กระแสการเปลี่ยนไปสู่การชําระเงินแบบไร้เงินสดทั่วโลกเติบโตขึ้น ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวตามความต้องการด้านการชําระเงินของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
การเข้าใจบทบาทของผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินสมัยใหม่ รวมถึงองค์กรขายอิสระ (ISO) เป็นสิ่งสําคัญสําหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวและปรับปรุงขีดความสามารถด้านการประมวลผลการชําระเงินของตนเอง แต่ ISO ไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการประมวลผลการชําระเงินเท่านั้น องค์กรเหล่านี้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างธุรกิจกับสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ประมวลผลการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
บทความนี้จะอธิบายถึงแง่มุมต่างๆ ที่สําคัญเกี่ยวกับ ISO สาเหตุที่องค์กรเหล่านี้มีความสําคัญ และองค์กรเหล่านี้จะช่วยธุรกิจปรับปรุงการดําเนินงานได้อย่างไร การทำงานร่วมกับ ISO ช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้กับธุรกิจของคุณได้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ISO คืออะไร
- ISO ทําอะไรให้ธุรกิจต่างๆ บ้าง
- ISO เทียบกับผู้ประมวลผลการชําระเงิน แตกต่างกันอย่างไร
- ISO แตกต่างจากผู้ให้บริการผู้ค้าหรือไม่
- ใครบ้างที่เป็น ISO ได้
- ธุรกิจประเภทใดบ้างที่ควรทํางานร่วมกับ ISO
- ข้อดีข้อเสียของการทํางานร่วมกับ ISO
ISO คืออะไร
ISO คือบริษัทบุคคลที่สามที่ได้รับอนุญาตให้ทําการตลาดและขายบริการประมวลผลบัตรเครดิต ของธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิต โดยเป็นตัวกลางระหว่างสถาบันการเงินเหล่านี้กับธุรกิจที่จําเป็นต้องประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิต
ISO ขึ้นทะเบียนและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่ และมีข้อกำหนดให้รักษามาตรฐานบางอย่าง รวมถึงความสัมพันธ์กับธนาคารผู้สนับสนุน รายรับขององค์กรเหล่านี้มาจากค่าธรรมเนียมธุรกรรม และบางครั้งก็มาจากการขายหรือให้เช่าอุปกรณ์ เช่น เทอร์มินัลการชําระเงินหรือเครื่องอ่านบัตร
ISO ทําอะไรให้ธุรกิจต่างๆ บ้าง
ขณะที่ธุรกิจต่างๆ ดําเนินงานในโลกดิจิทัลและตลาดโลกมากขึ้น ISO ก็ยิ่งมีความสําคัญมากขึ้น โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถชําระเงินได้หลากหลายวิธีและให้บริการโซลูชันที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจบางอย่างที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่อาจไม่มีให้บริการ ISO ให้บริการซึ่งปรับให้สอดคล้องกับธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ การชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และโซลูชันการชําระเงินแบบบูรณาการ
ISO มีประโยชน์อย่างชัดเจนในภาคธุรกิจที่ให้บริการธนาคารแบบเดิมไม่สามารถเติมเต็มได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงและธุรกิจที่ต้องการการประมวลผลการชําระเงินที่ยืดหยุ่นหรือเฉพาะทาง นอกจากนี้การเติบโตของ ISO ยังสะท้อนแนวโน้มในภาพรวมด้านการเงินและเทคโนโลยีซึ่งการปรับบริการตามความต้องการส่วนบุคคล ความง่ายในการใช้งาน ความยืดหยุ่น และโซลูชันเฉพาะทางเป็นที่ต้องการสูง
ISO ให้บริการสําคัญหลายอย่างแก่ธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชําระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ซึ่งประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
บัญชีผู้ค้า
ISO ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สร้างบัญชีผู้ค้า ซึ่งเป็นบัญชีธนาคารประเภทพิเศษที่ทำให้ธุรกิจรับการชําระเงินผ่านบัตรเครดิตและเดบิตได้การระมวลผลการชําระเงิน
ISO มีเทคโนโลยีและบริการที่จําเป็นต่อการประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิต ซึ่งอาจรวมถึงเครื่องอ่านบัตรตัวจริง, เกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ และอื่นๆการขายหรือให้เช่าอุปกรณ์
ISO หลายรายขายหรือให้บริการเช่าอุปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการรับชําระเงินผ่านบัตร เช่น เทอร์มินัลบัตรเครดิตหรือระบบระบบบันทึกการขาย (POS)ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
ISO มักจะให้การสนับสนุนลูกค้าเพื่อช่วยเหลือธุรกิจแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบประมวลผลการชําระเงินที่อาจเกิดขึ้นบริการเสริม
ISO หลายรายมีบริการเพิ่มเติมนอกเหนือจากการประมวลผลการชําระเงิน เช่นอาจจะมีบริการ เช่น เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจ โซลูชันการชําระเงินแบบบูรณาการ บริการรักษาความปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกง และอื่นๆ
เป้าหมายของ ISO คือทําให้ธุรกิจรับและประมวลผลการชําระเงินด้วยบัตรได้ง่ายขึ้น การทำหน้าที่ตัวกลางระหว่างธุรกิจกับธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตทำให้ ISO สามารถให้บริการเฉพาะบุคคลและให้การสนับสนุนในแบบที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่อาจไม่สามารถทำได้โดยตรง
ISO กับผู้ประมวลผลการชําระเงิน มีความแตกต่างกันอย่างไร
ทั้ง ISO และผู้ประมวลผลการชําระเงินทํางานอยู่เบื้องหลังเพื่ออํานวยความสะดวกให้การทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ราบรื่นและปลอดภัย อย่างไร ผู้ให้บริการเหล่านนี้มีบทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบ และการปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจและสถาบันทางการเงินที่แตกต่างกัน
ต่อไปนี้เป็นคําอธิบายความแตกต่างโดยละเอียด
องค์กรการขายอิสระ
ISO คือหน่วยงานบุคคลที่สามที่ทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างธุรกิจกับผู้ประมวลผลการชําระเงินหรือธนาคารผู้รับบัตร โดยได้รับอนุญาตให้ขายหรือให้เช่าบริการของธนาคารและบริษัทบัตรเครดิต มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ได้แก่ การสร้างความสัมพันธ์กับธุรกิจ ตลอดจนช่วยเหลือธุรกิจในการจัดตั้งบัญชีผู้ค้า โดยจัดหาอุปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการรับชําระเงินด้วยบัตรด้วยในบางครั้ง และมักจะให้บริการเพิ่มเติม เช่น การสนับสนุนลูกค้าและเครื่องมือการวิเคราะห์ธุรกิจผู้ประมวลผลการชําระเงิน
ผู้ประมวลผลการชําระเงินเป็นผู้จัดการรายละเอียดทางเทคนิคและการเงินของการประมวลผลธุรกรรม เมื่อลูกค้าชําระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ผู้ประมวลผลการชําระเงินจะสื่อสารกับธนาคารผู้ออกบัตร (ธนาคารของลูกค้า) และธนาคารผู้รับบัตร (ธนาคารของธุรกิจ) เพื่ออํานวยความสะดวกในการโอนเงิน บทบาทคือเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลธุรกรรมส่งออกไปอย่างถูกต้อง ลูกค้ามีเงินหรือเครดิตเพียงพอ และระบบหักเงินจากบัญชีของลูกค้าและเพิ่มเข้าไปในบัญชีของธุรกิจอย่างถูกต้อง
บางครั้งบทบาทของ ISO และผู้ประมวลผลการชําระเงินก็มีส่วนที่ทับซ้อนกัน ธุรกิจบางแห่งทําหน้าที่เป็นทั้ง ISO และผู้ประมวลผลการชําระเงิน โดยให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การขายและการตั้งค่าบัญชีไปจนถึงดูแลด้านเทคนิคของการประมวลผลธุรกรรม การรับสองบทบาทเช่นนี้ทำให้ ISO ดังกล่าวสามารถเสนอตัวเป็นช่องทางติดต่อจุดเดียวให้กับธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลการชําระเงินทั้งหมด ซึ่งทําให้ได้รับประสบการณ์การประมวลผลการชําระเงินที่ดีขึ้น
ISO แตกต่างจากผู้ให้บริการผู้ค้าหรือไม่
"ผู้ให้บริการผู้ค้า" เป็นคํากว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมองค์กรหลากหลายประเภท รวมถึง ISO และผู้ประมวลผลการชําระเงิน ผู้ให้บริการผู้ค้าคือบริษัทที่ให้บริการต่างๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
ISO คือผู้ให้บริการผู้ค้าประเภทหนึ่ง ISO เป็นองค์กรบุคคลที่สามที่มีความสัมพันธ์กับธนาคารและบริษัทบัตรเครดิต และได้รับอนุญาตให้ขายหรือให้เช่าบริการของธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตกับธุรกิจต่างๆ โดยอาจให้บริการที่หลากหลาย เช่น จัดตั้งบัญชีผู้ค้า ขาย หรือให้เช่าอุปกรณ์ประมวลผลการชําระเงิน ให้บริการสนับสนุนลูกค้า และอื่นๆ
ดังนั้นแม้ว่า ISO ทั้งหมดจะนับเป็นผู้ให้บริการผู้ค้า แต่ผู้ให้บริการผู้ค้าบางรายอาจไม่ใช่ ISO ผู้ให้บริการผู้ค้าประเภทอื่นๆ อาจรวมถึงผู้ประมวลผลการชําระเงิน ผู้ให้บริการเกตเวย์การชําระเงิน และธุรกิจที่ให้บริการระบบ POS
ในบางกรณี ธุรกิจรายเดียวกันอาจทําหน้าที่เป็นทั้ง ISO และผู้ประมวลผลการชําระเงิน โดยให้บริการผู้ค้าแบบครบวงจร ในอีกหลายกรณี ธุรกิจอาจทํางานร่วมกับผู้ให้บริการผู้ค้าหลายรายเพื่อให้ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลการชําระเงินทั้งหมด ข้อตกลงที่ดีที่สุดจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงขนาดและประเภทของธุรกิจ ปริมาณธุรกรรม และบริการบางอย่างที่ต้องการ
ใครบ้างที่เป็น ISO ได้
เร็วๆ นี้ตลาด ISO มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกรรมดิจิทัลและความต้องการโซลูชันการชําระเงินเฉพาะทาง มีธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่นําเสนอบริการ ISO โดยใช้ประโยชน์จากพัฒนาการเหล่านี้เพื่อให้บริการเฉพาะบุคคลให้กับภาคธุรกิจเฉพาะทาง เนื่องจากบางครั้งสถาบันการธนาคารแบบเดิมๆ ปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ๆ หรือความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่มได้ลำบาก ISO จึงเข้ามาปิดช่องว่างนี้ด้วยความคล่องตัวและแนวทางที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
การเป็น ISO เป็นเรื่องน่าสนใจสําหรับธุรกิจที่ต้องการช่วยลดความซับซ้อนด้านการชําระเงินให้ธุรกิจต่างๆ หรือพัฒนาโมเดลรายรับแบบเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า นอกจากนั้นจำนวน ISO ที่เพิ่มขึ้นยังสะท้อนถึงแนวโน้มในภาพรวมของภาคการเงินที่มุ่งสู่การกระจายศูนย์และใช้เทคโนโลยีเพื่อให้บริการที่ปรับเข้าผู้ใช้งานเฉพาะรายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเป็น ISO ต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์หลายข้อและผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ ขั้นตอนทั่วไปในการเป็น ISO มีดังนี้
ก่อตั้งธุรกิจ
ขั้นตอนแรกคือจัดตั้งองค์กรธุรกิจที่ถูกต้อง เช่น บริษัท หรือ LLC ซึ่งต้องยื่นเอกสารที่เหมาะสมต่อเลขานุการรัฐหรือหน่วยงานรัฐแห่งอื่นที่มีอำนาจหน้าที่หาธนาคารผู้สนับสนุน
ISO ต้องมีธนาคารผู้สนับสนุน ซึ่งเป็นธนาคารที่มีความสัมพันธ์กับเครือข่ายบัตรเครดิตรายใหญ่และสามารถรับประกันธุรกรรมที่ประมวลผลโดย ISO ธนาคารผู้สนับสนุนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความเสี่ยงใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่ประมวลผลโดย ISOขึ้นทะเบียนกับเครือข่ายบัตร
ISO ต้องขึ้นทะเบียนกับเครือข่ายบัตรหลักที่ตนวางแผนจะใช้งาน ซึ่งโดยปกติจะต้องมีการชําระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน และ ISO จะต้องมีคุณสมบัติด้านความมั่นคงทางการเงินตามมาตรฐานของเครือข่ายและมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดทำประกันภัย
โดยปกติแล้ว ISO จะต้องมีประกันจํานวนหนึ่งเพื่อคุ้มครองความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจัดทำขั้นตอนการปฏิบัติตามข้อกําหนด
ISO ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมถึงมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) และกฎหมายท้องถิ่น รัฐ หรือรัฐบาลกลางที่เกี่ยวข้องจัดตั้งฝ่ายบริการลูกค้าและฝ่ายสนับสนุนทางเทคนิค
ISO จําเป็นต้องมีระบบสนับสนุนลูกค้าของธุรกิจตน โดยอาจต้องจ้างพนักงานหรือทําสัญญากับผู้ให้บริการบุคคลที่สาม
โปรดจําไว้ว่าขั้นตอนเหล่านี้เป็นเพียงขั้นตอนทั่วไป ข้อกําหนดเฉพาะอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระเบียบข้อบังคับในพื้นที่ของคุณและข้อกําหนดของธนาคารผู้สนับสนุนและเครือข่ายบัตร และการดำเนินงานเพื่อเป็น ISO เป็นเรื่องสําคัญที่มีความเสี่ยงด้านการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรทําความเข้าใจธุรกิจอย่างถี่ถ้วนและมีแผนธุรกิจที่มั่นคงก่อนจะเริ่มดําเนินงาน
ธุรกิจประเภทใดบ้างที่ควรทํางานร่วมกับ ISO
มีธุรกิจหลายประเภทที่สามารถได้ประโยชน์จากการทํางานกับ ISO โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ประมวลผลธุรกรรมบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตจํานวนมาก ต่อไปนี้คือธุรกิจบางประเภทที่อาจพิจารณาทำงานร่วมกับ ISO
ธุรกิจค้าปลีก
ธุรกิจใดก็ตามที่มีหน้าร้านและลูกค้ามักชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตอยู่เป็นประจําจะได้ประโยชน์จากบริการของ ISO ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ร้านเสื้อผ้าไปจนถึงร้านอาหารหรือร้านขายของชําธุรกิจออนไลน์
บริษัทอีคอมเมิร์ซ ผู้ค้าปลีกออนไลน์ และธุรกิจใดก็ตามที่รับชําระเงินทางออนไลน์สามารถได้รับประโยชน์จากการร่วมงานกับ ISOผู้ให้บริการ
ธุรกิจบริการต่างๆ เช่น ร้านทําผม บริษัทที่ปรึกษา หรือร้านบริการซ่อมต่างๆ มักจะรับการชําระเงินผ่านบัตรซึ่งจะได้ประโยชน์จากบริการของ ISOธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง
ธุรกิจบางแห่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผู้ประมวลผลการชำระเงินพิจารณาว่า "มีความเสี่ยงสูง" เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการดึงเงินคืนที่สูงหรืออยู่ภายใต้การตรวจสอบของหน่วยงานกำกับดูแล ตัวอย่างเช่น ธุรกิจในอุตสาหกรรมผู้ใหญ่ การพนัน ยาสูบ หรือกัญชา ในบางครั้ง ISO ก็สามารถช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้เปิดบัญชีผู้ค้าได้ในขณะที่ธนาคารแบบดั้งเดิมอาจลังเลที่จะให้บริการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB)
แม้ว่าธุรกิจทุกขนาดจะใช้บริการ ISO ได้ แต่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางจะได้ประโยชน์เป็นพิเศษจากบริการลูกค้าแบบส่วนตัวที่ ISO มักจะจัดหาให้
แม้ธุรกิจหลายๆ แห่งจะได้ประโยชน์จากการใช้บริการ ISO แต่ ISO ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับธุรกิจทุกราย พิจารณาขนาดของธุรกิจ อุตสาหกรรม ปริมาณธุรกรรม และความต้องการเฉพาะของคุณขณะตัดสินใจว่าจะใช้บริการ ISO หรือไม่
ข้อดีข้อเสียของการทํางานร่วมกับ ISO
สำหรับธุรกิจ การทํางานรวมกับ ISO มีทั้งข้อดีและข้อเสียได้หลายประการ
ประโยชน์ของการทํางานร่วมกับ ISO
บริการลูกค้า
ISO มักมีบริการลูกค้าที่เป็นส่วนตัวและตอบสนองลูกค้าได้ดีกว่าธนาคารหรือผู้ประมวลผลบัตรขนาดใหญ่ โดยมักจะเข้าถึงง่ายกว่าและสามารถแก้ไขปัญหาหรือข้อกังวลใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วความยืดหยุ่น
ISO มักให้บริการโซลูชันที่ยืดหยุ่นมากกว่าซึ่งสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจได้ โดยอาจมีตัวเลือกอุปกรณ์ เกตเวย์การชําระเงิน และโครงสร้างค่าบริการที่หลากหลายกว่าความช่วยเหลือสําหรับธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง
ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงอาจประสบปัญหาในเปิดบัญชีผู้ค้ากับธนาคารแบบดั้งเดิม ส่วน ISO มักจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า และอาจช่วยธุรกิจเหล่านี้เปิดบัญชีได้บริการเสริม
ISO หลายแห่งให้บริการเพิ่มเติมนอกเหนือจากการประมวลผลการชําระเงิน เช่น เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจ บริการด้านความปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกง และอื่นๆ
ข้อเสียของการทํางานร่วมกับ ISO
ค่าใช้จ่ายสูงกว่า
ISO อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าผู้ประมวลผลโดยตรงหรือธนาคาร ซึ่งอาจรวมถึงค่าธรรมเนียมการจัดตั้งบัญชีผู้ค้า ค่าธรรมเนียมธุรกรรม ค่าธรรมเนียมรายเดือน ค่าเช่าอุปกรณ์ หรือค่าธรรมเนียมการซื้อค่าธรรมเนียมแอบแฝง
ISO บางแห่งอาจมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ไม่โปร่งใส ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดข้อกําหนดของสัญญา
ISO บางรายอาจกําหนดให้ธุรกิจต้องทำสัญญาระยะยาว ซึ่งทำให้การเลิกใช้บริการทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง
คุณภาพของบริการโดย ISO อาจแตกต่างกันเช่นเดียวกับในธุรกิจอื่นๆ ธุรกิจควรทําการสอบทานธุรกิจและศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับชื่อเสียงของ ISO ก่อนทําสัญญา
การตัดสินใจว่าจะทำงานกับ ISO หรือไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจคุณ ศึกษาอย่างละเอียดและพิจารณาตัวเลือกทั้งหมดก่อนที่จะเลือกโซลูชันการประมวลผลการชําระเงิน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการรายนั้นสามารถรองรับความต้องการด้านการชําระเงินในปัจจุบันและสามารถรองรับการเติบโตและพัฒนาการของธุรกิจคุณได้ด้วย รวมทั้งพิจารณาด้วยว่าการเติบโตดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงความต้องการด้านการชำระเงินในอนาคตของคุณไปอย่างไร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ