การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง (CNP) คือการฉ้อโกงบัตรเครดิตที่ไม่จําเป็นต้องใช้บัตรใบจริงทําธุรกรรม การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงพบบ่อยที่สุดในการซื้อออนไลน์หรือการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์ การฉ้อโกงประเภทนี้เพิ่มขึ้นตามยอดขายอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้น โดยในปี 2020 การขายปลีกผ่านอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้น 36% ในขณะที่ความสูญเสียจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงก็เพิ่มขึ้น 31% ความแตกต่างที่สําคัญระหว่างการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงกับการฉ้อโกงบัตรเครดิตรูปแบบอื่น ๆ คือไม่มีการใช้บัตรใบจริงในระหว่างการทําธุรกรรม ทําให้การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงเป็นข้อกังวลที่สําคัญสําหรับวงการอีคอมเมิร์ซและการขายจากระยะไกล
ตรงกันข้ามกับการฉ้อโกงแบบดั้งเดิมที่มิจฉาชีพอาจจะขโมยหรือปลอมแปลงบัตรใบจริง มิจฉาชีพที่ทำการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงมักจะได้รับรายละเอียดบัตรเครดิตผ่านวิธีอื่น ซึ่งอาจรวมถึงการละเมิดข้อมูล การฟิชชิ่ง หรือวิธีการอื่นๆ ที่เป็นการหลอกลวง จากนั้นพวกเขาจะใช้รายละเอียดเหล่านี้เพื่อทําการซื้อหรือทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต
การรับมือกับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากการโจมตีเหล่านี้เปลี่ยนไปตลอดเวลา เมื่อเทคโนโลยีการชําระเงินพัฒนาไปเรื่อยๆ มิจฉาชีพเองก็พยายามแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งกดดันให้ธุรกิจต้องสร้างแผนบรรเทาความเสี่ยงที่รัดกุมไปพร้อมๆ กับการอัปเดตเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้ เราจะพิจารณาการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงว่าสิ่งนี้คืออะไร หลักการทํางานของการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ธุรกิจต่างๆ ใช้ต่อสู้กับการฉ้อโกงประเภทนี้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงมีหลักการทํางานอย่างไร
- การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงเทียบกับการฉ้อโกงแบบใช้บัตรจริง
- การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงส่งผลกระทบต่อธุรกิจและลูกค้าอย่างไร
- สัญญาณของการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
- วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
- วิธีรับมือกับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงมีหลักการทํางานอย่างไร
การฉ้อโกงแบบเก่าต้องใช้บัตรเครดิตที่ถูกขโมยหรือคัดลอกปลอมแปลง แต่การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงใช้กลไกดิจิทัลที่ขโมยข้อมูลบัตร การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงนั้นซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การได้มาซึ่งข้อมูลบัตรเครดิตไปจนถึงการทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อไปนี้คือรายละเอียดการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การได้มาซึ่งข้อมูลบัตรเครดิต
การละเมิดข้อมูล: มิจฉาชีพจะได้รับข้อมูลบัตรเครดิตผ่านการละเมิดข้อมูลภายในองค์กรธุรกิจ เช่น อาจมีการแฮ็กฐานข้อมูลเพื่อขโมยหมายเลขบัตรเครดิต วันหมดอายุ และรหัสความปลอดภัย
การโจมตีแบบฟิชชิ่ง: อีกวิธีที่พบบ่อยคือการฟิชชิ่ง ซึ่งมิจฉาชีพจะหลอกให้บุคคลทั่วไปส่งข้อมูลของพวกเขามาให้ โดยอาจใช้อีเมลหรือเว็บไซต์ปลอมที่ออกแบบมาเพื่อดูเหมือนธุรกิจที่ดําเนินการถูกต้อง
อุปกรณ์แอบบันทึกข้อมูล: ส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์แอบบันทึกข้อมูลมักจะถูกนำไปใช้ในการฉ้อโกงโดยบัตรใบจริง แต่ก็สามารถบันทึกรายละเอียดของบัตร แล้วถูกนำไปใช้ในการทําธุรกรรมแบบไม่ใช้บัตรจริงได้เช่นกัน
การซื้อข้อมูลที่ขโมย: มิจฉาชีพสามารถซื้อข้อมูลบัตรเครดิตจากเว็บมืดหรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ผิดกฎหมายซึ่งมีการขายข้อมูลดังกล่าวได้เช่นกัน
การยืนยันรายละเอียดที่ขโมยมา
ธุรกรรมขนาดเล็ก: เพื่อยืนยันว่าข้อมูลที่ถูกขโมยมาถูกต้องและบัญชียังมีการใช้งาน มิจฉาชีพจะทําธุรกรรมขนาดเล็ก (บางครั้งเรียกว่าการเรียกเก็บเงินจํานวนเล็กน้อย) ซึ่งมักจะมีมูลค่าเล็กน้อยจนเจ้าของบัตรไม่สังเกต
บริการยืนยันตัวตนออนไลน์: มิจฉาชีพบางรายอาจใช้บริการออนไลน์เพื่อยืนยันความถูกต้องของรายละเอียดบัตรโดยไม่ทําธุรกรรม
การทําธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
การช็อปปิ้งออนไลน์: เมื่อได้รับรายละเอียดของบัตรที่ถูกต้องแล้ว มิจฉาชีพจะซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ โดยมักจะกำหนดเป้าหมายไปยังสินค้าหรือบริการดิจิทัลที่จัดส่งได้อย่างรวดเร็ว
การซื้อหรือธุรกรรมขนาดใหญ่ขึ้น: หากธุรกรรมขนาดเล็กเกิดขึ้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น มิจฉาชีพอาจทำการซื้อที่มียอดซื้อจํานวนมากขึ้นหรือพยายามโอนเงิน
การรับสินค้าหรือบริการ
การจัดส่งไปยังที่อยู่ที่ปลอดภัย: บ่อยครั้งที่มิจฉาชีพจะจัดส่งสินค้าไปยังที่อยู่ซึ่งไม่สามารถติดตามได้ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้
การนำสินค้าไปขายต่อ: มิจฉาชีพจะขายสินค้าที่ซื้อมาโดยการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงเพื่อแลกเป็นเงินสด
การปกปิดเส้นทาง
การปิดธุรกรรมอย่างรวดเร็ว: หลังจากซื้อสินค้าหรือบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว มิจฉาชีพจะปิดเส้นทางธุรกรรมอย่างรวดเร็ว โดยอาจจะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบัญชีหรือทิ้งบัญชีฉ้อโกงไปเลย
การใช้คริปโตเคอเรนซีหรือการชําระเงินแบบไม่ระบุตัวตน: นักต้มตุ๋นอาจใช้คริปโตเคอร์เรนซีหรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ระบุตัวตนของผู้รับในการโอนเงิน
ความท้าทายในการป้องกันและการตรวจจับ
กลยุทธ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: มิจฉาชีพจะอัปเดตวิธีการอยู่เสมอเพื่อเอาชนะมาตรการรักษาความปลอดภัย
เข้าถึงทั่วโลก: การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงดำเนินการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งหมายความว่ามิจฉาชีพโจมตีได้จากทุกที่ สร้างความซับซ้อนในแง่ของเขตอํานาจศาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยกับประสบการณ์ของลูกค้า: ธุรกิจต่างๆ มุ่งมั่นใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการฉ้อโกง แต่ก็ละเอียดพอที่จะไม่ทําให้ลูกค้าตัวจริงเกิดความไม่สะดวก
การตอบสนองและการบรรเทาความเสียหาย
การตรวจสอบและการวิเคราะห์ขั้นสูง: การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีความซับซ้อนมาตรวจสอบธุรกรรมเพื่อหากิจกรรมที่ผิดปกติเป็นวิธีสําคัญในการเพิ่มความปลอดภัย
การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย: การขอการยืนยันเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายละเอียดบัตรจะช่วยป้องกันการโจมตีได้
การให้ความรู้แก่ลูกค้า: การทําให้เจ้าของบัตรทราบถึงความสําคัญของการปกป้องข้อมูลบัตรเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความปลอดภัย
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงมีการพัฒนาอยู่เสมอ โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีที่แยบยลมากขึ้น ดังนั้นทั้งธุรกิจ ผู้ประมวลผลการชําระเงิน และลูกค้าจะต้องระมัดระวัง ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และร่วมมือกัน
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงเทียบกับการฉ้อโกงแบบใช้บัตรจริง
หากต้องการรับมือกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง คุณควรจำแนกการฉ้อโกงแบบไม่ใช้บัตรจริงออกจากการฉ้อโกงแบบใช้บัตรจริง เพราะรูปแบบการฉ้อโกงทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของวิธีการและปัญหาที่ก่อให้เกิดตามมา
ข้อแตกต่างสําคัญในวิธีดำเนินการ
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การเกิดขึ้น: การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงเกิดขึ้นในธุรกรรมที่ไม่ต้องใช้บัตรใบจริง เช่น การซื้อออนไลน์ ธุรกรรมทางโทรศัพท์ และคําสั่งซื้อทางไปรษณีย์
วิธีการ: มิจฉาชีพจะใช้รายละเอียดของบัตรที่ขโมยมาผ่านการละเมิดข้อมูล การฟิชชิ่ง หรือวิธีการอื่นๆ พวกเขาไม่ต้องใช้บัตรจริงในการทําธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง แต่ใช้เพียงหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และบางครั้งก็ต้องใช้หมายเลขยืนยันบัตร (CVV)ร่วมด้วย
การตรวจจับ: การตรวจจับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเพราะมิจฉาชีพไม่จําเป็นต้องแสดงบัตรตัวจริงเพื่อซื้อสินค้า การยืนยันจะอาศัยข้อมูลที่รั่วไหลได้ง่ายกว่า
การฉ้อโกงที่ใช้บัตรจริง
การเกิดขึ้น: การฉ้อโกงที่ใช้บัตรจริงเกิดขึ้นระหว่างการทำธุรกรรมที่จุดขาย ซึ่งมีการใช้บัตรใบจริงในการชําระเงิน
วิธีการ: มิจฉาชีพจะใช้บัตรใบจริงที่ขโมยมาหรือสร้างบัตรลอกเลียนแบบโดยใช้ข้อมูลบัตรที่ขโมยมา
การตรวจจับ: การฉ้อโกงที่ใช้บัตรจริงตรวจจับได้ง่ายกว่าการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง การตรวจจับจะอาศัยสัญญาณทางกายภาพ เช่น บัตรที่เสียหาย ลายเซ็นไม่ตรงกัน หรือพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้ที่ทําธุรกรรม ซึ่งอาจทําให้ธุรกรรมนั้นน่าสงสัยและแจ้งเตือนธุรกิจว่ามีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงได้
ความท้าทายและวิธีแก้ไขสำหรับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
ความท้าทาย
ไม่มีการยืนยันตัวตนทางกายภาพ: ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในการฉ้อโกงแบบไม่ใช้บัตรจริงก็คือการไม่มีบัตรใบจริง ทําให้ยืนยันได้ยากว่าผู้ใช้เป็นเจ้าของบัตรที่ถูกต้องหรือไม่
กลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: เทคนิคการฉ้อโกงออนไลน์ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทําให้ธุรกิจรับมือกับวิธีการฉ้อโกงแบบใหม่ๆ ไม่ทัน
เข้าถึงทั่วโลก: มิจฉาชีพสามารถทำการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงได้จากทุกที่ ทำให้เขตอํานาจศาลและการบังคับใช้กฎหมายซับซ้อนมากขึ้น
วิธีแก้ปัญหา
เครื่องมือการยืนยันทางดิจิทัลขั้นสูง: เครื่องมือ เช่น บริการยืนยันที่อยู่ (AVS) หรือที่เรียกว่าระบบการยืนยันที่อยู่ และการตรวจสอบ CVV และการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย จะช่วยยืนยันตัวตนของบุคคลที่ทําธุรกรรม
การวิเคราะห์พฤติกรรมและ AI: การใช้อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการซื้อและตรวจจับสิ่งผิดปกติจะมีประสิทธิภาพในการระบุการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงที่อาจเกิดขึ้น
การให้ความรู้แก่ลูกค้า: การให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับแนวทางการช็อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยและวิธีการปกป้องข้อมูลบัตรของลูกค้าเป็นสิ่งสําคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกง
แม้ว่าการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงและใช้บัตรจริงจะเกี่ยวข้องกับการใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ก็แตกต่างกันอย่างมากในแง่ของวิธีการและความท้าทายที่เกิดขึ้น การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงไม่ต้องใช้การยืนยันบัตรใบจริง จึงต้องพึ่งพาวิธีการยืนยันแบบดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่รัดกุมมากขึ้นเพื่อตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง ข้อแตกต่างเหล่านี้ทำให้ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์มาต่อสู้กับการฉ้อโกงแต่ละประเภทอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำหรับการฉ้อโกงแบบไม่ใช้บัตรจริง จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์แบบอิงเทคโนโลยีเป็นหลักและปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงส่งผลกระทบต่อธุรกิจและลูกค้าอย่างไร
การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงอาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจและลูกค้าเป็นทอดๆ ซึ่งการทําความเข้าใจถึงผลกระทบเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญต่อการพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับปัญหานี้ ตัวอย่างผลกระทบ ได้แก่
ผลกระทบต่อลูกค้า
ความสูญเสียและความรับผิดทางการเงิน: แม้ว่าบริษัทบัตรเครดิตหลายแห่งจะมีนโยบายที่จํากัดความรับผิดของลูกค้าในกรณีที่เป็นการฉ้อโกง แต่ผลกระทบโดยตรงจากธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นผลเสียอย่างยิ่ง ลูกค้าอาจต้องสูญเสียเงินไปชั่วคราว ซึ่งอาจก่อให้เกิดความติดขัด โดยเฉพาะในกรณีที่ยอดเงินมีมูลค่าสูง
ข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว: การฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงมักเกิดจากการละเมิดข้อมูล ซึ่งนําไปสู่การละเมิดต่อลูกค้าที่ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินรั่วไหล
ความไว้วางใจและความมั่นใจ: เมื่อลูกค้าตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง ความไว้วางใจต่อการรักษาความปลอดภัยของธุรกรรมออนไลน์ก็จะลดลง ความไว้ใจนี้อาจขยายไปยังภาคธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ทั้งหมดได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของลูกค้า
เวลาและความพยายามในการแก้ไขปัญหา: เหยื่อการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงต้องเสียเวลาและความพยายามไปกับการคัดค้านการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกง ดูแลบัญชีให้ปลอดภัย และบางครั้งต้องรับมือกับการดําเนินคดีทางกฎหมาย สิ่งเหล่านี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรอย่างมาก
ผลกระทบต่อธุรกิจ
ความสูญเสียทางการเงิน: ธุรกิจต่างๆ ต้องรับภาระจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงจากการดึงเงินคืน ทำให้สูญเสียรายรับจากการขายรวมถึงสินค้าหรือบริการ จากรายงานข้อมูลของ Insider ความสูญเสียจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง ในสหรัฐฯ คาดว่าจะสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2024 นอกจากนี้ ธุรกิจยังต้องเสียค่าปรับ รวมทั้งแบกรับค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชําระเงินเพิ่มขึ้นด้วย
ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่เพิ่มขึ้น: ธุรกิจที่หาทางต่อสู้กับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงต้องลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ระบบตรวจจับการฉ้อโกง และกระบวนการยืนยันลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานที่มากขึ้น
ความเสียหายต่อชื่อเสียง: ธุรกิจที่ตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการฉ้อโกงเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือเหตุการณ์เป็นที่ทราบกันในวงกว้าง อาจทําให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงได้ ซึ่งอาจนําไปสู่การสูญเสียความไว้วางใจของลูกค้า และการกู้คืนชื่อเสียงดังกล่าวนั้นยากกว่าการกู้คืนความสูญเสียทางการเงิน
ผลกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า: การใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงบางครั้งอาจทําให้ขั้นตอนการทำธุรกรรมยุ่งยากขึ้นสําหรับลูกค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดขายได้
ผลทางกฎหมายและข้อบังคับ: ธุรกิจอาจต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายและการตรวจสอบตามระเบียบข้อบังคับหากไม่สามารถปกป้องข้อมูลของลูกค้าหรือพบว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอ
ความท้าทายในระยะยาว: การรับมือภัยคุกคามจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงต้องอาศัยการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีและการฝึกอบรมพนักงาน นี่เป็นความท้าทายในระยะยาวที่ต้องใช้ความมุ่งมั่นและทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง
สัญญาณของการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การจำแนกสัญญาณของการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงสําคัญอย่างยิ่งสําหรับธุรกิจและลูกค้าในการป้องกันและรับมือกับการโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือสิ่งที่อาจบ่งชี้ว่ามีการพยายามฉ้อโกงแบบไม่ใช้บัตรจริง
สําหรับธุรกิจ
รูปแบบการสั่งซื้อที่ผิดปกติ: สัญญาณเตือนอย่างหนึ่งคือคําสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือสินค้าจํานวนมาก เนื่องจากมิจฉาชีพมักจะพยายามสร้างมูลค่าจากรายละเอียดบัตรที่ขโมยมาให้ได้มากที่สุด
การทำธุรกรรมหลายรายการผ่านบัตรใบเดียว: การทำธุรกรรมจํานวนมากในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดําเนินการไม่สําเร็จและลองซ้ำหลายครั้ง อาจบ่งชี้ว่ามิจฉาชีพกําลังทดสอบความถูกต้องของบัตรอยู่
ที่อยู่สําหรับจัดส่งและที่อยู่สําหรับการเรียกเก็บเงินแตกต่างกัน: คําสั่งซื้อที่ที่อยู่สําหรับจัดส่งแตกต่างจากที่อยู่ในการเรียกเก็บเงินจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม เนื่องจากอาจเป็นกลยุทธ์มิจฉาชีพมักจะนําไปใช้
คําสั่งซื้อจากตําแหน่งที่ตั้งที่มีความเสี่ยงสูง: ธุรกรรมที่มีต้นทางหรือปลายทางเป็นภูมิภาคที่มีกิจกรรมการฉ้อโกงอย่างมาก จำเป็นต้องติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
คําขอจัดส่งที่เร่งด่วนหรือแบบข้ามคืน: มิจฉาชีพมักจะเลือกวิธีการจัดส่งที่เร็วที่สุดเพื่อให้รับสินค้าได้ก่อนที่จะตรวจพบการฉ้อโกง
ความไม่สอดคล้องกันในรายละเอียดการสั่งซื้อ: ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน เช่น ชื่อหรือรายละเอียดการติดต่อในคําสั่งซื้อที่แตกต่างกันอาจเป็นสัญญาณของกิจกรรมฉ้อโกง
สําหรับลูกค้า
ธุรกรรมที่ไม่คาดคิด: การเรียกเก็บเงินที่ไม่คุ้นเคยในใบแจ้งยอดบัตรเครดิตเป็นสัญญาณของการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น
การแจ้งเตือนจากสถาบันการเงิน ธนาคารและบริษัทผู้ออกบัตรหลายแห่งให้บริการแจ้งเตือนกิจกรรมที่ผิดปกติ การรับการแจ้งเตือนดังกล่าวอาจเป็นการแจ้งเตือนล่วงหน้าถึงการฉ้อโกง
การหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง: การรับอีเมลหรือข้อความที่ขอข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินอาจเป็นวิธีหลักในการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การแจ้งเตือนกิจกรรมผิดปกติในบัญชี: การแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรหัสผ่าน การอัปเดตที่อยู่ หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอื่นๆ ในบัญชีที่คุณไม่ได้ทําไว้เป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกง
ตัวบ่งชี้ทั่วไป
ธุรกรรมที่ดำเนินการไม่สําเร็จ: การทำธุรกรรมไม่สําเร็จหลายครั้ง แล้วดําเนินการสําเร็จในครั้งสุดท้ายอาจบ่งชี้ว่ามีใครบางคนกำลังใช้หมายเลขบัตรที่ขโมยมา
การทดสอบซื้อสินค้าหรือบริการขนาดเล็ก: เริ่มต้นด้วยธุรกรรมขนาดเล็ก ตามด้วยธุรกรรมการฉ้อโกงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มิจฉาชีพทำการเรียกเก็บเงิน "ทดสอบ" เหล่านี้เพื่อดูว่าบัตรดังกล่าวยังใช้งานอยู่หรือไม่
ธุรกิจและลูกค้าต้องเฝ้าระวังและจำแนกสัญญาณเตือนเหล่านี้ แล้วดําเนินการอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง สําหรับธุรกิจแล้ว สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการใช้กระบวนการยืนยันและระบบการตรวจสอบที่เหมาะสม ลูกค้าควรตรวจสอบรายการเดินบัญชีเป็นประจําและรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัยแก่บริษัทผู้ออกบัตร
วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
การปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงต้องใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุม ซึ่งประกอบด้วยแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและมาตรการรักษาความปลอดภัย ธุรกิจส่วนใหญ่ที่มีระบบการชําระเงินที่ทันสมัยยังต้องเลือกใช้ซอฟต์แวร์การชําระเงินและฮาร์ดแวร์ที่รับมือกับการฉ้อโกงที่ใช้บัตรจริงได้
กลยุทธ์และนโยบายควรเหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของธุรกิจคุณ แต่ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่อาจพบว่ามีประโยชน์
ใช้เครื่องมือการยืนยันขั้นสูง
AVS: เครื่องมือนี้จะเปรียบเทียบที่อยู่ในการเรียกเก็บเงินที่ลูกค้าระบุกับข้อมูลในระบบของบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต หากข้อมูลไม่ตรงกันก็จะเป็นสัญญาณว่าธุรกรรมอาจเป็นการฉ้อโกงได้
CVV: การระบุ CVV ในการทำธุรกรรมออนไลน์ช่วยเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งเนื่องจากข้อมูลนี้ไม่ได้เก็บไว้ในแถบแม่เหล็กและมิจฉาชีพไม่ได้รับมาง่ายๆ
การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA): การใช้ 2FA สําหรับธุรกรรมจะเพิ่มขั้นตอนการยืนยันเพิ่มเติม ซึ่งปกติแล้วระบบมักส่งรหัสไปยังโทรศัพท์หรืออีเมลของลูกค้า
ตรวจสอบธุรกรรม
การวิเคราะห์ธุรกรรมแบบเรียลไทม์: ใช้ระบบที่วิเคราะห์ธุรกรรมแบบเรียลไทม์โดยมองหารูปแบบหรือกิจกรรมที่ผิดปกติ
กําหนดวงเงินธุรกรรม: การจํากัดมูลค่าหรือความถี่ธุรกรรมจะช่วยตรวจจับกิจกรรมฉ้อโกงได้แต่เนิ่นๆ
เกตเวย์การชําระเงินที่ปลอดภัย
เลือกผู้ประมวลผลการชําระเงินที่มีชื่อเสียง: เป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ประมวลผลการชําระเงินที่ประวัติการดำเนินงานที่ดีด้านการประมวลผลข้อมูลอย่างปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกง
การเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็น: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเกตเวย์การชําระเงินใช้การเข้ารหัสที่รัดกุมในการรับส่งข้อมูลและการแปลงเป็นโทเค็น ซึ่งแทนที่ข้อมูลบัตรที่ละเอียดอ่อนด้วยรหัสระบุที่ไม่ซ้ำกัน
ให้ความรู้แก่ทีมและลูกค้า
การจัดฝึกอบรมพนักงาน: จัดเซสชันการฝึกอบรมเป็นประจําสําหรับสมาชิกพนักงานเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและแนวโน้มล่าสุดในการป้องกันการฉ้อโกง
การรับรู้ของลูกค้า: ให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับความสําคัญของการปกป้องข้อมูลบัตรและสัญญาณของการฟิชชิ่ง
อัปเดตระบบอยู่เสมอ
อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจํา: อัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมดให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอด้วยแพตช์ความปลอดภัยล่าสุด โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชําระเงินและการรักษาความปลอดภัย
การปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS): มาตรฐานเหล่านี้เป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามและเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของเจ้าของบัตร
ตรวจสอบและปรับนโยบายเป็นประจํา
- กลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์: เมื่อเทคนิคการฉ้อโกงเปลี่ยนแปลงไป แผนการป้องกันก็คุณก็ควรปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน ตรวจสอบและปรับนโยบายและวิธีการของคุณเป็นประจํา
ใช้วิธีการยืนยันตัวตนลูกค้าแบบต่างๆ
การชะลอการจัดส่งสําหรับคําสั่งซื้อที่น่าสงสัย: หากคําสั่งซื้อน่าสงสัย การชะลอการจัดส่งจนกว่าจะยืนยันความถูกต้องจะป้องกันการสูญเสียได้
การตรวจสอบธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงโดยเจ้าหน้าที่: ธุรกรรมบางรายการอาจต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
การปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสร้างชั้นการรักษาความปลอดภัยที่จะร่วมกันตรวจจับ ป้องกัน และตอบสนองต่อกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อทําให้ธุรกิจของคุณตกเป็นเป้าหมายที่ยากขึ้นสำหรับมิจฉาชีพ และลูกค้าตัวจริงยังคงได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น
วิธีรับมือกับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง
คุณต้องมีกลยุทธ์ที่รวดเร็วและเป็นระบบในการรับมือกับการโจมตีด้วยการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริง ดูข้อมูลสรุปเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการตอบสนองอย่างทันท่วงที
ยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น: ยืนยันกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง บางครั้ง สิ่งที่ดูเหมือนว่าการฉ้อโกงอาจเป็นลูกค้าที่ลืมการซื้อนั้นหรือใช้บัตรใบอื่น
ติดต่อผู้ประมวลผลการชําระเงิน รายงานเหตุการณ์ไปยังผู้ประมวลผลการชําระเงิน บริการเหล่านี้มีระเบียบการในการจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้และให้คําแนะนําแก่คุณได้
ยกเลิกธุรกรรม: หากยังไม่ได้ดำเนินการตามคําสั่งซื้อ ให้ยกเลิกคําสั่งซื้อเพื่อป้องกันไม่ให้การสูญเสียสินค้าหรือบริการ
ทำเครื่องหมายบัญชีฉ้อโกง: ทำเครื่องหมายบัญชีที่ใช้ทำธุรกรรมฉ้อโกง เพื่อช่วยในการติดตามและป้องกันการพยายามใช้รายละเอียดเดิมซ้ำ
ติดตามผล
ตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัย: ประเมินว่าการฉ้อโกงเกิดขึ้นได้อย่างไร วิเคราะห์ว่ามีข้อบกพร่องใดๆ ในมาตรการรักษาความปลอดภัยของคุณหรือไม่ รวมถึงสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงมาตรการดังกล่าว
อัปเดตระบบ: หากการฉ้อโกงใช้ประโยชน์จากช่องโหว่บางอย่างในระบบ ให้แก้ไขทันที โดยอาจจะอัปเดตซอฟต์แวร์หรือเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการปฏิบัติงาน
บันทึกข้อมูลทั้งหมดในเอกสาร: เก็บบันทึกข้อมูลธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง การตอบสนองของคุณ และการสื่อสารใดๆ กับบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ขั้นตอนนี้สำคัญต่อการสอบสวนหรือการเรียกร้องการประกันภัยที่อาจเกิดขึ้นได้
การสื่อสารกับลูกค้า
การสื่อสารที่โปร่งใส: หากข้อมูลลูกค้ารั่วไหล โปรดแจ้งให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทราบทันที
คําแนะนําเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไป: แนะนําลูกค้าว่าจะปกป้องบัญชีของตัวเองอย่างไร และรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ออกบัตร
ช่องทางการสนับสนุน: มอบช่องทางการสนับสนุนลูกค้าที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ลูกค้าติดต่อมาสอบถามข้อมูลและข้อกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกง
มาตรการป้องกัน
การฝึกอบรมพนักงาน: ให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงและความสําคัญของระเบียบการรักษาความปลอดภัยต่อไปนี้
อัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่เป็นประจํา: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแนวโน้มการฉ้อโกงล่าสุด และอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัยของคุณให้สอดคล้องกัน
โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ลูกค้า: ให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลบัตรและการจำแนกการฟิชชิ่งหรือกลยุทธ์การฉ้อโกงอื่นๆ
ยกระดับกระบวนการยืนยันตัวตน: นําขั้นตอนการยืนยันที่เข้มงวดมากขึ้นมาใช้กับธุรกรรม โดยเฉพาะธุรกรรมที่มีความเสี่ยง
กฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
รายงานหน่วยงานกำกับดูแล: ในบางกรณีอาจจําเป็นต้องรายงานเหตุการณ์นี้ให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหรือหน่วยงานกํากับดูแลอื่นๆ
ปฏิบัติตามระเบียบการสําหรับการละเมิดข้อมูล: ปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูล รวมถึงแจ้งบุคคลที่ได้รับผลกระทบและหน่วยงานกํากับดูแล
การดําเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณรับมือกับการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตรจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหาย และเสริมความแข็งแกร่งให้กับมาตรการป้องกันการฉ้อโกงในอนาคต คุณสามารถรักษาความปลอดภัยของธุรกิจและความไว้วางใจของลูกค้าได้โดยการตอบสนองอย่างรวดเร็ว รียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และปรับปรุงกระบวนการของคุณ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe ปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกงที่ไม่ใช้บัตร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ