การฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรเป็นการฉ้อโกงบัตรเครดิตรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมิจฉาชีพจะตรวจสอบว่าหมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมาใช้ได้หรือไม่ การฉ้อโกงนี้มักจะเป็นการทําธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ําหลายรายการในเว็บไซต์ต่างๆ เจ้าของบัตรและระบบตรวจจับการฉ้อโกงมักจะไม่สังเกตเห็นธุรกรรมขนาดเล็กเหล่านี้ เพราะมักจะมุ่งเน้นไปยังรูปแบบการใช้จ่ายที่มียอดสูงและผิดสังเกตมากกว่า ผู้ที่ทำการฉ้อโกงจะใช้ธุรกรรมทดสอบเหล่านี้เพื่อยืนยันว่าบัตรดังกล่าวยังใช้งานได้ และยังไม่ถูกรายงานหรือยกเลิกเนื่องจากการโจรกรรม รวมทั้งเพื่อยืนยันว่าบัตรมีวงเงินที่เพียงพอสําหรับการซื้อสินค้าหรือบริการ
การฉ้อโกงประเภทนี้ใช้กระบวนการธุรกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อป้องกันการตรวจจับ มิจฉาชีพมักจะมุ่งเป้าเว็บไซต์ที่ประมวลผลธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ําในปริมาณมาก เนื่องจากเว็บไซต์เหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะทริกเกอร์การแจ้งเตือนน้อย เมื่อบัตรผ่านขั้นตอน "การทดสอบ" ในระยะแรกโดยถือว่าใช้งานได้และไม่ถูกบล็อก มูลค่าที่บัตรใบดังกล่าวมีต่อมิจฉาชีพจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จากนั้น พวกเขาอาจใช้บัตรเพื่อทําการซื้อในมูลค่าสูงหรืออาจขายรายละเอียดของบัตรในตลาดที่ผิดกฎหมาย
คาดการณ์ว่าการฉ้อโกงในอีคอมเมิร์ซจะมีมูลค่ารวมทั่วโลกกว่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ตามรายงานของ Juniper Research ความง่ายดายในการทดสอบบัตรที่เป็นการฉ้อโกง ซึ่งต้องใช้แค่รายการหมายเลขบัตรที่ขโมยมาและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในหมู่อาชญากรไซเบอร์ คุณลักษณะทางดิจิทัลของธุรกรรมเหล่านี้ยังทำให้สามารถดําเนินการได้จากทุกที่ ซึ่งสร้างความยุ่งยากต่อการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงเพิ่มความท้าทายให้กับธุรกิจและสถาบันการเงินที่พยายามปกป้องข้อมูลทางการเงินของลูกค้า ต่อไปนี้คือสิ่งที่ธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับการฉ้อโกงประเภทนี้ และวิธีป้องกันตนเองจากการฉ้อโกงในรูปแบบดังกล่าว
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรมีวิธีการอย่างไร
- การฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรส่งผลต่อธุรกิจและลูกค้าอย่างไร
- สัญญาณของการโจมตีด้วยการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
- วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
- วิธีรับมือกับการโจมตีด้วยการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
การฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรมีวิธีการอย่างไร
การฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรดําเนินการผ่านกระบวนการที่ค่อนข้างง่าย มิจฉาชีพได้รับหมายเลขบัตรที่ขโมยมา ทดสอบข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้มั่นใจว่าใช้งานได้ แล้วนําไปใช้จริง รายละเอียดของขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้
มิจฉาชีพได้รับหมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมา: กระบวนการจะเริ่มขึ้นเมื่อมิจฉาชีพได้รับหมายเลขบัตรเครดิตที่ขโมยมา ซึ่งจะหาได้จากหลากหลายวิธี เช่น การละเมิดข้อมูล การหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง หรือการซื้อมาจากมาร์เก็ตเพลสในตลาดมืด เมื่อมีหมายเลขเหล่านี้แล้ว มิจฉาชีพเริ่มต้นขั้นตอนการทดสอบ
มิจฉาชีพทำการทดสอบบัตร: ขั้นตอนการทดสอบจะเกิดขึ้นจากการสร้างธุรกรรมที่มีมูลค่าน้อยบนเว็บไซต์ ธุรกรรมเหล่านี้มักจะตรวจไม่พบเมื่อใช้กลไกการตรวจจับการฉ้อโกงทั่วไป ซึ่งมักจะมุ่งเน้นยอดซื้อมูลค่าสูงหรือการซื้อที่ผิดปกติ มิจฉาชีพมุ่งเป้าเว็บไซต์ที่มักจัดการธุรกรรมมูลค่าต่ำ เช่น ธุรกิจที่จําหน่ายบริการดิจิทัลหรือเงินบริจาคยอดน้อยๆ เพื่อการกุศล เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะไม่มีมาตรการตรวจจับการฉ้อโกง
ยืนยันว่าบัตรใบใดใช้งานได้ เป้าหมายหลักของมิจฉาชีพคือการยืนยันว่าบัตรเครดิตดังกล่าวใช้งานได้และยังไม่ได้มีการรายงานว่าถูกขโมย จากนั้นจะสังเกตดูว่าธุรกรรมูลค่าน้อยๆ เหล่านี้ดําเนินการสําเร็จหรือไม่ และหากได้รับอนุมัติ ก็จะบ่งชี้ว่าบัตรยังคงใช้งานได้ ในเว็บไซต์ที่ไม่ได้ทำการยืนยันข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน กระบวนการนี้จะง่ายขึ้น
พวกเขาจะใช้บัตรที่ใช้งานได้ในการซื้อสินค้าหรือบริการด้วยธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง เมื่อยืนยันบัตรแล้ว บัตรจะมีคุณค่ามากขึ้น ตอนนี้ มิจฉาชีพสามารถนําบัตรไปใช้กับการซื้อที่ไม่ได้รับอนุญาติซึ่งมีมูลค่ามากขึ้นหรือขายรายละเอียดของบัตรให้ผู้อื่นได้ ในตลาดที่ผิดกฎหมาย มีผู้สนใจหมายเลขบัตรเครดิตที่ผ่านการยืนยันว่าเปิดใช้งานและใช้งานได้จำนวนมาก
ความง่ายในวิธีการฉ้อโกงรูปแบบนี้เกิดจากความเรียบง่ายและลักษณะทางดิจิทัลของธุรกรรม ซึ่งเอื้อให้มิจฉาชีพกระทำผิดได้จากทุกที่ ปัญหาที่แพร่หลายนี้ก่อให้เกิดความท้าทายสําหรับธุรกิจและสถาบันการเงินที่ต้องคอยรับมือกับการโจมตีดังกล่าว โดยใช้การติดตามและกลยุทธ์ขั้นสูงในการตรวจจับและป้องกันกิจกรรมการฉ้อโกง ซึ่งจะช่วยปกป้องลูกค้าและรักษาความไว้วางใจ
การฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรส่งผลต่อธุรกิจและลูกค้าอย่างไร
การฉ้อโกงด้วยการทดสอบบัตรส่งผลกระทบต่อลูกค้าและก่อให้เกิดความท้าทายมากมายสําหรับธุรกิจ แม้จะเห็นได้ชัดว่าการโจมตีเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อเหยื่ออย่างไร แต่ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของแง่มุมที่มักจะเกิดความเสียหายมากที่สุด:
ผลกระทบที่มีต่อธุรกิจ
ความสูญเสียทางการเงิน: ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตอาจนําไปสู่การสูญเสียทางการเงินโดยตรง ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายในการดึงเงินคืน เมื่อลูกค้าโต้แย้งการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกง
ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่เพิ่มขึ้น: การจัดการกับการฉ้อโกงต้องใช้ทรัพยากรซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน การติดตั้งและดูแลรักษาระบบตรวจจับการฉ้อโกงขั้นสูงยังจะเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกส่วน
ความเสียหายที่มีต่อชื่อเสียง: การฉ้อโกงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจทําลายชื่อเสียงของธุรกิจได้ การสูญเสียความไว้วางใจของลูกค้าอาจส่งผลต่อยอดขายและการรักษาลูกค้า
การตรวจสอบเพ่งเล็งอย่างละเอียดขึ้นจากผู้ออกบัตรและผู้ประมวลผลบัตร: การฉ้อโกงในระดับสูงอาจทําให้บริษัทผู้ออกบัตรเครดิตและผู้ประมวลผลเพ่งเล็งและมอบลงโทษ เหตุการณ์เหล่านี้อาจส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการประมวลผลสูงขึ้นหรือสูญเสียความสามารถในการประมวลผลการชําระเงินด้วยบัตรเครดิต
ผลกระทบต่อลูกค้า
ความไม่สะดวกทางการเงิน: ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงด้วยการทดสอบบัตรต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการโต้แย้งการเรียกเก็บเงินและการขอรับบัตรใหม่ แม้ปกติแล้วลูกค้าจะไม่ต้องรับผิดต่อการเรียกเก็บเงินที่เป็นการฉ้อโกง แต่การแก้ปัญหาเหล่านี้อาจใช้เวลานาน
ข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว: การตระหนักว่ารายละเอียดของบัตรถูกขโมยและนําไปใช้ในทางที่ผิดอาจทําให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
อาจสร้างความเสียหายทางการเงินรุนแรง: แม้ว่าการทดสอบบัตรจะมียอดน้อย แต่อาจนำไปสู่ธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตมูลค่าสูงขึ้น เมื่อยืนยันรายละเอียดบัตรแล้ว มิจฉาชีพจะใช้รายละเอียดนี้ในการฉ้อโกงเป็นยอดสูงขึ้นหรือจําหน่ายต่อในตลาดมืด
ผลกระทบต่อคะแนนเครดิต: ในบางกรณี กิจกรรมฉ้อโกงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนเครดิตของลูกค้า การแก้ปัญหาเหล่านี้กับเครดิตบูโรอาจเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน
สัญญาณของการโจมตีด้วยการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
การรับรู้และรับมือกับการโจมตีด้วยการทดสอบบัตรเป็นสิ่งสําคัญสําหรับธุรกิจที่ต้องการปกป้องตัวเองและลูกค้า การตระหนักรู้ถึงสัญญาณและการใช้ระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพเป็นขั้นตอนสําคัญในกระบวนการนี้ ต่อไปนี้เป็นตัวบ่งชี้บางรายการที่บอกให้ทราบว่าธุรกิจของคุณอาจได้รับผลกระทบจากการโจมตีประเภทนี้
ธุรกรรมมูลค่าต่ำหลายรายการ: ธุรกรรมมูลค่าต่ำหลายรายการที่ทำติดๆ กัน อาจเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนว่าเป็นการทดสอบบัตร ปกติแล้วจํานวนเหล่านี้จะต่ําพอสำหรับการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
ใช้บัตรหลายใบ: หากผู้ใช้พยายามใช้หมายเลขบัตรที่แตกต่างกันจากที่อยู่ IP หรืออุปกรณ์เดียวกันหลายครั้ง นี่จะเป็นสัญญาณเตือนให้ระวัง ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการทดสอบหมายเลขบัตรหลายๆ ใบพร้อมกัน
ธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ: ธุรกรรมที่ถูกปฏิเสธจำนวนมากยังส่งสัญญาณถึงการทดสอบบัตรได้ด้วย เนื่องจากมิจฉาชีพมักจะใช้หมายเลขบัตรที่ไม่ถูกต้องหรือหมดอายุ
ข้อมูลการเรียกเก็บเงินที่ไม่สอดคล้อง: ธุรกรรมที่ระบุข้อมูลการเรียกเก็บเงินไม่ตรงกับรายละเอียดของบัตรอาจบ่งบอกถึงกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง
การรับรู้สัญญาณของการทดสอบบัตรและการใช้ระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้ธุรกิจปกป้องตนเองจากการโจมตีเหล่านี้ได้ ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยปกป้องผลประโยชน์ทางการเงินของธุรกิจต่างๆ รวมทั้งรักษาความไว้วางใจและข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า สิ่งที่สำคัญคือสร้างสภาพแวดล้อมการทําธุรกรรมที่ปลอดภัย มีความระมัดระวัง และปรับตัวเพื่อรับมือกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการฉ้อโกง
วิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
การป้องกันธุรกิจของคุณจากการโจมตีโดยการทดสอบบัตรนั้นประกอบด้วยการผสมผสานมาตรการรักษาความปลอดภัย เครื่องมือขั้นสูง และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการประมวลผลการชําระเงิน กลยุทธ์เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อระบุและลดความเสี่ยงของกิจกรรมที่เป็นการฉ้อโกง ไปพร้อมๆ กับการมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าตัวจริง
มาตรการและเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
ใช้บริการยืนยันที่อยู่ (AVS): AVS ในบางครั้งเรียกว่าระบบการยืนยันที่อยู่ โดยจะเปรียบเทียบที่อยู่สําหรับการเรียกเก็บเงินที่ผู้ใช้ระบุกับที่อยู่ในระบบของบริษัทบัตรเครดิต ความไม่สอดคล้องอาจบ่งชี้ว่าเป็นการฉ้อโกง
การใช้การตรวจสอบค่าสำหรับการยืนยันบัตร (CVV): การกําหนดให้ป้อน CVV เมื่อทำธุรกรรมช่วยให้มั่นใจว่าบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือบริการมีสิทธิ์เข้าถึงบัตรจริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้หมายเลขบัตรที่เป็นการฉ้อโกงซึ่งได้มาทางออนไลน์
การตั้งขีดจํากัดธุรกรรม: กําหนดขีดจํากัดจํานวนธุรกรรมหรือยอดใช้จ่ายรวมที่อนุญาตของบัตรแต่ละใบภายในระยะเวลาหนึ่งๆ วิธีนี้มักป้องกันการฉ้อโกงได้
การติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกงขั้นสูง: ลงทุนกับเครื่องมือที่ใช้แมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรมและแจ้งสิ่งผิดปกติที่บ่งบอกถึงการทดสอบบัตร
การใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย: สําหรับธุรกรรมที่ดูน่าสงสัย การใช้การตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มอีกชั้นหนึ่งอาจเป็นการยับยั้งมิจฉาชีพไม่ให้กระทําการฉ้อโกง
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการประมวลผลการชําระเงิน
ตรวจสอบและวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรม: ตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมเป็นประจําเพื่อดูรูปแบบการทดสอบบัตร เช่น ธุรกรรมยอดต่ำหลายรายการในระยะเวลาสั้นๆ
อัปเดตและอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยเป็นประจํา: ก้าวนําหน้ามิจฉาชีพที่กระทําการฉ้อโกงโดยการอัปเดต รวมทั้งอัปเกรดโปรโตคอลความปลอดภัยและซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง
ให้ความรู้แก่ทีมของคุณ: โปรดตรวจสอบว่าพนักงานของคุณทราบสัญญาณของการทดสอบบัตรและรู้วิธีตอบสนองอย่างเหมาะสม
ปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) อยู่เสมอ
การปฏิบัติตาม PCI DSS คือกุญแจสําคัญในการรักษาความปลอดภัยให้ระบบการประมวลผลการชําระเงินการสื่อสารกับลูกค้าอย่างโปร่งใส: แจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยและกระตุ้นให้ลูกค้ารายงานกิจกรรมที่น่าสงสัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมของตน
การใช้ระบบตรวจสอบเพื่อการตรวจจับตั้งแต่เนิ่นๆ
การใช้ระบบตรวจสอบอย่างละเอียดเป็นสิ่งสําคัญในการตรวจจับการทดสอบบัตรตั้งแต่เนิ่นๆ ระบบเหล่านี้ควรสามารถดําเนินการต่อไปนี้ได้
วิเคราะห์รูปแบบธุรกรรม: ซอฟต์แวร์ตรวจสอบควรสามารถระบุรูปแบบการทดสอบบัตรได้ เช่น การทำธุรกรรมยอดต่ำหลายๆ ครั้ง
แจ้งกิจกรรมที่น่าสงสัย: ระบบควรรายงานธุรกรรมซึ่งตรงตามเกณฑ์ที่กําหนดโดยอัตโนมัติ เช่น การพยายามดําเนินการที่ไม่สําเร็จหลายครั้งหรือข้อมูลการเรียกเก็บเงินที่ไม่สอดคล้อง
การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์: การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ช่วยให้ตอบสนองได้ทันทีเมื่อตรวจพบการดำเนินการที่อาจเป็นการทดสอบบัตร การตอบสนองอันรวดเร็วนี้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มเติม
พารามิเตอร์ที่ปรับแต่งได้: ธุรกิจทุกแห่งมีความแตกต่างกัน และประเภทของธุรกรรมที่ประมวลผลก็ล้วนแตกต่างกันออกไป ระบบตรวจสอบควรมีฟีเจอร์สำหรับปรับแต่งเพื่อให้เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจและโปรไฟล์ธุรกรรมที่เฉพาะเจาะจง
การเชื่อมต่อระบบกับเครื่องมือป้องกันการฉ้อโกง การเชื่อมต่อระบบตรวจสอบเข้ากับเครื่องมือป้องกันการฉ้อโกงที่ครอบคลุมขึ้น เช่น การตรวจสอบ CVV และ AVS จะช่วยป้องกันการทดสอบบัตรและการฉ้อโกงรูปแบบอื่นๆ ได้มากขึ้น
การใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งยับยั้งการฉ้อโกงในการทดสอบบัตรได้ นอกจากนี้ การเฝ้าระวังและปรับตัวตามภัยคุกคามใหม่ๆ ก็จะช่วยปกป้องธุรกิจของคุณและรักษาความไว้วางใจของลูกค้า
วิธีรับมือกับการโจมตีด้วยการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
ธุรกิจต่างๆ ต้องรับมือกับการทดสอบบัตรที่น่าสงสัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสียหายและนำเงินคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อตรวจพบการฉ้อโกงในการทดสอบบัตร ธุรกิจควรดําเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการทํางานที่เจาะจง
ขั้นตอนที่ต้องทําเมื่อตรวจพบการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตร
การตรวจสอบธุรกรรมและระงับทันที: ทันทีที่สงสัยว่าเป็นการทดสอบบัตร ให้ตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวทันที อายัดธุรกรรมที่ดำเนินอยู่ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นการฉ้อโกงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มเติม
การยืนยันตัวตนที่มีประสิทธิภาพสําหรับธุรกรรมที่น่าสงสัย: หากธุรกรรมบางรายการมีลักษณะน่าสงสัยแต่ไม่ถือเป็นการฉ้อโกง โปรดใช้กระบวนการยืนยันที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจรวมถึงการติดต่อลูกค้าเพื่อขอการยืนยันหรือกําหนดให้มีการตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติม
การวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรม: ทําการวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรมอย่างละเอียดเพื่อศึกษาขอบเขตและวิธีการโจมตี การทำเช่นนี้จะช่วยระบุแหล่งที่มาและจุดอ่อนที่เป็นไปได้ในระบบ
การปรับพารามิเตอร์การตรวจจับการฉ้อโกง: เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์ โปรดปรับพารามิเตอร์การตรวจจับการฉ้อโกงของคุณเพื่อให้ไวต่อการตรวจจับประเภทของกิจกรรมที่พบระหว่างเกิดเหตุการณ์ โดยอาจทำการจํากัดวงเงินธุรกรรมหรือแก้ไขทริกเกอร์การแจ้งเตือน
ขั้นตอนการรายงานและการกู้คึนเงินสําหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
การแจ้งสถาบันการเงินและผู้ประมวลผลบัตร: แจ้งให้พาร์ทเนอร์ทางการเงินของคุณทราบทันที รวมถึงธนาคารและผู้ประมวลผลบัตรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์กรเหล่านี้อาจช่วยติดตามกิจกรรมที่น่าสงสัยเพิ่มเติมและดําเนินการที่จําเป็นได้
การรายงานต่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย: ในกรณีที่เป็นการฉ้อโกงมูลค่าสูง เราขอแนะนําให้รายงานหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่สามารถเริ่มต้นการตรวจสอบและดำเนินการเพื่อจับกุมผู้กระทําผิด
การติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์: หากการโจมตีมีความซับซ้อนหรือหากมีข้อกังวลเกี่ยวกับช่องโหว่ของระบบ การติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์สามารถช่วยระบุได้ว่าการโจมตีเกิดขึ้นอย่างไรและจะป้องกันการโจมตีได้อย่างไร
การสื่อสารกับลูกค้าและการสนับสนุน: สื่อสารกับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างโปร่งใส แจ้งให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และให้คําแนะนําเกี่ยวกับขั้นตอนที่ควรดําเนินการ เช่น ติดตามตรวจสอบรายงานเครดิตหรือเปลี่ยนบัตรใหม่
ตรวจสอบและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้มาตรการรักษาความปลอดภัย: หลังเกิดเหตุ ให้ทําการตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัยของคุณอย่างถี่ถ้วน การเสริมสร้างการป้องกันอาจประกอบด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์ การปรับปรุงโปรโตคอล หรือฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับแนวทางการรักษาความปลอดภัยรูปแบบใหม่ๆ
การเรียนรู้และปรับตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น: ใช้เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น ประสิทธิภาพในการตอบกลับของคุณ และการปรับปรุงที่จําเป็น ปรับกลยุทธ์ของคุณให้สอดคล้องกันเพื่อเตรียมให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามได้ดียิ่งขึ้น
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe จะช่วยป้องกันธุรกิจจากการฉ้อโกงโดยการทดสอบบัตรได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ