ในช่วงแรกๆ ที่น่าตื่นเต้นของการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ การใช้เวลาทําการวิจัยตลาดอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่เสียเวลา การเริ่มต้นธุรกิจหรือธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่หมายถึงการมีรายการสิ่งที่ต้องทําจำนวนมาก มีงานที่ต้องทํามากมาย และดูเหมือนว่าจะต้องทําทุกอย่างให้เสร็จในทันที แต่การวิจัยตลาดเป็นวิธีการที่มีมอบจุดประสงค์ให้กับความวุ่นวายเหล่านี้ โดยเป็นงานที่ใช้เวลาและจะเปิดเผยทุกสิ่งที่คุณต้องทราบเพื่อจัดการรายการสิ่งที่ต้องทําที่เหลือด้วยทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่แท้จริง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรสละเวลาเพื่อดำเนินการ
นั่นเป็นเพราะการวิจัยตลาดจะสํารวจปัจจัยทั้งหมดที่ส่งผลต่อการมีอยู่ของบริษัทหนึ่งๆ ในโลก การวิจัยตลาดของคุณจะสร้างเนื้อหาที่ประกอบด้วยข้อมูลต่างๆ ที่ช่วยมอบบริบทให้สิ่งที่ธุรกิจแห่งใหม่ของคุณพยายามทํา นอกจากนี้ ยังเป็นการดำเนินการที่สำคัญที่สุดที่ธุรกิจรายย่อยหรือธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถทําได้ เพราะหากไม่เข้าใจตลาด ก็จะไม่สามารถวางแผนธุรกิจก็ได้อย่างชัดเจน
เมื่อทุกคนเห็นพ้องกันแล้วว่าการวิจัยตลาดเป็นสิ่งที่สําคัญมาก ตอนนี้เราจะมาพูดคุยกันว่าสิ่งนี้คืออะไรและมีวิธีดำเนินการอย่างไร
การวิจัยตลาดคืออะไร
โดยภาพรวมแล้ว การวิจัยตลาดเป็นแนวทางการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจและตลาดที่ดําเนินงาน กลยุทธ์การวิจัยตลาดสามารถดําเนินการผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง
ทําไมคุณจึงควรทําการวิจัยตลาด
การวิจัยตลาดจะบอกให้คุณทราบว่าธุรกิจของคุณมีความจําเป็นหรือไม่ รวมทั้งจะตอบคําถามต่อไปนี้
ตลาดเป้าหมายของคุณคือที่ไหน
คุณต้องระบุพื้นที่ตลาดที่คุณจะดำเนินงานก่อนที่จะสร้างธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ บริการ และการสื่อสารข้อความได้ ทุกอย่างจะเกี่ยวโยงกับปัจจัยนี้
ลูกค้าของคุณคือใคร
การทําความเข้าใจผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าถือเป็นสิ่งที่มีความหมายมากที่สุดที่คุณจะทําได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความตอบโจทย์ของผลิตภัณฑ์ในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกเริ่มของการทำธุรกิจ เมื่อวางแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือเมื่อขยายขอบเขตการเติบโต การสมมติตัวตนของลูกค้าที่เผยให้เห็นถึงความต้องการ ปัญหา ความสนใจ และจุดกระตุ้นของกลุ่มเป้าหมายหลักๆ ที่แบ่งตามกลุ่มประชากรจะช่วยให้คุณสร้างส่วนต่างๆ ของธุรกิจได้
คู่แข่งของคุณคือใคร
การวิจัยตลาดเป็นการทําความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับ 3 สิ่ง นั่นคือ คนที่คุณพยายามขายให้ ใครที่พยายามขายสิ่งที่คล้ายกัน และสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการจริงๆ การหาตําแหน่งในตลาดของคุณหมายถึงการจุดยืนที่แตกต่างกันในตลาดนั้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คุณจะสร้างแบรนด์และข้อเสนอที่มีเอกลักษณ์ได้ก็ต่อเมื่อทราบว่ามีคู่แข่งรายใดอยู่ในพื้นที่นั้นแล้ว
ลูกค้าเป้าหมายของคุณใช้อะไรอยู่ในขณะนี้
ผลิตภัณฑ์หรือบริการใดที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณชื่นชอบอยู่ในปัจจุบันและเพราะเหตุใด แบรนด์ต่างๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มหรือไม่ อะไรที่ทําให้แบรนด์เหล่านี้แตกต่าง ยิ่งทราบรายละเอียดมากขึ้นเท่าไร คุณก็สามารถเริ่มรวบรวมโมเดลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตลาดของคุณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โอกาสในตลาดของคุณอยู่ที่ใด
การวิจัยตลาดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดของคุณเท่านั้น แต่เป็นการสังเกตหาช่องว่าง ความต้องการหรือปัญหาใดในชีวิตของกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับการตอบโจทย์หรือแก้ไขให้ดีขึ้น
วิธีทําการวิจัยตลาดสําหรับบริษัทสตาร์ทอัพของคุณ
การทราบว่าการวิจัยตลาดเป็นเรื่องสําคัญมากเพียงใดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่คุณจะลงมือทำสิ่งนี้ได้อย่างไร
ระบุงบประมาณของคุณ
การเข้าถึงและขยายการวิจัยตลาดนั้นมีหลายวิธี การวิจัยบางรูปแบบใช้ความพยายามและต้นทุนต่ํา แต่ยังคงผลิตข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าอย่างมหาศาล ในขณะที่บางรูปแบบอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการดําเนินการเป็นอย่างมาก แต่อาจคุ้มค่ากับเป้าหมายเฉพาะของธุรกิจ
คุณอาจคุ้นเคยกับการจัดทำรายการข้อดีข้อเสียในเชิงงบประมาณภายในธุรกิจของคุณ และสิ่งนี้ก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงควรตรวจสอบเป้าหมาย ศึกษาผลลัพธ์ของการวิจัยตลาดประเภทต่างๆ ตรวจดูงบประมาณ แล้วค่อยเริ่มดำเนินการ
ระบุเป้าหมายการวิจัย
นอกเหนือจากเป้าหมายการวิจัยขั้นพื้นฐานที่จะพิจารณาว่าตลาดต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณหรือไม่ คุณยังควรระบุเป้าหมายการวิจัยเพิ่มเติมที่อาจมอบข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อทีมของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณอาจรู้ว่าผลิตภัณฑ์บางตัวของคู่แข่งขายดีในหมู่กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และคุณก็ต้องการหาเหตุผลผ่านการวิจัยตลาด
วางแผน
การวิจัยตลาดแบ่งออกเป็น 2 หมวดหมู่หลักๆ ได้แก่ การวิจัยแบบปฐมภูมิและการวิจัยแบบทุติยภูมิ แต่ละรูปแบบเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นวิธีวิจัยที่แตกต่างกัน สิ่งที่คุณตัดสินใจจะทํานั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณและกำหนดเวลาของคุณ เนื่องจากบางวิธีอาจใช้เวลาดําเนินการนานกว่าและต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่า
การวิจัยแบบปฐมภูมิ
การวิจัยแบบปฐมภูมิเกี่ยวข้องกับการได้รับข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้า บุคคลในกลุ่มเป้าหมายหลัก หรือแหล่งข้อมูลหลักอื่นๆ โดยตรง การวิจัยประเภทนี้ยังจัดได้เป็น 2 ประเภท นั่นคือ การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ:
การวิจัยเชิงคุณภาพเน้นความคิดเห็นที่เจาะลึกของแต่ละบุคคล โดยเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการได้รับข้อมูลเชิงลึกจํานวนมาก แม้ว่าจะไม่ได้มอบข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับตลาดหรือธุรกิจของคุณ วิธีการต่างๆ ประกอบด้วย:
- การสัมภาษณ์แบบรายบุคคล
- กลุ่มโฟกัส
- รีวิวจากลูกค้าปัจจุบัน
- การศึกษาด้านชาติพันธุ์วิทยา
การวิจัยเชิงปริมาณ:
การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณคือการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข วิธีนี้มีจุดมุ่งหมายในการสร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีนัยสําคัญทางสถิติ ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัว ตัวอย่างของการวิจัยเชิงปริมาณประกอบด้วย:
- แบบสำรวจ
- แบบสอบถาม
การวิจัยแบบทุติยภูมิ
การวิจัยแบบทุติยภูมิอาศัยการวิเคราะห์การศึกษาในอดีตที่ทีมของคุณไม่ได้สร้างขึ้นหรือดําเนินการเอง ตัวอย่างเช่น
- ฐานข้อมูลสาธารณะ
- การศึกษาที่มีการเผยแพร่ข้อมูล
- การวิจัยจากสถาบัน
ใช้สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้
ไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการวิจัยตลาด คุณก็ควรนำข้อมูลที่ค้นพบไปดำเนินการ ซึ่งหมายถึงการเปิดเผยข้อมูลให้ทุกคนในบริษัทนำไปใช้งานได้ และมีการนำไปใช้เป็นกรอบการดำเนินงานสําหรับการพัฒนากลยุทธ์ด้านการตลาด การขาย และผลิตภัณฑ์
ทําไมการวิจัยตลาดจึงสําคัญต่อธุรกิจสตาร์ทอัพ
ยิ่งคุณทําการวิจัยตลาดสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเท่านั้น หากคุณทราบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น (และยังไม่เกิดขึ้น) ในพื้นที่ของคุณของตลาดตั้งแต่เนิ่นๆ ในการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ ก็จะถือเป็นข้อได้เปรียบที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
ปรับแผนแผนงานให้เข้ากับโอกาสในการทําตลาด
คุณสามารถใช้แผนกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยระบุโอกาสด้านตลาดที่ทราบได้
หลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากร
หากไม่มีงานวิจัยตลาดที่เพียงพอ คุณอาจพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง หรือคล้ายกับสิ่งที่คู่แข่งนำเสนอ การทําการวิจัยตลาดล่วงหน้าจะลดโอกาสในการเกิดเหตุการณ์นี้
สร้างความประทับใจให้นักลงทุนด้วยความรู้เกี่ยวกับตลาดของคุณ
นักลงทุนจะประทับใจในความรู้เกี่ยวกับตลาดของคุณ ผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มดําเนินงานมักจะขอเงินทุนจากนักลงทุนโดยอิงตามความเข้าใจเงื่อนไขและโอกาสในตลาด เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพเหล่านั้นยังไม่สามารถแสดงข้อมูลประสิทธิภาพและการเติบโตได้ ยิ่งคุณรู้จักพื้นที่ที่กำลังจะเข้าไปที่ส่วนร่วมมากเท่าไร นักลงทุนก็ยิ่งมีแนวโน้มที่อยากจะสนับสนุนคุณมากขึ้นเท่านั้น
Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก
เข้าร่วมกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Y Combinator, a16z และ General Catalyst
การสมัครใช้งาน Atlas
การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน
การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้
การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ
การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe
เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง รวมถึงส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe รวมถึงการประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ