What are payment rails? A guide to the major payment networks

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ช่องทางการชําระเงินคืออะไร
  3. ช่องทางการชําระเงินที่ได้รับความนิยม
    1. ACH
    2. SWIFT
    3. SEPA
    4. CHIPS
    5. FPS
    6. Fedwire
    7. Interac
    8. RTP
    9. ช่องทางที่ใช้บัตร
    10. ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
    11. คริปโตเคอเรนซีและบล็อกเชน

ธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น การมอบประสบการณ์การชําระเงินที่สะดวก ง่ายดาย และปลอดภัยไม่ใช่สิ่งพิเศษอีกต่อไป แต่เป็นข้อกำหนด เมื่อการค้าขายกลายเป็นระบบดิจิทัลและครอบคลุมทั่วโลกมากขึ้น ธุรกิจทุกขนาดจะต้องเข้าใจถึงความซับซ้อนของเครือข่ายการชำระเงินและการประมวลผลการชำระเงิน หากต้องการรักษาลูกค้า คงความได้เปรียบทางการแข่งขัน และเติบโต

การเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลายและสะดวกสบาย ซึ่งทั้งรวดเร็วและปลอดภัยสามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ นอกจากนี้ การมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้ายังช่วยให้ธุรกิจขยายการเข้าถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมทั้งผลักดันการเติบโตและความสามารถในการสร้างกำไรได้

ในบทความนี้ เราจะสํารวจสิ่งที่ธุรกิจต้องทราบเกี่ยวกับช่องทางการชําระเงิน รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ธุรกิจต้องพิจารณาเพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลซึ่งสอดคล้องกับความต้องการและวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เมื่อเข้าใจความแตกต่างของการประมวลผลการชำระเงิน ธุรกิจต่างๆ จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการชำระเงินที่แข็งแกร่ง ปรับตัวได้ และเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งรองรับความสำเร็จในระยะยาวได้

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ช่องทางการชําระเงินคืออะไร
  • ช่องทางการชําระเงินยอดนิยม
    • ACH
    • SWIFT
    • SEPA
    • CHIPS
    • FPS
    • Fedwire
    • Interac
    • RTP
    • ช่องทางที่ใช้บัตร
    • ระบบการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
    • คริปโตเคอเรนซีและบล็อกเชน

ช่องทางการชําระเงินคืออะไร

ช่องทางการชําระเงินคือโครงสร้างพื้นฐานและระบบพื้นฐานที่อํานวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างฝ่ายต่างๆ เช่น บุคคลทั่วไป ธุรกิจ และสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยให้การเคลื่อนย้ายเงินทั้งในและต่างประเทศมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบสําคัญของระบบนิเวศทางการเงินระดับโลกด้วย หากไม่มีช่องทางการชำระเงิน ธุรกิจและบุคคลทั่วไปจะประสบความยากลำบากในการทำธุรกรรมทางการเงินในเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน

ช่องทางการชําระเงินนั้นมีหลากหลายชื่อ โดยจะขึ้นอยู่กับบริบทและระบบการชําระเงินที่เฉพาะเจาะจง คำศัพท์เพิ่มเติมที่ใช้เพื่ออธิบายระบบการชำระเงินมีดังนี้

  • เครือข่ายการชําระเงิน
  • ระบบการชําระเงิน
  • ระบบการชำระบัญชี
  • ระบบการหักยอด
  • ระบบการโอนเงิน

ทั้งนี้ คําศัพท์ที่ใช้อาจจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค อุตสาหกรรม หรือประเภทการชําระเงินที่เฉพาะเจาะจง

สําหรับธุรกิจ การทําความเข้าใจช่องทางการชําระเงินเป็นสิ่งสําคัญเนื่องจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้

  • การจัดการต้นทุน
    ช่องทางการชําระเงินต่างๆ มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายธุรกรรมแตกต่างกันไป เมื่อเลือกช่องทางการชําระเงินที่เหมาะสมที่สุดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจง ธุรกิจต่างๆ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายและปรับปรุงประสิทธิภาพทางการเงินโดยรวมได้

  • ความเร็วและประสิทธิผล
    เวลาที่ใช้ในการประมวลผลธุรกรรมอาจแตกต่างกันอย่างมากในช่องทางการชําระเงินต่างๆ ธุรกิจจึงต้องตระหนักถึงตัวเลือกที่มีเพื่อให้โอนเงินได้ทันเวลา ซึ่งอาจส่งผลต่อกระแสเงินสด ความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ และความพึงพอใจของลูกค้า

  • ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
    ช่องทางการชําระเงินมีระดับการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับแตกต่างกันไป การตรวจสอบว่าการโอนเงินมีความปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดจะช่วยปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกง การละเมิดข้อมูล และปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น

  • การเข้าถึงทั่วโลก
    สําหรับธุรกิจที่ดําเนินงานหรือทําธุรกรรมข้ามพรมแดน การทําความเข้าใจช่องทางการชําระเงินที่ใช้ได้นั้นจะช่วยอํานวยความสะดวกด้านการค้าและการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการใช้ช่องทางการชำระเงินที่เหมาะสม ธุรกิจต่างๆ จะสามารถเข้าสู่ตลาดต่างประเทศและจัดการธุรกรรมข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ประสบการณ์ของลูกค้า
    การนําเสนอตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลายจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงิน ความคุ้นเคยกับช่องทางการชำระเงินที่แตกต่างกันจะทำให้ธุรกิจสามารถมอบวิธีการชำระเงินที่สะดวกและเข้าถึงได้มากที่สุดให้แก่ลูกค้า ส่งผลให้ความพึงพอใจและความภักดีโดยรวมเพิ่มขึ้น

เนื่องจากช่องทางการชําระเงินมีบทบาทสําคัญต่อธุรกิจและเศรษฐกิจทั่วโลก การจัดการระบบเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพธุรกรรม จัดการค่าใช้จ่าย รักษาความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้

ช่องทางการชําระเงินที่ได้รับความนิยม

ด้วยการเติบโตของการค้าแบบดิจิทัลและการเชื่อมต่อทั่วโลก ช่องทางการชำระเงินจึงกลายมาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งธุรกิจและบุคคล แม้ปัจจุบันจะมีช่องทางการชําระเงินจํานวนมากที่พร้อมให้บริการ แต่ตัวอย่างบางส่วนที่พบบ่อยที่สุดมีดังนี้

ACH

ACH หรือสำนักหักบัญชีอัตโนมัติ (Automated Clearing House) เป็นเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สําหรับการประมวลผลธุรกรรมทางการเงินในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นระบบรวมศูนย์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงินระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ ทำให้สามารถทำธุรกรรมต่างๆ เช่น การฝากบัญชีอัตโนมัติ การชำระบิล และการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้

เครือข่าย ACH ได้รับการจัดการโดยสมาคมสํานักหักบัญชีอัตโนมัติแห่งชาติ (Nacha) และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลางและสมาคมการชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ระบบนี้จะปรับปรุงกระบวนการทำธุรกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยผ่านการรวมบัญชีและการแบ่งกลุ่ม ซึ่งทำให้เครือข่าย ACH คุ้มทุนและมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการอื่นๆ เช่น เช็คกระดาษหรือการโอนเงินระหว่างธนาคาร

วิธีการทํางานของการโอนเงินแบบ ACH

เครือข่าย ACH มอบวิธีการที่น่าเชื่อถือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพสําหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไปในการจัดการการชําระเงินและการโอนเงินของตนภายในสหรัฐอเมริกา

ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับวิธีการทํางานของกระบวนการ ACH:

  1. การเริ่มต้น: กระบวนการเริ่มต้นเมื่อธุรกิจ บุคคลทั่วไป หรือองค์กรอื่น ("ผู้ริเริ่ม") เริ่มการชําระเงินผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินของตน ("สถาบันการเงินที่รับฝากเงินต้นทาง" หรือ "ODFI")
  2. การส่งข้อมูล: ODFI รวบรวมรายละเอียดธุรกรรม เช่น ข้อมูลบัญชีธนาคารของผู้รับ เงินที่ชําระค่าธุรกรรม และรหัสระบุที่จําเป็น แล้วส่งธุรกรรมไปยังเครือข่าย ACH
  3. การหักยอด: เครือข่าย ACH จะรวบรวมธุรกรรมจาก ODFI ต่างๆ และจัดเรียงเป็นกลุ่มตามธนาคารที่รับเงิน ("สถาบันการเงินผู้รับฝากเงิน" หรือ "RDFI") โดยปกติแล้ว กลุ่มธุรกรรมจะได้รับการประมวลผลตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งวัน
  4. การชําระเงิน: เครือข่าย ACH ประมวลผลธุรกรรมเป็นกลุ่ม โดยโอนเงินทุนจาก ODFI ไปยัง RDFI ธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งปรับบัญชีสำรองของธนาคารต่างๆ ให้เหมาะสม มีบทบาทสำคัญในกระบวนการชำระเงิน
  5. การลงรายการบัญชี: RDFI ได้รับรายละเอียดธุรกรรมและลงรายการไปยังบัญชีธนาคารของผู้รับ ขั้นตอนนี้จะทำให้ธุรกรรม ACH เสร็จสิ้น
  6. การกระทบยอดและการแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน: ทั้งผู้เริ่มดําเนินการและผู้รับเงินมีโอกาสตรวจสอบธุรกรรมของตนและทำการโต้แย้งหรือรายงานข้อกังวลใดๆ หากจําเป็น

ธุรกรรม ACH สามารถแบ่งออกเป็น 2 หมวดหมู่ดังนี้ การฝากบัญชีแบบ ACH และการหักบัญชีแบบ ACH ในการทำธุรกรรมฝากบัญชีแบบ ACH ผู้ริเริ่มจะส่งเงินไปยังบัญชีของผู้รับ เช่นเดียวกับการฝากเงินเดือนหรือสวัสดิการของรัฐโดยตรง ในการทำธุรกรรมการหักบัญชีแบบ ACH ผู้ริเริ่มจะดึงเงินจากบัญชีของผู้รับ ซึ่งคล้ายกับการชำระบิลหรือการชำระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ ACH Direct Debit เป็นวิธีการชําระเงินกับ Stripe โปรดไปที่นี่

SWIFT

SWIFT ย่อมาจาก "Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication" คือเครือข่ายการสื่อสารระดับโลกที่สถาบันการเงินใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างปลอดภัย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโอนเงินของธนาคารระหว่างประเทศ เครือข่ายนี้เป็นองค์กรสหกรณ์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเบลเยียม และมีธนาคารสมาชิกและสถาบันการเงินหลายพันแห่งทั่วโลก

ตัว SWIFT เองนั้นไม่ได้โอนเงินทุน แต่ทําหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ปลอดภัยซึ่งอํานวยความสะดวกในกระบวนการโอนเงิน โดยการส่งข้อความมาตรฐานระหว่างสถาบันที่เข้าร่วม ข้อความเหล่านี้ประกอบด้วยข้อมูลสําคัญ อย่างเช่น วิธีการชําระเงิน รายละเอียดบัญชี และรายละเอียดธุรกรรม ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารดําเนินการธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการทํางานของการโอนเงินแบบ SWIFT

ต่อไปนี้คือภาพรวมการทํางานของกระบวนการ SWIFT

  1. การเริ่มต้น: ลูกค้าธนาคาร ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจ ต้องการโอนเงินระหว่างประเทศไปที่ธนาคารของตน ในบริบทนี้ ธนาคารจะถูกเรียกว่า "ธนาคารต้นทาง"
  2. การสร้างข้อความ: ธนาคารต้นทางจะจัดเตรียมข้อความ SWIFT ที่มีรายละเอียดธุรกรรมที่จําเป็น เช่น ข้อมูลบัญชีของผู้ส่งและผู้รับ ยอดธุรกรรม และประเภทของสกุลเงิน
  3. การส่งข้อมูล: ข้อความ SWIFT จะถูกส่งอย่างปลอดภัยผ่านเครือข่าย SWIFT ซึ่งใช้ระบบรหัสประจำตัวเฉพาะที่เรียกว่า “รหัสระบุธุรกิจ” (BIC) หรือ “รหัส SWIFT” เพื่อส่งข้อความไปยังธนาคารผู้รับที่ถูกต้อง โดยปกติแล้ว รหัสเหล่านี้จะมีความยาว 8 หรือ 11 ตัวอักษร และช่วยในการระบุธนาคาร ประเทศ และสาขาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม
  4. ธนาคารตัวกลาง: ธนาคารตัวกลางอย่างน้อยหนึ่งแห่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการโอนเงิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธุรกรรมแต่ละรายการ ธนาคารเหล่านี้ช่วยอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมด้วยการส่งต่อข้อความ SWIFT ไปยังธนาคารแห่งถัดไปในเครือข่ายการชําระเงิน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะไปถึงธนาคารของผู้รับ
  5. ใบเสร็จและการประมวลผล: ธนาคารของผู้รับจะได้รับข้อความ SWIFT ตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม และดำเนินการชำระเงินโดยการโอนเงินเข้าบัญชีของผู้รับ
  6. การยืนยัน: เมื่อธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ ธนาคารของผู้รับอาจส่งข้อความยืนยันไปยังธนาคารต้นทางผ่านเครือข่าย SWIFT
  7. การกระทบยอดและการแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน: ทั้งผู้ส่งและผู้รับมีโอกาสตรวจสอบธุรกรรมของตน และสามารถทำการโต้แย้งหรือรายงานข้อกังวลใดๆ ได้ หากจําเป็น

SWIFT ช่วยให้มั่นใจถึงการแลกเปลี่ยนข้อความทางการเงินที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก จึงทำให้เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบการเงินโลก

SEPA

SEPA ซึ่งย่อมาจาก “Single Euro Payments Area” เป็นโครงการผสานรวมการการชำระเงินที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความซับซ้อนของการโอนเงินผ่านธนาคารในสกุลเงินยูโรทั่วสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศที่เข้าร่วมอื่นๆ เช่น ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เป้าหมายของ SEPA คือการสร้างตลาดแห่งเดียวสําหรับการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในสกุลเงินยูโร ทำให้การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนสามารถดำเนินการได้ง่ายเท่ากับการทำธุรกรรมภายในประเทศ

SEPA จะครอบคลุมธุรกรรมที่ใช้สกุลเงินยูโรหลายประเภท รวมถึงการโอนเงินผ่านธนาคาร การหักบัญชีอัตโนมัติ และการชําระเงินด้วยบัตร คณะมนตรีการชําระเงินแห่งยุโรป (EPC) มีหน้าที่พัฒนากฎ มาตรฐาน และแนวทางที่กํากับดูแลธุรกรรม SEPA โดยปฏิบัติตามกรอบการทำงานที่สอดคล้องกันและรวมเป็นหนึ่งเดียวสําหรับทุกประเทศที่เข้าร่วม

วิธีทํางานของ SEPA

ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับวิธีการทํางานของ SEPA

  1. การสร้างมาตรฐาน: SEPA ได้นํารูปแบบและขั้นตอนปฏิบัติแบบมาตรฐานมาใช้กับการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอิงตามมาตรฐานการส่งข้อความ ISO 20022 ทั่วโลก รูปแบบที่เป็นมาตรฐานนี้ทําให้สถาบันการเงินสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการประมวลผลและกระทบยอดธุรกรรมข้ามพรมแดน
  2. บัญชีธนาคาร: ภายใต้ SEPA ลูกค้าและธุรกิจจำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารที่อยู่ในสหภาพยุโรปเพียงบัญชีเดียวเพื่อทำและรับชำระเงินทั่วทั้งโซน SEPA จึงทําให้ไม่จําเป็นต้องเปิดบัญชีแยกกันในประเทศต่างๆ
  3. IBAN และ BIC: ธุรกรรม SEPA กําหนดให้ต้องใช้หมายเลขบัญชีธนาคารระหว่างประเทศ (IBAN) และ BIC ในการระบุบัญชีธนาคารและสถาบันทางการเงิน รหัสเหล่านี้จะแทนที่หมายเลขบัญชีประจําตัวประชาชนและรหัสธนาคารแบบดั้งเดิม ทําให้ธุรกรรมมีความปลอดภัยมากขึ้นและมีโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดน้อยลง
  4. การประมวลผลการชําระเงิน: ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือระหว่างประเทศ ธุรกรรม SEPA จะปฏิบัติตามระยะเวลาการประมวลผลและค่าธรรมเนียมมาตรฐาน จึงมอบสภาพแวดล้อมการชําระเงินที่โปร่งใสและคาดการณ์ได้มากขึ้นสําหรับลูกค้าและธุรกิจ
  5. การหักบัญชีอัตโนมัติ: รูปแบบการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA (SDD) ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เรียกเก็บการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าเป็นสกุลเงินยูโรจากลูกค้าทั่วทั้งเขต SEPA ได้ ทําให้จัดการการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าและการชําระเงินตามรอบบิลได้ง่ายขึ้น
  6. การโอนเงินผ่านธนาคาร: รูปแบบการโอนเงินผ่านธนาคารแบบ SEPA (SCT) ช่วยให้การโอนเงินในสกุลเงินยูโรระหว่างบัญชีภายในโซน SEPA เกิดขึ้นได้ โดยปกติแล้วการโอนเงินเหล่านี้จะได้รับการประมวลผลภายใน 1 วันทําการ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการชําระเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

SEPA ช่วยให้ลูกค้าและธุรกิจในประเทศที่เข้าร่วมสามารถดำเนินธุรกรรมข้ามพรมแดนได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการชำระเงิน และอำนวยความสะดวกในการค้าและพาณิชย์ภายในภูมิภาค ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ SDD เป็นวิธีการชําระเงินกับ Stripe ได้ที่นี่

CHIPS

CHIPS หรือ Clearing House Interbank Payments System เป็นเครือข่ายการชําระเงินแบบเรียลไทม์ที่ออกแบบมาสําหรับธุรกรรมมูลค่าสูงในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ CHIPS เป็นเจ้าของและดําเนินการโดย The Clearing House ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน และจะใช้กับการโอนเงินระหว่างธนาคารทั้งในและระหว่างประเทศ รวมถึงธุรกรรมในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

CHIPS มีบทบาทสําคัญในการโยกย้ายเงินจํานวนมากระหว่างสถาบันทางการเงินต่างๆ ธุรกรรมเหล่านี้มักใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ การจ่ายเงินกู้ หรือการโอนเงินทุนระหว่างธนาคาร โดยเป็นวิธีที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผลธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และถูกต้อง

วิธีการทํางานของ CHIPS

ต่อไปนี้คือภาพรวมการทํางานของกระบวนการ CHIPS

  1. การเริ่มต้น: ธนาคารต้นทางเริ่มทําธุรกรรมมูลค่าสูง เช่น การโอนเงินระหว่างธนาคารระหว่างประเทศหรือการโอนเงินภายในประเทศที่มีมูลค่าสูงในนามของลูกค้า
  2. การส่งข้อมูล: ธนาคารต้นทางส่งขั้นตอนการชําระเงิน ซึ่งรวมถึงยอดธุรกรรมและข้อมูลบัญชีธนาคารของผู้รับไปยัง CHIPS
  3. การประมวลผลแบบเรียลไทม์: CHIPS ประมวลผลธุรกรรมแบบเรียลไทม์ ซึ่งแตกต่างจากระบบประมวลผลอย่างเครือข่าย ACH ที่ประมวลผลเป็นกลุ่ม ธุรกรรมแต่ละรายการจะได้รับการชำระแยกกันทันทีเมื่อมีเงินที่จำเป็นอยู่ในบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้มั่นใจว่าระบบจะประมวลผลการชําระเงินที่มีมูลค่าสูงได้ทันท่วงที
  4. การชําระเงิน: CHIPS จะชําระเงินสําหรับธุรกรรมโดยการโอนเงินจากบัญชีธนาคารต้นทางไปยังบัญชีธนาคารของผู้รับ สำนักหักบัญชีมีหน้าที่ดูแลบัญชีการชำระเงินของธนาคารที่เข้าร่วมที่ธนาคารกลางแห่งนิวยอร์ก และจะใช้บัญชีเหล่านี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างธนาคาร
  5. การยืนยัน: หลังจากชําระธุรกรรมแล้ว CHIPS จะส่งข้อความยืนยันไปยังธนาคารต้นทางและธนาคารผู้รับ เพื่อแจ้งว่าธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์แล้ว
  6. การกระทบยอดและการแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน: ทั้งธนาคารต้นทางและธนาคารของผู้รับมีโอกาสตรวจสอบธุรกรรมของตน และสามารถทำการโต้แย้งหรือรายงานข้อกังวลใดๆ ได้ หากจําเป็น

CHIPS ประมวลผลธุรกรรมปริมาณมากในแต่ละวัน โดยเป็นมูลค่ารวมนับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กลไกการชำระเงินแบบเรียลไทม์ช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงจะได้รับการดำเนินการอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งลดความเสี่ยงในการชำระเงินและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของระบบการเงิน

FPS

FPS หรือ Faster Payments Service เป็นระบบการชําระเงินในสหราชอาณาจักรที่ช่วยให้โอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ในแทบจะทันทีระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินที่เข้าร่วม FPS ที่เปิดตัวในปี 2008 ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้ชําระเงินภายในประเทศ โดยมอบทางเลือกที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นนอกเหนือจากวิธีการชําระเงินแบบเดิมๆ เช่น Bacs หรือ CHAPS (Clearing House Automated Payment System)

FPS ได้รับการออกแบบมาเพื่อธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ํา เช่น การชําระเงินในแต่ละวันระหว่างบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจ ระบบนี้ทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง จึงสามารถประมวลผลการชําระเงินได้แบบเรียลไทม์และเงินจะพร้อมใช้ได้ภายในไม่กี่วินาทีแม้ในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุด

วิธีการทํางานของ FPS

ต่อไปนี้คือภาพรวมการทํางานของกระบวนการ FPS

  1. การเริ่มต้น: บุคคลทั่วไปหรือธุรกิจเริ่มต้นการชําระเงินผ่านแพลตฟอร์มธนาคารหรือสถาบันการเงินทางออนไลน์หรือสถาบันการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือผ่านผู้ให้บริการชําระเงินที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานของ FPS
  2. การส่งข้อมูล: ธนาคารของลูกค้าหรือผู้ให้บริการชำระเงินจะส่งคำสั่งการชำระเงิน ซึ่งรวมถึงข้อมูลบัญชีธนาคารของผู้รับ จำนวนเงินธุรกรรม และรายละเอียดอ้างอิงที่จำเป็น ไปยังโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางของ FPS
  3. การประมวลผลแบบเรียลไทม์: FPS ประมวลผลธุรกรรมแบบเรียลไทม์และไม่ได้รวมชุดธุรกรรม ซึ่งหมายความว่าธุรกรรมแต่ละรายการได้รับการดําเนินการและชําระแยกกันทันทีที่ส่งเข้ามา
  4. การชําระเงิน: FPS จะชําระเงินสําหรับธุรกรรมโดยการโอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้ส่งไปยังบัญชีธนาคารของผู้รับ การชำระเงินจะเกิดขึ้นระหว่างบัญชีต่างๆ ของธนาคารแห่งอังกฤษ เพื่อให้แน่ใจว่าการเคลื่อนย้ายเงินระหว่างสถาบันที่เข้าร่วมจะมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
  5. การยืนยัน: เมื่อธุรกรรมได้รับการชําระเงินแล้ว ธนาคารหรือผู้ให้บริการชําระเงินของผู้ส่งและธนาคารของผู้รับจะได้รับข้อความยืนยันจาก FPS เพื่อแจ้งว่าธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์แล้ว จากนั้นธนาคารของผู้รับจะโอนเงินให้กับผู้รับ
  6. การกระทบยอดและการแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน: ทั้งผู้ส่งและผู้รับมีโอกาสตรวจสอบธุรกรรมของตน และสามารถทำการโต้แย้งหรือรายงานข้อกังวลใดๆ ได้ หากจําเป็น

Faster Payments Service ปรับปรุงความเร็วและความสะดวกในการโอนเงินในสหราชอาณาจักรเป็นอย่างมาก โดยตอบโจทย์ธุรกรรมประเภทต่างๆ เช่น บุคคลต่อบุคคล (P2P) บุคคลต่อธุรกิจ (P2B) และธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ทั้งยังมอบโซลูชันที่ยืดหยุ่น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสำหรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แบบเรียลไทม์

Fedwire

Fedwire หรือที่เรียกว่าเครือข่ายการโอนเงินระหว่างธนาคารของรัฐบาลกลางคือระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ดําเนินการโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา เครือข่ายนี้ให้บริการการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเงินทุนมูลค่าสูงระหว่างสถาบันการเงินที่เข้าร่วม ซึ่งรวมถึงธนาคาร เครดิตสหภาพ และนิติบุคคลอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติ Fedwire มักใช้สําหรับธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงและต้องการความรวดเร็ว โดยมีบทบาทสำคัญในการชำระเงินระหว่างธนาคารและการปรับใช้นโยบายการเงินที่เกี่ยวข้องกับอุปทานเงิน อัตราดอกเบี้ย ความพร้อมของสินเชื่อ และเป้าหมายมหภาคอื่นๆ ของสหรัฐฯ

วิธีการทํางานของ Fedwire

ต่อไปนี้คือภาพรวมการทํางานของกระบวนการ Fedwire

  1. การเริ่มต้น: สถาบันการเงินต้นทางจะเริ่มต้นธุรกรรม Fedwire ในนามของลูกค้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นการชําระเงินที่มีมูลค่าสูงหรือการชําระเงินที่ต้องการความรวดเร็ว
  2. การส่งข้อมูล: สถาบันต้นทางจะส่งคำสั่งการชำระเงิน ซึ่งรวมถึงจำนวนเงินธุรกรรม ข้อมูลบัญชีธนาคารของผู้รับ และรหัสประจำตัวที่จำเป็น ไปยังธนาคารกลางในพื้นที่ของตน
  3. การประมวลผลแบบเรียลไทม์: Fedwire ประมวลผลธุรกรรมแบบเรียลไทม์แบบแยกรายการ แทนที่จะประมวลผลแบบเป็นกลุ่ม ซึ่งหมายความว่าธุรกรรมแต่ละรายการจะได้รับการประมวลผลและชำระแยกกันทันทีที่ส่งมา เพื่อให้แน่ใจว่าการชำระเงินมูลค่าสูงและเร่งด่วนจะได้รับการดำเนินการอย่างรวดเร็ว
  4. การชําระเงิน: ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชำระธุรกรรมโดยการหักเงินจากบัญชีเงินสำรองของสถาบันต้นทางและโอนเงินเข้าบัญชีเงินสำรองของสถาบันผู้รับ
  5. การยืนยัน: หลังจากที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งข้อความยืนยันไปยังสถาบันต้นทางและสถาบันผู้รับ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์แล้ว
  6. การกระทบยอดและการแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน: ทั้งสถาบันต้นทางและสถาบันของผู้รับมีโอกาสตรวจสอบธุรกรรมของตน และสามารถทำการโต้แย้งหรือรายงานข้อกังวลใดๆ ได้ หากจําเป็น

Fedwire ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถประมวลผลธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เช่น การชําระหนี้สินระหว่างธนาคาร การซื้อขายหลักทรัพย์ และการชําระคืนเงินกู้ต้อง Fedwire มีส่วนสนับสนุนเสถียรภาพของตลาดการเงินสหรัฐฯ ด้วยการมอบกลไกที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสำหรับการชำระเงิน

Interac

Interac คือเครือข่ายธนาคารกลางในแคนาดาที่ช่วยอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมทางการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การชําระเงินด้วยบัตรเดบิต การธนาคารออนไลน์ และการโอนเงิน Interac ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1984 และดําเนินงานบริการหลัก 2 บริการดังนี้ การหักบัญชีผ่าน Interac และการโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Interac

วิธีการทํางานของการหักบัญชีผ่าน Interac

การหักบัญชีผ่าน Interac คือบริการระบบบันทึกการขาย (POS) ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการได้โดยใช้บัตรเดบิต ทั้งในร้านและทางออนไลน์ เมื่อลูกค้าใช้บัตรเดบิตเพื่อทําการซื้อ ระบบจะประมวลผลธุรกรรมผ่านเครือข่าย Interac ซึ่งจะเชื่อมโยงธนาคารของลูกค้ากับธนาคารของธุรกิจ จากนั้นระบบจะโอนเงินจากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีของธุรกิจ

  1. ลูกค้าทําการซื้อโดยใช้บัตรเดบิตของลูกค้า
  2. เทอร์มินัล POS หรือเกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ของธุรกิจสื่อสารกับธนาคารของลูกค้าผ่านเครือข่าย Interac
  3. ธนาคารของลูกค้ายืนยันยอดคงเหลือที่ใช้ได้ของบัญชีและยืนยันหรือปฏิเสธธุรกรรม
  4. หากได้รับอนุมัติ ระบบจะโอนเงินจากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีของธุรกิจ
  5. ธุรกิจได้รับการยืนยันการอนุมัติธุรกรรมและแจ้งว่าการซื้อเสร็จสมบูรณ์แล้ว

วิธีการทํางานของการโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Interac

การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Interac คือบริการยอดนิยมสําหรับการส่งและรับเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจในแคนาดา ผู้คนมักจะใช้วิธีนี้เพื่อจ่ายบิลหรือส่งเงินให้เพื่อนและครอบครัว โดยสามารถใช้บริการนี้ผ่านสถาบันการเงินที่เข้าร่วมและเข้าถึงได้ผ่านแพลตฟอร์มธนาคารออนไลน์หรือบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

  1. ผู้ส่งจะเข้าสู่ระบบบัญชีธนาคารออนไลน์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่และเลือกตัวเลือก "Interac e-Transfer"
  2. ผู้ส่งจะป้อนที่อยู่อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับ พร้อมทั้งจํานวนที่ต้องการส่งและคําถามรักษาความปลอดภัยที่อาจมีหรือไม่มีก็ได้
  3. สถาบันการเงินของผู้ส่งจะส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้รับทางอีเมลหรือ SMS เพื่อแจ้งว่าตนได้รับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Interac แล้ว
  4. ผู้รับจะคลิกลิงก์ในการแจ้งเตือนและเลือกธนาคารจากรายการสถาบันการเงินที่เข้าร่วม
  5. ผู้รับตอบคําถามรักษาความปลอดภัย (หากจําเป็น) และเลือกบัญชีที่ต้องการฝากเงิน
  6. ระบบจะโอนเงินอย่างปลอดภัยและโดยทันทีระหว่างบัญชีของผู้ส่งกับผู้รับ

ทั้งการหักบัญชีผ่าน Interac และการโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน Interac มอบวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้สําหรับการทําธุรกรรมทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ในแคนาดา โดยได้กลายมาเป็นส่วนสําคัญของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในประเทศและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

RTP

RTP (การชําระเงินแบบเรียลไทม์) เป็นระบบการชำระเงินที่ทำให้สามารถโอนเงินระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินได้ทันที ช่วยให้การประมวลผลการชำระเงินและการชำระเงินเกิดขึ้นทันทีทันใด ระบบ RTP ได้รับการออกแบบมาให้มอบบริการการชําระเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการชําระเงินแบบเดิม

วิธีการทํางานของระบบ RTP

  1. การเริ่มต้น: ผู้ส่งจะเริ่มต้นคำขอชำระเงินผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินของตน ซึ่งรวมถึงข้อมูลบัญชีของผู้รับและยอดธุรกรรม
  2. การตรวจสอบ: ธนาคารของผู้ส่งเงินจะตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม ตรวจสอบเงินทุนที่ใช้ได้ และตรวจสอบให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและนโยบายที่เกี่ยวข้อง
  3. การส่งข้อมูล: หากธุรกรรมได้รับการอนุมัติ ธนาคารของผู้ส่งจะส่งข้อความการชําระเงินไปยังธนาคารของผู้รับโดยใช้ช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัย
  4. การประมวลผล: ธนาคารของผู้รับจะประมวลผลข้อความการชําระเงินที่ส่งเข้ามา ตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม และฝากเงินที่โอนไปยังบัญชีของผู้รับ
  5. การยืนยัน: ทั้งธนาคารของผู้ส่งและธนาคารของผู้รับต่างส่งข้อความยืนยันไปยังลูกค้าของตนเพื่อแจ้งให้ทราบว่าธุรกรรมสำเร็จแล้ว
  6. การชําระเงิน: ธนาคารจะชำระธุรกรรมระหว่างกัน โดยทั่วไปผ่านทางระบบสำนักหักบัญชีหรือระบบการชำระเงิน

ระบบ RTP ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน จึงช่วยให้ชําระเงินได้ทันทีโดยทั้งในช่วงสุดสัปดาห์ วันหยุด หรือชั่วโมงทําการปกติ การประมวลผลแบบเรียลไทม์นี้มีประโยชน์มากมาย ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงกระแสเงินสด ต้นทุนธุรกรรมที่ลดลง และความโปร่งใสทางการเงินที่ดีขึ้น

ช่องทางที่ใช้บัตร

โครงสร้างพื้นฐานของบัตร หรือที่เรียกว่า "เครือข่ายบัตร" หรือ "รูปแบบของบัตร" คือโครงสร้างพื้นฐานและระบบที่อํานวยความสะดวกสําหรับธุรกรรมผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การชําระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต และการชําระเงินด้วยบัตรเติมเงิน เครือข่ายบัตรรายใหญ่ได้แก่ Visa, Mastercard, American Express และ Discover แพลตฟอร์มบัตรเหล่านี้กําหนดกฎ มาตรฐาน และขั้นตอนปฏิบัติในการประมวลผลธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างฝ่ายต่างๆ รวมถึงเจ้าของบัตร ธุรกิจ ธนาคารผู้รับบัตร และธนาคารที่ออกบัตร

การทํางานของช่องทางที่ใช้บัตร

ต่อไปนี้คือวิธีดําเนินงานของเครือข่ายบัตรในธุรกรรมการชําระเงินด้วยบัตร:

  1. เจ้าของบัตรเริ่มต้นการชําระเงิน: เมื่อเจ้าของบัตรทําการซื้อ ก็จะแสดงบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเพื่อชำระเงิน วิธีนี้ทําได้ในสถานที่ ทั้งโดยการปัด เสียบ หรือแตะบัตร หรือดำเนินการแบบดิจิทัลสําหรับการชําระเงินออนไลน์และบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
  2. ธุรกิจประมวลผลธุรกรรม ระบบ POS หรือเกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ของธุรกิจจะเก็บข้อมูลบัตรและรายละเอียดธุรกรรม จากนั้นจะส่งข้อมูลนี้ไปยังธนาคารผู้รับบัตรของธุรกิจ
  3. ธนาคารผู้รับบัตรส่งต่อข้อมูลธุรกรรม: ธนาคารผู้รับบัตร (ธนาคารของธุรกิจ) จะส่งต่อข้อมูลธุรกรรมไปยังเครือข่ายบัตรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งธุรกรรมไปยังธนาคารผู้ออกบัตรของเจ้าของบัตร
  4. ธนาคารที่ออกบัตรอนุมัติธุรกรรม: ธนาคารผู้ออกบัตร (ธนาคารของเจ้าของบัตร) จะยืนยันรายละเอียดของบัตร ตรวจสอบเงินทุนหรือเครดิตที่ใช้ได้ และประเมินความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น หากทุกอย่างเป็นไปตามคําสั่ง ธนาคารผู้ออกบัตรจะอนุมัติการทําธุรกรรมและส่งข้อความอนุมัติผ่านเครือข่ายบัตรไปยังธนาคารผู้รับบัตร และจากนั้นก็ส่งไปยังธุรกิจ
  5. ธุรกิจได้รับการอนุมัติ: เมื่อธุรกิจได้รับการอนุมัติแล้ว ก็จะดําเนินการขายให้เสร็จสมบูรณ์ได้ ระบบจะหักเงินจากบัญชีของเจ้าของบัตรและเก็บเงินไว้เพื่อการชําระเงินในท้ายที่สุด
  6. การชําระเงิน: เมื่อสิ้นสุดแต่ละวันทําการ ธุรกิจจะส่งธุรกรรมที่ได้รับอนุมัติเป็นกลุ่มไปยังธนาคารผู้รับบัตร ซึ่งส่งต่อไปยังเครือข่ายบัตร เครือข่ายบัตรจะส่งธุรกรรมแต่ละรายการไปยังธนาคารผู้ออกบัตรแต่ละแห่ง และโอนเงินจากธนาคารผู้ออกบัตรไปยังธนาคารผู้รับบัตร ธนาคารผู้รับบัตรจะฝากเงินเข้าบัญชีของธุรกิจหลังจากหักค่าธรรมเนียมและการเรียกเก็บเงินใดๆ

เมื่อใช้ขั้นตอนนี้ ช่องทางที่ใช้บัตรจะช่วยให้คุณทําธุรกรรมการชําระเงินทั่วโลกได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย รวมทั้งแน่ใจว่าเจ้าของบัตร ธุรกิจ และสถาบันการเงินจะสามารถดําเนินธุรกิจและแลกเปลี่ยนเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ คือบริการทางการเงินแบบดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้ใช้ทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ระบบเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ Apple Pay, Google Pay และ Samsung Pay

การทํางานของระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

  1. การตั้งค่าบัญชี: หากต้องการใช้ระบบการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ผู้ใช้จะต้องสร้างบัญชีกับผู้ให้บริการก่อน โดยปกติแล้ว มักเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิตเข้ากับแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
  2. ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์: อุปกรณ์เคลื่อนที่ของผู้ใช้จะต้องเข้ากันได้กับระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งหมายความว่าโทรศัพท์จะต้องมีฮาร์ดแวร์ที่จําเป็น เช่น NFC (ชิปใกล้ภาคสนาม) และซอฟต์แวร์ เช่น แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เกี่ยวข้อง
  3. การเริ่มต้นการชําระเงิน: เมื่อทําการซื้อ ผู้ใช้จะเลือกตัวเลือกการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ระบบ POS หรือระหว่างการชําระเงินออนไลน์ ในกรณีของการชําระเงินแบบไร้สัมผัส ผู้ใช้เพียงแค่แตะหรือถืออุปกรณ์เคลื่อนที่ไว้ใกล้กับเทอร์มินัล POS ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี NFC
  4. การตรวจสอบสิทธิ์การชําระเงิน: ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ตรวจสอบสิทธิ์ตัวตนของผู้ใช้และยืนยันรายละเอียดการชําระเงิน วิธีการตรวจสอบสิทธิ์อาจประกอบด้วยข้อมูลไบโอเมตริก (เช่น ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้า) PIN หรือรหัสผ่าน
  5. การประมวลผลธุรกรรม: ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะประมวลผลธุรกรรมดังกล่าวโดยส่งข้อมูลการชําระเงินไปยังธนาคารผู้รับบัตรของธุรกิจอย่างปลอดภัย จากนั้นธนาคารผู้รับบัตรจะส่งต่อธุรกรรมไปยังเครือข่ายบัตร (หากมี) และธนาคารผู้ออกบัตรของผู้ใช้เพื่อขออนุมัติ
  6. การอนุมัติและการยืนยัน: ธนาคารผู้ออกบัตรของผู้ใช้อนุมัติธุรกรรม และข้อความยืนยันจะถูกส่งกลับไปที่ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งไปที่ธุรกิจ ธุรกิจทําการขายให้เสร็จสมบูรณ์และผู้ใช้ได้รับการแจ้งเตือนการยืนยันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
  7. การชําระเงิน: เช่นเดียวกับการชําระเงินด้วยบัตรแบบดั้งเดิม ระบบจะชําระเงินผ่านบัตรบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ระหว่างธนาคารผู้รับบัตร เครือข่ายบัตร (หากมี) และธนาคารผู้ออกบัตร ธุรกิจจะได้รับเงินทุนหลังจากหักค่าธรรมเนียมหรือการเรียกเก็บเงินใดๆ ในบัญชีธนาคาร

ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งรวมถึงธุรกรรมที่สะดวกขึ้นรวดเร็วขึ้น ระบบที่เพิ่มความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็น รวมถึงความสามารถในการติดตามและจัดการค่าใช้จ่ายทางดิจิทัล เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นและอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็เริ่มมีความแพร่หลายมากขึ้น ระบบการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คริปโตเคอเรนซีและบล็อกเชน

คริปโตเคอเรนซีเป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือสกุลเงินเสมือนที่ใช้เทคนิคการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อป้องกันการฉ้อโกงและการลอกเลียนแบบ โดยถูกสร้างขึ้นบนเทคโนโลยีที่เรียกว่า “บล็อคเชน” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ปลอดภัยและกระจายศูนย์ที่บันทึกธุรกรรมต่างๆ ทั่วทั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้มีบันทึกที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และโปร่งใสของธุรกรรมทั้งหมด เทคโนโลยีนี้ทําให้การดัดแปลงบันทึกการทําธุรกรรมหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลเป็นเรื่องยาก

บิตคอยน์ อีเธอเรียม และไลต์คอยน์เป็นตัวอย่างของคริปโตเคอร์เรนซียอดนิยมที่สามารถใช้ในการชําระเงินออนไลน์ได้ และในบางกรณีก็อาจทำธุรกรรมที่จุดขายได้ด้วย คริปโตเคอร์เรนซีไม่จําเป็นต้องใช้ตัวกลาง เช่น ธนาคารหรือผู้ประมวลผลการชําระเงิน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการชําระเงินแบบเดิมๆ แต่จะใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการยืนยันและบันทึกธุรกรรม ซึ่งทําให้มีความปลอดภัยมากขึ้นและมีความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงน้อยลง

วิธีการทํางานของคริปโตเคอเรนซีและบล็อกเชน

ต่อไปนี้คือการทํางานของคริปโตเคอเรนซีและบล็อกเชนในบริบทของช่องทางการชําระเงิน

  1. การตั้งค่ากระเป๋าเงิน: หากต้องการใช้คริปโตเคอเรนซีในการทําธุรกรรม ผู้ใช้จะต้องสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่จัดเก็บคีย์สาธารณะและคีย์ส่วนตัว คีย์สาธารณะจะทําหน้าที่เป็นที่อยู่ของผู้ใช้สําหรับรับชําระเงิน ในขณะที่คีย์ส่วนตัวนั้นจําเป็นต่อการอนุมัติธุรกรรม
  2. การเริ่มต้นธุรกรรม: เมื่อผู้ใช้ต้องการชําระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี ก็จะใส่คีย์สาธารณะ (ที่อยู่) ของผู้รับและจํานวนเงินของธุรกรรมเข้าไปในแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินของตน จากนั้นธุรกรรมจะได้รับการลงนามด้วยคีย์ส่วนตัวของผู้ส่ง
  3. การส่งข้อมูลไปยังเครือข่าย: ธุรกรรมที่ลงนามจะได้รับการส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายของคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งตรวจสอบโดย "โหนด" ที่เป็นคอมพิวเตอร์ที่เรียกใช้ซอฟต์แวร์บล็อกเชน โหนดเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ส่งจะมีเงินทุนเพียงพอและธุรกรรมเป็นไปตามกฎและโปรโตคอลของเครือข่าย
  4. การเพิ่มไว้ในบล็อกเชน: เมื่อตรวจสอบแล้ว ระบบจะจัดกลุ่มธุรกรรมรายการดังกล่าวรวมกับธุรกรรมอื่นๆ ไว้ใน "บล็อก" ใหม่ ผู้ใช้จะแข่งขันกันแก้ปริศนาการเข้ารหัสที่ซับซ้อนเพื่อเพิ่มบล็อกใหม่นี้ไปยังบล็อกเชนที่มีอยู่ เมื่อผู้ขุดหรือผู้ตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มบล็อกแล้ว ระบบจะยืนยันและธุรกรรมก็จะถือว่าเสร็จสมบูรณ์
  5. การชําระเงินแบบกระจายศูนย์: คริปโตเคอร์เรนซีต่างจากระบบการชําระเงินแบบเดิมๆ เพราะไม่จําเป็นต้องมีสำนักหักบัญชีหรือตัวกลางสําหรับการชําระเงิน แต่ลักษณะการกระจายศูนย์ของบล็อกเชนช่วยให้การทําธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ใช้เกิดขึ้นได้ด้วยเครือข่ายที่ดูแลบันทึกธุรกรรมทั้งหมดอย่างปลอดภัยและโปร่งใส

ช่องทางการชําระเงินที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต่ําลง ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ระยะเวลาการทําธุรกรรมที่รวดเร็วขึ้น และการเข้าถึงได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ซึ่งรวมถึงความผันผวนของราคา ความไม่แน่นอนตามระเบียบข้อบังคับ และการยอมรับที่จํากัดในหมู่ธุรกิจต่างๆ

ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าคริปโตเคอเรนซีและบล็อกเชนจะมีบทบาทสําคัญมากขึ้นในด้านการชําระเงินทั่วโลก หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe ให้บริการการชําระเงินและการเบิกจ่ายสําหรับแพลตฟอร์มที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซีอย่างไร โปรดอ่านเพิ่มเติมที่นี่

โดยรวมแล้ว ระบบการชำระเงินได้ปฏิวัติธุรกรรมต่างๆ ทั่วโลก โดยอำนวยความสะดวกให้กับวิธีการชำระเงินที่หลากหลายในตลาดที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่เครือข่ายบัตรแบบดั้งเดิมและการโอนแบบ ACH ไปจนถึงแพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรม เครือข่ายเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่ลูกค้าซื้อสินค้าและขยายขอบเขตการทำการค้า ไม่ว่าจะเป็นการชําระเงินแบบไร้สัมผัสที่ร้านค้าในพื้นที่ การส่งเงินไปยังต่างประเทศทันที หรือการซื้อออนไลน์ที่ดําเนินการเสร็จสิ้นด้วยการคลิกไม่กี่ครั้ง ความคล่องตัวและการเข้าถึงช่องทางการชําระเงินต่างๆ จะเชื่อมโยงธุรกิจกับลูกค้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เนื่องจากเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและเศรษฐกิจมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น เรื่อยๆ เราคาดว่าช่องทางการชําระเงินจะพัฒนามากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ธุรกรรมที่ง่ายดายและปลอดภัยยิ่งขึ้นทั่วโลก

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe