How to raise seed money for your startup: Best practices for different funding sources

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การระดมทุนระยะเริ่มเต้นแตกต่างจากการระดมทุนประเภทอื่นๆ อย่างไร
  3. เหตุใดการระดมทุนระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพ
  4. การเตรียมระดมทุนระยะเริ่มต้น
  5. แหล่งที่มาของเงินระยะเริ่มต้น
    1. นักลงทุนอิสระ (Angel Investor)
    2. บริษัทร่วมลงทุน (VC):
    3. การระดมทุน
    4. การใช้เงินทุนของตัวเอง
    5. เงินสนับสนุน
  6. วิธีระดมทุนระยะเริ่มต้นสำหรับสตาร์ทอัพ
    1. หากคุณกำลังต้องการเงินทุนจากนักลงทุนอิสระ
    2. หากคุณกำลังมองหาเงินทุนจากบริษัทร่วมลงทุน
    3. หากคุณกำลังระดมทุนเงินระยะเริ่มต้น
    4. หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนส่วนตัว
    5. หากคุณต้องการเงินสนับสนุน
  7. วิธีเจรจาการระดมทุนระยะเริ่มต้นกับนักลงทุน
  8. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการเงินระยะเริ่มต้น
  9. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

เงินระยะเริ่มต้น หรือที่มักเรียกว่าการระดมทุนระยะเริ่มต้นหรือเงินทุนเมล็ดพันธุ์ คือเงินลงทุนก้อนแรกที่ผู้ประกอบการหรือผู้ร่วมก่อตั้งใช้เพื่อเริ่มต้นธุรกิจหรือโครงการใหม่ และครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานระยะแรกเริ่ม โดยเงินทุนประเภทนี้มักมีมูลค่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับแหล่งเงินทุนอื่นๆ ของธุรกิจสตาร์ทอัพ

เงินระยะเริ่มต้นสามารถมาจากแหล่งต่างๆ ได้หลายทาง เช่น จากผู้ก่อตั้งเอง ครอบครัวและเพื่อนฝูง นักลงทุนอิสระ (Angel Investor) และบริษัทร่วมลงทุนในระยะเริ่มต้น จำนวนเงินทุนตั้งต้นที่ต้องการจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของธุรกิจและความต้องการเริ่มต้นของแต่ละราย เงินทุนตั้งต้นนี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถก้าวจาก “แนวคิด” ไปสู่ “ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรม” และจากจุดนั้นก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของธุรกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต

หลังจากระยะเริ่มต้น สตาร์ทอัพอาจขอรับเงินทุนเพิ่มเติมในรอบต่างๆ เช่น Series A, B และ C ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับเงินลงทุนจำนวนมากขึ้น และอาจมาจากบริษัทร่วมลงทุน, กองทุน Private Equity หรือผู้ลงทุนรายอื่น

ด้านล่างนี้เราจะอธิบายสิ่งที่ผู้ก่อตั้งระยะเริ่มต้นจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับวิธีการระดมเงินระยะเริ่มต้น ได้แก่ แหล่งที่สามารถขอรับเงินทุน วิธีเลือกแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจ วิธีการปิดดีล และแนวทางการใช้เงินระยะเริ่มต้นอย่างรอบคอบ

เนื้อหาหลักในบทความ

  • การระดมทุนระยะเริ่มเต้นแตกต่างจากการระดมทุนประเภทอื่นๆ อย่างไร
  • เหตุใดการระดมทุนระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพ
  • การเตรียมระดมทุนระยะเริ่มต้น
  • แหล่งที่มาของเงินระยะเริ่มต้น
  • วิธีระดมทุนระยะเริ่มต้นสำหรับสตาร์ทอัพ
  • วิธีเจรจาการระดมทุนระยะเริ่มต้นกับนักลงทุน
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการเงินระยะเริ่มต้น

การระดมทุนระยะเริ่มเต้นแตกต่างจากการระดมทุนประเภทอื่นๆ อย่างไร

สตาร์ทอัพจะผ่านระยะต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจของตน แม้ว่าการพัฒนาแต่ละระยะ (รวมถึงรอบการระดมทุนที่เกี่ยวข้อง) จะแตกต่างกันไปในแต่ละสตาร์ทอัพ แต่ก็มีลักษณะทั่วไปบางอย่างที่สามารถใช้จำแนกแต่ละระยะได้

ระยะเริ่มต้น (Seed Stage) ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความผันผวนมากที่สุดและน่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ทำให้การระดมทุนในระยะเริ่มต้นแตกต่างจากการระดมทุนประเภทอื่นที่อาจตามมาในภายหลัง

  • วัตถุประสงค์และการใช้งาน
    การระดมทุนระยะเริ่มต้นจะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นรูปแบบธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้จริง ซึ่งมักครอบคลุมถึงการดำเนินการวิจัยตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการสร้างทีมงาน ในทางตรงกันข้าม การระดมทุนในรอบหลังๆ เช่น Series A, B หรือ C จะมุ่งเน้นไปที่การขยายขนาดธุรกิจ การขยายฐานลูกค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น หรือการรุกเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ

  • จำนวนเงิน
    โดยทั่วไปแล้ว จำนวนเงินที่ระดมทุนได้ในระยะเริ่มต้นจะน้อยกว่ารอบการระดมทุนในระยะหลังมาก ค่าเฉลี่ยของการระดมทุนระยะเริ่มต้นในไตรมาสแรกของปี 2023 อยู่ที่เพียง 3.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่รอบ Series A มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินทุนในระยะนี้มักเพียงพอสำหรับการพิสูจน์แนวคิดหรือบรรลุเป้าหมายสำคัญของธุรกิจ เมื่อสตาร์ทอัพเติบโตและแสดงศักยภาพมากขึ้น ก็จะสามารถดึงดูดการลงทุนที่มีมูลค่าสูงขึ้นในรอบถัดๆ ไปได้

  • ประเภทนักลงทุน
    การระดมทุนระยะเริ่มต้นมักมาจากผู้ก่อตั้งเอง รวมถึงเพื่อน ครอบครัว และนักลงทุนอิสระ ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มที่ยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนกับแนวคิดในระยะเริ่มต้น ในขณะที่ระยะต่อมาจะดึงดูดนักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทร่วมลงทุนที่ลงทุนด้วยจำนวนเงินมากกว่าในธุรกิจที่มีหลักฐานความสำเร็จชัดเจน โดยในปี 2021 บริษัทร่วมลงทุนทั่วโลกได้ลงทุนรวมกว่า 671 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 38,644 ดีล ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าการระดมทุนเฉลี่ยในระยะเริ่มต้นอย่างมาก

  • หุ้นและมูลค่ากิจการ
    ในระยะเริ่มต้น มูลค่ากิจการของสตาร์ทอัพมักยังไม่ได้รับการประเมินอย่างชัดเจน ดังนั้นนักลงทุนจึงอาจได้รับสัดส่วนหุ้นจำนวนมากแลกกับเงินลงทุนที่ไม่สูงนัก ในระยะต่อมา เมื่อมูลค่ากิจการของบริษัทเพิ่มขึ้น บริษัทจะต้องมอบหุ้นในสัดส่วนที่น้อยลงเพื่อแลกกับเงินทุนที่มากขึ้น แม้แต่ละดีลจะมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไป ผู้ก่อตั้งควรวางแผนที่จะขายหุ้นประมาณ 20% ในรอบการระดมทุนระยะเริ่มต้น

  • ความเสี่ยงและผลตอบแทน
    การระดมทุนระยะเริ่มต้นมักถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากโมเดลธุรกิจและความเหมาะสมกับตลาดอาจยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม โอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงก็มีมากเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนในระยะแรกมักจะได้รับสัดส่วนหุ้นที่มากกว่า เมื่อสตาร์ทอัพเติบโตและเข้าสู่การระดมทุนรอบต่อๆ มา ความเสี่ยงจะลดลง และผลตอบแทนในรูปของสัดส่วนหุ้นก็จะลดลงตามไปด้วย

  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข
    ข้อตกลงในการระดมทุนระยะเริ่มต้นมักมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับรอบการระดมทุนรอบหลังๆ เมื่อสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นและดึงดูดนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ความซับซ้อนของข้อตกลงในการระดมทุนก็มักจะเพิ่มขึ้น พร้อมกับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้นด้วย

Comparing seed funding vs later-stage funding - Chart comparing seed funding to later-stage funding including Series A, B, and C.

เหตุใดการระดมทุนระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพ

แม้ว่าในการระดมทุนแต่ละรอบจะมีความสำคัญ แต่การระดมทุนระยะเริ่มต้นมักส่งผลกระทบต่อสตาร์ทอัพมากกว่ารอบการลงทุนในอนาคต แม้ว่ามูลค่าการลงทุนจะน้อยกว่าก็ตาม ทั้งนี้ การระดมทุนระยะเริ่มต้นสามารถกำหนดทิศทางของสตาร์ทอัพได้ดังต่อไปนี้

  • การพิสูจน์แแนวคิดของธุรกิจ
    การระดมทุนระยะเริ่มต้นจะเป็นเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการพิสูจน์แนวคิดของสตาร์ทอัพ ระยะนี้มุ่งเน้นการแสดงให้เห็นว่า ตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นจริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนในอนาคต หากไม่มีระดมทุนระยะเริ่มต้น อาจไม่สามารถพัฒนาแนวคิดหลายๆ อย่างไปได้ไกลกว่านั้น

  • การสร้างรากฐาน
    เงินทุนเริ่มต้นนี้ช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถจัดตั้งการดำเนินงานที่สำคัญ จ้างทีมงานหลัก และเริ่มต้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะเริ่มต้นได้

  • การช่วยเร่งการเติบโตและการพัฒนาในระยะแรก
    ด้วยการระดมทุนระยะเริ่มต้นนี้ สตาร์ทอัพสามารถมุ่งเน้นการเติบโตในช่วงต้น ปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ดียิ่งขึ้น และสร้างฐานลูกค้าระยะแรก การเติบโตในช่วงนี้จะแสดงถึงศักยภาพในการขยายธุรกิจและความสำเร็จในระยะยาว

  • การดึงดูดเงินทุนในอนาคต
    การระดมทุนระยะเริ่มต้นที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่ช่วยนำเงินทุนเข้ามาเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันความน่าเชื่อถือของสตาร์ทอัพในสายตาของนักลงทุนในอนาคตอีกด้วย โดยมักนำไปสู่การระดมทุนรอบใหญ่ขึ้น เช่น Series A เนื่องจากเป็นสัญญาณว่าสตาร์ทอัพได้ก้าวข้ามระยะแนวคิดไปสู่ธุรกิจที่มีความเป็นไปได้และมีการเติบโตจริง

  • การได้มาซึ่งพาร์ทเนอร์และที่ปรึกษา
    นักลงทุนในระยะเริ่มต้นมักมอบสิ่งที่มีค่ามากกว่าแค่เงินทุน นักลงทุนเหล่านี้ยังเป็นแหล่งคำแนะนำที่มีค่า มีคอนเนคชันในวงการ และเป็นที่ปรึกษาที่ดี ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้ประกอบการรับมือกับความท้าทายในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพ

  • มีความยืดหยุ่นและมีอิสระ
    โดยทั่วไปแล้ว การระดมทุนระยะเริ่มต้นมักมาพร้อมเงื่อนไขที่น้อยกว่าการระดมทุนในรอบถัดไป สตาร์ทอัพจึงมีอิสระมากกว่าในการทดลอง ปรับเปลี่ยนทิศทางเมื่อจำเป็นในระยะนี้ โดยไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากความคาดหวังของนักลงทุนรายใหญ่หรือข้อตกลงที่ซับซ้อน

  • การสร้างความน่าเชื่อถือ
    การระดมทุนระยะเริ่มต้นมักถูกมองว่าเป็น “ตราประทับแห่งความเชื่อมั่น” ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสตาร์ทอัพในสายตาของลูกค้า พาร์ทเนอร์ และนักลงทุนในอนาคต ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่ามีบุคคลหรือองค์กรที่มีความรู้ความเข้าใจเชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ทอัพนั้น

การเตรียมระดมทุนระยะเริ่มต้น

สตาร์ทอัพจำเป็นต้องเตรียมการหลายอย่างก่อนที่จะเริ่มติดต่อกับนักลงทุนรายแรกเพื่อขอระดมทุนระยะเริ่มต้น ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทำในช่วงเริ่มต้นของขั้นตอนระดมทุน

  • ปรับแนวคิดทางธุรกิจของคุณ
    ก่อนที่จะเข้าพบนักลงทุน คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแนวคิดธุรกิจของคุณมีความชัดเจน มีนวัตกรรม และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดจริงๆ ซึ่งรวมถึงการทำการวิจัยตลาดอย่างละเอียด การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และการพัฒนาคุณค่าที่นำเสนอที่ไม่เหมือนใคร

  • สร้างแผนธุรกิจที่เป็นรูปธรรม
    แผนธุรกิจที่มีโครงสร้างดีควรสรุปโมเดลธุรกิจ การวิเคราะห์ตลาด กลยุทธ์การดำเนินงาน การคาดการณ์ทางการเงิน และเป้าหมายระยะยาวของคุณ เอกสารนี้จะทำหน้าที่เป็นทั้งแผนที่นำทางของธุรกิจ และเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวนักลงทุนที่มีศักยภาพ

  • พัฒนาต้นแบบหรือ MVP
    หากเป็นไปได้ ควรพัฒนาต้นแบบหรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบขั้นต่ำ (Minimum Viable Product: MVP) เพื่อแสดงให้เห็นแนวคิดของคุณในรูปแบบที่จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเห็นว่าคุณได้ก้าวข้ามขั้นตอนของแนวคิดไปแล้ว และมีสิ่งที่สามารถใช้งานและทดสอบในตลาดจริงได้

  • สร้างทีมที่แข็งแกร่ง
    นักลงทุนไม่ได้ลงทุนเพียงในแนวคิดเท่านั้น แต่พวกเขาลงทุนในคนด้วย สร้างทีมของคุณให้มีความหลากหลายทั้งในด้านทักษะและประสบการณ์ การแสดงให้เห็นว่าคุณมีทีมงานที่มีความสามารถและพร้อมดำเนินงาน จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสตาร์ทอัพของคุณได้อย่างมาก

  • ผสานรวมการวางแผนทางการเงิน
    ควรมีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคุณต้องการเงินทุนจำนวนเท่าใด และมีแผนจะนำไปใช้อย่างไร เตรียมพร้อมที่จะอธิบายโมเดลทางการเงินและประมาณการของคุณให้เห็นเส้นทางไปสู่ความสามารถในการทำกำไรหรือการเติบโตที่ชัดเจน

  • สร้างจุดขายให้แก่นักลงทุน
    พัฒนาจุดขายที่น่าสนใจซึ่งสามารถอธิบายแนวคิดทางธุรกิจ โอกาสทางการตลาด ทีมงาน และข้อมูลทางการเงินของคุณได้อย่างกระชับ จุดขายของคุณควรมีความชัดเจน เข้าใจง่าย และน่าดึงดูดใจ เพื่อสร้างความสนใจจากนักลงทุนที่มีศักยภาพ

  • ค้นหานักลงทุนที่มีศักยภาพ
    ศึกษาค้นคว้าและระบุนักลงทุนที่มีศักยภาพซึ่งเหมาะกับสตาร์ทอัพของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงนักลงทุนอิสระ บริษัทร่วมลงทุน ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจหรือโครงการเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ ทำความเข้าใจแนวคิดการลงทุนและพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน เพื่อให้คุณสามารถปรับแนวทางการนำเสนอให้เหมาะสมกับแต่ละรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • สร้างเครือข่ายและสร้างความสัมพันธ์
    เริ่มสร้างความสัมพันธ์ภายในวงการสตาร์ทอัพ เข้าร่วมงานอีเวนต์ในอุตสาหกรรม เข้าร่วมชุมชนสตาร์ทอัพ และมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้คุณได้พบปะกับที่ปรึกษาและนักลงทุนที่มีศักยภาพ

  • ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและกฎระเบียบ
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสตาร์ทอัพของคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอาจรวมถึง การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การจดทะเบียนตราเครื่องหมายการค้า หรือการดำเนินการตามกฎระเบียบเฉพาะของอุตสาหกรรมที่คุณดำเนินกิจการ

  • เตรียมสำหรับการตรวจสอบข้อมูล
    นักลงทุนจะดำเนินการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนั้นควรจัดเตรียมเอกสารทางกฎหมาย ทางการเงิน และเอกสารธุรกิจทั้งหมดให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบ

How to raise seed funding - Flow chart showing how to raise seed funding.

แหล่งที่มาของเงินระยะเริ่มต้น

แหล่งเงินทุนในระยะเริ่มต้นจะมีอิทธิพลต่อชีวิตช่วงแรกของสตาร์ทอัพ และอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในข้อกำหนดของข้อตกลงการระดมทุนต่างๆ และรูปแบบความสัมพันระหว่างผู้ก่อตั้งกับนักลงทุน

ก่อนที่คุณจะเริ่มแสวงหาเงินระยะเริ่มต้นจากแหล่งใดก็ตาม ควรพิจารณาทางเลือกต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณเลือกแหล่งเงินทุนที่มอบประโยชน์ให้แก่คุณสูงสุด และมีข้อเสียหรือความเสี่ยงที่คุณไม่ต้องการให้เหลือน้อยที่สุด ต่อไปนี้คือภาพรวมของแหล่งเงินทุนระยะเริ่มต้นที่อาจเป็นไปได้

นักลงทุนอิสระ (Angel Investor)

  • คนกลุ่มนี้คือใคร: นักลงทุนอิสระคือบุคคลที่มีฐานะมั่งคั่งซึ่งให้เงินทุนแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยทั่วไปจะแลกกับตราสารหนี้แปลงสภาพหรือ ส่วนของผู้ถือหุ้น นักลงทุนกลุ่มนี้มักเป็นผู้ประกอบการเอง หรืออดีตผู้บริหารธุรกิจที่เกษียณแล้ว

  • ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้นที่ต้องการคำแนะนำและโอกาสในการสร้างเครือข่าย

ข้อดี

  • ความเอาใจใส่และการให้คำปรึกษาส่วนบุคคล

  • ข้อกำหนดที่ยืดหยุ่นและขั้นตอนที่ไม่เป็นทางการมากนัก

  • โอกาสในการสร้างเครือข่ายอันมีค่า

ข้อเสีย

  • ความสามารถในการระดมทุนที่จำกัด

  • อาจมีความเฉียบแหลมทางธุรกิจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับนักลงทุนมืออาชีพ

  • ความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในทิศทางหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ

บริษัทร่วมลงทุน (VC):

  • คนกลุ่มนี้คือใคร: บริษัทร่วมลงทุนเป็นกลุ่มมืออาชีพที่จัดการการร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตสูงเพื่อแลกกับส่วนของผู้ถือหุ้น

  • ความเหมาะสม: เหมาะที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและมีเส้นทางที่ชัดเจนไปสู่รายได้และผลกำไรจำนวนมาก

ข้อดี

  • การเข้าถึงเงินทุนจำนวนมาก

  • ความเชี่ยวชาญในการขยายธุรกิจ

  • โอกาสในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง

ข้อเสีย

  • ขั้นตอนการตรวจสอบที่เข้มงวดและการแข่งขันสูง

  • สูญเสียการควบคุมและส่วนของผู้ถือหุ้น

  • แรงกดดันที่จะต้องสร้างการเติบโตและผลตอบแทนสูง

การระดมทุน

  • คืออะไร: การระดมทุน เกี่ยวข้องกับการระดมเงินจำนวนเล็กน้อยจากผู้คนจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินการทางออนไลน์

  • ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพที่เน้นผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม หรือบริษัทที่มีเรื่องราวหรือมุมมองทางสังคมที่น่าสนใจ

ข้อดี

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง

  • การพิสูจน์แนวคิดของธุรกิจ

  • การจัดหาเงินทุนแบบไม่ลดสัดส่วนหุ้น (ในกรณีส่วนใหญ่)

ข้อเสีย

  • ใช้เวลานานและไม่แน่นอน

  • ต้องทำการตลาดให้ดูน่าสนใจ

  • อาจต้องเปิดเผยทรัพย์สินทางปัญญา

การใช้เงินทุนของตัวเอง

  • คืออะไร: การใช้เงินทุนของตัวเองคือเมื่อผู้ประกอบการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย โดยอาศัยเงินของตนเองและรายได้ของบริษัท

  • ความเหมาะสม: เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจที่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อยและผู้ก่อตั้งที่ต้องการเป็นผู้ควบคุมคนเดียว

ข้อดี

  • ควบคุมธุรกิจได้อย่างเต็มที่

  • ไม่ต้องลดสัดส่วนหุ้น

  • ส่งเสริมการดำเนินงานแบบลีนและฉับไว

ข้อเสีย

  • ทรัพยากรที่จำกัดอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตได้

  • ความเสี่ยงทางการเงินส่วนตัว

  • ขยายธุรกิจได้ช้า

เงินสนับสนุน

  • คืออะไร: เงินสนับสนุนคือเงินทุนหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องชำระคืนซึ่งผู้ให้ทุนซึ่งมักจะเป็นหน่วยงานของรัฐ บริษัท มูลนิธิ หรือทรัสต์ มอบให้แก่ผู้รับ

  • ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นการวิจัย สังคม การศึกษา หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือสตาร์ทอัพที่อยู่ในอุตสาหกรรมเฉพาะทางที่เข้าเกณฑ์ของโครงการเงินสนับสนุน

ข้อดี

  • การจัดหาเงินทุนแบบไม่ลดสัดส่วนหุ้น

  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ

  • สามารถให้ทุนแก่โครงการเฉพาะด้าน

ข้อเสีย

  • เกณฑ์การแข่งขันสูงและเข้มงวด

  • มักมีการจำกัดขอบเขตและขนาด

  • ขั้นตอนการสมัครใช้เวลานาน

Comparing different sources of seed funding  - Chart showing the pros and cons of different sources of seed funding.

วิธีระดมทุนระยะเริ่มต้นสำหรับสตาร์ทอัพ

เมื่อคุณมั่นใจแล้วว่าแหล่งเงินทุนใดคือเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าหา ต่อไปนี้คือแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการเข้าถึงนักลงทุนเหล่านั้น

หากคุณกำลังต้องการเงินทุนจากนักลงทุนอิสระ

  • ค้นหานักลงทุนอิสระที่เหมาะสม
    ศึกษาค้นคว้าและค้นหานักลงทุนที่มีความสนใจสอดคล้องกับสตาร์ทอัพของคุณ โดยอาศัยเครือข่ายของคุณ ฐานข้อมูลนักลงทุนอิสระและงานอีเวนต์ในอุตสาหกรรม มองหานักลงทุนอิสระที่เข้าใจและมีความหลงใหลในอุตสาหกรรมและวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับคุณ

  • สร้างจุดขายที่น่าสนใจ
    จุดขายของคุณควรเล่าเรื่องราวของสตาร์ทอัพอย่างน่าสนใจ โดยเน้นให้เห็นปัญหาที่คุณกำลังแก้ไขและวิสัยทัศน์ของคุณ พร้อมสนับสนุนด้วยการวิเคราะห์ตลาด การคาดการณ์ทางการเงิน และแผนธุรกิจที่มีรายละเอียดครบถ้วน

  • สร้างความสัมพันธ์
    มองทุกการติดต่อกับนักลงทุนเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว มีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างจริงใจ ให้คุณค่ากับคำแนะนำของพวกเขา และเปิดใจรับฟังความคิดเห็น เนื่องจากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ ไม่ใช่เพียงผู้ให้เงินทุนเท่านั้น

  • เตรียมพร้อมสำหรับการหารือในเชิงลึก
    เตรียมพร้อมที่จะอธิบายวิสัยทัศน์ระยะยาวของคุณอย่างชัดเจน รวมถึงแสดงให้เห็นว่าความเชี่ยวชาญและเครือข่ายของนักลงทุนจะสามารถช่วยผลักดันการเติบโตของคุณได้อย่างไร

  • เจรจาเงื่อนไขอย่างเป็นธรรม
    การเจรจากับนักลงทุนอิสระมักมีความยืดหยุ่นมากกว่า ควรสื่อสารความต้องการของคุณอย่างชัดเจน และพร้อมที่จะทำความเข้าใจและปรับให้สอดคล้องกับความคาดหวังและมุมมองของนักลงทุน

  • ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์
    เมื่อนักลงทุนอิสระเข้ามาลงทุนแล้ว ควรใช้ประสบการณ์และเครือข่ายของพวกเขาให้เกิดประโยชน์ต่อสตาร์ทอัพของคุณ คอยหมั่นอัปเดตข้อมูลและให้นักลงทุนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญ เพื่อเปลี่ยนการลงทุนให้กลายเป็นเส้นทางแห่งความร่วมมือ

หากคุณกำลังมองหาเงินทุนจากบริษัทร่วมลงทุน

  • ค้นหาบริษัทร่วมลงทุนที่เหมาะสม
    ศึกษาค้นคว้าและมุ่งเป้าไปที่บริษัทร่วมลงทุนที่มีประวัติการลงทุนในอุตสาหกรรมและระยะของธุรกิจที่คล้ายกับของคุณ ใช้เครือข่ายของคุณ ฐานข้อมูลออนไลน์ และงานอีเวนต์ในอุตสาหกรรม เพื่อค้นหาบริษัทร่วมลงทุนที่มีแนวทางการลงทุนสอดคล้องกับเป้าหมายและความต้องการของสตาร์ทอัพของคุณ

  • เตรียมสไลด์นำเสนอจุดขายโดยละเอียด
    สไลด์จุดขายของคุณควรมีความครบถ้วนและอ้างอิงข้อมูลจริง โดยนำเสนอโมเดลธุรกิจ ขนาดของตลาด ภูมิทัศน์การแข่งขัน ผลิตภัณฑ์ ทีมงาน และการคาดการณ์ทางการเงิน บริษัทร่วมลงทุนมักมองหาธุรกิจที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูงและเติบโตได้รวดเร็ว จึงควรเน้นจุดแข็งเหล่านี้ให้ดูน่าเชื่อถือ

  • แสดงให้เห็นถึงแรงดึงดูดทางการตลาดและความเหมาะสมกับตลาด
    โดยทั่วไปแล้ว บริษัทร่วมลงทุนจะลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีแรงดึงดูดทางการตลาดหรือผ่านการพิสูจน์มาแล้วในระดับหนึ่งแล้ว คุณควรแสดงหลักฐานที่แสดงถึงความสนใจของลูกค้า รายรับ ตัวชี้วัดการเติบโต หรือความร่วมมือทางธุรกิจที่แสดงให้เห็นว่าสตาร์ทอัพของคุณมีความเหมาะสมกับตลาดและมีศักยภาพในการเติบโต

  • ทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบข้อมูลที่เข้มงวด
    เตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์เชิงลึกด้านการเงิน ประเด็นทางกฎหมาย โมเดลธุรกิจ การวิจัยตลาด และภูมิหลังของทีมงาน จัดระเบียบเอกสารและข้อมูลทั้งหมดของคุณให้พร้อมเพื่อช่วยให้ขั้นตอนนี้เป็นไปอย่างราบรื่น

  • เจรจาเรื่องเงื่อนไขและมูลค่ากิจการ
    เตรียมตัวสำหรับการเจรจาที่เข้มข้นเกี่ยวกับมูลค่ากิจการและเงื่อนไขต่างๆ ทำความเข้าใจมูลค่าของสตาร์ทอัพของคุณ และเตรียมพร้อมหารือ รวมถึงให้เหตุผลสนับสนุน ทำความคุ้นเคยกับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่พบบ่อยของบริษัทร่วมทุน และพิจารณาผลที่ตามมาในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ

  • สร้างความสัมพันธ์และสื่อสารวิสัยทัศน์
    แม้ว่าบริษัทร่วมทุนจะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนเป็นหลัก แต่การสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาก็สำคัญเช่นกัน ควรสื่อสารวิสัยทัศน์ระยะยาวของคุณ พร้อมอธิบายว่าเงินทุน เครือข่าย และความเชี่ยวชาญของบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร

หากคุณกำลังระดมทุนเงินระยะเริ่มต้น

  • เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม
    เลือกแพลตฟอร์มระดมทุนที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของสตาร์ทอัพของคุณ แต่ละแพลตฟอร์มรองรับประเภทโครงการและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกให้สอดคล้องกับตลาดเป้าหมายและประเภทข้อเสนอของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนแบบให้ถือหุ้น แบบให้ผลตอบแทนหรือแบบบริจาค

  • สร้างแคมเปญที่น่าสนใจ
    แคมเปญของคุณควรเล่าเรื่องราวของสตาร์ทอัพอย่างน่าสนใจ อธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่คุณกำลังทำ และจุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างจากผู้อื่น ใช้ภาพประกอบที่ดึงดูดใจและภาษาที่ชัดเจน โน้มน้าวใจ และเข้าใจง่าย วิดีโอเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสูงในการถ่ายทอดเนื้อความและสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้สนับสนุนที่มีศักยภาพ

  • ตั้งเป้าหมายและผลตอบแทนที่เป็นไปได้จริง
    ตั้งเป้าหมายการระดมทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของคุณในการขับเคลื่อนโครงการ และอยู่ในระดับที่สามารถบรรลุผลได้ตามขนาดของกลุ่มเป้าหมายของคุณ สำหรับการระดมทุนแบบให้ผลตอบแทน ควรออกแบบผลตอบแทนที่น่าสนใจและเป็นไปได้จริง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสนับสนุนโดยไม่กระทบต่อทรัพยากรของคุณมากเกินไป

  • โปรโมตแคมเปญของคุณ
    ใช้โซเชียลมีเดีย เครือข่ายส่วนตัว และชุมชนออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์แคมเปญของคุณ อัปเดตความคืบหน้าให้กับผู้สนับสนุนและกลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง

  • มีส่วนร่วมกับผู้สนับสนุนของคุณ
    มองผู้สนับสนุนของคุณเป็นมากกว่าแค่ผู้ให้เงินทุน พวกเขาคือผู้สนับสนุนยุคแรกและลูกค้าในอนาคตของคุณ สร้างปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาตลอดช่วงแคมเปญ โดยการอัปเดตข้อมูล ตอบกลับความคิดเห็น และแสดงความขอบคุณในทุกการสนับสนุน

  • วางแผนหลังจากจบแคมเปญ
    วางแผนอย่างชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อหลังจากจบแคมเปญ ซึ่งรวมถึงการมอบผลตอบแทน การสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับผู้สนับสนุน และการต่อยอดความสำเร็จของแคมเปญเพื่อสร้างแรงส่งและเพิ่มการมองเห็นให้มากยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนส่วนตัว

  • จัดการการเงินอย่างรอบคอบ
    ให้ความสำคัญกับความรอบคอบทางการเงินและการบริหารงบประมาณ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และนำกำไรกลับมาลงทุนต่อในธุรกิจ แยกบัญชีการเงินส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจ เพื่อความชัดเจนและหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเงินที่ไม่จำเป็น

  • โฟกัสที่กระแสเงินสด
    การบริหารกระแสเงินสดเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนส่วนตัว พัฒนาโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างรายรับอย่างต่อเนื่อง และติดตามการจัดการกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปและเติบโตได้อย่างมั่นคง

  • ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
    ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งรวมถึงทักษะของคุณเอง เครือข่ายของคุณ และทรัพย์สินที่มีอยู่ ค้นหาเครื่องมือหรือบริการที่มีต้นทุนต่ำหรือฟรี เพื่อช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจ

  • ค่อยๆ เติบโต
    การดำเนินธุรกิจด้วยเงินทุนส่วนตัวมักหมายถึงการเติบโตที่ช้ากว่า ควรมุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน มากกว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็ว วิธีนี้จะช่วยให้คุณสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจ โดยไม่ใช้ทรัพยากรมากจนเกินไป

  • เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
    เนื่องจากไม่มีแหล่งเงินทุนภายนอกเข้ามากำหนดทิศทางของสตาร์ทอัพ คุณจึงสามารถปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการและความคิดเห็นของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ใช้จุดแข็งข้อนี้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า และปรับข้อเสนอของคุณให้ตรงกับความต้องการของตลาด

  • วางแผนสำหรับการขยายธุรกิจ
    วางกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจ เมื่อกำไรเพิ่มขึ้น ควรนำกลับมาลงทุนในส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด หรือการจ้างบุคลากรที่มีความสำคัญ

หากคุณต้องการเงินสนับสนุน

  • ค้นหาเงินสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง
    ค้นหาเงินสนับสนุนที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม พันธกิจ หรือเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพของคุณ โดยใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ เว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ และสื่อสิ่งพิมพ์ในอุตสาหกรรม เพื่อหาเงินสนับสนุนที่เหมาะกับโมเดลธุรกิจและเป้าหมายของคุณ

  • ทำความเข้าใจข้อกำหนดของเงินสนับสนุน
    อ่านเกณฑ์คุณสมบัติ ข้อกำหนดในการสมัคร และกำหนดเวลาของแต่ละทุนอย่างรอบคอบ เนื่องจากเงินสนับสนุนมักมีข้อกำหนดและวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงมาก จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสตาร์ทอัพและข้อเสนอของคุณสอดคล้องกับข้อกำหนดและวัตถุประสงค์เหล่านั้น

  • สร้างข้อเสนอแบบละเอียด
    แนบข้อเสนอที่ละเอียดและน่าสนใจไปพร้อมกับการสมัคร สรุปอย่างชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดทางธุรกิจ ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น วิธีการใช้เงินสนับสนุน และผลลัพธ์ที่คาดหวัง ใช้ภาษาที่ชัดเจน กระชับ และปฏิบัติตามแนวทางที่เงินสนับสนุนนั้นๆ กำหนดอย่างเคร่งครัด

  • แสดงให้เห็นผลลัพธ์และนวัตกรรม
    เงินสนับสนุนจำนวนมากมุ่งเน้นไปที่การให้เงินทุนแก่โครงการที่ส่งเสริมนวัตกรรม ผลลัพธ์ทางสังคม หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จึงควรเน้นให้เห็นว่าสตาร์ทอัพของคุณตอบโจทย์เกณฑ์เหล่านี้อย่างไร พร้อมแสดงหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างผลลัพธ์และนวัตกรรม

  • ผสานรวมการวางแผนงบประมาณและการวางแผนทางการเงิน
    รวมงบประมาณโดยละเอียดที่แสดงให้เห็นว่าเงินสนับสนุนจะถูกจัดสรรอย่างไร แสดงถึงความรับผิดชอบทางการเงินและความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่เงินทุนนี้จะช่วยผลักดันโครงการของคุณให้ก้าวหน้า

  • เตรียมพร้อมสำหรับการติดตามผลและการรรายงาน
    เตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนติดตามผลหากการสมัครขอเงินสนับสนุนของคุณได้รับการอนุมัติ ซึ่งอาจรวมถึงการส่งรายงานความคืบหน้า งบการเงิน หรือหลักฐานการบรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขของเงินสนับสนุน

วิธีเจรจาการระดมทุนระยะเริ่มต้นกับนักลงทุน

นักลงทุนที่มีศักยภาพจะเข้ามาเจรจาในนามของตนเอง หรือในนามของนักลงทุนในเงินทุนของตน ต่อไปนี้คือแนวทางในการนำเสนอตัวคุณเองให้ประสบความสำเร็จระหว่างการเจรจา:

  • เข้าใจมุมมองของนักลงทุน
    นักลงทุนต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนของตน พวกเขาอาจชื่นชอบแนวคิดของคุณ แต่ในที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเขาประเมินคือ "ความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทน" การตระหนักถึงข้อนี้จะช่วยให้คุณสามารถวางกรอบเหตุผลของตนเองได้ดีขึ้น และเข้าใจมุมมองตอบโต้ของนักลงทุนได้ชัดเจนขึ้น

  • รู้จุดแข็งของคุณเอง
    ก่อนเข้าสู่การเจรจาใดๆ คุณควรมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับมูลค่าของสตาร์ทอัพของคุณ ซึ่งนอกจากตัวเลขแล้ว ยังรวมถึงศักยภาพของธุรกิจ สภาพตลาด และคุณประสบความสำเร็จมาแล้วแค่ไหน ขอให้เตรียมพร้อมที่จะปกป้องและอธิบายมูลค่าดังกล่าวด้วยข้อมูลและความมั่นใจ

  • รับฟังนักลงทุน
    การเจรจาที่ดีตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการฟังอย่างตั้งใจในสิ่งที่นักลงทุนพูด และตอบสนองอย่างมีรอบคอบ การเจรจาไม่ได้เป็นเพียงการผลักดันแนวคิดของคุณเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการหาจุดร่วมและข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอีกด้วย

  • พร้อมที่จะเดินออกมา
    หนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของคุณในการเจรจาคือความกล้าที่จะปฏิเสธและเดินออกมา ซึ่งไม่ได้หมายถึงการแข็งกร้าว แต่หมายถึงการยืนหยัดในสิ่งที่สตาร์ทอัพของคุณต้องการเพื่อให้ประสบความสำเร็จ หากเงื่อนไขของนักลงทุนทำให้มูลค่าบริษัทของคุณลดลง หรือไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของคุณ คุณควรเตรียมพร้อมที่จะปฏิเสธ

  • ยืดหยุ่นได้ในขอบเขตที่เหมาะสม
    แม้ว่าการรู้ว่าคุณต้องการอะไรจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การยึดมั่นจนเกินไปอาจทำให้ข้อตกลงล้มเหลวได้ คุณควรกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน แต่ก็ต้องยืดหยุ่นภายในขอบเขตนั้นด้วย ซึ่งอาจหมายถึงการเจรจาในเรื่องของสัดส่วนหุ้น โครงสร้างการลงทุน หรือเงื่อนไขอื่นๆ

  • ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระยะยาว
    อย่าลืมว่า คุณกำลังจะเข้าสู่ความสัมพันธ์ระยะยาวกับนักลงทุน การเจรจาควรดำเนินไปด้วยความเคารพและเจตนาที่จะสร้างความร่วมมือ เป้าหมายไม่ใช่เพียงเพื่อให้ได้แหล่งเงินทุนเท่านั้น แต่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่จะสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพของคุณในระยะยาว

  • ใส่ใจในรายละเอียด
    ให้ความสำคัญกับรายละเอียดของข้อตกลง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในหัวข้อหลักเท่านั้น ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ เช่น สิทธิ์การชำระหนี้ก่อน ข้อกำหนดป้องกันการลดสัดส่วน และสิทธิ์ของคณะกรรมการ ซึ่งมักเป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะปรึกษาทนายความ เพื่อให้คุณเข้าใจผลที่ตามมาของแต่ละเงื่อนไขอย่างถ่องแท้

  • สื่อสารหลังการเจรจา
    หลังจากการเจรจาที่ประสบความสำเร็จ ควรรักษาการสื่อสารกับนักลงทุนอย่างเปิดกว้างอยู่เสมอ การอัปเดตข้อมูลและให้พวกเขามีส่วนร่วม (ในระดับที่เหมาะสม) จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนต่อไป

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการเงินระยะเริ่มต้น

เมื่อคุณได้รับเงินทุนระยะเริ่มต้นแล้ว คุณต้องตัดสินใจว่าจะใช้อย่างไร แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมีดังนี้

  • จัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายตามแผนธุรกิจของคุณ
    เริ่มต้นด้วยการทบทวนแผนธุรกิจของคุณอีกครั้ง คุณควรจัดสรรเงินทุนเป็นหลักให้กับส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและการพัฒนาธุรกิจตามที่ระบุไว้ในแผนธุรกิจ ซึ่งอาจรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวิจัยตลาด หรือการจ้างบุคลากรหลัก การปฏิบัติตามแผนธุรกิจจะช่วยให้คุณใช้เงินทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน

  • หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
    ใช้จ่ายอย่างประหยัดโดยไม่ลดทอนคุณภาพ หมายถึงการพิจารณาค่าใช้จ่ายแต่ละรายการอย่างรอบคอบและหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การเลือกใช้พื้นที่สำนักงานที่ใช้งานได้จริงและคุ้มค่า แทนการเช่าพื้นที่หรูหรา โปรดทราบว่าเงินทุกบาทที่ประหยัดได้ คือเงินที่สามารถนำไปลงทุนในด้านที่ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของธุรกิจ

  • ลงทุนในบุคลากรอย่างชาญฉลาด
    ทีมงานคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของคุณ จ้างบุคลากรที่มีทักษะที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับคุณ และมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จของสตาร์ทอัพ อย่างไรก็ตาม ควรใช้วิจารณญาณในการขยายทีม เพราะการจ้างคนมากเกินไปตั้งแต่เนิ่นๆ อาจทำให้ทรัพยากรของคุณหมดลงอย่างรวดเร็ว

  • มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และความเหมาะสมกับตลาด
    ใช้เงินระยะเริ่มต้นส่วนใหญ่ไปกับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ซึ่งรวมถึงการลงทุนในการพัฒนา การทดสอบ และระบบรับข้อเสนอแนะ เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่คุณนำเสนอสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและสามารถแข่งขันได้

  • วางกลยุทธ์เกี่ยวกับการตลาดและการหาลูกค้า
    ลงทุนในกลยุทธ์ทางการตลาดที่คุ้มค่าและตรงเป้าหมาย มุ่งเน้นช่องทางที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุด และติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดอย่างใกล้ชิด

  • รักษาระดับเงินสดสำรอง
    กันเงินส่วนหนึ่งของเงินระยะเริ่มต้นไว้เป็นเงินสดสำรอง ซึ่งจะมีประโยชน์ในกรณีมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หรือเมื่อธุรกิจประสบช่วงเวลาที่ยากลำบาก เงินสำรองนี้จะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นและความมั่นคงทางการเงินมากขึ้นในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ โดยไม่เกิดความตึงเครียดทางการเงินมากเกินไป

  • ตรวจสอบกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด
    ตรวจสอบกระแสเงินสดของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าสตาร์ทอัพของคุณมีสุขภาพทางการเงินที่ดี และปรับการใช้จ่ายตามความจำเป็น

  • นำผลกำไรที่ได้กลับไปลงทุนต่อในธุรกิจ
    หากสตาร์ทอัพของคุณเริ่มสร้างผลกำไรได้ ควรพิจารณานำกำไรส่วนใหญ่กลับไปลงทุนต่อในธุรกิจ การนำกำไรกลับมาลงทุนจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต และลดความจำเป็นในการพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกเพิ่มเติม

  • ขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
    อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ประสบการณ์และมุมมองของพวกเขาสามารถเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยให้คุณตัดสินใจทางการเงินได้อย่างรอบคอบ

  • เตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน
    มีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อจำเป็น สภาพแวดล้อมของสตาร์ทอัพมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และความสามารถในการปรับการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับผลตอบรับจากตลาดหรือโอกาสใหม่ ๆ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของคุณ

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas