สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ การรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเป็นสิ่งที่จำเป็น การรับบัตรเครดิตเปิดประตูสู่ฐานลูกค้าที่กว้างขวาง โดยมีบัตร Visa 4.8 พันล้านใบหมุนเวียนอยู่ทั่วโลกในปี 2024 ธุรกิจที่รับบัตรเครดิตสามารถเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงที่ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ พร้อมทั้งได้รับประโยชน์จากเครื่องมือตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงขั้นสูงที่ผู้ประมวลผลบัตรเครดิตมีให้
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายวิธีรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตในฐานะธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงประเภทการชำระเงินด้วยบัตรและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งค่าและดูแลรักษาระบบประมวลผลการชำระเงิน
เนื้อหาหลักในบทความ
- วิธีรับบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- ประเภทการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
- วิธีการทำงานของการประมวลผลบัตรเครดิต
- Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง
วิธีรับบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
1. เลือกผู้ให้บริการชำระเงิน (PSP)
PSP ทำหน้าที่เชื่อมโยงธุรกิจ ลูกค้า สถาบันการเงิน และเครือข่ายบัตรเพื่อประมวลผลการชำระเงินออนไลน์ ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เมื่อเลือกใช้ PSP
แนวโน้มตลาด: สำรวจแนวโน้มเกี่ยวกับการประมวลผลการชำระเงิน รวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่และความต้องการด้านการชำระเงินของลูกค้า
การสนับสนุนทางเทคนิค: ตรวจสอบระดับการให้บริการสนับสนุนทางเทคนิคของ PSP ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น บริการสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ฝ่ายบริการลูกค้าที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงความเชี่ยวชาญทางเทคนิคจะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและช่วยรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ
การปรับแต่งและความสามารถในการขยาย: ประเมินว่า PSP อนุญาตให้ปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจหรือไม่ และมีฟังก์ชันในการขยายขนาดไปพร้อมกับธุรกิจหรือไม่
ความคิดเห็นจากลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญ: เข้าร่วมฟอรัม ติดต่อธุรกิจอื่นๆ ที่ใช้ PSP เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ฟีเจอร์ที่มีให้บริการ: ตรวจสอบฟีเจอร์ของ PSP แต่ละรายอย่างละเอียด ผู้ให้บริการรองรับธุรกรรมหลายสกุลเงินหรือมีเครื่องมือจัดทำรายงานหรือไม่ อินเทอร์เฟซใช้งานง่ายหรือไม่ สามารถผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์การบัญชีหรือระบบการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ของคุณได้หรือไม่
2. จัดตั้งบัญชีผู้ค้า
บัญชีผู้ค้า คือบัญชีธนาคารเฉพาะทางที่ธุรกิจใช้รับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่พักยอดเงินจากธุรกรรมผ่านบัตรก่อนที่จะโอนไปยังบัญชีธนาคารของธุรกิจ
PSP บางราย เช่น Stripe ผนวกบัญชีผู้ค้าเข้ากับบริการต่างๆ ทำให้ธุรกิจไม่จำเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ค้าเอง ซึ่งทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้นและช่วยลดภาระด้านการบริหารจัดการ
หากต้องการใช้บัญชีผู้ค้า มีประเด็นที่ควรพิจารณาดังนี้
ความสอดคล้องกับโมเดลธุรกิจ: มองหาผู้ให้บริการที่เข้าใจโมเดลธุรกิจของคุณ การได้ผู้ให้บริการที่เหมาะสมจะทำให้ได้รับเงื่อนไขน่าพึงพอใจมากขึ้นและทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การเตรียมการสมัคร: เมื่อสมัครบัญชีผู้ค้า ให้เตรียมข้อมูลทางธุรกิจที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงแผนธุรกิจ สถานะทางการเงิน ยอดขายที่คาดการณ์ไว้ และกลยุทธ์ลดการฉ้อโกง เพื่อแสดงให้ผู้ให้บริการบัญชีผู้ค้าเห็นว่าเป็นพันธมิตรธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและยังช่วยให้ได้รับเงื่อนไขบริการที่ดีขึ้นอีกด้วย
ปัจจัยในการพิจารณาอนุมัติ: ทำความเข้าใจว่าปัจจัยใดบ้างส่งผลต่อการอนุมัติการสมัครใช้บริการ เช่น ประวัติสินเชื่อ ประเภทอุตสาหกรรม และปริมาณการขาย ให้จัดการกับสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นปัญหา
ความต้องการในอนาคต: พิจารณาดูว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือโมเดลธุรกิจคุณจะส่งผลต่อความต้องการด้านบัญชีผู้ค้าอย่างไร และดูให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
3. ผสานการทำงานเกตเวย์การชำระเงิน
เกตเวย์การชำระเงินคือเทคโนโลยีที่ธุรกิจใช้รับการชำระเงินจากการซื้อด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตของลูกค้า ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างเว็บไซต์ของธุรกิจกับธนาคารที่รับชำระ และส่งข้อมูลการชำระเงินที่ละเอียดอ่อนอย่างปลอดภัย
เมื่อเลือกเกตเวย์การชำระเงิน ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัย: ประเมินฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยของเกตเวย์การชำระเงิน ซึ่งรวมถึงการเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็น
ความสะดวกในการผสานการทำงาน: ศึกษาว่าการผสานการทำงานเกตเวย์การชำระเงินเข้ากับระบบต้องมีขั้นตอนหรือองค์ประกอบใดบ้าง การผสานการทำงานที่เรียบง่ายจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดการหยุดชะงักในการปฏิบัติงานให้เหลือน้อยที่สุด ทำงานร่วมกับทีมพัฒนาเว็บหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอกอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินการผสานการทำงานทางเทคนิค โดยมุ่งเน้นด้านต่างๆ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) การเข้ารหัสข้อมูล และกลไกการจัดการข้อผิดพลาด
ประโยชน์จากการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม: มองหา PSP ที่มีโซลูชันการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมที่สามารถเชื่อมต่อช่องทางการขายภายในร้าน อุปกรณ์เคลื่อนที่ และช่องทางการขายออนไลน์ของคุณ ซึ่งจะสร้างมุมมองการโต้ตอบกับลูกค้าแบบองค์รวม และสามารถส่งมอบบริการและทำการตลาดแบบกำหนดเป้าหมายได้ดีขึ้น
ประสบการณ์ของผู้ใช้: มองหาขั้นตอนการชำระเงินที่ใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา ซึ่งลดจำนวนขั้นตอนที่ต้องใช้ในการทำธุรกรรมให้เสร็จและทำงานบนแพลตฟอร์มมือถือกับเว็บได้ด้วย
ประสิทธิภาพการทำงาน: ทำการทดสอบอย่างละเอียดซึ่งรวมการทดสอบสถานการณ์ต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมไม่สำเร็จ การคืนเงิน และการดึงเงินคืน เพื่อยืนยันว่าระบบสามารถทำงานได้ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ
4. จัดหาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกรรมที่จุดขาย
เมื่อเลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกรรมที่จุดขาย ให้พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
ข้อพิจารณาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ที่จุดขาย: เมื่อเลือกฮาร์ดแวร์สำหรับธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตที่จุดขาย ควรพิจารณาถึงความทนทาน ความง่ายในการใช้งาน ความเข้ากันได้กับบัตรประเภทต่างๆ (เช่น ชิป แถบแม่เหล็ก NFC) และอายุแบตเตอรี่ของอุปกรณ์เคลื่อนที่
การผสานการทำงานกับระบบออนไลน์: ระบบธุรกรรมที่จุดขายควรจะสามารถผสานการทำงานกับระบบออนไลน์ของคุณได้อย่างสมบูรณ์ โดยจะต้องซิงค์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และสามารถดูกิจกรรมของลูกค้าได้ในมุมมองเดียวกัน
การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง: มองหาผู้ให้บริการที่ให้การสนับสนุนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดปัญหาและหยุดทำงานน้อยที่สุดและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
การประเมินโซลูชันอย่างครอบคลุม: พิจารณาสภาพแวดล้อมของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยพิจารณาว่าส่วนประกอบต่างๆ ผสานการทำงานเข้ากันได้ดีเพียงใด การอัปเดตซอฟต์แวร์ทำได้ง่ายหรือไม่ ตลอดจนพิจารณาว่ามีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การจัดการสินค้าคงคลังหรือโปรแกรมสะสมคะแนนของลูกค้าหรือไม่
การซิงค์ข้อมูล: มองหาโซลูชันที่ซิงค์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ในทุกช่องทาง ซึ่งรวมถึงข้อมูลการขาย ระดับสินค้าคงคลัง และข้อมูลลูกค้า
รองรับอนาคต: เลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิธีการชำระเงินแบบใหม่ๆ รองรับการปฏิบัติตามข้อบังคับที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ และผสานการทำงานกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นได้ง่าย
5. พิจารณาการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการรักษาความปลอดภัย
ใช้แนวทางปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ เพื่อให้เท่าทันข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรมอยู่เสมอ
การอัปเดตเรื่องการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นประจำ: จัดทำกำหนดเวลาตรวจสอบและอัปเดตแนวทางการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นประจำ ซึ่งรวมถึงการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของ PCI DSS และทำการเปลี่ยนแปลงตามจำเป็นในเวลาที่เหมาะสม
แผนรับมือกับเหตุการณ์: จัดทำแผนรับมือกับเหตุการณ์การละเมิดด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นอย่างครอบคลุม แผนนี้ควรประกอบด้วยขั้นตอนการควบคุม สืบสวน แจ้งเตือน และฟื้นฟู รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบของทีม
การให้ความรู้พนักงานอย่างต่อเนื่อง: จัดทำโปรแกรมให้ความรู้พนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นเรื่องแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัย ภัยคุกคามใหม่ๆ และข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนด การฝึกอบรมเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์และช่วยรักษาวัฒนธรรมการตระหนักถึงความปลอดภัย
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าบริการ
ค่าบริการแบบอัตราคงที่: ค่าธรรมเนียมที่คาดการณ์ได้และไม่ซับซ้อน (เช่น 2.6% และ $0.10 ต่อธุรกรรม) โมเดลค่าบริการแบบอัตราคงที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมน้อย (เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก) หรือธุรกิจใดก็ตามที่ต้องการอัตราค่าบริการที่โปร่งใสและคาดการณ์ได้ง่าย
ค่าบริการแบบ Interchange-plus: แยกย่อยค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร (ที่กำหนดโดยเครือข่ายบัตร) และการเพิ่มราคาของผู้ประมวลผล โมเดล Interchange-plus อาจช่วยลดต้นทุนสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมสูงหรือมีรูปแบบธุรกรรมที่หลากหลาย แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนอาจคาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากอัตราค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
ค่าบริการตามการชำระเงินตามรอบบิล: เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการคิดค่าบริการตามการเป็นสมาชิก โดยธุรกิจจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนบวกค่าใช้จ่ายคงที่ต่อธุรกรรม โมเดลการคิดค่าบริการตามการชำระเงินตามรอบบิลอาจถูกกว่าสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณการชำระเงินสูงกว่า เนื่องจากผู้ประมวลผลไม่ได้หักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย
ข้อมูลค่าธรรมเนียมและค่าบริการทั้งหมดของ Stripe อยู่ในเว็บไซต์
มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
การเข้ารหัสจากต้นทางถึงปลายทาง (E2EE) และการแปลงเป็นโทเค็น: นอกจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดพื้นฐานของ PCI DSS แล้ว เทคนิค E2EE และการแปลงเป็นโทเค็นยังทำให้ข้อมูลของเจ้าของบัตรได้รับการเข้ารหัสในทุกจุดของขั้นตอนการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูลได้
การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA) สำหรับธุรกรรม: นำ MFA มาใช้กับธุรกรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการซื้อมูลค่าสูงหรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบัญชี ซึ่งจะเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง และลดความเสี่ยงในการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยเป็นประจำและการทดสอบการเจาะระบบ: ทำการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยอย่างละเอียดและจัดให้มีการทดสอบการเจาะระบบเป็นประจำ เพื่อระบุช่องโหว่ในระบบการประมวลผลการชำระเงินและแก้ไขก่อนที่มิจฉาชีพจะมีโอกาสใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เหล่านั้น
การประมวลผลการชำระเงิน
การแปลงสกุลเงินแบบไดนามิก (DCC): ให้บริการ DCC แก่ลูกค้าต่างประเทศเพื่อให้ลูกค้าดูราคาและชำระเงินเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของตนเองได้ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและอาจช่วยเพิ่มยอดขายจากตลาดต่างประเทศได้
ระบบกำหนดเส้นทางอัจฉริยะ: ใช้ระบบกำหนดเส้นทางอัจฉริยะเพื่อเลือกเกตเวย์การชำระเงินที่ดีที่สุดโดยอิงตามปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราความสำเร็จของธุรกรรม ค่าธรรมเนียมการประมวลผล และธนาคารผู้ออกบัตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการอนุมัติและลดต้นทุนได้
กลไกการแก้ไขข้อขัดข้อง: ใช้กลไกการแก้ไขข้อขัดข้องที่เปลี่ยนเส้นทางธุรกรรมอัตโนมัติไปยังผู้ประมวลผลรองหากระบบของผู้ประมวลผลหลักไม่ทำงาน เพื่อให้สามารถบริการได้ต่อเนื่องและลดการสูญเสียยอดขาย
ประสบการณ์ของลูกค้า
การชำระเงิน: ปรับปรุงกระบวนการชำระเงิน โดยการลดขั้นตอนและลดความยุ่งยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ พิจารณาตัวเลือกสำหรับการซื้อในคลิกเดียวและการจัดเก็บข้อมูลการชำระเงินของลูกค้าสำหรับธุรกรรมในอนาคต
การปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคล: ใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากขั้นตอนการชำระเงินเพื่อปรับแต่งประสบการณ์การซื้อที่เหมาะกับลูกค้าเฉพาะราย ซึ่งอาจรวมถึงข้อเสนอหรือคําแนะนำที่จัดให้เฉพาะโดยพิจารณาจากประวัติการซื้อ
การสื่อสาร: ให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับกระบวนการชำระเงิน โดยให้คำแนะนำที่ชัดเจนและคำติชมทันทีเกี่ยวกับสถานะธุรกรรม การสื่อสารที่โปร่งใสสามารถ ลดการดึงเงินคืนและเสริมสร้างความไว้วางใจของลูกค้า
การจัดการทางการเงิน
ค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: ทำความรู้จักกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร และนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้เพื่อให้มีสิทธิ์ได้รับอัตราค่าธรรมาเนียมที่ต่ําที่สุด
การดึงเงินคืน: จัดทำกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับการจัดการและการโต้แย้งการดึงเงินคืน ซึ่งควรจะประกอบด้วยการบันทึกรายการธุรกรรมอย่างละเอียด การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม และการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น บริการยืนยันที่อยู่ (AVS) และการตรวจสอบ รหัสยืนยันบัตร (CVV)
กระแสเงินสด: ใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการประมวลผลการชำระเงินเพื่อจัดการกระแสเงินสดของคุณให้ดียิ่งขึ้น การวิเคราะห์ช่วงเวลาการชำระรายการและการกระทบยอดการชำระเงินอย่างรวดเร็วจะช่วยให้คุณคาดการณ์และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การปรับปรุงและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มอุตสาหกรรม: อุตสาหกรรมการชำระเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีล่าสุด การเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับ และความต้องการด้านการชำระเงินของลูกค้าเพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน
วงจรคำติชม: กำหนดกลไกเพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายในเกี่ยวกับขั้นตอนการชำระเงิน ใช้คำติชมนี้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์เกี่ยวกับการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง
การฝึกอบรมพนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานของคุณเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติปัจจุบันด้านการรักษาความปลอดภัยการประมวลผลการชำระเงินและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ทีมที่มีข้อมูลเพียงพอจะสามารถมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าและช่วยบรรเทาความเสี่ยงได้
ประเภทการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
การชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทุกประเภทอาจมีกลไกการชำระเงินที่ไม่เหมือนกัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น ลูกค้าก็มีตัวเลือกมากขึ้นในการใช้บัตรเครดิต
ธุรกรรมแบบรูดบัตร (แถบแม่เหล็ก)
วิธีนี้คือการรูดบัตรผ่านเครื่องอ่านบัตรที่อ่านแถบแม่เหล็กที่อยู่ด้านหลังของบัตร ธุรกรรมประเภทนี้ซึ่งใช้ในระบบบันทึกการขาย (POS) ได้รับความนิยมน้อยลงเนื่องด้วยข้อกังวลด้านความปลอดภัย
การส่งข้อมูล: แถบแม่เหล็กบรรจุข้อมูลที่ประกอบด้วยชื่อเจ้าของบัตร หมายเลขบัญชี วันหมดอายุของบัตร และรหัสความปลอดภัย เมื่อลูกค้ารูดบัตร เครื่องอ่านบัตรจะบันทึกข้อมูลนี้เพื่อเริ่มกระบวนการทำธุรกรรม
แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรมแบบรูดบัตรถือว่าปลอดภัยน้อยกว่าเนื่องจากข้อมูลในแถบแม่เล็กมีลักษณะแบบคงที่ ทำให้ง่ายต่อการโคลนและการฉ้อโกง
ธุรกรรมแบบเสียบ (บัตรติดชิป EMV)
บัตรติดชิป EMV (Europay, Mastercard และ Visa) จะใช้เสียบลงในเครื่องอ่านบัตร ตัวชิปจะสื่อสารกับเทอร์มินัลและตรวจสอบสิทธิ์ธุรกรรม ธุรกรรมประเภทนี้เป็นมาตรฐานในหลายๆ ภูมิภาค โดยเฉพาะในกรณีที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับธุรกรรมที่มีการแสดงบัตร
การส่งข้อมูล: ชิปจะสร้างรหัสธุรกรรมที่ไม่ซ้ำกันในการชำระเงินแต่ละครั้ง
แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: การเข้ารหัสแบบไดนามิกทำให้มิจฉาชีพจำลองข้อมูลของบัตรได้ยาก ซึ่งช่วยลดการฉ้อโกงจากบัตรปลอมได้
ธุรกรรมแบบแตะบัตร (แบบไร้สัมผัส)
ธุรกรรมแบบไร้สัมผัสใช้การสื่อสารระยะใกล้ (NFC) หรือเทคโนโลยีระบุตัวตนด้วยความถี่วิทยุ (RFID) ซึ่งทำให้สามารถแตะบัตรกับเครื่องอ่านบัตรได้โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรง ธุรกรรมประเภทนี้เป็นที่นิยมในสภาพแวดล้อมที่เน้นความรวดเร็วและความสะดวกสบาย เช่น การค้าปลีกและการขนส่งสาธารณะ
การส่งข้อมูล: การชำระเงินแบบไร้สัมผัสจะส่งข้อมูลผ่านสัญญาณเข้ารหัส โดยออกรหัสที่ไม่ซ้ำกันสำหรับธุรกรรมแต่ละรายการเช่นเดียวกับธุรกรรม EMV
แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรมแบบไร้สัมผัสให้ความปลอดภัยในระดับสูงด้วยการเข้ารหัสและการสร้างรหัสที่ไม่ซ้ำกันสำหรับธุรกรรมแต่ละรายการ
ธุรกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัล
กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น Apple Pay, Google Wallet) จัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งลูกค้าสามารถใช้ชำระเงินผ่านเทคโนโลยี NFC ธุรกรรมประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในการทำธุรกรรมออนไลน์และที่หน้าร้านเนื่องจากใช้งานสะดวก
การส่งข้อมูล: เมื่อการชำระเงินเริ่มขึ้น กระเป๋าเงินดิจิทัลจะแปลงข้อมูลธุรกรรมเป็นโทเค็น ซึ่งเป็นการแทนที่รายละเอียดข้อมูลบัตรที่มีความละเอียดอ่อนด้วยรหัสดิจิทัลที่ไม่ซ้ำเพื่อระบุรายการธุรกรรม
แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรมกระเป๋าเงินดิจิทัลมีความปลอดภัยในระดับสูงด้วยเทคนิคการแปลงข้อมูลเป็นโทเค็นและการยืนยันด้วยไบโอเมตริก (เช่น ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า) บนอุปกรณ์ของผู้ใช้
ธุรกรรมออนไลน์และธุรกรรมแบบไม่ต้องแสดงบัตร (CNP)
ธุรกรรมแบบไม่ต้องแสดงบัตร หมายถึงการซื้อทางออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ซึ่งไม่มีการแสดงตัวบัตรต่อธุรกิจ ธุรกรรมประเภทนี้ใช้สำหรับอีคอมเมิร์ซ คำสั่งซื้อทางโทรศัพท์ และกรณีการชำระเงินระยะไกลทั้งหมดที่ธุรกิจไม่สามารถยืนยันตัวบัตรหรือเจ้าของบัตรแบบพบหน้าได้
การส่งข้อมูล: ลูกค้าป้อนรายละเอียดบัตรด้วยตนเอง และระบบจะส่งรายละเอียดเหล่านี้ไปยังธุรกิจเพื่อดำเนินการ
แง่มุมด้านการรักษาความปลอดภัย: ธุรกรรม CNP มีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงสูงเนื่องจากไม่มีบัตรและเจ้าของบัตรปรากฏตัวจริง ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยและการเข้ารหัส Secure Sockets Layer (SSL)
วิธีการทำงานของการประมวลผลบัตรเครดิต
การประมวลผลบัตรเครดิตดำเนินการโดยเครือข่ายกิจการด้านการเงินและเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกันเพื่ออนุมัติและทำการชำระเงิน การประมวลผลมีวิธีการทำงานดังนี้
การเริ่มต้นการชำระเงิน: เมื่อลูกค้าทำการซื้อด้วยบัตรเครดิต ระบบ POS ของธุรกิจหรือเกตเวย์การชำระเงินออนไลน์จะบันทึกรายละเอียดธุรกรรม รวมถึงข้อมูลบัตรและยอดซื้อ
การอนุมัติ: รายละเอียดธุรกรรมจะส่งไปยังผู้ประมวลผลการชำระเงินของธุรกิจ และธนาคารผู้ออกบัตรจะตรวจสอบความถูกต้องของบัตร ยอดเงินที่ใช้ได้ และความเสี่ยงของการฉ้อโกง
การรวมเป็นชุด: เมื่อสิ้นสุดวันทำการ ธุรกิจจะส่งธุรกรรมที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดเป็นชุดเดียวไปให้ผู้ประมวลผลการชำระเงิน
การหักยอดและการชำระเงิน: ผู้ประมวลผลการชำระเงินจะส่งต่อธุรกรรมเป็นชุดไปยังเครือข่ายบัตร ซึ่งจะส่งต่อไปยังธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อดำเนินการชำระเงิน
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย: ตลอดกระบวนการนี้ ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมจะประเมินค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม Interchange (ที่จ่ายให้กับธนาคารผู้ออกบัตร) ค่าธรรมเนียมการประเมิน (ที่จ่ายให้กับเครือข่ายบัตร) และค่าธรรมเนียมการประมวลผล (ที่จ่ายให้กับผู้ประมวลผลการชำระเงิน)
การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิตจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS)
การโต้แย้งการชำระเงินและการดึงเงินคืน: ในกรณีที่เจ้าของบัตรโต้แย้งธุรกรรมหรือธุรกรรมมีโอกาสเป็นการฉ้อโกง อาจมีการเริ่มขั้นตอนการดึงเงินคืน ธุรกิจจะต้องตอบสนองต่อการดึงเงินคืนด้วยหลักฐานสนับสนุนความถูกต้องของธุรกรรม ไม่เช่นนั้นก็อาจเสี่ยงที่จะเสียเงินดังกล่าวและต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe Payments มอบโซลูชันการชำระเงินระดับโลกแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่บริษัทสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตไปจนถึงองค์กรระดับโลกรับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกได้
Stripe Payments ช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์การชำระเงินของคุณ: สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและประหยัดเวลาในการทำงานวิศวกรรมได้หลายพันชั่วโมงด้วย UI การชำระเงินที่สร้างไว้ให้แล้ว, สิทธิ์เข้าถึงวิธีการชำระเงินมากกว่า 125 วิธี และ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สร้างโดย Stripe
- ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายสกุลเงินด้วยตัวเลือกการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีให้บริการใน 195 ประเทศและกว่า 135 สกุลเงิน
- รวมการชำระเงินที่จุดขายและทางออนไลน์ไว้ด้วยกัน: สร้างประสบการณ์การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมในช่องทางออนไลน์และที่จุดขายเพื่อปรับแต่งการโต้ตอบ ตอบแทนลูกค้าประจำ และเพิ่มรายรับ
- ปรับปรุงประสิทธิภาพการชำระเงิน: เพิ่มรายรับด้วยเครื่องมือการชำระเงินที่กำหนดเองได้และปรับแต่งได้ง่ายๆ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบไม่ต้องเขียนโค้ดและความสามารถขั้นสูงเพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ
- เดินหน้าได้เร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้เพื่อการเติบโต: สร้างบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อขยับขยายไปพร้อมกับคุณ โดยมีระยะเวลาให้บริการ 99.999% โดยแทบจะไม่หยุดทำงานเลย และมีความน่าเชื่อถือระดับแนวหน้าของวงการ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe Payments ช่วยให้คุณสามารถรับการชำระเงินออนไลน์และการชำระเงินที่จุดขายได้อย่างไร หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ