หนึ่งในการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ธุรกิจสตาร์ทอัพจะต้องทำคือการเลือกว่าจะระดมทุนจากที่ใด ซึ่งมีตัวเลือกมากมาย เช่น การใช้เงินทุนของตนเอง, เงินช่วยเหลือ, การระดมทุนจากมวลชน, เงินกู้ และเงินทุนจากนักลงทุนภายนอก แหล่งเงินทุนแต่ละแหล่งอาจเหมาะสมกับธุรกิจสตาร์ทอัพบางประเภทมากกว่าประเภทอื่นๆ หรือสำหรับระยะที่เฉพาะเจาะจงของธุรกิจสตาร์ทอัพ แหล่งเงินทุนยอดนิยมสองแห่ง ได้แก่ นักลงทุนอิสระและบริษัทร่วมลงทุน
เมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกการระดมทุนประเภทใด สิ่งสำคัญคือจะต้องเข้าใจความเหมือนและความต่างระหว่างนักลงทุนอิสระและบริษัทร่วมลงทุน ด้านล่างนี้เราจะอภิปรายว่านักลงทุนอิสระและบริษัทร่วมลงทุนคือใคร, ผู้ลงทุนเหล่านี้มักจะทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพประเภทใด, เปรียบเทียบกันได้อย่างไร และธุรกิจสตาร์ทอัพควรพิจารณาอะไรบ้างเมื่อตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับผู้ลงทุนเหล่านี้หรือไม่
เนื้อหาหลักในบทความนี้
- นักลงทุนอิสระคือใคร
- นักลงทุนอิสระทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพประเภทใดบ้าง
- บริษัทร่วมลงทุนคือใคร
- บริษัทร่วมลงทุนทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพประเภทใดบ้าง
- นักลงทุนอิสระเทียบกับบริษัทร่วมลงทุน: ความเหมือนและความต่าง
- ข้อควรพิจารณาด้านกฎหมายและการเงินของการลงทุนโดยนักลงทุนอิสระเทียบกับการร่วมลงทุน
- ผลกระทบระยะยาวของการลงทุนโดยนักลงทุนอิสระเทียบกับการร่วมลงทุน
- วิธีเลือกประเภทนักลงทุนที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ
นักลงทุนอิสระคือใคร
นักลงทุนอิสระคือบุคคลผู้มั่งคั่งที่ให้เงินทุนแก่บริษัทสตาร์ทอัพ โดยทั่วไปจะแลกกับกรรมสิทธิหุ้นหรือหนี้แปลงสภาพ พวกเขามักเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จหรือผู้บริหารธุรกิจที่เกษียณแล้ว และมีประสบการณ์มากมายรวมถึงมีมูลค่าสุทธิสูง
โดยปกตินักลงทุนอิสระจะลงทุนในระยะเริ่มต้น ซึ่งมักจะเป็นช่วงเริ่มต้น (seed) หรือช่วงก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวเลือกทางการเงินแบบดั้งเดิมมีจำกัด ขนาดการลงทุนมีตั้งแต่ไม่กี่พันไปจนถึงหลายล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับทรัพยากรของนักลงทุนและความต้องการของธุรกิจ
ข้อดี
การให้คำปรึกษาและประสบการณ์: นักลงทุนอิสระมักจะมีประสบการณ์อันมีค่าในอุตสาหกรรม โดยให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์และการปรึกษาแก่ผู้ประกอบการที่พวกเขาสนับสนุน คำแนะนำนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทในระยะเริ่มต้นที่กำลังเรียนรู้โลกธุรกิจ
ความยืดหยุ่น: เมื่อเทียบกับบริษัทร่วมลงทุนแบบดั้งเดิม โดยทั่วไปนักลงทุนอิสระจะมีแนวทางการลงทุนที่ยืดหยุ่นกว่า การตัดสินใจมักจะขึ้นอยู่กับความสนใจส่วนตัวและความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการ ซึ่งช่วยให้มีเงื่อนไขการลงทุนที่ปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น
ข้อจำกัด
จำนวนเงินทุน: เงินทุนที่นักลงทุนอิสระให้โดยทั่วไปจะต่ำกว่าที่บริษัทร่วมลงทุนสามารถเสนอให้ได้ ข้อจำกัดนี้อาจเป็นอุปสรรคสำหรับธุรกิจที่มีความต้องการเงินทุนสูงหรือต้องการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว
ทรัพยากรและเครือข่าย: แม้ว่านักลงทุนอิสระมักจะมีประสบการณ์และเครือข่ายที่สำคัญ แต่อาจไม่มีทรัพยากรหรือเครือข่ายความสัมพันธ์ในระดับเดียวกับบริษัทร่วมลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจำกัดโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพและการสร้างเครือข่าย
นักลงทุนอิสระทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพประเภทใดบ้าง
นักลงทุนอิสระอาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพหลายประเภท แต่โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนกลุ่มนี้จะทำงานร่วมกับบริษัทในระยะเริ่มต้น กลุ่มนักลงทุนอิสระได้ลงทุนประมาณ 950 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกว่า 1,000 บริษัทในปี 2021 ซึ่งคิดเป็นการลงทุนต่อกลุ่มเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2020 ต่อไปนี้คือภาพรวมของคุณลักษณะของธุรกิจสตาร์ทอัพประเภทต่างๆ ที่นักลงทุนอิสระมักจะทำงานร่วมด้วยบ่อยที่สุด
ระยะเริ่มต้น: โดยทั่วไปนักลงทุนอิสระจะให้เงินทุนแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น โดยให้เงินทุนตั้งต้นเพื่อให้ทีมสามารถสร้างธุรกิจและ/หรือผลิตภัณฑ์ได้
ศักยภาพในการเติบโตสูง: แผนการเติบโตของรายได้ที่สมจริงแต่ท้าทายจะแสดงให้นักลงทุนอิสระเห็นว่าบริษัทเข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจและมีแผนที่จะเติบโตให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โอกาสทางการตลาด: นักลงทุนอิสระกำลังมองหาโอกาสที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูง ซึ่งโดยทั่วไปหมายความว่าธุรกิจสตาร์ทอัพจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการที่สำคัญของตลาดและมีแผนที่จะครองส่วนแบ่งส่วนใหญ่ของตลาดนั้น
การสร้างฐานลูกค้าในระยะแรก: ธุรกิจสตาร์ทอัพที่แสดงให้เห็นสัญญาณของการสร้างฐานลูกค้าในระยะแรกจะเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนอิสระซึ่งอาจรวมถึงการมีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หรือผลิตภัณฑ์รุ่นเบต้าที่มีแวว
ทีมผู้บริหารที่มีทักษะ: ผู้ก่อตั้งและทีมผู้บริหารที่มีทักษะและมีแรงผลักดันเป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนอิสระต้องการทราบว่าทีมสามารถดำเนินการตามแผนธุรกิจของตนได้
เส้นทางสู่ความสามารถในการทำกำไร: แผนธุรกิจที่รวมถึงวิธีที่ธุรกิจสตาร์ทอัพจะสามารถทำกำไรได้ในที่สุดสามารถดึงดูดนักลงทุนอิสระได้
กลยุทธ์การขายกิจการ: นักลงทุนอิสระให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การขายกิจการที่ชัดเจน (ในรูปแบบของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะหรือการถูกเข้าซื้อกิจการ) เนื่องจากการขายกิจการคือวิธีจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในท้ายที่สุด
การมุ่งเน้นการลงทุนที่ตรงกัน: นักลงทุนอิสระบางรายมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น ความยั่งยืนหรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) และให้เงินทุนแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่สอดคล้องกับความสนใจของตนเท่านั้น
บริษัทร่วมลงทุนคือใคร
บริษัทร่วมลงทุน (VC) คือบริษัทลงทุนมืออาชีพที่ให้เงินทุนแก่บริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยปกติแล้วจะแลกกับหุ้นของบริษัท บริษัทร่วมลงทุนจะระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ, บรรษัท, บุคคลผู้มั่งคั่ง และเงินบริจาค โดยทั่วไปแล้วบริษัทเหล่านี้จะบริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในการระบุธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีแวว, การดำเนินการตรวจสอบสถานะกิจการ และการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่การลงทุนของตน
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทร่วมลงทุนจะลงทุนในธุรกิจที่พ้นจากระยะเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งมักจะเป็นช่วงการระดมทุนSeries Aและรอบต่อๆ ไป บริษัทเหล่านี้สนใจในบริษัทที่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในระดับหนึ่งแล้วหรือมีศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่ง การลงทุนโดยบริษัทร่วมลงทุน โดยทั่วไปจะมีมูลค่าสูงกว่าจากนักลงทุนอิสระอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ไม่กี่ล้านไปจนถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ และบางครั้งก็สูงกว่านั้น
ข้อดี
เงินทุนจำนวนมาก: บริษัทร่วมลงทุนสามารถให้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การสนับสนุนทางการเงินนี้สามารถช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ, การขยายตลาด และการเติบโตของทีมได้
ทรัพยากรและเครือข่ายที่กว้างขวาง: บริษัทร่วมลงทุนยังนำมาซึ่งเครือข่ายที่กว้างขวาง, เครือข่ายในอุตสาหกรรม และความเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถช่วยในการสรรหาพนักงานคนสำคัญ, การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการเข้าถึงเงินทุนเพิ่มเติมได้
ข้อจำกัด
ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น: บริษัทร่วมลงทุนมีกระบวนการตรวจสอบสถานะกิจการและเกณฑ์การลงทุนที่เข้มงวดกว่า บริษัทที่ต้องการเงินทุนจากการร่วมลงทุนจะต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งในการสร้างผลตอบแทนสูง, โมเดลธุรกิจที่ปรับขนาดได้ และทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง
การสูญเสียอำนาจควบคุมที่อาจเกิดขึ้น: เพื่อแลกกับการลงทุนจำนวนมาก บริษัทร่วมลงทุนมักจะต้องการสัดส่วนหุ้นที่สำคัญและบางครั้งก็ต้องการตำแหน่งในคณะกรรมการของบริษัท ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจควบคุมสำหรับผู้ก่อตั้งดั้งเดิม เนื่องจากบริษัทร่วมลงทุนอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ
บริษัทร่วมลงทุนทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพประเภทใดบ้าง
ภาคบริษัทร่วมลงทุนมีขนาดใหญ่และหลากหลาย การร่วมลงทุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 347 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็นสถิติสูงสุดที่ 671 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกว่า 38,600 ดีลในปี 2021 กองทุนจากการร่วมลงทุนแต่ละแห่งมีขอบเขตการลงทุนที่มุ่งเน้นของตนเอง ซึ่งอาจกำหนดโดยระยะของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ลงทุน, ภาคส่วนหรือตลาดที่ดำเนินงาน หรือตัวตนของผู้ก่อตั้ง โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างเหล่านี้ ต่อไปนี้คือลักษณะทั่วไปของธุรกิจสตาร์ทอัพที่บริษัทร่วมลงทุนมักจะทำงานร่วมด้วย
โมเดลธุรกิจหรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย: ธุรกิจสตาร์ทอัพที่นำเสนอโซลูชันที่พลิกโฉมวงการ, เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ หรือโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์เป็นที่ต้องการอย่างมาก บริษัทเหล่านี้มักจะตอบสนองความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองในตลาด หรือปฏิวัติวิธีการทำธุรกิจที่มีอยู่เดิม
ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ปรับขนาดได้: ศักยภาพในการขยายตัวเป็นสิ่งสำคัญ VC มองหาธุรกิจสตาร์ทอัพที่สามารถขยายการดำเนินงานและรายรับได้อย่างมีนัยสำคัญโดยไม่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน
ศักยภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่ง: ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ดำเนินงานในตลาดขนาดใหญ่หรือเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นที่น่าสนใจสำหรับบริษัทร่วมลงทุน ตลาดขนาดใหญ่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนจำนวนมาก
ความได้เปรียบทางการแข่งขัน: บริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ชัดเจน เช่น เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์, สิทธิบัตร หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร เป็นที่น่าสนใจ ความได้เปรียบนี้ควรเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่ง
ทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และทักษะ: ทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง, มีประสบการณ์ และมีความมุ่งมั่นมักเป็นปัจจัยสำคัญ บริษัทร่วมลงทุนลงทุนในทีมที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม, ประสบการณ์ในการเป็นผู้ประกอบการ และประวัติความสำเร็จ
หลักฐานการสร้างฐานลูกค้า: ธุรกิจสตาร์ทอัพที่แสดงให้เห็นถึงการสร้างฐานลูกค้าในระดับหนึ่ง เช่น ฐานลูกค้าที่เติบโตขึ้น, การเติบโตของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จ มีแนวโน้มที่จะดึงดูดความสนใจของ VC มากขึ้น
เส้นทางสู่ความสามารถในการทำกำไรที่ชัดเจน: แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรในทันทีจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเสมอไป แต่ควรมีแผนที่ชัดเจนและเป็นไปได้สำหรับการบรรลุความสามารถในการทำกำไรในอนาคต
ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูง: บริษัทร่วมลงทุนแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยมักมองหาโอกาสที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้หลายเท่าของการลงทุนครั้งแรก
กลยุทธ์การขายกิจการ: กลยุทธ์การขายกิจการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เช่น การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) หรือการถูกเข้าซื้อกิจการ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ VC เนื่องจากเป็นการระบุว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในท้ายที่สุดอย่างไร
ความสอดคล้องกับการมุ่งเน้นการลงทุน: VC หลายแห่งมีธีมหรือภาคส่วนที่เฉพาะเจาะจงที่พวกเขามุ่งเน้น เช่น การดูแลสุขภาพ, เทคโนโลยี, พลังงานสะอาด หรือการลงทุนในระยะเริ่มต้น ธุรกิจสตาร์ทอัพที่สอดคล้องกับขอบเขตการลงทุนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนมากขึ้น
นักลงทุนอิสระเทียบกับบริษัทร่วมลงทุน: ความเหมือนและความต่าง
ทั้งนักลงทุนอิสระและบริษัทร่วมลงทุนมีเป้าหมายร่วมกันในการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะรับความเสี่ยงในกิจการใหม่ๆ และให้คำแนะนำ, ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายความสัมพันธ์ พวกเขามีบทบาทสำคัญในระยะต่างๆ ของการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยมีส่วนร่วมในการพัฒนาธุรกิจและเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม ต่อไปนี้คือภาพรวมของความเหมือนและความต่าง
ขนาดและช่วงเวลาของการลงทุน
นักลงทุนอิสระ: โดยทั่วไปนักลงทุนอิสระจะให้เงินทุนในระยะแรกๆ ของธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น (seed) หรือในระยะแนวคิด จำนวนเงินลงทุนมักจะน้อยกว่า โดยมีตั้งแต่ไม่กี่พันถึงไม่กี่ล้านดอลลาร์ พวกเขามักจะเติมเต็มช่องว่างระหว่างเงินทุนเริ่มต้นจากเพื่อนและครอบครัวกับการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่า
บริษัทร่วมลงทุน: บริษัทร่วมลงทุนมีแนวโน้มที่จะลงทุนในระยะหลัง เช่น Series A และรอบต่อๆ ไป เมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพได้แสดงให้เห็นถึงการสร้างฐานลูกค้าในตลาดหรือศักยภาพในการดำเนินธุรกิจแล้ว จำนวนเงินลงทุนจะสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยมักมีตั้งแต่หลายล้านถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงฐานเงินทุนที่ใหญ่กว่าของบริษัทร่วมลงทุนและการมุ่งเน้นไปที่การขยายขนาดธุรกิจที่มีศักยภาพที่มั่นคงแล้ว
วิธีการตัดสินใจลงทุน
นักลงทุนอิสระ: การตัดสินใจของพวกเขามักจะเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นอัตวิสัยมากกว่า นักลงทุนอิสระอาจต้องอาศัยวิจารณญาณส่วนตัว, ความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการ และศักยภาพของแนวคิดเป็นอย่างมาก กระบวนการมักจะมีความเป็นทางการน้อยกว่า และมักจะตัดสินใจได้เร็วกว่า
บริษัทร่วมลงทุน: โดยทั่วไปบริษัท บริษัทร่วมลงทุนจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีโครงสร้างและเข้มงวดมากกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบสถานะกิจการอย่างละเอียด, การวิเคราะห์ตลาด, การประเมินโมเดลธุรกิจ และการพิจารณาศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ การตัดสินใจจะทำโดยทีมหรือคณะกรรมการ แทนที่จะเป็นบุคคลเดียว
การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและการให้คำปรึกษา
นักลงทุนอิสระ: นักลงทุนกลุ่มนี้มักจะมีส่วนร่วมในการดำเนินงานในธุรกิจที่ลงทุนมากกว่า โดยให้คำแนะนำและการปรึกษา และใช้ประสบการณ์และเครือข่ายของตนเพื่อช่วยเหลือธุรกิจสตาร์ทอัพ การมีส่วนร่วมของนักลงทุนอิสาระมักเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า และอาจเป็นกุญแจสำคัญในระยะแรกของธุรกิจ
บริษัทร่วมลงทุน: แม้ว่าจะมีส่วนร่วมในธุรกิจที่ลงทุนเช่นกัน แต่บริษัทร่วมลงทุนอาจไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานมากเท่านักลงทุนอิสระ การมีส่วนร่วมของพวกเขามักจะเป็นผ่านการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์และการใช้เครือข่ายที่กว้างขวางเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ, การเป็นพันธมิตร และการระดมทุนเพิ่มเติม พวกเขายังอาจต้องการตำแหน่งในคณะกรรมการ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ
ข้อควรพิจารณาด้านกฎหมายและการเงินของการลงทุนโดยนักลงทุนอิสระเทียบกับการร่วมลงทุน
การยอมรับการลงทุนจากภายนอกจากแหล่งใดก็ตามมักมีข้อควรพิจารณาด้านกฎหมายและการเงิน ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทราบ
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมสิทธิหุ้นและการลดสัดส่วนหุ้น
เมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพยอมรับเงินทุนจากนักลงทุนอิสระหรือบริษัทร่วมลงทุนก็มักจะออกหุ้นให้แก่นักลงทุนเหล่านี้ ซึ่งนำไปสู่การลดสัดส่วนหุ้น ซึ่งหมายความว่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นเดิมจะลดลง ผลกระทบของการลดสัดส่วนหุ้นนี้จะแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการลงทุนโดยนักลงทุนอิสระกับการร่วมลงทุน
การลงทุนโดยนักลงทุนอิสระ: เนื่องจากนักลงทุนอิสระมักจะเข้ามาลงทุนในระยะแรก กรรมสิทธิหุ้นที่นักลงทุนกลุ่มนี้ได้รับจึงอาจมีนัยสำคัญมากเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ลงทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพในระยะแรก ผู้ก่อตั้งควรคำนึงถึงจำนวนกรรมสิทธิหุ้นที่มอบให้ในรอบแรกๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการลดสัดส่วนหุ้นมากเกินไปในรอบการระดมทุนครั้งถัดๆ ไป
การร่วมลงทุน: บริษัท VC มักจะลงทุนในจำนวนเงินที่สูงกว่าและอาจต้องการสัดส่วนหุ้นที่สำคัญ แต่เนื่องจากบริษัทร่วมลงทุนมักจะเข้ามามีส่วนร่วมในระยะหลัง เมื่อมูลค่าของบริษัทสูงขึ้น การลดสัดส่วนหุ้นต่อดอลลาร์ที่ลงทุนอาจต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโดยนักลงทุนอิสระ อย่างไรก็ตาม รอบการระดมทุนที่ต่อเนื่องกับ VC อาจนำไปสู่การลดสัดส่วนหุ้นของผู้ก่อตั้งได้อย่างมีนัยสำคัญ
ธุรกิจสตาร์ทอัพต้องวางแผนโครงสร้างกรรมสิทธิหุ้นอย่างรอบคอบ และทำความเข้าใจว่าการลงทุนแต่ละรอบส่งผลต่อความเป็นเจ้าของและการควบคุมโดยรวมอย่างไร
การเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสถานะกิจการ
ทั้งนักลงทุนอิสระและบริษัทร่วมลงทุนจะดำเนินการตรวจสอบสถานะกิจการก่อนที่จะสรุปการลงทุน แต่ความลึกและขอบเขตอาจแตกต่างกันไป
นักลงทุนอิสระ: กระบวนการตรวจสอบสถานะกิจการสำหรับนักลงทุนอิสระมักจะมีความเข้มงวดน้อยกว่าของการร่วมลงทุน ซึ่งอาจมุ่งเน้นไปที่ประวัติของผู้ก่อตั้ง, ศักยภาพของแนวคิดทางธุรกิจ และสถานะทางการเงินขั้นพื้นฐาน แต่นักลงทุนอิสระยังคงต้องการให้เอกสารทางกฎหมายและการเงินมีความเรียบร้อย รวมถึงเอกสารการจดทะเบียนบริษัท, สิทธิบัตรหรือเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา และบันทึกทางการเงินขั้นพื้นฐาน
การร่วมลงทุน: การตรวจสอบสถานะกิจการของ VC นั้นครอบคลุมและเป็นทางการมากกว่า ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจของบริษัท, ศักยภาพทางการตลาด, ภาพรวมการแข่งขัน, การคาดการณ์ทางการเงิน, โครงสร้างทางกฎหมาย และการกำกับดูแล กระบวนการนี้มักจะมีทีมกฎหมายและผู้สอบบัญชีทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ธุรกิจสตาร์ทอัพจะต้องเตรียมพร้อมด้วยแผนธุรกิจโดยละเอียด, งบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว, การวิเคราะห์ตลาดโดยละเอียด, หลักฐานการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา, สัญญาของลูกค้า และโครงร่างประวัติของทีมผู้บริหาร
การพิจารณาการเตรียมการด้านกฎหมายและการเงินอื่นๆ
มีการเตรียมการด้านกฎหมายและการเงินเพิ่มเติมสำหรับการรับเงินลงทุน ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญหลายประการ
การจัดการตารางสรุปข้อมูลผู้ถือหุ้น: การดูแลรักษาตารางสรุปข้อมูลผู้ถือหุ้นที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะแสดงรายละเอียดความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิหุ้นทั้งหมด, หลักทรัพย์แปลงสภาพ และสิทธิซื้อหุ้น ความชัดเจนนี้จำเป็นสำหรับรอบการระดมทุนในปัจจุบันและอนาคต
การกำกับดูแลกิจการ: การสร้างแนวปฏิบัติในการกำกับดูแลกิจการที่ดีตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการ, การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบ และการรับรองการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ
ข้อตกลงการลงทุน: ธุรกิจสตาร์ทอัพต้องเจรจาและตรวจสอบเอกสารสรุปข้อตกลงเบื้องต้น, ข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้น และเอกสารทางกฎหมายอื่นๆ ที่กำหนดเงื่อนไขของการลงทุนอย่างรอบคอบ เงื่อนไขเหล่านี้รวมถึงการประเมินมูลค่า, สิทธิ์ในการกำกับดูแล, สิทธิในการชำระหนี้ก่อน, ข้อกำหนดเพื่อป้องกันการลดสัดส่วนหุ้น และสถานการณ์การขายกิจการ
สัญญาจ้างงานและสิทธิซื้อหุ้น: สร้างสัญญาจ้างงานที่ชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับบุคลากรคนสำคัญ และแผนสิทธิซื้อหุ้นที่กำหนดไว้อย่างดีสำหรับพนักงาน เนื่องจากนักลงทุนมักจะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียดในระหว่างการตรวจสอบสถานะกิจการ
ผลกระทบระยะยาวของการลงทุนโดยนักลงทุนอิสระเทียบกับการร่วมลงทุน
แม้แต่ในช่วงแรกๆ ของธุรกิจสตาร์ทอัพ การตัดสินใจเลือกระดมทุนก็อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของธุรกิจในอีกหลายปีข้างหน้าได้ ต่อไปนี้คือผลกระทบบางส่วนที่คุณควรทราบก่อนที่จะยอมรับการลงทุนจากใครก็ตาม
ทิศทางการเติบโตและรอบการระดมทุนในอนาคต
ผลกระทบของการระดมทุนครั้งแรก
ประเภทและแหล่งที่มาของเงินทุนเริ่มต้นอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางการเติบโตและความน่าดึงดูดใจของธุรกิจสตาร์ทอัพในรอบการระดมทุนในอนาคต เนื่องจากโดยทั่วไป การลงทุนโดยนักลงทุนอิสระมีขนาดเล็กกว่าและเกิดขึ้นเร็วกว่า อาจสอดคล้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพในระยะแรกที่มุ่งเน้นการพิสูจน์แนวคิดหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะเริ่มต้นได้ดีกว่า ในทางกลับกัน การร่วมลงทุนจะมีมูลค่าสูงกว่าและมักจะมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่พร้อมที่จะขยายการดำเนินงานและการเข้าถึงตลาดโอกาสในการระดมทุนในอนาคต
การลงทุนโดยนักลงทุนอิสระอาจเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับนักลงทุนในอนาคต เนื่องจากเป็นการบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจสตาร์ทอัพตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ได้รับทุนสนับสนุนหลักจากนักลงทุนอิสระอาจต้องแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าที่สำคัญเพื่อดึงดูดการร่วมลงทุนในภายหลัง เนื่องจากโดยปกติแล้ว VC จะมองหาการดำเนินงานที่มั่นคงและการพิสูจน์ตลาดที่ชัดเจนกว่า การได้รับเงินทุนจากการร่วมลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถเปิดประตูไปสู่นักลงทุน VC ที่มีชื่อเสียงรายอื่นๆ ได้ แต่ก็เป็นการตั้งมาตรฐานที่สูงสำหรับการเติบโตและผลการดำเนินงาน
กลยุทธ์การขายกิจการและความคาดหวังของนักลงทุน
ความคาดหวังเกี่ยวกับสถานการณ์การขายกิจการที่แตกต่างกัน
นักลงทุนอิสระและบริษัทร่วมลงทุนมีความคาดหวังที่แตกต่างกันเกี่ยวกับกลยุทธ์การขายกิจการ นักลงทุนอิสระอาจมีความอดทนมากกว่าเกี่ยวกับระยะเวลาและลักษณะของการขายกิจการ เนื่องจากจำนวนเงินลงทุนของนักลงทุนอิสระมักจะน้อยกว่า และอาจพึงพอใจกับผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนักในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ในขณะที่บริษัทร่วมลงทุน ซึ่งลงทุนด้วยเงินจำนวนมากและต้องรับผิดชอบต่อนักลงทุนของตนเอง โดยทั่วไปมักจะต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า และอาจผลักดันให้เกิดการขายกิจการในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) หรือการเข้าซื้อกิจการ ภายในกรอบเวลาที่กำหนดผลกระทบของกลยุทธ์การขายกิจการ
กลยุทธ์การขายกิจการที่เลือกมีผลกระทบที่สำคัญต่อธุรกิจสตาร์ทอัพ การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) อาจนำมาซึ่งเงินทุนจำนวนมากและการเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็มาพร้อมกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ การเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อาจให้ผลตอบแทนที่สำคัญและทันทีแก่นักลงทุน แต่อาจหมายถึงการสูญเสียความเป็นอิสระของธุรกิจสตาร์ทอัพได้เช่นกัน บริษัทร่วมลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งในคณะกรรมการ อาจนำพาธุรกิจสตาร์ทอัพไปสู่กลยุทธ์การขายกิจการที่ดุดันมากขึ้นการปรับความคาดหวังของนักลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ
ธุรกิจสตาร์ทอัพต้องปรับความคาดหวังของนักลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจระยะยาว การเลือกนักลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งเป็นผู้ที่มีกรอบเวลาในการขายกิจการและกลยุทธ์ที่คาดหวังตรงกับวิสัยทัศน์ของธุรกิจสตาร์ทอัพ อาจเป็นสิ่งสำคัญเท่ากับจำนวนเงินที่นำมาลงทุน
วิธีเลือกประเภทนักลงทุนที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทั้งหมดนี้แล้ว ต่อไปนี้คือวิธีตัดสินใจว่านักลงทุนประเภทใดเหมาะสมที่สุดที่จะทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพ
การประเมินระยะและความต้องการของธุรกิจสตาร์ทอัพ
ทำความเข้าใจระยะของธุรกิจ
ขั้นตอนแรกคือการทำความเข้าใจอย่างชัดเจนถึงระยะที่ธุรกิจสตาร์ทอัพอยู่ในขณะนี้ อยู่ในระยะแนวคิด ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและโมเดลธุรกิจยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรือไม่ หรืออยู่ในระยะที่สูงขึ้น โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้และมีการพิสูจน์ตลาดแล้วบางส่วน โดยทั่วไปนักลงทุนอิสระจะเหมาะสมกับระยะแรกๆ มากกว่า ในขณะที่บริษัทร่วมลงทุนจะเข้ามาในระยะหลัง ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การขยายขนาดธุรกิจระบุความต้องการด้านการสนับสนุนและเงินทุน
พิจารณาประเภทและจำนวนของการสนับสนุนและเงินทุนที่ธุรกิจสตาร์ทอัพต้องการ หากคุณต้องการเงินทุนจำนวนไม่มากและให้ความสำคัญกับการให้คำปรึกษาและเครือข่ายความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม นักลงทุนอิสระอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม สำหรับความต้องการเงินทุนที่มากขึ้น, การเติบโตที่มีโครงสร้าง และการขยายตลาดการร่วมลงทุนจะเหมาะสมกว่า พิจารณาถึงระยะเวลาที่เงินทุนจะใช้ได้ (runway) และหลักไมล์ที่คุณคาดว่าจะบรรลุได้ภายในช่วงเวลานั้น
ความเข้ากันได้กับความคาดหวังของนักลงทุน
การปรับเป้าหมายให้สอดคล้องกับนักลงทุน
นักลงทุนแต่ละรายมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน นักลงทุนอิสระอาจสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ตนมีความสนใจเป็นพิเศษและอาจพึงพอใจกับผลตอบแทนในระดับปานกลางในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทร่วมลงทุนต้องรับผิดชอบต่อนักลงทุนของตนเองและโดยทั่วไปมักจะต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะเวลาที่สั้นกว่า คุณต้องทำความเข้าใจเป้าหมายเหล่านี้และตรวจสอบให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกรอบเวลาของธุรกิจสตาร์ทอัพกำหนดระดับการมีส่วนร่วมที่เหมาะสม
ระดับของการให้คำปรึกษาที่คุณต้องการจากนักลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง หากคุณต้องการคำแนะนำเชิงปฏิบัติ นักลงทุนอิสระที่ยินดีให้คำปรึกษาและมีเวลาทุ่มเทให้อาจมีประโยชน์มากกว่า แม้ว่า บริษัทร่วมลงทุนจะมอบเครือข่ายและความเชี่ยวชาญที่มีค่า แต่อาจไม่ได้ให้คำปรึกษาส่วนบุคคลในระดับเดียวกัน แต่พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจได้พิจารณาความเป็นพันธมิตรในระยะยาว
พิจารณาผลกระทบในระยะยาวของการเป็นพันธมิตรกับนักลงทุน นักลงทุนสามารถให้เงินทุนในรอบถัดไปได้หรือไม่ ความคาดหวังเกี่ยวกับกลยุทธ์การขายกิจการของนักลงทุนสอดคล้องกับของคุณหรือไม่ การมีส่วนร่วมของพวกเขาจะกำหนดวัฒนธรรมและการตัดสินใจในธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณอย่างไร เมื่อทำงานร่วมกับนักลงทุน ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสร้างความร่วมมือที่สามารถรักษาและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจของคุณในระยะยาวได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเท่านั้น และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับรองความถูกต้อง, ความสมบูรณ์, ความเพียงพอ หรือความทันสมัยของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคำแนะนำจากทนายความหรือนักบัญชีผู้มีความสามารถที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพในเขตอำนาจศาล เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะ
Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst
การสมัครใช้งาน Atlas
การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน
การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้
การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ
การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe
เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ