ผลิตภัณฑ์การออกบัตรช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและเปิดตัวผลิตภัณฑ์บัตรของตนเอง (เช่น บัตรเดบิตและบัตรเครดิต) ที่เข้ากับแบรนด์ของตนและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ธุรกิจที่ออกบัตรเองสามารถสร้างกระแสรายรับใหม่และเพิ่มฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น โปรแกรมรางวัลที่ออกแบบเอง และการควบคุมการใช้จ่าย เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้ใช้และการผสานแบรนด์ ผลิตภัณฑ์การออกบัตรยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสําหรับบริษัทที่ต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและตัวเลือกการชําระเงินโดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารแบบดั้ั้งเดิมอีกด้วย
ความต้องการใช้บริการออกบัตรกำลังเพิ่มขึ้นและคาดว่าตลาดแพลตฟอร์มการออกบัตรทั่วโลกจะเติบโตขึ้นจากมูลค่าธุรกรรม 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็น 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2029 ด้านล่างเราจะอธิบายสิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตรของตนเอง รวมถึงประเภทผลิตภัณฑ์ที่มี วิธีการที่ธุรกิจประเภทต่างๆ ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ตลอดจนข้อดีและความท้าทายที่เกี่ยวข้อง
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ผู้เล่นหลักที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมบัตร
- ประเภทของผลิตภัณฑ์การออกบัตร
- ประเภทธุรกิจที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
- ข้อดีของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
- ความท้าทายในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
- วิธีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
ผู้เล่นหลักที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมบัตร
ต่อไปนี้คือผู้เล่นหลักที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรแกรมบัตรชําระเงิน
บริษัทผู้ออกบัตร
ผู้ออกบัตรคือสถาบันการเงินที่ให้บริการบัตรชําระเงิน และเป็นผู้รับผิดชอบในการขยายวงเงินบัตรเครดิต การจัดการเงินฝากสําหรับบัตรเดบิต และการตั้งข้อกําหนดและเงื่อนไข รวมถึงค่าธรรมเนียม อัตราดอกเบี้ย และวงเงินเครดิต นอกจากนี้ยังรับผิดชอบในการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมาย การอนุมัติธุรกรรม การจัดการบัญชีลูกค้า และการจัดการกระบวนการประเมินและควบคุมความเสี่ยงด้วย ตัวอย่างเช่น ธนาคารรายใหญ่อย่าง Chase หรือ Bank of America รวมถึงฟินเทคที่มีบริการบัตร
สถาบันผู้รับบัตร
สถาบันผู้รับบัตรคือสถาบันการเงินที่ดําเนินการธุรกรรมบัตรเครดิตและเดบิตในนามของธุรกิจ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสถาบันผู้รับบัตรของผู้ค้าหรือธนาคารผู้รับบัตร สถาบันผู้รับบัตรช่วยอํานวยความสะดวกในการยอมรับบัตร อนุมัติธุรกรรม ชําระเงินของธุรกรรม และช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับการชําระเงินสําหรับการซื้อผ่านบัตร ตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Worldpay หรือ First Data
เครือข่ายการชําระเงิน
เครือข่ายการชําระเงินอํานวยความสะดวกในการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการเชื่อมต่อผู้ออกบัตรและสถาบันผู้รับบัตร ตลอดจนการอนุมัติและชําระเงินสำหรับธุรกรรม เครือข่ายมีหน้าที่กําหนดค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร กําหนดกฎและมาตรฐานสําหรับการประมวลผลธุรกรรม และดูแลการดําเนินงานด้านการชําระเงินให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพทั่วทั้งเครือข่าย ตัวอย่างเช่น เครือข่ายบัตรอย่าง Visa, Mastercard, American Express และ Discover รวมถึงระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
ผู้ประมวลผลการชําระเงิน
ผู้ประมวลผลการชําระเงินจัดการแง่มุมทางเทคนิคในการยอมรับและการประมวลผลธุรกรรมบัตรสําหรับธุรกิจ ผู้ประมวลผลจะหักยอดและส่งรายละเอียดธุรกรรมผ่านบัตรจากธุรกิจไปยังผู้รับบัตรและเครือข่ายการชําระเงินเพื่อทําการอนุมัติและชําระเงิน ตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Stripe ที่ประมวลผลการชําระเงินและจัดการด้านต่างๆ ของการจัดการธุรกรรม
ประเภทของผลิตภัณฑ์การออกบัตร
สําหรับธุรกิจที่ต้องการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร คุณควรพิจารณาว่าบัตรประเภทใดเหมาะกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด นี่คือผลิตภัณฑ์การออกบัตรประเภทต่าง ๆ ที่อาจพิจารณา
บัตรเครดิต
บัตรเครดิตช่วยให้เจ้าของบัตรยืมวงเงินที่กําหนดไว้ล่วงหน้า ทยอยจ่ายยอดคงเหลือเดือนต่อเดือน และชําระเงินขั้นต่ําไปพร้อมๆ กับการชําระดอกเบี้ยของยอดคงเหลือ
ประเภท
บัตรสะสมคะแนน: บัตรเหล่านี้มอบคะแนน ไมล์ หรือเงินคืนในการซื้อสินค้า
บัตรสําหรับการเดินทาง: บัตรเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่เดินทางบ่อย และมักนําเสนอสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง
บัตรเงินคืน: บัตรเหล่านี้มอบเงินคืนเป็นเปอร์เซ็นต์ของการใช้จ่าย
บัตรโอนยอดคงเหลือ: บัตรเหล่านี้มีอัตราเปอร์เซ็นต์ต่อปี (APR) ช่วงแนะนําที่ 0% หรืออัตราที่ต่ำสําหรับการโอนยอดคงเหลือ
บัตรที่มีหลักประกัน: ออกแบบมาสําหรับผู้ที่มีประวัติเครดิตจํากัด บัตรเหล่านี้ต้องมีเงินฝากค้ำประกัน
บัตรของร้านค้า: บัตรเหล่านี้มอบส่วนลดหรือรางวัลสำหรับการซื้อจากผู้ค้าปลีกที่กำหนด
บัตรเดบิต
บัตรเดบิตช่วยให้ลูกค้าใช้จ่ายได้โดยตรงจากยอดคงเหลือของบัญชีกระแสรายวันที่เชื่อมโยงไว้
ประเภท
บัตรเดบิตแบบดั้งเดิม: นี่คือบัตรพื้นฐานที่มีฟีเจอร์มาตรฐาน
บัตรเดบิตแบบเติมเงิน: ผู้ใช้สามารถเติมเงินจำนวนเฉพาะลงในบัตรเหล่าและใช้ได้เช่นเดียวกับบัตรเดบิตปกติ
บัตรเดบิตดิจิทัล: นี่คือบัตรดิจิทัลที่ใช้สําหรับการซื้อออนไลน์
บัตรเติมเงิน
บัตรเติมเงินมีฟังก์ชันเหมือนบัตรเดบิต แต่มีการใส่เงินไว้ล่วงหน้าแทนที่จะเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคาร
ประเภท
บัตรของขวัญ: ผู้ใช้สามารถเติมเงินจำนวนที่ต้องการลงในบัตรเหล่านี้แล้วมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นได้
บัตรบัญชีเงินเดือน: นายจ้างใช้บัตรเหล่านี้เพื่อชําระเงินให้แก่พนักงาน โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่มีบัญชีธนาคาร
บัตรสําหรับการเดินทาง: บัตรเหล่านี้มาพร้อมกับสกุลเงินต่างประเทศที่ตั้งไว้ล่วงหน้า ปกติแล้วเจ้าของบัตรจะใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
บัตรที่เติมซ้ําได้สําหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป: ผู้ใช้สามารถเติมเงินในบัตรเหล่านี้และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ได้
บัตรชาร์จการ์ด
บัตรชาร์จการ์ดไม่มีวงเงินใช้จ่ายที่กําหนดไว้ล่วงหน้า แต่ผู้ใช้ต้องชําระยอดคงเหลือเต็มจํานวนในแต่ละเดือน
ประเภท
บัตรชาร์จการ์ดสำหรับธุรกิจ: บัตรเหล่านี้มักเสนอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมซึ่งออกแบบมาเพื่อให้คุณใช้จ่ายทางธุรกิจเป็นหลัก
บัตรชาร์จการ์ดพรีเมียม: บัตรเหล่านี้มีสิทธิพิเศษและสิทธิประโยชน์แบบพิเศษ และมีค่าธรรมเนียมรายปีที่สูงขึ้น
บัตรดิจิทัล
บัตรดิจิทัลเป็นบัตรที่ใช้แบบดิจิทัลเท่านั้นสําหรับการชําระเงินออนไลน์หรือการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
ประเภท
บัตรดิจิทัลแบบใช้ครั้งเดียว: ผู้ใช้สร้างบัตรเหล่านี้สําหรับธุรกรรมรายการเดียว จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
บัตรดิจิทัลสําหรับการจัดการการชําระเงินตามรอบบิล: บัตรเหล่านี้ช่วยจัดการการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าและทำให้คุณยกเลิกการชําระเงินตามรอบบิลได้ง่ายขึ้น
บัตรดิจิทัลสําหรับค่าใช้จ่ายพนักงาน: พนักงานจะได้รับบัตรเหล่านี้สำหรับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจติดตามการใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
ประเภทของธุรกิจที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
โดยทั่วไปธุรกิจหลากหลายประเภทสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร เราลองมาดูธุรกิจบางประเภทกันอย่างละเอียด
สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
ธนาคาร: ธนาคารรายย่อย ธนาคารพาณิชย์ และสหภาพเครดิตเป็นบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่พบบ่อยที่สุด สถาบันเหล่านี้มีโครงสร้างพื้นฐานฐาน ลูกค้า และประสบการณ์กับการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่จําเป็นสําหรับการจัดการโปรแกรมบัตร
บริษัทบัตรเครดิต: บริษัทอย่าง American Express และ Discover มีความเชี่ยวชาญด้านการออกบัตรเครดิต และมีผลิตภัณฑ์บัตรที่หลากหลายสําหรับลูกค้าและธุรกิจ
ฟินเทค
ธนาคารยุคใหม่: ธนาคารแบบดิจิทัลเท่านั้นที่ให้บริการด้านธนาคาร รวมถึงบัตรเดบิตและบัตรเติมเงิน มักจะมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มประชากรที่เฉพาะเจาะจงหรือมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มีนวัตกรรม
บริษัทด้านการชําระเงิน: บริษัทด้านการชําระเงินบางแห่ง เช่น Stripe ออกบัตรดิจิทัลหรือบัตรจริงสําหรับการซื้อทางออนไลน์และที่ร้านค้า
แพลตฟอร์มการให้กู้ยืม: แพลตฟอร์มบริการเงินกู้ยืมแบบเพียร์ทูเพียร์บางแพลตฟอร์มหรือผู้ให้กู้ออนไลน์จะออกบัตรเครดิตหรือบัตรเครดิต
ผู้ให้บริการซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL): บริษัท NBL บางแห่งให้บริการผ่อนชําระด้วยบัตรดิจิทัลหรือบัตรจริง
ผู้ค้าปลีกและแบรนด์
ผู้ค้าปลีก: เชนค้าปลีกขนาดใหญ่จํานวนมากออกบัตรเครดิตที่มีแบรนด์ของร้านค้าพร้อมมอบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษเพื่อกระตุ้นความภักดีของลูกค้า
แบรนด์: บริษัทที่มีการรับรู้แบรนด์อันแข็งแกร่งอาจจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทผู้ออกบัตรเพื่อออกบัตรเครดิตแบบร่วมแบรนด์
ธุรกิจอื่นๆ
สายการบินและบริษัทด้านการท่องเที่ยว: สายการบินและบริษัทด้านการท่องเที่ยวบางแห่งมีบัตรเครดิตแบบร่วมแบรนด์พร้อมรางวัลและสิทธิประโยชน์สําหรับนักเดินทางที่เดินทางบ่อย
บริษัทด้านเทคโนโลยี: บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งยังออกบัตรดิจิทัลหรือบัตรจริงสําหรับกรณีการใช้งานเฉพาะด้วย เช่น บริการจัดการค่าใช้จ่ายและบริการสมัครสมาชิก
แพลตฟอร์มเศรษฐกิจแบบตลาดแรงงานเสรี: บางแพลตฟอร์มสําหรับคนทำงานอิสระเสนอบัตรเติมเงินหรือบัตรเดบิตเพื่อการชําระเงินที่ง่ายขึ้นและการจัดการค่าใช้จ่าย
ข้อดีของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตรสามารถให้ประโยชน์มากมาย ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างข้อดีที่เป็นไปได้
การเชื่อมโยงลูกค้าที่ดีกว่า
ตัวตนที่ลูกค้าจำได้ในด้านการใช้จ่าย: การออกบัตรของตัวเองจะช่วยให้ธุรกิจทำให้ลูกค้าจดจำและนึกถึงแบรนด์ของตนทุกครั้งที่ซื้อของ การนำเสนอตัวตนอย่างสม่ำเสมอนี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นขึ้นและกระตุ้นให้เกิดลูกค้าประจำ
ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: เมื่อใช้ข้อมูลธุรกรรมจากบัตรที่ออก ธุรกิจจะเข้าใจพฤติกรรม ความต้องการ และรูปแบบการใช้จ่ายของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น การวิเคราะห์เหล่านี้สามารถแจ้งให้ข้อมูลเพื่อการดําเนินการด้านการตลาดและข้อเสนอส่วนบุคคล และอาจเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้
กระแสรายรับใหม่และลดค่าใช้จ่าย
ค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: ธุรกิจจะได้รับเปอร์เซ็นต์ตามมูลค่าธุรกรรมเป็นค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารทุกครั้งที่ลูกค้าใช้บัตรของตน ซึ่งอาจเป็นแหล่งรายรับจำนวนมาก โดยเฉพาะถ้าสามารถขยายฐานผู้ถือบัตรได้
รายรับจากดอกเบี้ย: การออกบัตรเครดิตสามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจโดยมาจากดอกเบี้ยของยอดคงเหลือที่ค้างชําระ
ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลที่ลดลง: ธุรกิจอาจสามารถเจรจาขออัตราค่าประมวลผลและโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ดีขึ้นได้ด้วยการออกบัตรของตัวเอง ซึ่งจะช่วยประหยัดได้มากเมื่อเวลาผ่านไป
ความยืดหยุ่นและการควบคุมที่มากขึ้น
การปรับแต่งผลิตภัณฑ์: ธุรกิจสามารถควบคุมการออกแบบ ฟีเจอร์ และสิทธิประโยชน์ของโปรแกรมบัตรได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ประสบการณ์ของลูกค้า: ธุรกิจสามารถกําหนดเส้นทางการใช้บัตรของลูกค้าได้ตั้งแต่ขั้นตอนการสมัครไปจนถึงกระบวนการเริ่มต้นใช้งานและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
โอกาสในการปรับปรุง: ธุรกิจสามารถทดลองเทคโนโลยีและฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การชําระเงินแบบไร้สัมผัส กระเป๋าเงินดิจิทัล และการให้รางวัลแบบเรียลไทม์
ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
การสร้างความแตกต่าง: โปรแกรมบัตรที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจสามารถช่วยให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่งได้ วิธีนี้สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสําคัญกับสิทธิประโยชน์และรางวัลที่เจาะจงของโปรแกรม
การขยายตลาด: ธุรกิจสามารถออกแบบโปรแกรมบัตรเพื่อตอบสนองความต้องการและความชอบของลูกค้าที่เจาะจงเพื่อเข้าถึงตลาดหรือกลุ่มประชากรใหม่ๆ ได้
ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์และการพัฒนาระบบนิเวศ
โอกาสในการร่วมสร้างแบรนด์: ธุรกิจสามารถร่วมมือกับแบรนด์หรือบริษัทอื่นเพื่อสร้างบัตรแบบร่วมแบรนด์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายสามารถขยายไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้
บริการที่เพิ่มคุณค่า: ธุรกิจสามารถผสานโปรแกรมบัตรของตนเข้ากับผลิตภัณฑ์หรือบริการอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าและกระตุ้นการมีส่วนร่วม
ความท้าทายในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตรมีความท้าทายบางอย่าง นี่คืออุปสรรคที่เป็นไปได้
การผสานการทํางานกับเครือข่ายการชําระเงิน: ธุรกิจจะต้องผสานการทํางานของผลิตภัณฑ์ของตนกับเครือข่ายการชําระเงินที่มีชื่อเสียงเช่น Visa, Mastercard และ American Express โดยจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางเทคนิคที่รัดกุม ผ่านขั้นตอนการทดสอบที่เข้มงวด และอาจต้องผ่านกระบวนการรับรองที่ใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง
การปรับแต่งระบบป้องกันการฉ้อโกง: ในการเปิดตัวโปรแกรมบัตร ธุรกิจต้องลงทุนกับระบบป้องกันการฉ้อโกงที่เหมาะกับโปรแกรมและโปรไฟล์ความเสี่ยงของตน ตัวอย่างเช่น บัตรองค์กรอาจต้องใช้การควบคุมและการตรวจสอบที่แตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับบัตรเดบิตสำหรับผู้บริโภค
ความเสี่ยงด้านเครดิตในตลาดใหม่: ธุรกิจที่กําหนดเป้าหมายไปยังประชากรที่ไม่ได้รับบริการเท่าที่ควรหรือไม่ได้ใช้ธนาคารซึ่งไม่มีประวัติสินเชื่อแบบดั้งเดิม จะต้องพัฒนาโมเดลการให้คะแนนทางเลือกโดยอิงตามจุดข้อมูลอื่นๆ โดยจะต้องใช้ฟังก์ชันการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน ซึ่งอาจสร้างและดูแลรักษาได้ยาก
การอนุมัติตามระเบียบข้อบังคับ: ในการที่จะประสบความสําเร็จ ธุรกิจต้องคอยติดตามกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในหลายเขตอํานาจศาล และจะต้องปรับตัวไปพร้อมกับที่กฎหมายกํากับดูแลการคุ้มครองผู้บริโภค ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และธุรกรรมข้ามพรมแดนมีการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างพื้นฐานด้านการสนับสนุนลูกค้า: การสนับสนุนลูกค้าที่เชื่อถือได้และสม่ำเสมอนั้นเป็นสิ่งสําคัญ เนื่องจากการใช้บัตรที่เพิ่มขึ้นอาจทําให้มีปริมาณการสอบถามข้อมูลและธุรกรรมสูงขึ้น ธุรกิจต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถขยายไปพร้อมกับการรักษามาตรฐานบริการระดับสูง
ประสบการณ์ของผู้ใช้: ธุรกิจควรออกแบบผลิตภัณฑ์บัตรที่ตรงตามมาตรฐานด้านการกํากับดูแลและความปลอดภัย และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้ใช้ จะต้องหาจุดลงตัวระหว่างการผสานฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การผสานการทํางานกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ และตัวเลือกในการเติมเงิน กับการทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
การจัดการต้นทุน: สำหรับผลิตภัณฑ์บัตรใดๆ ก็ตาม ธุรกิจจะต้องหาจุดสมดุลระหว่างการจัดการค่าใช้จ่าย การรักษาความสามารถในการทํากําไร และการเสนอราคาและสิทธิประโยชน์ที่แข่งขันได้ให้กับลูกค้า บริษัทจะต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนมากน้อยแค่ไหนในด้านเทคโนโลยี การรักษาความปลอดภัย และการหาลูกค้าใหม่ พร้อมทั้งทําให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพทางการเงิน
ความสัมพันธ์ด้านการสร้างแบรนด์: หากผลิตภัณฑ์บัตรเป็นส่วนหนึ่งของโครงการร่วมแบรนด์ ผลิตภัณฑ์จะต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์และความคาดหวังของทั้งสองแบรนด์ โดยทั้งสองจะต้องเจรจาเกี่ยวกับข้อกําหนดที่ยอมรับร่วมกัน ทําแคมเปญการตลาดให้ตรงกัน และใช้การสร้างแบรนด์ที่สอดคล้องกัน
การดูแลด้านเทคโนโลยี: ธุรกิจจะต้องคอยอัปเดตผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยในแง่ของเทคโนโลยีและปกป้องจากภัยคุกคามล่าสุดไปพร้อมๆ กับการคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจําเป็นต้องมีความพยายามและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ธุรกรรมทั่วโลก: ธุรกิจที่จัดการธุรกรรมในหลายๆ สกุลเงินและสภาพแวดล้อมทางระเบียบข้อบังคับจะต้องปฏิบัติตามข้อกําหนด ในขณะเดียวกันก็ต้องดําเนินงานอย่างโปร่งใสและมอบอัตราค่าบริการที่แข่งขันได้ให้แก่ลูกค้า
วิธีเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตร
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์การออกบัตรเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการวางแผนและมีข้อควรพิจารณาหลายข้อ ต่อไปนี้คือคําแนะนําแบบทีละขั้นตอนเพื่อช่วยคุณในการเริ่มต้น
กําหนดกลยุทธ์ของคุณ
ระบุวัตถุประสงค์เฉพาะที่คุณต้องการบรรลุด้วยผลิตภัณฑ์การออกบัตรของคุณ วัตถุประสงค์เหล่านี้อาจรวมถึงการเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า การสร้างกระแสรายรับใหม่ หรือการขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ
ระบุโปรไฟล์ลูกค้าในอุดมคติของคุณ ทําความเข้าใจข้อมูลประชากร ความต้องการด้านการเงิน พฤติกรรมการใช้จ่าย และความท้าทาย
ศึกษาวิจัยตลาด
- วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เพื่อระบุช่องว่างและโอกาสในตลาด คู่แข่งของคุณทําอะไรได้ดี พวกเขายังตกหล่นที่จุดไหน
เลือกผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ที่เหมาะสม
เลือกประเภทผลิตภัณฑ์การออกบัตร (เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรเติมเงิน) ที่เหมาะกับเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด กําหนดฟีเจอร์และสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกัน
นำเสนอจุดขายที่ไม่ซ้ําซึ่งจะสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของคุณจากคู่แข่งและดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย พิจารณาการใช้โปรแกรมรางวัล ข้อเสนอเงินคืน สิทธิพิเศษ หรือฟีเจอร์ที่มีนวัตกรรม
สร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่ง
ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเครือข่ายบัตร ผู้ให้บริการเทคโนโลยี หรือฟินเทค เลือกพาร์ทเนอร์ที่มาพร้อมโซลูชันที่ยืดหยุ่นซึ่งช่วยส่งเสริมคุณค่าของธุรกิจคุณ
เป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ประมวลผลที่มีชื่อเสียงซึ่งมีเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญ และการสนับสนุนที่จําเป็นต่อความสําเร็จ
สร้างระบบเทคโนโลยีของคุณ
พัฒนาหรือซื้อเทคโนโลยีมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์การออกบัตรของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงระบบการจัดการบัตร เครื่องมือการบริการลูกค้า กลไกการป้องกันการฉ้อโกง หรือโปรโตคอลรักษาความปลอดภัย
ให้ความสําคัญกับเทคโนโลยีที่สามารถปรับขยายและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการและภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป พิจารณาโซลูชันบนระบบคลาวด์เพื่อความยืดหยุ่นและลดต้นทุน
ปกป้องผลิตภัณฑ์ของคุณจากความเสี่ยงและการไม่เป็นไปตามข้อกําหนด
ปรึกษากับที่ปรึกษาทางกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนดเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นไปตามข้อกําหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรมทั้งหมด ปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลและการต่อต้านการฟอกเงิน (AML) และข้อบังคับ "รู้จักลูกค้าของคุณ" (KYC) อย่างใกล้ชิด
พัฒนานโยบายและขั้นตอนปฏิบัติในการจัดการความเสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิต (หากมี) ความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน
มุ่งเน้นที่ประสบการณ์ของผู้ใช้
สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่เรียบง่ายและใช้งานง่ายในทุกจุดสัมผัส ตั้งแต่ขั้นตอนการสมัครใช้งานไปจนถึงการจัดการบัญชีและการสนับสนุนลูกค้า
พัฒนากลยุทธ์การตลาดและอัตลักษณ์แบรนด์ที่เข้มแข็งซึ่งสื่อสารคุณค่าของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
ทดสอบและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของคุณ
ทําการทดสอบที่กว้างขวางก่อนจะออกสู่ตลาด ทําการทดสอบตัวอย่างกับกลุ่มผู้ใช้แบบปิดเพื่อรวบรวมความคิดเห็นแบบเรียลไทม์และปรับเปลี่ยนตามความจําเป็น
พัฒนากลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดที่ครอบคลุมซึ่งระบุช่องทางเป้าหมาย การสื่อสาร และกลยุทธ์ส่งเสริมการขายของคุณ ใช้ช่องทางต่างๆ เช่น การตลาดดิจิทัล โซเชียลมีเดีย การเป็นพาร์ทเนอร์ และโปรแกรมแนะนําธุรกิจเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ
พิจารณากลยุทธ์การเปิดตัวแบบเป็นระยะเพื่อจัดการความเสี่ยงและรวบรวมข้อมูลเชิงลึกก่อนที่จะเปิดตัวโซลูชันในวงกว้าง
คอยตรวจสอบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของคุณ
ติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและกระตุ้นการเติบโต
รวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้า ใช้ความคิดเห็นนี้เพื่อปรับฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ แนวทางการบริการลูกค้า และกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นที่รู้จักและทํางานได้ดี จึงค่อยขยายธุรกิจโดยการขยายตลาดเป้าหมาย การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือการสํารวจภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ใหม่ๆ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ