มัลแวร์ในระบบบันทึกการขาย (POS) คือซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งมุ่งเป้าไปที่ระบบบันทึกการขาย ซึ่งเป็นระบบที่ธุรกิจใช้ประมวลผลธุรกรรมของลูกค้า มิจฉาชีพใช้มัลแวร์นี้เพื่อขโมยข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ มัลแวร์มักจะแอบดักจับและส่งข้อมูลไปยังบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจและลูกค้ามีความเสี่ยงด้านการเงินและการละเมิดข้อมูล วิธีและระดับความซับซ้อนของมัลแวร์อาจแตกต่างกัน แต่วัตถุประสงค์หลักก็คือการขโมยข้อมูลธุรกรรมที่มีค่า มัลแวร์ POS และการฉ้อโกงประเภทอื่นๆ ส่งผลกระทบที่สําคัญต่อธุรกิจ โดยรายงานอาชญากรรมทางไซเบอร์ฉบับทางการปี 2022 คาดการณ์ว่าค่าความเสียหายรวมจากอาชญากรรมทางไซเบอร์จะอยู่ที่ 10.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปีภายในปี 2025
ด้านล่างนี้เราจะอธิบายสิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อปกป้องธุรกิจของคุณจากการโจมโดยมัลแวร์ POS รวมถึงการทํางานของมัลแวร์ POS จุดที่อาจมีช่องโหว่ และขั้นตอนที่คุณสามารถดําเนินการเพื่อปกป้องธุรกิจและลูกค้าของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ประเภทของการโจมตีโดยมัลแวร์ POS
- มัลแวร์ POS ทํางานอย่างไร
- ปัจจัยความเสี่ยงด้านมัลแวร์ POS ในธุรกิจ
- มัลแวร์ POS มีผลต่อธุรกิจและลูกค้าอย่างไร
- วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากมัลแวร์ POS
ประเภทของการโจมตีโดยมัลแวร์ POS
การโจมตีโดยมัลแวร์ POS เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีลักษณะและเป้าหมายที่แตกต่างกัน การทําความเข้าใจการโจมตีประเภทเหล่านี้จะช่วยคุณจดจําและรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ ประเภทของการโจมตีโดยมัลแวร์ POS ที่พบได้ทั่วไปได้แก่:
โปรแกรมกวาดหน่วยความจํา: มัลแวร์ประเภทนี้จะสแกนหน่วยความจําของระบบ POS เพื่อหาข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น บัตรเครดิต โปรแกรมกวาดหน่วยความจํามักจะเล็งเป้าหมายขณะที่ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล โดยจะดักจับข้อมูลไว้ก่อนที่จะมีการรักษาความปลอดภัย
โปรแกรมบันทึกแป้นพิมพ์: มัลแวร์นี้จะบันทึกการกดแป้นพิมพ์ที่ทำบนระบบ POS ซึ่งน่ากลัวเป็นพิเศษเนื่องจากไม่เพียงแต่จะดักจับเฉพาะข้อมูลบัตรเท่านั้น แต่ยังดักจับรหัสผ่านและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ ซึ่งป้อนผ่านคีย์บอร์ดได้ด้วย
โปรแกรมดักข้อมูลผ่านเครือข่าย: มัลแวร์ดักข้อมูลผ่านเครือข่ายจะติดตามและดักจับข้อมูลที่เดินทางไปทั่วเครือข่ายซึ่งระบบ POSเชื่อมต่ออยู่ มัลแวร์ประเภทนี้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องการดักเก็บข้อมูลระหว่างการจัดส่ง ซึ่งเป็นที่กังวลสำหรับระบบที่อาศัยการทำธุรกรรมผ่านเครือข่าย
โปรแกรมกวาดหน่วยความจําแบบเข้าถึงโดยสุ่ม (RAM): เช่นเดียวกับโปรแกรมกวาดหน่วยความจำ โปรแกรมกวาด RAM เน้นไปที่การดึงข้อมูลที่เก็บไว้ใน RAM ของระบบ โปรแกรมเหล่านี้มักใช้ได้ผลเนื่องจากระบบ POS มักจะจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัสใน RAM ระหว่างการประมวลผล
โปรแกรมสอดไส้ไฟล์: มัลแวร์ประเภทนี้จะสอดไส้โค้ดที่เป็นอันตรายลงในไฟล์ที่ถูกต้องในระบบ POS โดยไฟล์ที่ถูกเปลี่ยนแปลงจะทําหน้าที่เป็นท่อลำเลียงสําหรับการขโมยข้อมูลหรือทำกิจกรรมที่เป็นอันตรายอื่นๆ
มัลแวร์แบ็กดอร์: มัลแวร์แบ็กดอร์จะสร้างทางเข้าลับสู่ระบบ ทําให้ผู้โจมตีเข้าถึงได้เป็นเวลานานโดยตรวจจับไม่พบ ใช้สําหรับการขโมยข้อมูลและติดตามระบบในระยะยาว
มัลแวร์ POS แต่ละประเภทมีวิธีการและเป้าหมายเฉพาะซึ่งเหมาะกับสถานการณ์การโจมตีที่แตกต่างกันไป โปรแกรมกวาดหน่วยความจําและโปรแกรมกวาด RAM จะใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ยังไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลที่ละเอียดอ่อน โปรแกรมบันทึกแป้นพิมพ์และโปรแกรมดักข้อมูลผ่านเครือข่ายจะดักจับการป้อนและการส่งข้อมูล โปรแกรมสอดไส้ไฟล์และมัลแวร์แบ็กดอร์เน้นการเข้าถึงและการควบคุมระบบอย่างต่อเนื่อง การรู้จักลักษณะเหล่านี้ช่วยให้คุณปรับแต่งกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามแต่ละประเภท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มัลแวร์ POS ทํางานอย่างไร
มัลแวร์ POS ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับขณะที่ดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ นั่นคือการโจรกรรมข้อมูล กลวิธีของมัลแวร์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แต่โดยทั่วไปแล้วการโจมตีมีการทำงานดังนี้:
การแทรกซึม
ขั้นแรกมัลแวร์จะเข้าสู่ระบบ POS เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นจากอีเมลฟิชชิ่งที่ส่งถึงพนักงาน การใช้ข้อมูลประจําตัวที่รั่วไหล หรือการใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ POS เมื่อเข้าถึงระบบได้แล้ว มัลแวร์จะฝังรากอยู่ในระบบ
การพำนักอาศัย
หลังจากแทรกซึมเข้ามาแล้ว มัลแวร์มักจะไม่เคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ในช่วงเวลานี้ มันจะฝังตัวเองลงในกระบวนการหลักหรือปลอมตัวเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกต้อง การทําเช่นนี้ทำให้มัลแวร์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ถูกตรวจพบในสภาพแวดล้อม POS
การดําเนินการ
มัลแวร์จะมีการเคลื่อนไหวระหว่างการทําธุรกรรม โดยจะสแกนหน่วยความจําเพื่อหาข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัส บันทึกการกดแป้นพิมพ์ หรือตรวจจับการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย ยิ่งไปกว่านั้น มัลแวร์ที่มีความซับซ้อนสามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการธุรกรรม หรือสร้างสัญญาณการอนุมัติปลอม เพื่อทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ด้วย
การเก็บเกี่ยวและการส่งผ่านข้อมูล
เมื่อดักจับข้อมูลได้แล้ว มัลแวร์จะจัดและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลซึ่งควบคุมโดยผู้โจมตี การถ่ายโอนนี้มักจะทําในลักษณะที่หลีกเลี่ยงการเตือนภัย
การคงอยู่และแพร่กระจาย
มัลแวร์ POS จํานวนมากได้รับการออกแบบมาเพื่ออยู่ในระบบที่ถูกโจมตีเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังสามารถแพร่กระจายไปยังระบบที่เชื่อมโยงอื่นๆ ทำให้ขอบเขตของการโจมตีขยายวงกว้างขึ้น
ต่อไปนี้คือ 2 ตัวอย่างจริงที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและอันตรายของมัลแวร์ POS
Target
ในปี 2013 มัลแวร์แทรกซึมเข้าสู่ระบบ POS ของห้าง Target ซึ่งนําไปสู่การโจรกรรมหมายเลขบัตรเครดิตและบัตรเดบิตกว่า 40 ล้านใบ มัลแวร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีทางไซเบอร์ในภาพกว้างจะจับข้อมูลโดยตรงจากหน่วยความจําของอุปกรณ์ POS ขณะที่มีการรูดบัตร
Wendy's
ในปี 2016 มัลแวร์ที่ติดตั้งบนระบบ POS ของเครือร้านอาหาร Wendy's นําไปสู่การโจรกรรมข้อมูลการชําระเงินของลูกค้าครั้งใหญ่ การโจมตีนี้แสดงอย่างชัดเจนถึงความสามารถของมัลแวร์ที่ตรวจจับไม่พบเป็นระยะเวลานาน ซึ่งก่อให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลอย่างแพร่หลาย
กรณีเหล่านี้ตอกย้ำถึงความสําคัญของการปกป้องระบบ POS ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงรุกและครอบคลุม การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจํา การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่รัดกุม และการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสําคัญในการป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์ที่มีความซับซ้อน ธุรกิจต้องเข้าใจว่ามัลแวร์ทํางานอย่างไรหากต้องการพัฒนาการป้องกันที่มีประสิทธิภาพและบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ปัจจัยความเสี่ยงด้านมัลแวร์ POS สําหรับธุรกิจ
ปัจจัยความเสี่ยงด้านมัลแวร์ POS เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับแง่มุมต่างๆ ของการรักษาความปลอดภัย การทำงาน และการบำรุงรักษาระบบ POS บางระบบมีความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากลักษณะเฉพาะหรือแนวทางปฏิบัติ ได้แก่:
ซอฟต์แวร์ล้าสมัย: ระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์ทํางาล้าสมัยเป็นเป้าหมายชั้นดี การอัปเดตซอฟต์แวร์มักประกอบด้วยแพตช์การรักษาความปลอดภัยที่จัดการกับช่องโหว่ที่ระบบรู้จัก ซึ่งทําให้มัลแวร์ใช้ช่องโหว่ที่อาจมีอยู่ได้ยากขึ้น
รหัสผ่านและข้อมูลประจําตัวที่ไม่ปลอดภัย: รหัสผ่านเริ่มต้นหรือรหัสผ่านที่ง่ายทําให้ผู้โจมตีเข้าถึงได้ง่ายขึ้น การเลือกรหัสผ่านที่รัดกุมและซับซ้อน และการเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจําเป็นสิ่งสําคัญในการรักษาความปลอดภัย
ขาดการฝึกอบรมพนักงาน: พนักงานที่ไม่รู้จักกลวิธีฟิชชิ่งหรือแนวปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมอาจทำให้มัลแวร์แทรกแซงระบบได้โดยไม่ได้เจตนา
ความปลอดภัยของเครือข่ายไม่เพียงพอ: ระบบ POS ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยง มัลแวร์สามารถแทรกซึมและนำข้อมูลออกไปได้ง่ายดายขึ้นเมื่อโจมตีระบบที่ไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่เหมาะสม เช่น ไฟร์วอลล์และการตรวจจับการบุกรุก
กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบชั้นเดียว: การใช้เพียงมาตรการรักษาความปลอดภัยเพียงประเภทเดียว เช่น ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสไม่เพียงพอ กลยุทธ์ความปลอดภัยแบบหลายชั้นที่มีการป้องกันหลายแบบจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
การเข้าถึงระบบทางกายภาพ: ระบบที่อนุญาตให้เข้าถึงทางกายภาพได้ง่ายอาจถูกบุกรุกผ่านวิธีการต่างๆ เช่นไดรฟ์ USB ที่มีมัลแวร์
ขาดการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง: ระบบที่ไม่ได้รับการตรวจสอบหากิจกรรมที่ผิดปกติเป็นประจําอาจพลาดสัญญาณเริ่มต้นของการละเมิด ทำให้มัลแวร์สามารถทํางานได้โดยตรวจจับไม่พบเป็นระยะเวลานาน
การผสานการทํางานกับบริการของบุคคลที่สามที่ไม่ปลอดภัย: ระบบ POS ที่ผสานการทํางานกับบริการของบุคคลที่สาม ซึ่งไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแบบละเอียดอาจทําให้เกิดช่องโหว่ได้
บางระบบมีความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากกรณีการใช้งานหรือสภาพแวดล้อมเฉพาะของตน ซึ่งได้แก่:
สภาพแวดล้อมที่มีธุรกรรมสูง: ระบบในสถานที่ที่มีปริมาณธุรกรรมจํานวนมาก เช่น ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจเนื่องจากปริมาณข้อมูลอันมีค่าจํานวนมากที่มีการประมวลผล
ธุรกิจขนาดเล็ก: ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่ได้ลงทุนมากนักกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทําให้ระบบ POS ของธุรกิจเหล่านั้นเสี่ยงต่อการโจมตีมากขึ้น
ระบบเก่า: ระบบเดิมที่ไม่ได้รับการอัปเดตเป็นประจำหรือเปลี่ยนใหม่อาจมีช่องว่างด้านความปลอดภัยที่ระบบใหม่ได้จัดการไปแล้ว
มัลแวร์ POS ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและลูกค้าอย่างไร
มัลแวร์ POS อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งธุรกิจและลูกค้า การโจมตีโดยมัลแวร์ POS อาจทำให้การดำเนินธุรกิจหยุดชะงัก ทําลายชื่อเสียง รวมทั้งสร้างภาระด้านการเงินและกฎหมายให้กับธุรกิจต่างๆ ได้ สำหรับลูกค้า การโจมตีเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการเงิน ข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว และการสูญเสียความไว้วางใจในธุรกิจที่ถูกโจมตี
ผลกระทบต่อธุรกิจได้แก่:
ความสูญเสียทางการเงิน
ความสูญเสียทางการเงินประกอบด้วยการสูญเสียรายได้จากการขาย ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนและแก้ไขการละเมิด รวมถึงค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลความเสียหายต่อชื่อเสียง
การโจมตีโดยมัลแวร์อาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจได้อย่างมาก ลูกค้าไม่ไว้วางใจในความสามารถของบริษัทในการปกป้องข้อมูลของตน ซึ่งอาจทําให้ความภักดีของลูกค้าและยอดขายลดลงการดำเนินงานที่หยุดชะงัก
ขั้นตอนการแก้ไขหลังจากถูกโจมตีด้วยมัลแวร์มักต้องมีการออฟไลน์ระบบ POS ซึ่งทำให้การดำเนินงานหยุดชะงักและเสียโอกาสในการขายผลทางกฎหมายและข้อบังคับที่ตามมา
ธุรกิจอาจถูกลูกค้าดําเนินการทางกฎหมาย หรือได้รับบทลงโทษจากหน่วยงานกํากับดูแลเนื่องจากไม่สามารถปกป้องข้อมูลของลูกค้าได้ดีพอ
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสําหรับการปรับปรุงความปลอดภัยหลังจากการโจมตี ธุรกิจมักจะต้องลงทุนกับระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงกว่าเดิม การฝึกอบรมพนักงาน และมาตรการการปฏิบัติตามข้อกําหนด ทําให้ต้นทุนการดําเนินงานเพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อลูกค้าได้แก่:
ความเสี่ยงทางการเงิน: ลูกค้าที่ข้อมูลบัตรถูกขโมยมีความเสี่ยงที่จะต้องประสบกับการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกง แม้ธนาคารหลายแห่งจะให้ความคุ้มครองจากการฉ้อโกง แต่กระบวนการแก้ไขธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตอาจใช้เวลานานและทำให้เครียด
การโจรกรรมอัตลักษณ์บุคคล: นอกจากการฉ้อโกงทางการเงิน ข้อมูลที่ขโมยมาสามารถใช้ในการโจรกรรมอัตลักษณ์บุคคลได้ ซึ่งนําไปสู่ปัญหาด้านการเงินและกฎหมายระยะยาวสําหรับลูกค้า
การสูญเสียความไว้วางใจ: ลูกค้าอาจสูญเสียความไว้วางใจต่อธุรกิจที่ไม่สามารถปกป้องข้อมูลของตนได้ สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความลังเลที่จะใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของลูกค้า
ข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว: การได้รับทราบว่าข้อมูลส่วนตัวถูกละเมิด อาจทําให้ลูกค้าเกิดความไม่สบายใจและมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากมัลแวร์ POS
สําหรับธุรกิจที่ต้องการปกป้องตนเองและลูกค้า มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในเชิงรุก การติดตามตรวจสอบเป็นประจํา และแผนการรับมือเฉพาะคือกุญแจสําคัญ การปกป้องธุรกิจจากมัลแวร์ POS หมายถึงการใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ช่วยปกป้องระบบ POS ของคุณและสามารถตรวจจับภัยคุกคาม ได้เร็ว ซึ่งได้แก่:
การอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจํา: คอยอัปเดตซอฟต์แวร์ POS ของคุณไว้ การอัปเดตเป็นประจํามักจะมีแพตช์สําหรับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่มัลแวร์อาจนำไปใช้ได้
นโยบายรหัสผ่านที่รัดกุม: นํานโยบายรหัสผ่านที่รัดกุมมาใช้ ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและเปลี่ยนเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเริ่มต้นที่มาพร้อมกับระบบ
การให้ความรู้แก่พนักงาน: ให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ พนักงานควรตระหนักถึงการหลอกลวงแบบฟิชชิ่งและเข้าใจถึงความสําคัญของการไม่แชร์รหัสผ่านหรือคลิกลิงก์ที่น่าสงสัย
ความปลอดภัยของเครือข่าย: รักษาความปลอดภัยให้เครือข่ายของคุณ ใช้ไฟร์วอลล์และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครือข่าย Wi-Fi ของคุณได้รับการเข้ารหัสและปลอดภัย แยกเครือข่ายสําหรับระบบ POS ของคุณออกจากระบบที่ลูกค้าใช้หรือระบบสําหรับกิจกรรมทางธุรกิจทั่วไป
ใช้เครื่องมือป้องกันไวรัสและมัลแวร์: ใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสและโซลูชันป้องกันมัลแวร์ที่มีชื่อเสียง บริการเหล่านี้เป็นแนวป้องกันขั้นพื้นฐานจากมัลแวร์
การเข้ารหัสข้อมูล: เข้ารหัสข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลลูกค้าได้รับการเข้ารหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการส่ง
การควบคุมการเข้าถึง: จํากัดการเข้าถึงระบบ POS ของคุณ ควรให้เข้าถึงได้เฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และบุคคลเหล่านั้นควรมีสิทธิ์เข้าถึงที่จําเป็นในการปฏิบัติงานของตนเท่านั้น
การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง: ติดตามตรวจสอบระบบของคุณอย่างต่อเนื่อง มองหากิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น การโอนข้อมูลที่ไม่คาดคิดหรือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพของระบบ
แผนการรับมือกับเหตุการณ์: มีแผนรับมือกับเหตุการณ์เตรียมไว้ การรู้ว่าจะทําอย่างไรในกรณีที่เกิดการละเมิดเป็นสิ่งสําคัญในการดําเนินการอย่างรวดเร็วและลดความเสียหาย
การตรวจสอบและการปฏิบัติตามข้อกําหนดเป็นประจํา: ทําการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจํา และตรวจสอบให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมอย่าง PCI DSS (มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน)
ความปลอดภัยทางกายภาพ: ตรวจสอบยืนยันความปลอดภัยทางกายภาพของระบบ POS ของคุณ ป้องกันการเข้าถึงระบบและเทอร์มินัลทางกายภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต
การจัดการผู้ให้บริการบุคคลที่สาม: หากคุณใช้ผู้ให้บริการบุคคลที่สามสําหรับบริการ POS โปรดตรวจสอบว่าผู้ให้บริการดังกล่าวปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ประเมินมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้ให้บริการเป็นประจํา
การใช้โซลูชันความปลอดภัยขั้นสูง: พิจารณาใช้โซลูชันความปลอดภัยขั้นสูง เช่น ระบบตรวจจับการบุกรุกและการปกป้องปลายทางขั้นสูง ซึ่งเป็นขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งสามารถระบุและลดการโจมตีที่ซับซ้อนได้
ขั้นตอนการสํารองและการกู้คืน: มีการสํารองข้อมูลเป็นประจําและจัดให้มีขั้นตอนการกู้คืนที่ครอบคลุม ในกรณีที่เกิดการโจมตีจะทําให้คุณหยุดชะงักน้อยที่สุดและกู้คืนบริการได้รวดเร็ว
การปฏิบัติเหล่านี้จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงจากการโจมตีโดยมัลแวร์ POS ได้อย่างมากและทําให้แน่ใจว่าธุรกิจและข้อมูลลูกค้าของคุณจะได้รับการปกป้องต่อไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe ช่วยปกป้องธุรกิจจากมัลแวร์ POS
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ