วิธีรับบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. วิธีรับบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    1. 1. เลือกผู้ให้บริการชำระเงิน (PSP)
    2. 2. จัดตั้งบัญชีผู้ค้า
    3. 3. ผสานการทำงานเกตเวย์การชำระเงิน
    4. 4. จัดหาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกรรมที่จุดขาย
    5. 5. พิจารณาการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการรักษาความปลอดภัย
  3. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าบริการ
    2. มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
    3. การประมวลผลการชำระเงิน
    4. ประสบการณ์ของลูกค้า
    5. การจัดการทางการเงิน
    6. การปรับปรุงและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
  4. ประเภทการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
    1. ธุรกรรมแบบรูดบัตร (แถบแม่เหล็ก)
    2. ธุรกรรมแบบเสียบ (บัตรติดชิป EMV)
    3. ธุรกรรมแบบแตะบัตร (แบบไร้สัมผัส)
    4. ธุรกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัล
    5. ธุรกรรมออนไลน์และธุรกรรมแบบไม่ต้องแสดงบัตร (CNP)
  5. วิธีการทำงานของการประมวลผลบัตรเครดิต
  6. Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง

สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ การรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเป็นสิ่งที่จำเป็น การรับบัตรเครดิตเปิดประตูสู่ฐานลูกค้าที่กว้างขวาง โดยมีบัตร Visa 4.8 พันล้านใบหมุนเวียนอยู่ทั่วโลกในปี 2024 ธุรกิจที่รับบัตรเครดิตสามารถเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงที่ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ พร้อมทั้งได้รับประโยชน์จากเครื่องมือตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงขั้นสูงที่ผู้ประมวลผลบัตรเครดิตมีให้

ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายวิธีรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตในฐานะธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงประเภทการชำระเงินด้วยบัตรและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งค่าและดูแลรักษาระบบประมวลผลการชำระเงิน

เนื้อหาหลักในบทความ

  • วิธีรับบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
  • ประเภทการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
  • วิธีการทำงานของการประมวลผลบัตรเครดิต
  • Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง

วิธีรับบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

1. เลือกผู้ให้บริการชำระเงิน (PSP)

PSP ทำหน้าที่เชื่อมโยงธุรกิจ ลูกค้า สถาบันการเงิน และเครือข่ายบัตรเพื่อประมวลผลการชำระเงินออนไลน์ ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เมื่อเลือกใช้ PSP

  • แนวโน้มตลาด: สำรวจแนวโน้มเกี่ยวกับการประมวลผลการชำระเงิน รวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่และความต้องการด้านการชำระเงินของลูกค้า

  • การสนับสนุนทางเทคนิค: ตรวจสอบระดับการให้บริการสนับสนุนทางเทคนิคของ PSP ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น บริการสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ฝ่ายบริการลูกค้าที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงความเชี่ยวชาญทางเทคนิคจะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและช่วยรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ

  • การปรับแต่งและความสามารถในการขยาย: ประเมินว่า PSP อนุญาตให้ปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจหรือไม่ และมีฟังก์ชันในการขยายขนาดไปพร้อมกับธุรกิจหรือไม่

  • ความคิดเห็นจากลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญ: เข้าร่วมฟอรัม ติดต่อธุรกิจอื่นๆ ที่ใช้ PSP เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

  • ฟีเจอร์ที่มีให้บริการ: ตรวจสอบฟีเจอร์ของ PSP แต่ละรายอย่างละเอียด ผู้ให้บริการรองรับธุรกรรมหลายสกุลเงินหรือมีเครื่องมือจัดทำรายงานหรือไม่ อินเทอร์เฟซใช้งานง่ายหรือไม่ สามารถผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์การบัญชีหรือระบบการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ของคุณได้หรือไม่

2. จัดตั้งบัญชีผู้ค้า

บัญชีผู้ค้า คือบัญชีธนาคารเฉพาะทางที่ธุรกิจใช้รับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่พักยอดเงินจากธุรกรรมผ่านบัตรก่อนที่จะโอนไปยังบัญชีธนาคารของธุรกิจ

PSP บางราย เช่น Stripe ผนวกบัญชีผู้ค้าเข้ากับบริการต่างๆ ทำให้ธุรกิจไม่จำเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ค้าเอง ซึ่งทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้นและช่วยลดภาระด้านการบริหารจัดการ

หากต้องการใช้บัญชีผู้ค้า มีประเด็นที่ควรพิจารณาดังนี้

  • ความสอดคล้องกับโมเดลธุรกิจ: มองหาผู้ให้บริการที่เข้าใจโมเดลธุรกิจของคุณ การได้ผู้ให้บริการที่เหมาะสมจะทำให้ได้รับเงื่อนไขน่าพึงพอใจมากขึ้นและทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

  • การเตรียมการสมัคร: เมื่อสมัครบัญชีผู้ค้า ให้เตรียมข้อมูลทางธุรกิจที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงแผนธุรกิจ สถานะทางการเงิน ยอดขายที่คาดการณ์ไว้ และกลยุทธ์ลดการฉ้อโกง เพื่อแสดงให้ผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้าเห็นว่าเป็นพันธมิตรธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและยังช่วยให้ได้รับเงื่อนไขบริการที่ดีขึ้นอีกด้วย

  • ปัจจัยในการพิจารณาอนุมัติ: ทำความเข้าใจว่าปัจจัยใดบ้างส่งผลต่อการอนุมัติการสมัครใช้บริการ เช่น ประวัติสินเชื่อ ประเภทอุตสาหกรรม และปริมาณการขาย ให้จัดการกับสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นปัญหา

  • ความต้องการในอนาคต: พิจารณาดูว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือโมเดลธุรกิจคุณจะส่งผลต่อความต้องการด้านบัญชีผู้ค้าอย่างไร และดูให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

3. ผสานการทำงานเกตเวย์การชำระเงิน

เกตเวย์การชำระเงินคือเทคโนโลยีที่ธุรกิจใช้รับการชำระเงินจากการซื้อด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตของลูกค้า ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างเว็บไซต์ของธุรกิจกับธนาคารที่รับชำระ และส่งข้อมูลการชำระเงินที่ละเอียดอ่อนอย่างปลอดภัย

เมื่อเลือกเกตเวย์การชำระเงิน ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้

  • ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัย: ประเมินฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยของเกตเวย์การชำระเงิน ซึ่งรวมถึงการเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็น

  • ความสะดวกในการผสานการทำงาน: ศึกษาว่าการผสานการทำงานเกตเวย์การชำระเงินเข้ากับระบบต้องมีขั้นตอนหรือองค์ประกอบใดบ้าง การผสานการทำงานที่เรียบง่ายจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดการหยุดชะงักในการปฏิบัติงานให้เหลือน้อยที่สุด ทำงานร่วมกับทีมพัฒนาเว็บหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอกอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินการผสานการทำงานทางเทคนิค โดยมุ่งเน้นด้านต่างๆ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) การเข้ารหัสข้อมูล และกลไกการจัดการข้อผิดพลาด

  • ประโยชน์จากการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม: มองหา PSP ที่มีโซลูชันการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมที่สามารถเชื่อมต่อช่องทางการขายภายในร้าน อุปกรณ์เคลื่อนที่ และช่องทางการขายออนไลน์ของคุณ ซึ่งจะสร้างมุมมองการโต้ตอบกับลูกค้าแบบองค์รวม และสามารถส่งมอบบริการและทำการตลาดแบบกำหนดเป้าหมายได้ดีขึ้น

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: มองหาขั้นตอนการชำระเงินที่ใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา ซึ่งลดจำนวนขั้นตอนที่ต้องใช้ในการทำธุรกรรมให้เสร็จและทำงานบนแพลตฟอร์มมือถือกับเว็บได้ด้วย

  • ประสิทธิภาพการทำงาน: ทำการทดสอบอย่างละเอียดซึ่งรวมการทดสอบสถานการณ์ต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมไม่สำเร็จ การคืนเงิน และการดึงเงินคืน เพื่อยืนยันว่าระบบสามารถทำงานได้ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ

4. จัดหาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกรรมที่จุดขาย

เมื่อเลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกรรมที่จุดขาย ให้พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้

  • ข้อพิจารณาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ที่จุดขาย: เมื่อเลือกฮาร์ดแวร์สำหรับธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตที่จุดขาย ควรพิจารณาถึงความทนทาน ความง่ายในการใช้งาน ความเข้ากันได้กับบัตรประเภทต่างๆ (เช่น ชิป แถบแม่เหล็ก NFC) และอายุแบตเตอรี่ของอุปกรณ์เคลื่อนที่

  • การผสานการทำงานกับระบบออนไลน์: ระบบธุรกรรมที่จุดขายควรจะสามารถผสานการทำงานกับระบบออนไลน์ของคุณได้อย่างสมบูรณ์ โดยจะต้องซิงค์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และสามารถดูกิจกรรมของลูกค้าได้ในมุมมองเดียวกัน

  • การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง: มองหาผู้ให้บริการที่ให้การสนับสนุนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดปัญหาและหยุดทำงานน้อยที่สุดและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

  • การประเมินโซลูชันอย่างครอบคลุม: พิจารณาสภาพแวดล้อมของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยพิจารณาว่าส่วนประกอบต่างๆ ผสานการทำงานเข้ากันได้ดีเพียงใด การอัปเดตซอฟต์แวร์ทำได้ง่ายหรือไม่ ตลอดจนพิจารณาว่ามีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การจัดการสินค้าคงคลังหรือโปรแกรมสะสมคะแนนของลูกค้าหรือไม่

  • การซิงค์ข้อมูล: มองหาโซลูชันที่ซิงค์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ในทุกช่องทาง ซึ่งรวมถึงข้อมูลการขาย ระดับสินค้าคงคลัง และข้อมูลลูกค้า

  • รองรับอนาคต: เลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิธีการชำระเงินแบบใหม่ๆ รองรับการปฏิบัติตามข้อบังคับที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ และผสานการทำงานกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นได้ง่าย

5. พิจารณาการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการรักษาความปลอดภัย

ใช้แนวทางปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ เพื่อให้เท่าทันข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรมอยู่เสมอ

  • การอัปเดตเรื่องการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นประจำ: จัดทำกำหนดเวลาตรวจสอบและอัปเดตแนวทางการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นประจำ ซึ่งรวมถึงการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของ PCI DSS และทำการเปลี่ยนแปลงตามจำเป็นในเวลาที่เหมาะสม

  • แผนรับมือกับเหตุการณ์: จัดทำแผนรับมือกับเหตุการณ์การละเมิดด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นอย่างครอบคลุม แผนนี้ควรประกอบด้วยขั้นตอนการควบคุม สืบสวน แจ้งเตือน และฟื้นฟู รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบของทีม

  • การให้ความรู้พนักงานอย่างต่อเนื่อง: จัดทำโปรแกรมให้ความรู้พนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นเรื่องแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัย ภัยคุกคามใหม่ๆ และข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนด การฝึกอบรมเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์และช่วยรักษาวัฒนธรรมการตระหนักถึงความปลอดภัย

How to accept credit card payments - Three things you need to accept credit card payments: service provider, credit card terminal, and a POS system

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าบริการ

  • ค่าบริการแบบอัตราคงที่: ค่าธรรมเนียมที่คาดการณ์ได้และไม่ซับซ้อน (เช่น 2.6% และ $0.10 ต่อธุรกรรม) โมเดลค่าบริการแบบอัตราคงที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมน้อย (เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก) หรือธุรกิจใดก็ตามที่ต้องการอัตราค่าบริการที่โปร่งใสและคาดการณ์ได้ง่าย

  • ค่าบริการแบบ Interchange-plus: แยกย่อยค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร (ที่กำหนดโดยเครือข่ายบัตร) และการเพิ่มราคาของผู้ประมวลผล โมเดล Interchange-plus อาจช่วยลดต้นทุนสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมสูงหรือมีรูปแบบธุรกรรมที่หลากหลาย แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนอาจคาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากอัตราค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

  • ค่าบริการตามการชำระเงินตามรอบบิล: เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการคิดค่าบริการตามการเป็นสมาชิก โดยธุรกิจจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนบวกค่าใช้จ่ายคงที่ต่อธุรกรรม โมเดลการคิดค่าบริการตามการชำระเงินตามรอบบิลอาจถูกกว่าสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณการชำระเงินสูงกว่า เนื่องจากผู้ประมวลผลไม่ได้หักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย

ข้อมูลค่าธรรมเนียมและค่าบริการทั้งหมดของ Stripe อยู่ในเว็บไซต์

มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง

  • การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง (E2EE) และการแปลงเป็นโทเค็น: นอกจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดพื้นฐานของ PCI DSS แล้ว เทคนิค E2EE และการแปลงเป็นโทเค็นยังทำให้ข้อมูลของเจ้าของบัตรได้รับการเข้ารหัสในทุกจุดของขั้นตอนการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูลได้

  • การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA) สำหรับธุรกรรม: นำ MFA มาใช้กับธุรกรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการซื้อมูลค่าสูงหรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบัญชี ซึ่งจะเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง และลดความเสี่ยงในการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยเป็นประจำและการทดสอบการเจาะระบบ: ทำการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยอย่างละเอียดและจัดให้มีการทดสอบการเจาะระบบเป็นประจำ เพื่อระบุช่องโหว่ในระบบการประมวลผลการชำระเงินและแก้ไขก่อนที่มิจฉาชีพจะมีโอกาสใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เหล่านั้น

การประมวลผลการชำระเงิน

  • การแปลงสกุลเงินแบบไดนามิก (DCC): ให้บริการ DCC แก่ลูกค้าต่างประเทศเพื่อให้ลูกค้าดูราคาและชำระเงินเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของตนเองได้ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและอาจช่วยเพิ่มยอดขายจากตลาดต่างประเทศได้

  • ระบบกำหนดเส้นทางอัจฉริยะ: ใช้ระบบกำหนดเส้นทางอัจฉริยะเพื่อเลือกเกตเวย์การชำระเงินที่ดีที่สุดโดยอิงตามปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราความสำเร็จของธุรกรรม ค่าธรรมเนียมการประมวลผล และธนาคารผู้ออกบัตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการอนุมัติและลดต้นทุนได้

  • กลไกการแก้ไขข้อขัดข้อง: ใช้กลไกการแก้ไขข้อขัดข้องที่เปลี่ยนเส้นทางธุรกรรมอัตโนมัติไปยังผู้ประมวลผลรองหากระบบของผู้ประมวลผลหลักไม่ทำงาน เพื่อให้สามารถบริการได้ต่อเนื่องและลดการสูญเสียยอดขาย

ประสบการณ์ของลูกค้า

  • การชำระเงิน: ปรับปรุงกระบวนการชำระเงิน โดยการลดขั้นตอนและลดความยุ่งยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ พิจารณาตัวเลือกสำหรับการซื้อในคลิกเดียวและการจัดเก็บข้อมูลการชำระเงินของลูกค้าสำหรับธุรกรรมในอนาคต

  • การปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคล: ใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากขั้นตอนการชำระเงินเพื่อปรับแต่งประสบการณ์การซื้อที่เหมาะกับลูกค้าเฉพาะราย ซึ่งอาจรวมถึงข้อเสนอหรือคําแนะนำที่จัดให้เฉพาะโดยพิจารณาจากประวัติการซื้อ

  • การสื่อสาร: ให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับกระบวนการชำระเงิน โดยให้คำแนะนำที่ชัดเจนและคำติชมทันทีเกี่ยวกับสถานะธุรกรรม การสื่อสารที่โปร่งใสสามารถ ลดการดึงเงินคืนและเสริมสร้างความไว้วางใจของลูกค้า

การจัดการทางการเงิน

  • ค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: ทำความรู้จักกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร และนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้เพื่อให้มีสิทธิ์ได้รับอัตราค่าธรรมาเนียมที่ต่ําที่สุด

  • การดึงเงินคืน: จัดทำกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับการจัดการและการโต้แย้งการดึงเงินคืน ซึ่งควรจะประกอบด้วยการบันทึกรายการธุรกรรมอย่างละเอียด การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม และการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น บริการยืนยันที่อยู่ (AVS) และการตรวจสอบ รหัสยืนยันบัตร (CVV)

  • กระแสเงินสด: ใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการประมวลผลการชำระเงินเพื่อจัดการกระแสเงินสดของคุณให้ดียิ่งขึ้น การวิเคราะห์ช่วงเวลาการชำระรายการและการกระทบยอดการชำระเงินอย่างรวดเร็วจะช่วยให้คุณคาดการณ์และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การปรับปรุงและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

  • แนวโน้มอุตสาหกรรม: อุตสาหกรรมการชำระเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีล่าสุด การเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับ และความต้องการด้านการชำระเงินของลูกค้าเพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน

  • วงจรคำติชม: กำหนดกลไกเพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายในเกี่ยวกับขั้นตอนการชำระเงิน ใช้คำติชมนี้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์เกี่ยวกับการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง

  • การฝึกอบรมพนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานของคุณเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติปัจจุบันด้านการรักษาความปลอดภัยการประมวลผลการชำระเงินและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ทีมที่มีข้อมูลเพียงพอจะสามารถมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าและช่วยบรรเทาความเสี่ยงได้

ประเภทการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต

การชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทุกประเภทอาจมีกลไกการชำระเงินที่ไม่เหมือนกัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น ลูกค้าก็มีตัวเลือกมากขึ้นในการใช้บัตรเครดิต

ธุรกรรมแบบรูดบัตร (แถบแม่เหล็ก)

วิธีนี้คือการรูดบัตรผ่านเครื่องอ่านบัตรที่อ่านแถบแม่เหล็กที่อยู่ด้านหลังของบัตร ธุรกรรมประเภทนี้ซึ่งใช้ในระบบบันทึกการขาย (POS) ได้รับความนิยมน้อยลงเนื่องด้วยข้อกังวลด้านความปลอดภัย

  • การส่งข้อมูล: แถบแม่เหล็กบรรจุข้อมูลที่ประกอบด้วยชื่อเจ้าของบัตร หมายเลขบัญชี วันหมดอายุของบัตร และรหัสความปลอดภัย เมื่อลูกค้ารูดบัตร เครื่องอ่านบัตรจะบันทึกข้อมูลนี้เพื่อเริ่มกระบวนการทำธุรกรรม

  • แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรมแบบรูดบัตรถือว่าปลอดภัยน้อยกว่าเนื่องจากข้อมูลในแถบแม่เล็กมีลักษณะแบบคงที่ ทำให้ง่ายต่อการโคลนและการฉ้อโกง

ธุรกรรมแบบเสียบ (บัตรติดชิป EMV)

บัตรติดชิป EMV (Europay, Mastercard และ Visa) จะใช้เสียบลงในเครื่องอ่านบัตร ตัวชิปจะสื่อสารกับเทอร์มินัลและตรวจสอบสิทธิ์ธุรกรรม ธุรกรรมประเภทนี้เป็นมาตรฐานในหลายๆ ภูมิภาค โดยเฉพาะในกรณีที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับธุรกรรมที่มีการแสดงบัตร

  • การส่งข้อมูล: ชิปจะสร้างรหัสธุรกรรมที่ไม่ซ้ำกันในการชำระเงินแต่ละครั้ง

  • แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: การเข้ารหัสแบบไดนามิกทำให้มิจฉาชีพจำลองข้อมูลของบัตรได้ยาก ซึ่งช่วยลดการฉ้อโกงจากบัตรปลอมได้

ธุรกรรมแบบแตะบัตร (แบบไร้สัมผัส)

ธุรกรรมแบบไร้สัมผัสใช้การสื่อสารระยะใกล้ (NFC) หรือเทคโนโลยีระบุตัวตนด้วยความถี่วิทยุ (RFID) ซึ่งทำให้สามารถแตะบัตรกับเครื่องอ่านบัตรได้โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรง ธุรกรรมประเภทนี้เป็นที่นิยมในสภาพแวดล้อมที่เน้นความรวดเร็วและความสะดวกสบาย เช่น การค้าปลีกและการขนส่งสาธารณะ

  • การส่งข้อมูล: การชำระเงินแบบไร้สัมผัสจะส่งข้อมูลผ่านสัญญาณเข้ารหัส โดยออกรหัสที่ไม่ซ้ำกันสำหรับธุรกรรมแต่ละรายการเช่นเดียวกับธุรกรรม EMV

  • แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรมแบบไร้สัมผัสให้ความปลอดภัยในระดับสูงด้วยการเข้ารหัสและการสร้างรหัสที่ไม่ซ้ำกันสำหรับธุรกรรมแต่ละรายการ

ธุรกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัล

กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น Apple Pay, Google Wallet) จัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งลูกค้าสามารถใช้ชำระเงินผ่านเทคโนโลยี NFC ธุรกรรมประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในการทำธุรกรรมออนไลน์และที่หน้าร้านเนื่องจากใช้งานสะดวก

  • การส่งข้อมูล: เมื่อการชำระเงินเริ่มขึ้น กระเป๋าเงินดิจิทัลจะแปลงข้อมูลธุรกรรมเป็นโทเค็น ซึ่งเป็นการแทนที่รายละเอียดข้อมูลบัตรที่มีความละเอียดอ่อนด้วยรหัสดิจิทัลที่ไม่ซ้ำเพื่อระบุรายการธุรกรรม

  • แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัลมีความปลอดภัยในระดับสูงด้วยเทคนิคการแปลงข้อมูลเป็นโทเค็นและการยืนยันด้วยไบโอเมตริก (เช่น ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า) บนอุปกรณ์ของผู้ใช้

ธุรกรรมออนไลน์และธุรกรรมแบบไม่ต้องแสดงบัตร (CNP)

ธุรกรรมแบบไม่ต้องแสดงบัตร หมายถึงการซื้อทางออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ซึ่งไม่มีการแสดงตัวบัตรต่อธุรกิจ ธุรกรรมประเภทนี้ใช้สำหรับอีคอมเมิร์ซ คำสั่งซื้อทางโทรศัพท์ และกรณีการชำระเงินระยะไกลทั้งหมดที่ธุรกิจไม่สามารถยืนยันตัวบัตรหรือเจ้าของบัตรแบบพบหน้าได้

  • การส่งข้อมูล: ลูกค้าป้อนรายละเอียดบัตรด้วยตนเอง และระบบจะส่งรายละเอียดเหล่านี้ไปยังธุรกิจเพื่อดำเนินการ

  • แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรม CNP มีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงสูงเนื่องจากไม่มีบัตรและเจ้าของบัตรปรากฏตัวจริง ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยและการเข้ารหัส Secure Sockets Layer (SSL)

วิธีการทำงานของการประมวลผลบัตรเครดิต

การประมวลผลบัตรเครดิตดำเนินการโดยเครือข่ายกิจการด้านการเงินและเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกันเพื่ออนุมัติและทำการชำระเงิน การประมวลผลมีวิธีการทำงานดังนี้

  • การเริ่มต้นการชำระเงิน: เมื่อลูกค้าทำการซื้อด้วยบัตรเครดิต ระบบ POS ของธุรกิจหรือเกตเวย์การชำระเงินออนไลน์จะบันทึกรายละเอียดธุรกรรม รวมถึงข้อมูลบัตรและยอดซื้อ

  • การอนุมัติ: รายละเอียดธุรกรรมจะส่งไปยังผู้ประมวลผลการชำระเงินของธุรกิจ และธนาคารผู้ออกบัตรจะตรวจสอบความถูกต้องของบัตร ยอดเงินที่ใช้ได้ และความเสี่ยงของการฉ้อโกง

  • การรวมเป็นชุด: เมื่อสิ้นสุดวันทำการ ธุรกิจจะส่งธุรกรรมที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดเป็นชุดเดียวไปให้ผู้ประมวลผลการชำระเงิน

  • การหักยอดและการชำระเงิน: ผู้ประมวลผลการชำระเงินจะส่งต่อธุรกรรมเป็นชุดไปยังเครือข่ายบัตร ซึ่งจะส่งต่อไปยังธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อดำเนินการชำระเงิน

  • ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย: ตลอดกระบวนการนี้ ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมจะประเมินค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม Interchange (ที่จ่ายให้กับธนาคารผู้ออกบัตร) ค่าธรรมเนียมการประเมิน (ที่จ่ายให้กับเครือข่ายบัตร) และค่าธรรมเนียมการประมวลผล (ที่จ่ายให้กับผู้ประมวลผลการชำระเงิน)

  • การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิตจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS)

  • การโต้แย้งการชำระเงินและการดึงเงินคืน: ในกรณีที่เจ้าของบัตรโต้แย้งธุรกรรมหรือธุรกรรมมีโอกาสเป็นการฉ้อโกง อาจมีการเริ่มขั้นตอนการดึงเงินคืน ธุรกิจจะต้องตอบสนองต่อการดึงเงินคืนด้วยหลักฐานสนับสนุนความถูกต้องของธุรกรรม ไม่เช่นนั้นก็อาจเสี่ยงที่จะเสียเงินดังกล่าวและต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง

Stripe Payments มอบโซลูชันการชำระเงินระดับโลกแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่บริษัทสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตไปจนถึงองค์กรระดับโลกรับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกได้

Stripe Payments ช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้

  • เพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์การชำระเงินของคุณ: สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและประหยัดเวลาในการทำงานวิศวกรรมได้หลายพันชั่วโมงด้วย UI การชำระเงินที่สร้างไว้ให้แล้ว, สิทธิ์เข้าถึงวิธีการชำระเงินมากกว่า 125 วิธี และ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สร้างโดย Stripe
  • ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายสกุลเงินด้วยตัวเลือกการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีให้บริการใน 195 ประเทศและกว่า 135 สกุลเงิน
  • รวมการชำระเงินที่จุดขายและทางออนไลน์ไว้ด้วยกัน: สร้างประสบการณ์การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมในช่องทางออนไลน์และที่จุดขายเพื่อปรับแต่งการโต้ตอบ ตอบแทนลูกค้าประจำ และเพิ่มรายรับ
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการชำระเงิน: เพิ่มรายรับด้วยเครื่องมือการชำระเงินที่กำหนดเองได้และปรับแต่งได้ง่ายๆ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบไม่ต้องเขียนโค้ดและความสามารถขั้นสูงเพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ
  • เดินหน้าได้เร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้เพื่อการเติบโต: สร้างบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อขยับขยายไปพร้อมกับคุณ โดยมีระยะเวลาให้บริการ 99.999% โดยแทบจะไม่หยุดทำงานเลย และมีความน่าเชื่อถือระดับแนวหน้าของวงการ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe Payments ช่วยให้คุณสามารถรับการชำระเงินออนไลน์และการชำระเงินที่จุดขายได้อย่างไร หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe