วิธีเลือกโซลูชันจัดการการฉ้อโกงที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

Radar
Radar

ต้านการฉ้อโกงด้วยประสิทธิภาพที่ทรงพลังของเครือข่าย Stripe

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. แนวทางปฏิบัติแนะนำสําหรับการจัดการการฉ้อโกง
  3. วิธีเลือกโซลูชันจัดการการฉ้อโกงที่เหมาะสม
  4. Stripe จะช่วยได้อย่างไร

การจัดการการฉ้อโกงเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจจับ ป้องกัน และลดการฉ้อโกง โดยประกอบด้วยกิจกรรมจำนวนมาก รวมถึงการตรวจสอบธุรกรรม การวิเคราะห์รูปแบบสําหรับพฤติกรรมที่น่าสงสัย การติดตั้งใช้งานระบบการยืนยัน ตลอดจนการให้ความรู้แก่พนักงานและลูกค้าเกี่ยวกับวิธีจำแนกและรายงานการฉ้อโกง มีการประมาณว่าการสูญเสียทั่วโลกจากการฉ้อโกงบัตรในปี 2021 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของ Statista ธุรกิจทุกประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกง ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมข้อมูลระบุตัวตน การฉ้อโกงทางการเงิน ไปจนถึงการละเมิดการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้องมีระบบการจัดการการฉ้อโกงที่พร้อมใช้งาน และธุรกิจบางประเภท เช่น สถาบันการเงินและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ มีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ระบบจัดการการฉ้อโกง

ด้านล่างนี้เราจะอธิบายว่าธุรกิจต่างๆ สามารถเริ่มวางกลยุทธ์และการดําเนินงานด้านการจัดการการฉ้อโกงได้อย่างไร ตั้งแต่แนวทางปฏิบัติแนะนำไปจนถึงข้อพิจารณาเฉพาะของอุตสาหกรรม

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • แนวทางปฏิบัติแนะนำสําหรับการจัดการการฉ้อโกง
  • วิธีเลือกโซลูชันจัดการการฉ้อโกงที่เหมาะสม
  • Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง

แนวทางปฏิบัติแนะนำสําหรับการจัดการการฉ้อโกง

ธุรกิจมีตัวเลือกมากมายเกี่ยวกับการจัดการการฉ้อโกง ธุรกิจแต่ละแห่งควรเลือกแนวทางของตนอย่างรอบคอบ และสร้างโซลูชันที่เหมาะกับด้านที่ตนให้ความสำคัญและช่องโหว่ที่มี อย่างไรก็ตาม เรามีแนวทางปฏิบัติแนะนำที่จะให้ประโยชน์แก่ธุรกิจแทบทุกประเภท ดังนี้

  • การป้องกันแบบแบ่งระดับ: ใช้กลยุทธ์การป้องกันแบบหลายระดับ ซึ่งไม่เพียงประกอบด้วยไฟร์วอลล์และซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเท่านั้น แต่ยังต้องใช้การติดตามพฤติกรรมและการเข้ารหัสข้อมูลแบบเรียลไทม์ด้วย ระดับเหล่านี้จะรวมกันเป็นโครงข่ายที่ซับซ้อนซึ่งยากต่อการเจาะระบบของผู้บุกรุก

  • การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์: ใช้การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์เพื่อติดตามตรวจสอบธุรกรรมข้อมูลทั้งหมดภายในองค์กรของคุณ ใช้อัลกอริทึมแมชชีนเลิร์นนิงที่สามารถปรับและเรียนรู้จากกิจกรรมการฉ้อโกงประเภทใหม่ๆ ยิ่งคุณระบุความผิดปกติได้เร็วขึ้น คุณก็ยิ่งดําเนินการได้เร็วขึ้นเท่านั้น

  • การตรวจสอบด้วยตนเอง: แม้แต่ระบบอัตโนมัติที่ดีที่สุดก็อาจตรวจจับความผิดปกติบางอย่างไม่ได้ ทําการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินและธุรกรรมข้อมูลด้วยตนเองเป็นระยะๆ

  • มาตรการยืนยันลูกค้า: ใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA), ไบโอเมตริก และวิธีการยืนยันตัวตนขั้นสูงอื่นๆ เพื่อตรวจสอบตัวตนของบุคคลทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมอีกครั้ง

  • การฝึกอบรมพนักงาน: ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับความสําคัญของการป้องกันการฉ้อโกง กลโกงที่พบได้บ่อยที่ต้องเฝ้าระวัง และโปรโตคอลภายในสําหรับจัดการกับเหตุการณ์ที่น่าสงสัย พนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้อง แม้จะดำเนินการได้ดีเพียงใด แต่ก็ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบรักษาความปลอดภัยได้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน พนักงานที่ได้รับความรู้มาเป็นอย่างดีจะสามารถทําหน้าที่ขัดขวางเหตุการณ์ความเสี่ยงได้

  • การทํางานร่วมกันกับนิติหน่วยงานทางการเงิน: ทำงานร่วมกับธนาคารและผู้ประมวลผลการชําระเงิน เพื่อระบุสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้น โดยปกติองค์กรเหล่านี้มีความรู้และเครื่องมือเฉพาะทางสําหรับการตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติก่อนที่จะบานปลาย

  • การควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท: จํากัดผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในองค์กรของคุณ การจํากัดการเข้าถึงข้อมูลสำหรับเฉพาะพนักงานที่ต้องใช้จริงๆ จะช่วยลดลดโอกาสการฉ้อโกงภายในได้

  • การจัดการความเสี่ยงของผู้ให้บริการ: ตรวจสอบซัพพลายเออร์และผู้ให้บริการที่เป็นบริษัทอื่นอย่างรอบคอบ โดยกำหนดให้ปฏิบัติตามนโยบายรักษาความปลอดภัยของคุณและตรวจสอบพาร์ทเนอร์เหล่านี้เป็นประจําเพื่อดูความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

  • แผนรับมือกับเหตุการณ์: ใช้แผนรับมือกับเหตุการณ์ที่ทั่วถึงและอัปเดตเป็นประจำ พนักงานทุกคนควรรู้ขั้นตอนการดำเนินการหากสงสัยว่ามีการฉ้อโกงเกิดขึ้น

  • การอัปเดตและใช้แพตช์เป็นประจํา: อาชญากรไซเบอร์ต้องมักจะเล็งที่ช่องโหว่ของซอฟต์แวร์เพื่อใช้โจมตี ดังนั้น ให้อัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมดของคุณให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้อาชญากรเหล่านี้หาประโยชน์จากระบบที่ล้าหลังได้ยากขึ้น

แนวทางปฏิบัติแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างระบบจัดการการฉ้อโกง ที่ครอบคลุมและปรับเปลี่ยนได้ คุณสมบัติในการปรับเปลี่ยนเป็นกุญแจสําคัญ เนื่องจากมิจฉาชีพมักจะพัฒนากลวิธีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อหลบหลีกมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ใช้อยู่

วิธีเลือกโซลูชันจัดการการฉ้อโกงที่เหมาะสม

พิจารณาปัจจัยสําคัญต่อไปนี้เมื่อคุณเลือกโซลูชันจัดการการฉ้อโกง

  • วัตถุประสงค์และตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก (KPI): ก่อนที่จะเริ่มหาโซลูชัน ให้ตัดสินใจว่าคุณต้องการใช้โซลูชันการจัดการการฉ้อโกงอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการลดการตรวจพบที่ผิดพลาดและ การดึงเงินคืน หรือหารระบุรูปแบบการฉ้อโกงใหม่ๆ การกําหนดเป้าหมายไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเลือกได้ดียิ่งขึ้น

  • การเชื่อมต่อข้อมูลและความเข้ากันได้: ประเมินว่าระบบจัดการการฉ้อโกงจะผสานการทํางานกับสแต็กเทคโนโลยีที่คุณมีอยู่ได้อย่างไร มองหาแพลตฟอร์มที่รองรับการเชื่อมต่อการทํางานกับ API หรือชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDK) เพื่อให้ผสานการทํางานเข้ากับขั้นตอนการทํางานที่คุณมีได้ง่ายขึ้น ทําความเข้าใจประเภทของฐานข้อมูลที่ระบบเหล่านี้สามารถทํางานด้วยได้ และตรวจสอบว่าฐานข้อมูลนั้นรองรับการย้ายข้อมูลหรือไม่

  • การประมวลผลแบบเรียลไทม์: การฉ้อโกงสามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นโซลูชันที่คุณเลือกจะต้องสามารถประมวลผลและแจ้งเตือนข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ การขจัดความล่าช้าในการรายงานอาจทําให้เกิดความแตกต่างในการป้องกันการสูญเสียทางการเงินได้อย่างมาก

  • ความสามารถในการปรับขนาด: โซลูชันการจัดการการฉ้อโกงต้องเติบโตไปพร้อมๆ กับธุรกิจของคุณ มองหาระบบที่สามารถปรับขยายได้อย่างง่ายดายในแง่ของปริมาณข้อมูล ความเร็วธุรกรรม และการขยายตัวทางภูมิศาสตร์

  • แมชชีนเลิร์นนิงและการปรับเปลี่ยนระบบ: ระบบการจัดการการฉ้อโกงที่ดีควรใช้อัลกอริทึมขั้นสูงของแมชชีนเลิร์นนิงที่ปรับเปลี่ยนตามรูปแบบการฉ้อโกงใหม่ๆ ได้ ศึกษาความสามารถของแมชชีนเลิร์นนิงในโซลูชันที่คุณกําลังพิจารณา ซึ่งรวมถึงอัลกอริทึมที่ใช้ ความถี่ในการอัปเดตโมเดล และกระบวนการรับผลการดำเนินการ เพื่อให้เพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง

  • อินเทอร์เฟซผู้ใช้และการใช้งาน: เลือกโซลูชันการจัดการการฉ้อโกงที่มีอินเทอร์เฟซที่ใช้ง่ายเพื่อลดเวลาในการฝึกฝนและลดขั้นตอนการเรียนรู้

  • การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย: ในขณะที่การเลือกตัวเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุดอาจเป็นเรื่องน่าดึงดูด แต่โซลูชันที่มีค่าใช้จ่ายต่ำอาจไม่มีฟีเจอร์ตามที่คุณต้องการทั้งหมด ให้พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและ ROI ในระยะยาว ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับกิจกรรมที่มีโอกาสเป็นการฉ้อโกง ซึ่งระบบที่มีค่าบริการถูกกว่าและมีประสิทธิภาพน้อยกว่าอาจตรวจไม่พบ

  • การปรับแต่งและความยืดหยุ่น: มองหาระบบจัดการการฉ้อโกงที่ช่วยให้คุณปรับการตั้งค่า พารามิเตอร์ และแม้แต่แดชบอร์ดที่แสดงข้อมูลเป็นภาพให้เหมาะกับความต้องการของคุณ

  • การปฏิบัติตามกฎหมายและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: ดูแลให้ระบบเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ (โดยเฉพาะกฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ GDPR) หากคุณดําเนินธุรกิจหรือให้บริการลูกค้าในสหภาพยุโรป) ดูว่าระบบจัดเก็บ ประมวลผล และส่งข้อมูลอย่างไร รวมทั้งดูว่าระบบได้รับการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดเป็นประจําหรือไม่

  • การรีวิวและการอ้างอิงจากบุคคลที่สาม: ค้นหาการรีวิวจริงและขอข้อมูลอ้างอิงจากลูกค้า บางครั้งข้อมูลเชิงลึกจากธุรกิจในอุตสาหกรรมที่คล้ายกันอาจเปิดเผยข้อมูลสําคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งคุณไม่สามารถรวบรวมจากเอกสารได้

  • การสนับสนุนหลังการขาย: การสนับสนุนหลังจากการติดตั้งใช้งานมีความสําคัญพอๆ กับตัวผลิตภัณฑ์เอง ดูระดับการสนับสนุนที่ผู้ให้บริการมอบให้ และดูว่าการสนับสนุนนั้นมอบให้ผ่านแหล่งข้อมูลออนไลน์ มีทีมสนับสนุนเฉพาะ หรือการตรวจสอบประสิทธิภาพตามรอบระยะเวลาหรือไม่

  • สัญญาณเตือน: โปรดระมัดระวังโซลูชันที่โฆษณาเกินจริง แต่ไม่มีกรณีการใช้งานที่สำเร็จที่จัดเก็บเป็นทางการ รวมถึงแพลตฟอร์มที่ไม่มีการคิดค่าบริการที่โปร่งใสหรือไม่มีแผนรองรับข้อจํากัดของเทคโนโลยีของตน

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้อย่างเป็นระบบ คุณจะสามารถเลือกโซลูชันจัดการการฉ้อโกงที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการปฏิบัติงานและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

Stripe จะช่วยได้อย่างไร

นอกจาก Radar ซึ่งเป็นโซลูชันหลักด้านการป้องกันการฉ้อโกงแล้ว Stripe ยังมอบชุดโซลูชันที่ครอบคลุมเพื่อช่วยให้ธุรกิจรับมือกับความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงได้ ตัวอย่างเครื่องมือและฟีเจอร์ของ Stripe ที่จะช่วยป้องกันการฉ้อโกงและการลดการฉ้อโกงได้ มีดังนี้

  • Stripe Elements: Elements คือชุดคอมโพเนนต์ UI และวิดเจ็ตสําเร็จรูปที่ช่วยลดการฉ้อโกงด้วยการรวบรวมข้อมูลการชําระเงินที่ละเอียดอ่อนจากลูกค้าโดยตรง

  • 3D Secure: 3D Secure คือการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมอีกชั้นสําหรับธุรกรรมบัตรเครดิตและบัตรเดบิต เมื่อเปิดใช้งาน 3D Secure เจ้าของบัตรจะต้องป้อนรายละเอียดการตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมเพื่อทําการซื้อ เพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง และลดโอกาสในการเกิดธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง

  • 3D Secure แบบไดนามิก: 3D Secure แบบไดนามิกจะกําหนดว่าเมื่อใดควรใช้ 3D Secure ตามระดับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจได้รับประโยชน์จากความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามาของฟีเจอร์นี้ โดยไม่ได้กำหนดให้ลูกค้าทุกคนต้องทำขั้นตอนการยืนยันเพิ่มเติม

  • การแปลงเป็นโทเค็น: ขั้นตอนการแปลงเป็นโทเค็นของ Stripe ช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น หมายเลขบัตร จะเปลี่ยนเป็นรหัสระบุที่ไม่ซ้ำกัน (โทเค็น) การดําเนินการนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่มิจฉาชีพจะแทรกแซงและขโมยข้อมูลการชําระเงินได้ เนื่องจากรายละเอียดของบัตรไม่ถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของธุรกิจ

  • Webhook: Webhook มอบการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในบัญชี Stripe ของธุรกิจ รวมถึงกิจกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกง วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจดําเนินการกับกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ทันที

  • Stripe Connect: สําหรับแพลตฟอร์มที่จัดการการชําระเงินในนามของธุรกิจอื่นๆ Stripe Connect จะมอบการติดตามเพื่อตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติในธุรกรรม วิธีนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์มระบุและป้องกันการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นได้

  • การตรวจสอบด้วยตนเอง: แม้ระบบอัตโนมัติจะมีความสําคัญอย่างยิ่ง แต่ Stripe ช่วยให้ธุรกิจตรวจสอบธุรกรรมที่น่าสงสัยด้วยตนเองได้ นอกจากนี้ Stripe ยังเก็บบันทึกข้อมูลลูกค้าและประวัติธุรกรรมอย่างละเอียดไว้เพื่อใช้ตรวจสอบ

  • การจัดการการโต้แย้งการชําระเงิน: หากลูกค้ายื่นการดึงเงินคืน หรือการโต้แย้งการเรียกเก็บเงิน Stripe จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการโต้แย้งการชําระเงินและคําแนะนําเกี่ยวกับวิธีที่ธุรกิจสามารถจัดการได้ การทําเช่นนี้จะช่วยลดโอกาสของการตัดสินใจธุรกิจแพ้

  • ข้อมูลและการรายงาน: แดชบอร์ดและ API ของ Stripe ให้ข้อมูลธุรกรรมโดยละเอียดที่ธุรกิจต่างๆ ใช้เพื่อวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรม ตรวจจับสิ่งผิดปกติ และปรับปรุงกลยุทธ์ตรวจจับการฉ้อโกงได้ในช่วงเวลาต่างๆ

  • การเชื่อมต่อการทํางานกับเครื่องมือภายนอก: Stripe ได้รับการออกแบบมาเพื่อทํางานร่วมกับเครื่องมือตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงของบริษัทอื่นได้อย่างราบรื่น วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มความสามารถในตัวของ Stripe ด้วยโซลูชันเฉพาะทางได้หากต้องการ

ซึ่งเครื่องมือและฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้เกิดเฟรมเวิร์กการป้องกันและลดการฉ้อโกงแบบองค์รวม ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปกป้องระบบตนเองและลูกค้าจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Stripe Radar ใช้เครื่องมือแมชชีนเลิร์นนิงที่เรียนรู้ข้อมูลจากบริษัทชั้นนําทั่วโลกเพื่อตรวจจับการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น อัลกอริทึมแมชชีนเลิร์นนิงของ Radar ได้รับการประเมินจากธุรกรรมใน 197 ประเทศ โดยนําเสนอมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกิจกรรมในภูมิภาคต่างๆ และความเชี่ยวชาญในขอบเขตที่กว้างซึ่งตรวจจับการฉ้อโกงได้

และ Stripe Radar ยังมีความแม่นยํามากกว่าตัวเลือกในการจัดการการฉ้อโกงบางรูปแบบ โดยมีอัตราที่ Radar จะบล็อกการชําระเงินที่ถูกต้องโดยไม่ได้ตั้งใจเพียง 0.1% จากหลายพันล้านรายการ โดยจะรับข้อมูลจากสแต็กการเงินทั้งหมด รวมถึงรายละเอียดการชําระเงินและข้อมูลจากบริษัทด้านการชำระเงินรายใหญ่ อย่างเช่น Visa, Mastercard และ American Express

ฟีเจอร์หลักของ Stripe Radar มีดังนี้

  • การใช้งานข้อมูลขั้นตอนการชําระเงิน: วิธีนี้จะช่วยให้เครื่องมือการชําระเงินของ Stripe ระบุรูปแบบโดยอัตโนมัติ เช่น เส้นทางลูกค้าแบบละเอียดที่อาจบ่งบอกถึงจุดประสงค์ที่เป็นการฉ้อโกง
  • การปรับเปลี่ยนเป็นระยะ: ฟีเจอร์นี้ใช้การปรับเปลี่ยนแบบไดนามิกเพื่อตรวจจับการฉ้อโกงใหม่ๆ และการปรับปรุงอัลกอริทึมให้สอดคล้องกัน เพื่อกําหนดแอตทริบิวต์ที่เหมาะสมที่สุดสําหรับการตรวจจับการฉ้อโกง
  • การประเมินสัญญาณเตือน: Radar จะประเมินสัญญาณจํานวนมากเพื่อสร้างโปรไฟล์อุปกรณ์โดยละเอียด ช่วยให้ระบุอุปกรณ์ที่น่าสงสัยและการทํางานที่ผิดปกติได้
  • การใช้ข้อมูลในอดีต: Radar ใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อรับรู้รูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ช่วยเร่งการระบุกลยุทธ์หรือแหล่งที่มาที่เป็นการฉ้อโกงซึ่งระบบทราบ
  • เทคนิคการตรวจจับ: ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การตรวจหาพร็อกซีเพื่อตรวจจับการปลอมแปลง IP หรือการใช้พร็อกซีที่ผิดปกติ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นสัญญาณเตือนสําหรับการฉ้อโกง
  • การใช้วิธีที่มีสัญญาณหลายแบบ: วิธีนี้จะเพิ่มความแม่นยําของการคาดการณ์การฉ้อโกง
  • เครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับการฉ้อโกงโดยเฉพาะ เครื่องมือเหล่านี้ประกอบด้วยฟีเจอร์ที่แสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบและให้ข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพการจัดการการฉ้อโกงและอัตราการโต้แย้งการชําระเงินมากที่สุด
  • การปรับแต่ง: ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ธุรกิจตั้งค่ากฎที่ออกแบบเองเพื่อเน้น บล็อก หรือกําหนดให้มีการยืนยันเพิ่มเติมสําหรับธุรกรรมบางรายการ วิธีนี้จะช่วยปรับแต่งการป้องกันให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจแต่ละแห่ง
  • ฟีเจอร์สําหรับรายการที่บล็อกและรายการที่อนุญาต: ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ติดตามลูกค้าที่ดำเนินการถูกต้องหรือลูกค้าที่ถูกบล็อกจากการดําเนินการในอดีตได้
  • การเชื่อมต่อการทํางานสําหรับโมเดลการฉ้อโกงแบบครบวงจร: วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจผสานข้อมูลการฉ้อโกงเข้ากับชุดข้อมูลที่ครอบคลุมของ Radar ได้

Radar ของ Stripe ซึ่งผสมผสานทั้งแมชชีนเลิร์นนิง แหล่งข้อมูลที่ครอบคลุม และอัลกอริทึมที่ปรับเปลี่ยนได้นั้นมีประสิทธิภาพสูงในการตรวจจับและบล็อกธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Radar

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Radar

Radar

ต้านการฉ้อโกงด้วยประสิทธิภาพที่ทรงพลังของเครือข่าย Stripe

Stripe Docs เกี่ยวกับ Radar

ใช้ Stripe Radar เพื่อปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกง