Value card คือบัตรชําระเงินประเภทหนึ่งที่มีการเก็บเงินทุนไว้โดยตรงบนบัตร แทนที่จะมอบสิทธิ์เข้าถึงเงินทุนในบัญชีแยกต่างหากหรือจากวงเงินเครดิต บัตรเหล่านี้เติมเงินไว้ล่วงหน้าและใช้ซื้อสินค้าได้จนกว่ายอดคงเหลือจะหมด
บัตรชำระเงินมีบทบาทอย่างมากในตลาด บัตรของขวัญ ซึ่งเป็นบัตรการชำระเงินประเภทหนึ่ง มีมูลค่าตลาดทั่วโลกที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นจาก 984 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 ด้านล่างนี้เราจะอธิบายวิธีการทํางานของบัตรการชำระเงิน วิธีที่ธุรกิจใช้บัตรเหล่านั้นได้ รวมถึงประโยชน์และความท้าทายที่มาพร้อมกับบัตร
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ประเภทบัตรชำระเงิน
- บัตรชําระเงินมีกลไกการทำงานอย่างไร
- บัตรชําระเงินใช้ทําอะไร
- ธุรกิจประเภทใดบ้างใช้บัตรชำระเงินบ่อยมากที่สุด
- ประโยชน์ของการออกบัตรชำระเงินในฐานะธุรกิจ
- ความท้าทายที่มาพร้อมกับบัตรชำระเงิน
ประเภทของบัตรชำระเงิน
บัตรชำระเงินอาจมาในหลายรูปแบบ ได้แก่
บัตรเดบิตแบบเติมเงิน: บัตรประเภทนี้ทำงานในลักษณะคล้ายกับบัตรเดบิต แต่มีการเติมเงินไว้ล่วงหน้า ผู้ใช้สามารถเติมเงินใหม่ได้ตามต้องการ บัตรประเภทนี้จะมีประโยชน์เป็นพิเศษสําหรับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือผู้ที่ต้องการจัดการการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
บัตรของขวัญ: บัตรประเภทนี้จะออกโดยผู้ค้าปลีก และเติมเงินจํานวนหนึ่งไว้ล่วงหน้าเพื่อนําไปใช้จ่ายที่ร้านหรือสำหรับบริการที่เกี่ยวข้อง บัตรประเภทนี้นิยมให้เป็นของขวัญและเครื่องมือส่งเสริมการขาย
บัตรเดินทาง: บัตรประเภทนี้ใช้ในบบขนส่งสาธารณะสำหรับการจ่ายค่าโดยสาร ผู้ใช้สามารถเติมเงินในบัตรเหล่านี้ล่วงหน้า และระบบจะหักเงินในบัตรขณะเดินทาง
บัตรบัญชีเงินเดือน: เป็นบัตรที่นายจ้างมอบให้พนักงานเพื่อชําระค่าแรงหรือเงินเดือนโดยการเติมจํานวนเงินลงในบัตร บัตรนี้มักใช้สําหรับพนักงานที่ไม่มีบัญชีธนาคาร
บัตรสวัสดิการของรัฐ: หน่วยงานของรัฐใช้บัตรนี้เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ประกันสังคม ค่าตอบแทนการว่างงาน และเงินสนับสนุนอื่นๆ ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์โดยตรง
บัตร Health Savings Account (HSA): บัตรนี้เชื่อมโยงกับ HSA และช่วยให้ผู้ใช้ชำระค่ารักษาพยาบาลที่เข้าเงื่อนไขได้โดยตรงจากบัญชีของพวกเขา
บัตรโทรคมนาคม: บัตรประเภทนี้ช่วยให้ผู้ใช้ชําระเงินล่วงหน้าสําหรับบริการโทรศัพท์มือถือ เช่น การโทร ข้อความ และอินเทอร์เน็ตได้
บัตรสําหรับบัญชีการใช้จ่ายที่ยืดหยุ่น (FSA): บัตรประเภทนี้ใช้สำหรับการจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เข้าเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วย โดยใช้เงินก่อนหักภาษีโดยตรงจาก FSA ที่เชื่อมโยง
บัตรชำระเงินมีหลักการทำงานอย่างไร
บัตรชําระเงินจะจัดเก็บเงินเป็นจํานวนหนึ่งไว้ในบัตรโดยตรง ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ในแถบชิปหรือแถบแม่เหล็ก สิ่งนี้แตกต่างจากบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต ซึ่งจะดึงเงินจากบัญชีภายนอกที่เชื่อมโยงกับบัตร
วิธีการทํางานมีดังนี้
การเติมเงิน: ในตอนแรก บัตรจะได้รับการเติมเงินจำนวนเงินที่กําหนดไว้ล่วงหน้า อาจจะโดยบริษัทผู้ออกบัตรหรือผู้ใช้ มูลค่านี้จะจัดเก็บอยู่ในเทคโนโลยีแบบผสานรวมในตัวของบัตร
การซื้อ: เมื่อบุคคลทั่วไปใช้บัตรเพื่อทําการซื้อ เทอร์มินัลจะอ่านข้อมูลของบัตรและยืนยันมูลค่าที่จัดเก็บไว้ หากมีเงินเพียงพอ ระบบจะหักยอดเงินธุรกรรมออกจากยอดคงเหลือในบัตร ไม่จำเป็นต้องมีบัญชีภายนอกหรือการอนุญาตเครือข่ายสำหรับบัตรแบบวงปิด (Closed-loop) ซึ่งสามารถใช้ได้เฉพาะกับธุรกิจเฉพาะเท่านั้น บัตรแบบวงเปิดหรือ Open-loop (เช่น บัตรของขวัญ Visa หรือ Mastercard) ทำงานในลักษณะเดียวกับบัตรเดบิต เนื่องจากต้องได้รับอนุญาตจากเครือข่ายจึงจะทำธุรกรรมได้
การตรวจสอบยอดคงเหลือ: โดยปกติแล้ว คุณสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือบนบัตรได้โดยไปที่พอร์ทัลออนไลน์ที่บริษัทผู้ออกบัตรจัดหาให้ โดยใช้ ATM หรือเทอร์มินัลระบบบันทึกการขาย (POS) หรือโทรติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า
การเติมเงินอีกครั้ง: เติมเงินเข้าบัตรชำระเงินล่วงหน้าเพื่อเพิ่มยอดคงเหลือที่ใช้ได้สําหรับการใช้งานในครั้งต่อๆ ไป คุณสามารถทํได้ผ่านวิธีการออนไลน์ ในจุดบริการเติมเงินที่กำหนด หรือบางครั้งก็ดําเนินการที่ระบบบันทึกการขายก็ได้
การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัย: บัตรชำระเงินจํานวนมากมีการป้องกันที่คล้ายกันกับบัตรเดบิต หากบัตรสูญหายหรือถูกขโมย ปกติแล้วคุณจะรายงานให้บริษัทผู้ออกบัตรทราบ ซึ่งอาจดำเนินการบล็อกบัตรใบดังกล่าวและออกบัตรใบใหม่พร้อมกับโอนเงินที่เหลืออยู่ไปยังบัตรใบใหม่
บัตรชําระเงินใช้ทําอะไรได้บ้าง
บัตรชำระเงินเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ ต่อไปนี้เป็นกรณีการใช้งานโดยทั่วไปของบัตรชำระเงิน
การให้เป็นของขวัญ และการใช้จ่ายส่วนบุคคล
บัตรของขวัญ: บัตรของขวัญ (ทั้งแบบจับต้องได้และดิจิทัล) เป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมสําหรับวันเกิด วันหยุด หรือโอกาสพิเศษอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ผู้รับเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการได้เองจากผู้ค้าปลีกบางรายหรือจากเครือข่ายบัตรรายใหญ่
บัตรเดบิตแบบเติมเงิน: บัตรเดบิตแบบเติมเงินมีไว้สําหรับการซื้อประจําวันหรือการช็อปปิ้งออนไลน์ บัตรจะช่วยให้การบริหารการใช้จ่ายและงบประมาณเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับบุคคลที่อาจไม่มีบัญชีธนาคารหรือต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการเบิกเงินเกินบัญชี
บัตรโทรศัพท์: สามารถใช้บัตรโทรศัพท์เพื่อชําระค่าโทรศัพท์ทางไกลหรือระหว่างประเทศได้
การขนส่งและการเดินทาง
บัตรเดินทาง: บัตรเดินทางใช้กันอย่างแพร่หลายในการขนส่งสาธารณะ บัตรนี้จะจัดเก็บข้อมูลค่าโดยสารหรือตั๋วสําหรับการเดินทางโดยรถโดยสาร รถไฟ และรถไฟใต้ดิน
บัตรทางด่วน: บัตรทางด่วนทำให้การเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์บนทางหลวงรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น
บัตรสําหรับการเดินทาง: บริษัทบางแห่งเสนอบัตรเดินทางแบบเติมเงินสำหรับจุดหมายปลายทางหรือสายการบินเฉพาะ ลูกค้าสามารถดําเนินการเติมเงินและจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างปลอดภัย
ธุรกิจและบัญชีเงินเดือน
บัตรบัญชีเงินเดือน: นายจ้างจะออกบัตรบัญชีเงินเดือนเพื่อจ่ายค่าแรงหรือเงินเดือน บัตรเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับพนักงานที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือต้องการใช้วิธีการชําระเงินผ่านบัตร
โปรแกรมรางวัลและคะแนนสะสม: บริษัทต่างๆ ใช้บัตรชำระเงินในการตอบแทนพนักงานหรือลูกค้า
การจัดการค่าใช้จ่าย: ธุรกิจต่างๆ ใช้บัตรชำระเงินเพื่อควบคุมและติดตามการใช้จ่ายของพนักงาน ซึ่งจะทําให้การรายงานค่าใช้จ่ายและการกระทบยอดง่ายขึ้น
การศึกษา และชีวิตในมหาวิทยาลัย
บัตนักศึกษา: นักศึกษาใช้บัตรนักศึกษาในการระบุตัวตน เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และชำระค่าบริการต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เช่น ค่าอาหาร ค่าซักรีด หรือค่าซื้อหนังสือ
แพ็กเกจอาหาร: บัตรเครดิตสําหรับมื้ออาหารจะมีเครดิตสำหรับการรับประทานอาหารจำนวนหนึ่งเติมไว้ล่วงหน้า นักศึกษาสามารถจัดการค่าอาหารในมหาวิทยาลัยได้สะดวก
โครงการของรัฐบาลและสังคม
การจ่ายสวัสดิการ:รัฐบาลใช้บัตรชำระเงินพื่อแจกจ่ายสิทธิประโยชน์ เช่น ค่าชดเชยการว่างงานหรือความช่วยเหลือด้านอาหาร
การบรรเทาภัยพิบัติ: บัตรชําระเงินสามารถมอบสิทธิ์เข้าถึงเงินให้กับบุคคลทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือกรณีฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ธุรกิจประเภทใดบ้างใช้บัตรชำระเงินบ่อยมากที่สุด
บัตรชำระเงินเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสําหรับธุรกิจหลากหลายประเภท ธุรกิจบางประเภทที่ใช้บ่อยที่สุด มีดังนี้
ร้านค้าปลีก: ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกเฉพาะทางต่างใช้บัตรของขวัญเพื่อกระตุ้นยอดขายและกระตุ้นให้ลูกค้ามีความภักดี ผู้ค้าปลีกสามารถออกบัตรชำระเงินในแบรนด์ของตนเพื่อโปรโมตธุรกิจเดิมและติดตามรูปแบบการใช้จ่ายของลูกค้าได้ บัตรเหล่านี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในการเป็นของขวัญในช่วงวันหยุดและโอกาสพิเศษ
ร้านอาหารและคาเฟ่: ร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆ มักออกบัตรของขวัญ ส่วนร้านสไตล์โรงอาหารและร้านอาหารจานด่วนต่างๆ มักใช้บัตรชำระเงินเพื่อทำธุรกรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โรงอาหารของมหาวิทยาลัยมักใช้บัตรมื้ออาหาร (บัตรชำระเงินประเภทหนึ่ง) เพื่อให้นักศึกษาจัดการค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารของพวกเขา
บริษัทคมนาคมและขนส่ง: ระบบขนส่งสาธารณะใช้บัตรชําระเงิน (บัตรค่าโดยสารหรือบัตรเดินทาง) กันอย่างแพร่หลายสำหรับการชําระเงินแบบไร้สัมผัสที่รวดเร็ว ทางด่วนและสะพานบางแห่งใช้บัตรผ่านแบบเติมเงินเพื่อให้ผ่านได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและลดความแออัดที่ด่านเก็บค่าผ่านทาง และบางครั้งสายการบินและตัวแทนท่องเที่ยวก็เสนอบัตรเติมเงินเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง
สถานที่บันเทิงและสันทนาการ: โรงภาพยนตร์ สวนสนุก และสถานที่บันเทิงหลายประเภทขายบัตรชําระเงินหรือบัตรของขวัญเพื่อการเข้าชม รับประทานอาหาร และการซื้อสินค้า นอกจากนี้ ร้านเกมและศูนย์เกมยังใช้บัตรเติมเงินเพื่อให้ลูกค้าเล่นเกมและติดตามเงินรางวัลของตนอีกด้วย ยิมและสตูดิโอออกกําลังกายบางแห่งมีบัตรสมาชิกแบบเติมเงินเพื่อใช้สิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆ และซื้อบริการเพิ่มเติม
บริษัทโทรคมนาคม: ผู้ให้บริการโทรคมนาคมบางรายเสนอบัตรชําระเงินสําหรับการซื้ออินเทอร์เน็ตหรือการโทรเพิ่มเติมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ผู้ที่ไม่มีแพ็กเกจโทรศัพท์แบบเดิมหรือผู้ที่จําเป็นต้องชําระเงินค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศก็อาจใช้บัตรโทรศัพท์แบบเติมเงินด้วยเช่นกัน
นายจ้างและผู้ให้บริการเงินเดือน: บริษัทหลายแห่งใช้บัตรบัญชีเงินเดือนเป็นทางเลือกสําหรับการเลือกจ่ายเงินแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับพนักงานที่ไม่มีบัญชีธนาคาร โดยอาจจะใช้บัตรชำระเงินสําหรับรางวัลจูงใจพนักงาน รางวัล หรือโปรแกรมเงินคืนค่าใช้จ่ายด้วย
หน่วยงานราชการและองค์กรไม่แสวงผลกําไร: หน่วยงานของรัฐมักจะออกบัตรชําระเงินเพื่อแจกจ่ายสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่าตอบแทนในการว่างงานหรือการให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร องค์กรไม่แสวงผลกําไรบางรายอาจใช้บัตรเหล่านี้ในการระดมทุนหรือมอบความช่วยเหลือทางการเงิน
อีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มออนไลน์: มีการใช้บัตรของขวัญดิจิทัลสําหรับการซื้อออนไลน์มากขึ้น แพลตฟอร์มเกมออนไลน์และโลกดิจิทัลมักจะใช้บัตรชําระเงินสําหรับการซื้อและธุรกรรมในเกม
ประโยชน์ของการออกบัตชำระเงินในฐานะธุรกิจ
ต่อไปนี้คือประโยชน์บางส่วนของบัตรชำระเงินสำหรับธุรกิจต่างๆ
การจัดการค่าใช้จ่าย: ธุรกิจต่างๆ สามารถออกบัตรที่มีการกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ล่วงหน้าและมีข้อจำกัดสำหรับหมวดหมู่ธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง การทําเช่นนี้จะช่วยให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามนโยบายของบริษัทและป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต ธุรกิจสามารถตรวจสอบธุรกรรมที่ทําขึ้นโดยใช้บัตรชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้พนักงานทราบข้อมูลการใช้จ่ายของตนเองได้ทันที และเปิดโอกาสให้พนักงานระบุข้อมูลที่ไม่ตรงกันหรือกรณีที่อาจเป็นการฉ้อโกง นอกจากนี้ บัตรชําระเงินยังช่วยลดต้นทุนการบริหารและประหยัดเวลาอันมีค่าของทีมงานการเงินได้ด้วยการลดการรายงานค่าใช้จ่ายด้วยตนเองและกระบวนการคืนเงิน
กระแสเงินสด: ธุรกิจต่างๆ จะได้รับเงินจากบัตรชำระเงินทันทีหลังจากเปิดใช้งานหรือเติมเงินในบัตรใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจสามารถคาดการณ์กระแสรายรับได้ดีขึ้นและทําการตัดสินใจทางการเงินอย่างมีข้อมูลมากขึ้นโดยอิงตามรูปแบบการใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้
ความภักดีและการมีส่วนร่วมของลูกค้า: ธุรกิจที่ให้รางวัลหรือส่วนลดผ่านบัตชำระเงินสามารถสร้างแรงจูงใจให้กลับมาทำธุรกิจซ้ำและสร้างความภักดีของลูกค้าได้ ลูกค้ามีแนวโน้มมากขึ้นที่จะกลับมาใช้บริการธุรกิจที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและได้รับความชื่นชม
การเข้าถึงตลาด: บัตรชําระเงินเป็นตัวเลือกการชําระเงินที่เข้าถึงได้สําหรับผู้ที่อาจไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตแบบเดิม ๆ รวมถึงเปิดกลุ่มลูกค้าใหม่และกระแสรายรับที่เป็นไปได้ ธุรกิจที่มีบัตรระบบเปิดที่ลิงก์กับเครือข่ายการชําระเงินรายใหญ่จะสามารถรับการชําระเงินจากลูกค้าทั่วโลกและขยายการเข้าถึงได้เกินขอบเขตทางภูมิศาสตร์
ความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง: โดยทั่วไปแล้ว บัตรชำระเงินจะใช้ฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การเข้ารหัสและการแปลงเป็นโทเค็นเพื่อปกป้องข้อมูลของเจ้าของบัตรที่ละเอียดอ่อนและลดความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูล ในกรณีที่เกิดการสูญหายหรือการโจรกรรม โดยทั่วไปธุรกิจสามารถจํากัดความรับผิดต่อยอดคงเหลือในบัตรได้
การรับรู้แบรนด์: บัตรชำระเงินซึ่งมีแบรนด์ทำหน้าที่เสมือนตัวเตือนใจให้รับรู้ถึงธุรกิจทุกครั้งที่ลูกค้าใช้บัตรดังกล่าว สิ่งนี้ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และการจดจำในหมู่ลูกค้าและลูกค้าเป้าหมาย ธุรกิจต่างๆ ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับแบรนด์ของตนได้โดยการให้ตัวเลือกการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย
ช่องทางสร้างรายรับ: ธุรกิจอาจสร้างรายรับเพิ่มเติมได้ผ่านค่าธรรมเนียมการเปิดใช้งาน ค่าธรรมเนียมการบํารุงรักษารายเดือน หรือค่าธรรมเนียมธุรกรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมบัตรและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ในบางกรณี ธุรกิจอาจได้รับดอกเบี้ยจากเงินที่ไม่ได้ใช้ซึ่งเก็บไว้ในบัตรชำระเงิน ซึ่งเป็นแหล่งรายรับเพิ่มเติมที่มาจากการดําเนินการนี้
ข้อมูลลูกค้า: ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมจากบัตรชําระเงินเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูลประชากรของลูกค้า พฤติกรรมการใช้จ่าย และค่ากําหนดของผลิตภัณฑ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนําข้อมูลนี้ไปใช้สร้างแคมเปญการตลาดและโปรโมชันที่มีการกําหนดเป้าหมายเพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าและการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้
ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น: บัตรชําระเงินเป็นตัวเลือกที่รวดเร็ว ปลอดภัย และการชําระเงินแบบไร้สัมผัส นอกจากนี้ยังทำให้การเติมเงินเป็นเรื่องง่ายและสามารถช่วยลูกค้าหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการเบิกเงินเกินบัญชีที่อาจเกิดขึ้นกับบัตรเดบิตได้
ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: โปรแกรมบัตรชำระเงินอาจทําให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่งได้ โดยสามารถดึงดูดลูกค้าที่กําลังมองหาตัวเลือกการชําระเงินทางเลือกและความสะดวกสบายในระดับสูง
ความท้าทายที่มาพร้อมกับบัตรชำระเงิน
แม้ว่าบัตรชำระเงินจะมีมูลค่าในระดับสูง แต่ก็มีความยุ่งยากด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเสียเปรียบที่อาจเกิดขึ้นสําหรับบัตรชำระเงิน
ความท้าทายสําหรับผู้ใช้
ค่าธรรมเนียม: บัตรชําระเงินบางใบมีค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมการเปิดใช้งาน ค่าธรรมเนียมการบํารุงรักษารายเดือน ค่าธรรมเนียมการเติมเงินใหม่ และค่าธรรมเนียมที่ไม่ได้ใช้งาน สิ่งนี้สามารถทำลายมูลค่าของบัตรได้
การใช้งานแบบจํากัด: บัตรชําระมูลเงินบางใบใช้ได้เฉพาะกับผู้ค้าปลีกบางรายหรือบริการบางอย่างเท่านั้น
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: หากบัตรมูลค่าที่จัดเก็บไว้สูญหายหรือถูกขโมยและไม่ได้รับการป้องกันอย่างเพียงพอจาก PIN หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงบัตรดังกล่าวก็สามารถใช้เพื่อทําการซื้อได้
ไม่มีการสร้างเครดิต: บัตรชําระเงินไม่ได้ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเครดิตได้
ปัญหายอดคงเหลือ: ผู้ใช้บางกลุ่มอาจประสบปัญหาในการติดตามยอดคงเหลือของตน และอาจมียอดเงินคงเหลือเพียงเล็กน้อยซึ่งยากต่อการใช้จ่าย
ความท้าทายสําหรับผู้ออกบัตร
การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: บริษัทผู้ออกบัตรต้องสํารวจสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่ซับซ้อน รวมถึงกฎหมายและกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน (AML) เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ไม่มีการอ้างสิทธิ์
ความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง: บัตรชำระเงินนั้นเสียงต่อการฉ้อโกงประเภทต่างๆ ซึ่งรวมถึงการโคลนและการเติมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งนําไปสู่การสูญเสียทางการเงินและความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัทผู้ออกบัตร
ปัญหาทางเทคนิค: ผู้ออกบัตรจะต้องดําเนินการและรักษาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่จําเป็นต่อการรองรับการออกบัตร การเติมเงิน และการประมวลผลบัตรชําระเงิน
ความอิ่มตัวของตลาด: ผู้เข้าร่วมรายใหม่อาจประสบความยุ่งยากในการสร้างความแตกต่างให้กับข้อเสนอของตนในตลาด เช่น ร้านค้าปลีก ซึ่งมีบัตรของขวัญและตัวเลือกเติมเงินอื่นๆ ที่มากมายอยู่แล้ว
ความไม่พึงพอใจของลูกค้า: บัตรชําระเงินอาจมาพร้อมค่าธรรมเนียมสูง วันหมดอายุ หรือปัญหาด้านบริการซึ่งทําให้ลูกค้าไม่พอใจและสามารถสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์ได้
ความรับผิดในการแลกรับ: ผู้ให้บริการต้องจัดการผลกระทบทางบัญชีและการเงินสำหรับเงินในบัตรที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งเรียกว่าการเสียหาย การดําเนินการนี้อาจส่งผลต่อการรายงานทางการเงินและการรับรู้รายรับ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ