกป้องข้อมูลบัตรเครดิต ขั้นตอนนี้จะแทนที่รายละเอียดบัตรเครดิตด้วยรหัสระบุเฉพาะที่เรียกว่าโทเค็น ซึ่งโทเค็นนี้ใช้ทําธุรกรรมได้โดยไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดบัตรเครดิต ข้อมูลบัตรจริงจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยในตู้เก็บโทเค็น ซึ่งมักจะจัดการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่สาม เมื่อมีการประมวลผลธุรกรรม ระบบจะส่งโทเค็นผ่านเครือข่ายการชําระเงินแทนการส่งรายละเอียดบัตรจริง ซึ่งแม้ว่าจะโทเค็นจะถูกดักจับ แต่ข้อมูลบัตรเครดิตจริงจะยังคงปลอดภัย

ข้อดีข้อเสียของการเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบ
การเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบเป็นวิธีปฏิบัติมาตรฐานสําหรับธุรกิจหลายๆ แห่ง แต่ก็อาจมีทั้งประโยชน์และข้อเสีย
ข้อดี
กระแสเงินสดที่ดีขึ้น: การเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบช่วยให้ธุรกิจทำกระบวนการเรียกเก็บเงินและติดตามหนี้ได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับธุรกิจที่ใช้โมเดลรายรับตามแบบแผนล่วงหน้า เช่น บริการสมาชิก การใช้ระบบอัตโนมัติกับขั้นตอนการเรียกเก็บช่วยให้ธุรกิจต่างๆ มีกระแสเงินทุนเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยลดความจําเป็นในการออกใบแจ้งหนี้และการติดตามผลการชําระเงินเอง
เพิ่มความสะดวกสบายของลูกค้า: การเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบช่วยให้ลูกค้าทําธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ความสะดวกสบายนี้ทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าได้ ในสภาพแวดล้อมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ วิธีนี้อาจทําให้ชําระเงินเร็วขึ้นและช่วยเรื่องการลดการละทิ้งรถเข็นได้
ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่ลดลง: การเรียกเก็บเงินอัตโนมัติช่วยลดภาระด้านการดูแลระบบที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชําระเงินที่ใช้คนทำ ทำให้ลดต้นทุนแรงงานและเวลาที่ใช้ในงานธุรการและช่วยให้พนักงานมีเวลาไปทํางานที่มีประโยชน์กว่าได้มากขึ้น
โอกาสในการขายมากขึ้น: เมื่อมีบัตรเครดิตในระบบ ลูกค้าอาจมีแนวโน้มที่จะทําการซื้อแบบไม่วางแผนล่วงหน้าบ่อยขึ้นหรือเลือกใช้บริการอื่นเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าขั้นตอนการชําระเงินทําได้ง่าย วิธีนี้จะเพิ่มมูลค่าธุรกรรมโดยเฉลี่ยและเพิ่มยอดขายได้
ข้อเสีย
ข้อกําหนดด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด: การจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ธุรกิจจะต้องปฏิบัติตาม PCI DSS และมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจต้องลงทุนจำนวนมากกับโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยและมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
ความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล: การเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้าทำให้มีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลเพิ่มขึ้น หากระบบรักษาความปลอดภัยของธุรกิจถูกละเมิด อาจนําไปสู่การสูญเสียทางการเงิน ความเสียหายต่อชื่อเสียง และมีผลทางกฎหมายตามมา ผลกระทบจากการรั่วไหลของข้อมูลอาจรุนแรงเป็นพิเศษสําหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลการชําระเงิน: แม้ว่าการมีบัตรเครดิตในระบบจะช่วยให้การเรียกเก็บเงินง่ายขึ้น แต่ก็มีค่าใช้จ่าย โดยผู้ประมวลผลการชําระเงินมักจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรม ธุรกิจอาจเผชิญกับการดึงเงินคืนหรือการโต้แย้งการเรียกเก็บเงิน ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายและงานธุรการเพิ่มมากขึ้น
การจัดการการอัปเดตข้อมูลบัตร: ธุรกิจต่างๆ จําเป็นต้องติดตามวันหมดอายุและการอัปเดตบัตร ซึ่งอาจซับซ้อนโดยเฉพาะในกรณีที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ การอัปเดตข้อมูลบัตรได้ไม่ทันการณ์อาจทําให้เกิดเหตุการณ์ธุรกรรมที่ถูกปฏิเสธและบริการติดขัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้า
ทางเลือกอื่นสำหรับธุรกิจนอกเหนือจากการเก็บบัตรเครดิตไว้ในระบบ
การเก็บบัตรไว้ในระบบไม่ใช่ตัวเลือกเดียวสําหรับธุรกิจที่ต้องการทําให้ประสบการณ์การชําระเงินของลูกค้าง่ายขึ้น ทางเลือกอื่นๆ ได้แก่ วิธีการชําระเงินและเทคโนโลยีที่หลากหลายซึ่งมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายในระดับต่างๆ ได้แก่
การโอนเงินผ่านธนาคาร (ACH): ธุรกิจสามารถใช้ การโอนอัตโนมัติภายผ่านสํานักหักบัญชีซึ่งลูกค้าชําระเงินจากบัญชีธนาคารของตนเอง วิธีนี้มักจะมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่ำกว่าการประมวลผลบัตรเครดิต และอาจสะดวกสำหรับการชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าแม้ว่าจะใช้เวลาดำเนินการนานกว่า
กระเป๋าเงินดิจิทัล และบริการชําระเงิน: บริการต่างๆ เช่น PayPal, Apple Pay, Google Pay หรือระบบการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ช่วยให้ลูกค้าจัดเก็บข้อมูลการชําระเงินของตัวเองไว้อย่างปลอดภัยและชําระเงินได้โดยไม่ต้องให้รายละเอียดของบัตรเครดิตแก่ธุรกิจ บริการเหล่านี้มักจะมีการเข้ารหัสและขั้นตอนการชําระเงินที่รวดเร็ว
การชําระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี: การรับคริปโตเคอเรนซีช่วยให้ธุรกิจมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมลดลงและมอบตัวเลือกการชําระเงินที่ไม่ผูกกับระบบธนาคารแบบเดิม คริปโตเคอเรนซีให้ความปลอดภัยในระดับสูงได้เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่อาจสะดวกน้อยลงเนื่องจากความผันผวนและต้องใช้เวลาเรียนรู้การใช้งาน
บัญชีจ่ายล่วงหน้า: ธุรกิจต่างๆ สามารถให้ลูกค้าเติมเงินเข้าบัญชีล่วงหน้าได้ โดยระบบจะหักเงินออกในแต่ละครั้งที่ทำการซื้อ วิธีนี้อาจเป็นวิธีการชําระเงินที่ปลอดภัยกว่าเพราะวงเงินที่ใช้ได้มีจำกัด และยังช่วยเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าได้ด้วย
ระบบ POS: ธุรกิจสามารถใช้ระบบบันทึกการขายแบบเคลื่อนที่กับธุรกรรมที่จุดขาย ระบบเหล่านี้สามารถรับการชําระเงินรูปแบบต่างๆ รวมถึงบัตรเครดิตได้โดยไม่ต้องจัดเก็บรายละเอียดของบัตรไว้ในระบบ ฟีเจอร์เหล่านั้นมักมาพร้อมกับฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและได้ความสะดวกจากการยืนยันการชําระเงินทันที
การชําระเงินตามใบแจ้งหนี้: สําหรับธุรกรรมในธุรกิจแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) หรือธุรกิจบริการ ธุรกิจสามารถออกใบแจ้งหนี้ที่มีเงื่อนไขการชําระเงินได้ ลูกค้าสามารถชําระใบแจ้งหนี้เหล่านี้ได้ด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งรวมถึงเช็ค การโอนเงินผ่านธนาคาร หรือพอร์ทัลการชําระเงินออนไลน์โดยที่ธุรกิจไม่ต้องจัดเก็บรายละเอียดการชําระเงิน
ระบบการชําระเงินแบบไบโอเมตริก: ระบบการชําระเงินแบบไบโอเมตริกเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้าเพื่อตรวจสอบสิทธิ์การชําระเงิน วิธีนี้ให้ความปลอดภัยที่รัดกุมและสะดวกสบายในระดับสูงเนื่องจากไม่จําเป็นต้องใช้บัตรตัวจริงหรือรหัสผ่านที่จดจําไว้
การชําระเงินแบบไร้สัมผัส: เทคโนโลยี Tap to Payช่วยให้ลูกค้าชําระเงินได้โดยแตะบัตรชําระเงินหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่กับเครื่องอ่านบัตร วิธีนี้อาจรวดเร็วและปลอดภัยเท่าๆ กับธุรกรรมบัตรเครดิตแบบเดิมโดยที่ธุรกิจไม่ต้องจัดเก็บรายละเอียดใดๆ
เมื่อเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านี้กับวิธีการเก็บบัตรในระบบ คุณควรเข้าใจว่าทางเลือกเหล่านี้มีความปลอดภัยและระดับความสะดวกสบายที่แตกต่างกัน เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัลซึ่งให้ความสะดวกเหมือนกับการมีบัตรเครดิตในระบบ แต่เพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งด้วยการไม่เปิดเผยรายละเอียดของบัตรให้กับธุรกิจ การโอนเงินผ่านธนาคารโดยตรงอาจช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยลักษณะของธุรกรรม แต่อาจสะดวกน้อยกว่าเนื่องจากเวลาในการประมวลผลที่ช้าลง ทางเลือกแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่ธุรกิจต้องประเมินตามความต้องการเฉพาะของตัวเอง ความต้องการของลูกค้า และขีดความสามารถด้านการปฏิบัติงาน
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ