Payment facilitators (payfacs) vs independent sales organizations (ISOs): How they’re different and how to choose one

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก รวมทั้ง Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน (payfac) คืออะไร
  3. องค์กรการขายอิสระ (ISO) คืออะไร
  4. ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมีความแตกต่างกันอย่างไร
    1. บัญชีผู้ค้า
    2. ฐานลูกค้าและบริการ
    3. ค่าบริการ
  5. ฉันต้องใช้ ISO หรือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน
  6. Stripe คือ ISO หรือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน

การเลือกผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากจํานวนผู้ให้บริการในแวดวงนี้ จากการศึกษาล่าสุดคาดว่าภายในปี 2025 ปริมาณการชําระเงินขั้นต้นทั่วโลกที่ประมวลโดยผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะมีจำนวนกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในตลาดที่มีผู้ใช้มากขึ้น ธุรกิจจะต้องใช้แนวทางที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสม

โมเดลการประมวลผลการชําระเงินที่พบบ่อย 2 แบบที่บริษัทต่างๆ มักพบเจอคือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน (payfac) และองค์กรการขายอิสระ (ISO) การทําความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง 2 รูปแบบนี้และการเลือกวิธีที่ดีที่สุดจะช่วยให้ธุรกิจสร้างระบบการชําระเงินที่ทํางานได้ดี ในบทความนี้ เราจะมาสํารวจความแตกต่างระหว่างผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินกับ ISO เพื่อช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจเกี่ยวกับโซลูชันการประมวลผลการชําระเงินของตนได้อย่างมีข้อมูล

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน (payfac) คืออะไร
  • องค์กรการขายอิสระ (ISO) คืออะไร
  • ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมีความแตกต่างกันอย่างไร
  • ฉันต้องใช้ ISO หรือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน
  • Stripe คือ ISO หรือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน

ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน (payfac) คืออะไร

ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน (payfac) คือบริษัทที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กระบวนการรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สําหรับธุรกิจอื่นๆ มีความง่ายดายขึ้น โดยมักจะให้บริการโซลูชันการชําระเงินแบบครบวงจรที่ประกอบด้วยบริการประมวลผลการชําระเงิน การจัดการความเสี่ยง การตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกง และบัญชีผู้ค้า

ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องสร้างบัญชีผู้ค้าของตนเองผ่านธนาคารหรือเครือข่ายบัตร โดยผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะรวมธุรกิจหลายๆ แห่งไว้ภายใต้บัญชีผู้ค้าหลักบัญชีเดียว ธุรกิจที่เลือกร่วมงานกับผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะกลายเป็นผู้ค่าย่อยภายใต้บัญชีหลักนี้

โมเดลดังกล่าวมอบประโยชน์หลายอย่าง ประการแรกคือ ธุรกิจไม่ต้องเสียเวลาสร้างบัญชีผู้ค้า ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่มีทรัพยากรสําหรับกระบวนการนี้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะเสนอโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ตรงไปตรงมาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใหม่หรือธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมไม่มาก

องค์กรการขายอิสระ (ISO) คืออะไร

ISO เป็นบริษัทบุคคลที่สามที่ได้รับอนุมัติเพื่อให้บริการประมวลผลบัตรเครดิตแก่ธุรกิจต่างๆ ISO ทํางานในนามของธนาคารและเครือข่ายบัตรเพื่อสร้างบัญชีผู้ค้าใหม่ โดยทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนิติบุคคลเหล่านี้กับธุรกิจที่ต้องการรับชําระเงินผ่านบัตร

ISO มักให้บริการหลากหลายประเภท รวมถึงการขายหรือการให้เช่าอุปกรณ์ ตัวอย่างเช่น เทอร์มินัลระบบบันทึกการขาย (POS) เพื่อประมวลผลธุรกรรม และการบริการลูกค้า ISO ต่างจากผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน เพราะจะสร้างบัญชีผู้ค้าแบบแยกกันให้แก่ธุรกิจต่างๆ ที่ตนเองให้บริการ

โดยทั่วไปแล้ว ISO จะเหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมสูง เนื่องจาก ISO สร้างบัญชีผู้ค้าแยกกันให้ธุรกิจต่างๆ ธุรกิจเหล่านี้จึงมักจะมีอํานาจควบคุมเงื่อนไขในข้อตกลงของตนได้มากกว่า และอาจสามารถเจรจาขอรับอัตราที่ต่ํากว่าเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน

ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมีความแตกต่างกันอย่างไร

ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับข้อแตกต่างที่สําคัญๆ ระหว่าง ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน โดยแยกตามวิธีปฏิบัติงานและสิ่งที่ให้บริการ

บัญชีผู้ค้า

  • ISO: ISO จะสร้างบัญชีผู้ค้าแยกกันให้ธุรกิจแต่ละแห่ง ตัวอย่างเช่น ลองนึกภาพผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าขนาดกลางที่ประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิตจํานวนมากต่อเดือน เมื่อตั้งค่าบัญชีผู้ค้าของตัวเองผ่าน ISO ผู้ค้าปลีกจะสามารถเจรจาเงื่อนไขและอัตราที่เจาะจง ซึ่งอาจช่วยประหยัดเงินได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม กระบวนการตั้งค่าอาจมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน

  • ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน: ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินดําเนินงานภายใต้บัญชีผู้ค้าหลัก และสร้างบัญชีย่อยสําหรับธุรกิจแต่ละแห่งที่ให้บริการ ตัวอย่างเช่น ช่างฝีมือที่ขายเครื่องประดับแฮนด์เมดทางออนไลน์ อาจพบว่ากระบวนการสร้างบัญชีผู้ค้าของตนนั้นยุ่งยากหรือไม่จําเป็น เนื่องจากมีปริมาณธุรกรรมไม่มาก การใช้ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะช่วยให้พวกเขาเริ่มรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่ต้องมีบัญชีผู้ค้าเป็นของตนเอง

ฐานลูกค้าและบริการ

  • ISO: ISO มักให้บริการหลากหลายแบบที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจที่มีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากเครือร้านอาหารขนาดใหญ่ต้องการผสานการทํางานระบบ POS ในทุกตําแหน่งที่ตั้ง ISO อาจช่วยจัดหาฮาร์ดแวร์ที่จําเป็น การติดตั้ง การฝึกอบรม และการสนับสนุนด้านการบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

  • ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน: ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมีแนวโน้มที่จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าสําหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีความต้องการที่ไม่ซับซ้อน เนื่องจากเป็นโซลูชันครบวงจรที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ ตัวอย่างเช่น นักออกแบบกราฟิกฟรีแลนซ์ที่ต้องการรับชําระเงินบนเว็บไซต์สามารถลงทะเบียนใช้ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินและมีสิทธิ์เข้าถึงระบบการชําระเงินแบบผสานการทํางาน โดยไม่ต้องทําความเข้าใจความซับซ้อนของการประมวลผลการชําระเงิน หรือการจัดการความเสี่ยง

ค่าบริการ

  • ISO: ISO อาจมีโครงสร้างค่าบริการที่ซับซ้อนกว่า แต่สามารถเจรจาต่อรองค่าธรรมเนียมโดยอิงตามปริมาณธุรกรรมของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ร้านหนังสือออนไลน์ขนาดใหญ่อาจทํางานร่วมกับ ISO เพื่อเจรจาอัตราต่อธุรกรรมที่ดีกว่าโดยอิงตามยอดขายที่สูง ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนได้อย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป

  • ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน: ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมักจะมีโครงสร้างค่าบริการอัตราคงที่ซึ่งตรงไปตรงมา โดยจะมีประโยชน์สําหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีปริมาณธุรกรรมต่ํากว่า เนื่องจากการแจกแจงค่าใช้จ่ายมีความชัดเจนและไม่จําเป็นต้องเจรจา ตัวอย่างเช่น เบเกอรี่ขนาดเล็กที่ต้องการขายสินค้าทางออนไลน์อาจไม่ได้มีปริมาณธุรกรรมที่จําเป็นต่อการต่อรองอัตราที่ดีกว่า และอาจพบว่าโมเดลค่าบริการแบบอัตราคงที่ของผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินนั้นน่าสนใจกว่า

แม้ ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะช่วยอํานวยความสะดวกในการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สําหรับธุรกิจ แต่ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน ISO จะมอบการควบคุมที่มากขึ้นและประหยัดต้นทุนได้มากกว่าสําหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมสูง ขณะที่ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินก็สามารถมอบโซลูชันครบวงจรที่ซับซ้อนน้อยกว่าสําหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีความต้องการน้อยกว่า แต่ก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกกรณี ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินบางราย รวมถึง Stripe ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทํางานร่วมกับธุรกิจได้ทุกขนาด ตั้งแต่ร้านค้าปลีกอิสระขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจแพลตฟอร์มระดับโลก

ฉันต้องใช้ ISO หรือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน

เมื่อตัดสินใจเลือกระหว่าง ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน คุณจะต้องพิจารณาไปไกลกว่าแค่แง่มุมแบบเดิมๆ เพื่อหาว่าธุรกิจเหมาะสมกับผู้ให้บริการชําระเงินหมวดหมู่ใดมากที่สุด ผู้ให้บริการชําระเงินสมัยใหม่ใช้แนวทางที่ทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจ ซึ่งหมายความว่าหลักเกณฑ์ในอดีตอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจจึงควรพิจารณาความต้องการและสถานการณ์เฉพาะเจาะจงของตนเพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะกับการประมวลผลการชําระเงินมากที่สุด

ปัจจัยสําคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้

  • ขนาดธุรกิจและปริมาณธุรกรรม
    ประเมินขนาดของธุรกิจและปริมาณธุรกรรมที่คุณคาดว่าจะประมวลผล ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมสูงอาจได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นและการประหยัดต้นทุนของ ISO ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมต่ํากว่าอาจพบว่าความไม่ซับซ้อนและความสะดวกของผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินนั้นน่าสนใจกว่า

  • การควบคุมและความยืดหยุ่น
    กําหนดระดับการควบคุมและการปรับแต่งที่คุณต้องการสําหรับการตั้งค่าการประมวลผลการชําระเงิน หากคุณต้องการเจรจาเงื่อนไข อัตรา และบริการที่ตรงกับความต้องการทางธุรกิจของคุณ ISO อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากคุณเห็นคุณค่าของโซลูชันที่ใช้งานง่าย พร้อมใช้งานทันที และไม่ประสงค์ที่จะเจรจาหรือต่อรอง ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินอาจมอบความสะดวกให้แก่คุณ

  • ความซับซ้อนของการประมวลผลการชําระเงิน
    พิจารณาความซับซ้อนของข้อกําหนดในการประมวลผลการชําระเงินของธุรกิจ ISO มักนําเสนอบริการที่หลากหลายกว่าแค่การประมวลผลการชําระเงิน เช่น การขายหรือเช่าอุปกรณ์ การผสานการทํางานซอฟต์แวร์เพิ่มเติม หรือการสนับสนุนลูกค้าแบบเฉพาะ หากธุรกิจของคุณต้องการฟีเจอร์เฉพาะทางหรือการสนับสนุนที่ครอบคลุมกว่า ระบบ ISO อาจเหมาะสมกับกรณีนี้ อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการความตรงไปตรงมาและให้ความสําคัญกับความเรียบง่าย ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินก็สามารถนําเสนอโซลูชันอันครบวงจรซึ่งครอบคลุมสิ่งที่จําเป็น

  • เวลาและความพยายามในการตั้งค่า
    ประเมินเวลาและความพยายามที่จําเป็นในการตั้งค่าและเริ่มรับการชําระเงิน โดยปกติ ISO จะมีขั้นตอนการตั้งค่าที่ยุ่งยากกว่า เนื่องจากธุรกิจแต่ละรายต้องมีบัญชีผู้ค้าของตนเอง ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานกว่าและต้องใช้เอกสารจำนวนมาก ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมอบประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานที่รวดเร็ว จึงช่วยให้ธุรกิจเริ่มรับการชําระเงินได้เร็วขึ้น

  • โครงสร้างต้นทุน
    พิจารณาโมเดลค่าบริการของ ISO และผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน ทั้งนี้ ISO มักจะให้ความยืดหยุ่นในการกําหนดราคามากกว่า และมีโอกาสที่จะเจรจาต่อรองโดยอิงตามปริมาณธุรกรรม ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมสูง เนื่องจากอาจได้รับอัตราที่น่าพึงพอใจมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินจะนําเสนอโครงสร้างค่าบริการที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา จึงเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่มีปริมาณธุรกรรมน้อยกว่าซึ่งต้องการความชัดเจนและความสามารถในการคาดการณ์

แม้หลักเกณฑ์เหล่านี้จะมีประโยชน์ในการเปรียบเทียบผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินกับ ISO แต่ก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกกรณี ตัวอย่างเช่น ในหลายๆ แง่มุม Stripe มีความใกล้เคียงกับโมเดลผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินมากกว่า โดยจะมอบโซลูชันที่ใช้งานง่ายและเริ่มต้นใช้ได้ทันทีสำหรับธุรกิจ พร้อมข้อกำหนดที่ตรงไปตรงมา แต่ Stripe ยังนําเสนอการปรับแต่งในขอบเขตที่กว้างสําหรับธุรกิจที่มีความต้องการที่ซับซ้อนหรือมีปริมาณธุรกรรมสูง การพิจารณาผู้ให้บริการแต่ละรายเพื่อหาว่าเสนอผลิตภัณฑ์อะไรบ้างและจะสนับสนุนธุรกิจอย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ จากนั้นจึงตัดสินใจว่าผู้ให้บริการรายใดเหมาะกับคุณที่สุด

Stripe คือ ISO หรือผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน

ในฐานะผู้ให้บริการชําระเงินที่มีโมเดลแบบผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน Stripe ช่วยให้ประสบการณ์การประมวลผลการชําระเงินของธุรกิจง่ายขึ้นด้วยการมอบชุดบริการที่ครอบคลุม เมื่อธุรกิจลงทะเบียนกับ Stripe ก็จะกลายเป็นผู้ค้าย่อยภายใต้บัญชีผู้ค้าหลักของ Stripe ซึ่งหมายความว่าธุรกิจไม่จําเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ค้าของตนเองกับธนาคารหรือองค์กรผู้ออกบัตร

โมเดลแบบผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินของ Stripe ช่วยให้ธุรกิจเริ่มรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานานในการตั้งค่าบัญชีผู้ค้า เมื่อรวมธุรกิจภายใต้บัญชีหลักของ Stripe บริษัทจะจัดการแง่มุมทางเทคนิคของการประมวลผลการชําระเงิน จัดการความเสี่ยง และการปฏิบัติตามข้อกําหนด จึงช่วยให้ธุรกิจผสานฟังก์ชันการชําระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ของตนได้อย่างสะดวก

Stripe ยังมีฟีเจอร์และบริการเพิ่มเติมอื่นๆ นอกเหนือจากการประมวลผลการชําระเงิน เช่น เครื่องมือสําหรับการจัดการการชําระเงินตามรอบบิล การประมวลผลการชําระเงินระหว่างประเทศ การป้องกันการฉ้อโกง รวมถึงสิทธิ์เข้าถึงการวิเคราะห์และการจัดทำรายงานแบบละเอียด อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายของ Stripe, API ที่ใช้งานง่ายสําหรับนักพัฒนา และเอกสารประกอบที่ครอบคลุมทําให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสําหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมจํานวนมาก โซลูชันอันหลากหลายของ Stripe, ระดับการปรับแต่งที่มีให้บริการ รวมทั้งแนวทางในการดําเนินงานและการรายงานที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้นครอบคลุมไปมากกว่าโมเดลผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินทั่วๆ ไป ข้อเท็จจริงนี้เน้นให้เห็นถึงความสําคัญของการพิจารณาข้อดีข้อเสียของผู้ให้บริการแต่ละรายก่อนที่จะทำการเลือก

Stripe มีหลายแง่มุมที่สอดคล้องกับสิทธิประโยชน์จากผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินแบบเดิมๆ เช่น กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่เรียบง่ายของ Stripe ซึ่งทําให้ธุรกิจมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติงานหลักๆ ของตนได้ แทนที่จะต้องรับมือกับความซับซ้อนในการตั้งค่าและการจัดการบัญชีผู้ค้า แนวทางที่ง่ายกว่าและชุดบริการที่ครอบคลุมทำให้ Stripe เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจขนาดเล็ก และองค์กรขนาดใหญ่

แม้โดยทั่วไป Stripe จะถือว่าเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงิน แต่บริษัทยังเป็นพาร์ทเนอร์กับ ISO และสถาบันผู้รับบัตรรายอื่นๆ เพื่อให้บริการ การทําเช่นนี้ช่วยให้ Stripe สามารถขยายการให้บริการแก่ธุรกิจที่มีความต้องการเฉพาะทางมากขึ้นหรือธุรกิจที่ต้องการบริการเพิ่มเติมนอกเหนือจากสิ่งที่ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชําระเงินแบบเดิมๆ ทำได้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมและเริ่มใช้งาน โปรดดูส่วนนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย