How to make a marketing budget for your startup

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. เหตุใดงบประมาณการตลาดจึงมีความสำคัญต่อสตาร์ทอัพ
  3. วิธีจัดทำงบประมาณการตลาดสำหรับสตาร์ทอัพ
    1. ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของสตาร์ทอัพ
    2. กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการตลาด
    3. วิจัยต้นทุนและช่องทางการตลาด
    4. จัดสรรงบประมาณให้กับกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ
    5. วางแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
    6. ติดตามตรวจสอบและปรับงบประมาณการตลาดของคุณ
  4. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับงบประมาณการตลาดของสตาร์ทอัพ
  5. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

งบประมาณการตลาดคือแผนทางการเงินที่เป็นแนวทางในการทำการตลาดของธุรกิจ โดยจะระบุจำนวนเงินที่บริษัทตั้งใจจะใช้จ่ายในการทำกิจกรรมทางการตลาดในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งโดยปกติคือหนึ่งปี งบประมาณนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่หลากหลาย รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การโฆษณา เงินเดือนพนักงานการตลาด การวิจัยตลาด กิจกรรมส่งเสริมการขาย การพัฒนาเว็บไซต์ และแคมเปญบนโซเชียลมีเดีย

งบประมาณการตลาดเป็นพิมพ์เขียวที่ครอบคลุมซึ่งสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนกับการเติบโตที่คาดหวัง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้ไปควรมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายใหญ่ของบริษัท เช่น เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ เพิ่มยอดขาย หรือขยายตลาดใหม่ๆ

การจัดทำงบประมาณการตลาดต้องพิจารณาหลายปัจจัยอย่างรอบคอบ และมุ่งมั่นที่จะให้งบประมาณเป็นแนวทางในการตัดสินใจใช้จ่ายของคุณ ด้านล่างนี้ เราจะกล่าวถึงสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เมื่อจัดทำงบประมาณการตลาดสำหรับสตาร์ทอัพของคุณ

เนื้อหาหลักในบทความนี้

  • เหตุใดงบประมาณการตลาดจึงมีความสำคัญต่อสตาร์ทอัพ
  • วิธีจัดทำงบประมาณการตลาดสำหรับสตาร์ทอัพ
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับงบประมาณการตลาดของสตาร์ทอัพ

เหตุใดงบประมาณการตลาดจึงมีความสำคัญต่อสตาร์ทอัพ

งบประมาณการตลาดช่วยสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพโดยกระตุ้นการมีส่วนร่วมลูกค้าและสร้างการรับรู้แบรนด์ เงินทุนเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับบริษัทระยะเริ่มต้น เพราะเป็นการสร้างรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนและการมีตัวตนในตลาด ต่อไปนี้คือภาพรวมที่แสดงให้เห็นว่างบประมาณการตลาดสามารถทำอะไรให้สตาร์ทอัพได้บ้าง

  • การจัดสรรทรัพยากร
    สตาร์ทอัพมักดำเนินงานด้วยเงินทุนที่จำกัด งบประมาณการตลาดที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนจะช่วยจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเหล่านี้ให้กับกลยุทธ์และช่องทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

  • การวัดประสิทธิภาพ
    เมื่อตั้งงบประมาณการตลาดไว้ สตาร์ทอัพจะสามารถกำหนดเกณฑ์มาตรฐานและประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดโดยใช้เมตริกหลัก เช่น ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ จากนั้นสามารถปรับกลยุทธ์ได้แบบเรียลไทม์ โดยเพิ่มการมุ่งเน้นไปยังพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า

  • การสร้างแบรนด์
    การสร้างตัวตนของแบรนด์ให้แข็งแกร่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูงมักเป็นเรื่องท้าทายสำหรับสตาร์ทอัพ สตาร์ทอัพสามารถใช้เงินทุนด้านการตลาดเพื่อพัฒนาการสื่อสารแบรนด์ที่สอดคล้องกันและเพิ่มการมองเห็น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างการจดจำแบรนด์

  • การวิจัยตลาด
    สตาร์ทอัพจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดและความชอบของผู้บริโภคอยู่เสมอ การลงทุนในการวิจัยตลาดให้ข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยกำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการวางตำแหน่งทางการตลาด

  • การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ
    เงินทุนด้านการตลาดสามารถใช้สร้างความร่วมมือและแสวงหาโอกาสในการสร้างเครือข่ายได้ด้วย พันธมิตรเหล่านี้สามารถเพิ่มการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของสตาร์ทอัพ โดยให้การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

  • ความสามารถในการขยายธุรกิจและการวางแผนระยะยาว
    งบประมาณการตลาดที่วางแผนไว้อย่างดีเป็นกุญแจสำคัญในการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายและรายรับในอนาคต และช่วยในการสร้างกลยุทธ์การเติบโตที่ปรับขนาดได้ การวางแผนนี้มีความสำคัญต่อสตาร์ทอัพที่กำลังพัฒนาจากช่วงเริ่มต้นไปสู่การเป็นธุรกิจที่มั่นคง

  • ดึงดูดนักลงทุน
    สตาร์ทอัพที่บริหารงบประมาณการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพจะดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น เพราะแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตเชิงกลยุทธ์และความรู้ความเข้าใจในตลาด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่ดึงดูดการลงทุนในอนาคต

  • การรักษาลูกค้า
    การตลาดไม่ใช่แค่การหาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวกับการรักษาลูกค้าเดิมด้วย การจัดสรรงบประมาณการตลาดส่วนหนึ่งไว้สำหรับกลยุทธ์รักษาลูกค้าจะช่วยรักษาฐานลูกค้าที่ภักดีได้

งบประมาณการตลาดของสตาร์ทอัพเป็นแนวทางของบริษัทเมื่อเปิดตัวและเติบโตในตลาด ช่วยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรและสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนและการมีตัวตนในตลาดที่สม่ำเสมอ ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายวิธีจัดทำงบประมาณการตลาดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ

วิธีจัดทำงบประมาณการตลาดสำหรับสตาร์ทอัพ

ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของสตาร์ทอัพ

ในขั้นแรก คุณจะต้องประเมินสถานการณ์ทางการเงินของสตาร์ทอัพ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางให้กับกลยุทธ์ทางการตลาด ทำให้แผนของคุณอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงทางการเงิน และเชื่อมโยงเข้ากับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ โดยมีวิธีดังนี้

  • ประเมินสถานภาพทางการเงินปัจจุบัน
    ทำความเข้าใจว่าธุรกิจของคุณมีผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นอย่างไร ให้ตรวจสอบงบการเงินของสตาร์ทอัพอย่างใกล้ชิด ซึ่งประกอบด้วยการตรวจสอบงบดุล งบรายได้ และงบกระแสเงินสด คุณต้องรู้ว่าการดำเนินงานมีกำไรหรือขาดทุน คุณมีเงินสดในมือเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายหลักมีอะไรบ้าง ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจโดยมีข้อมูลรอบด้าน

  • วิเคราะห์การคาดการณ์รายรับ
    ดูการคาดการณ์ยอดขายของคุณในปีที่จะมาถึง การคาดการณ์เหล่านี้ควรสมเหตุสมผลและอิงจากข้อมูลยอดขายที่ผ่านมา การวิเคราะห์ตลาด และแนวโน้มอุตสาหกรรม การทำความเข้าใจรายรับที่เป็นไปได้จะช่วยให้คุณจัดทำงบประมาณการตลาดที่สนับสนุนการเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรทางการเงินมากเกินไป

  • กำหนดสัดส่วนงบประมาณการตลาด
    ตัดสินใจว่าสตาร์ทอัพของคุณสามารถจัดสรรงบประมาณให้กับการตลาดได้มากน้อยเพียงใด โดยอิงจากการวิเคราะห์ทางการเงินและการคาดการณ์รายรับ นี่ตัวเลขนี้ไม่ตายตัว แต่จะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ระยะธุรกิจ และเป้าหมายการเติบโตของคุณ โดยทั่วไปมักจะใช้วิธีจัดสรรงบประมาณการตลาดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายรับที่คาดการณ์ไว้ มีรายงานระบุว่าในปี 2022 งบประมาณการตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9.5% ของรายรับโดยรวม สตาร์ทอัพอาจเลือกที่จะจัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่สูงกว่าบริษัทที่จัดตั้งมานานแล้ว เนื่องจากการสร้างการรับรู้แบรนด์และการมีตัวตนในตลาดมักจะมีความสำคัญมากกว่าในการทำธุรกิจระยะเริ่มต้น

  • พิจารณาเป้าหมายและกลยุทธ์ทางธุรกิจ
    จับคู่งบประมาณการตลาดกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของคุณ หากเป้าหมายคือการบุกตลาดใหม่หรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณอาจต้องใช้งบประมาณการตลาดมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับความคิดริเริ่มเหล่านี้ ในทางกลับกัน หากคุณมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่มีอยู่ คุณอาจใช้งบประมาณการตลาดน้อยลงและมุ่งเน้นไปที่การรักษาลูกค้าเดิมมากขึ้น

  • จัดสรรเงินทุนอย่างชาญฉลาด
    เมื่อคุณกำหนดงบประมาณการตลาดโดยรวมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดสรรเงินทุนเหล่านี้ให้กับช่องทางและกิจกรรมทางการตลาด การจัดสรรนี้ควรสะท้อนถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจของคุณ

  • ความยืดหยุ่นและการทบทวน
    ขั้นสุดท้าย บริหารงบประมาณของคุณแบบยืดหยุ่น ตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และสตาร์ทอัพของคุณควรจะปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องได้ ให้ทบทวนงบประมาณการตลาดอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาบริบทด้านประสิทธิภาพการขายจริงและสภาวะตลาด และเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเมื่อจำเป็น

กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการตลาด

ก่อนที่จะร่างงบประมาณการตลาด คุณต้องสร้างกรอบการทำงานให้ชัดเจนเพื่อกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการตลาดของคุณ โดยมีวิธีดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายที่วัดได้
    ตัดสินใจให้แน่ชัดว่าคุณต้องการให้การตลาดของคุณบรรลุเป้าหมายอะไร คุณตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียเป็นสองเท่า ต้องการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ขึ้น 40% หรือจะเพิ่มยอดขายขึ้น 30% ในไตรมาสหน้า คุณจะมีเป้าหมายอย่างไรก็ได้ แต่เป้าหมายเหล่านั้นต้อง SMART ซึ่งย่อมาจาก Specific (เจาะจง), Measurable (วัดผลได้), Achievable (ทำได้จริง), Relevant (เกี่ยวข้อง) และ Time-bound (มีกรอบเวลา) ความชัดเจนนี้จะทำให้ทีมของคุณมีเป้าหมายที่แน่นอน รวมทั้งติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ง่าย

  • กำหนดวัตถุประสงค์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยรวม
    คุณไม่ควรกำหนดเป้าหมายทางการตลาดขึ้นมาแบบโดดๆ แต่จะต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณในภาพรวม หากสตาร์ทอัพของคุณมีเป้าหมายหลักในปีนี้คือการบุกตลาดใหม่ ก็ให้มุ่งเน้นความพยายามทางการตลาดไปที่ความคิดริเริ่มนั้น หากการรักษาลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป้าหมายทางการตลาดของคุณก็ควรเน้นเรื่องการสร้างการมีส่วนร่วมและความภักดี ทุกความพยายามทางการตลาดควรผลักดันให้สตาร์ทอัพของคุณเข้าจุดมุ่งหมายในภาพรวมมากขึ้น

  • จัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายตามผลกระทบ
    เป้าหมายทางการตลาดที่กำหนดขึ้นมาไม่ได้มีความสำคัญเท่าๆ กันทั้งหมด บางเป้าหมายจะส่งผลต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพในทันทีและส่งผลมากกว่าเป้าหมายอื่นๆ ให้จัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและตามทรัพยากรที่ต้องใช้ จากนั้นจึงทุ่มงบประมาณไปที่เป้าหมายที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณจริงๆ

  • ตั้งเกณฑ์มาตรฐานสำหรับความสำเร็จ
    เมื่อคุณกำหนดและจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายแล้ว ให้ตั้งเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอาจหมายถึงการกำหนดเป้าหมายรายเดือนสำหรับการสร้างลูกค้าเป้าหมาย หรือเป้าหมายรายไตรมาสสำหรับอัตราการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นผู้ซื้อ เกณฑ์มาตรฐานทำหน้าที่เป็นจุดตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าคุณมาถูกทาง และทำให้การฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางเป็นเรื่องง่ายขึ้น

  • ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
    เป้าหมายของคุณควรสะท้อนถึงตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คุณควรพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเป้าหมายเมื่อได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นจากความพยายามทางการตลาด ความยืดหยุ่นนี้จะทำให้การตลาดของคุณยังคงเกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพ แม้ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมของคุณผันผวน

วิจัยต้นทุนและช่องทางการตลาด

ช่องทางการตลาดบางช่องทางจะมีค่ามากกว่าช่องทางอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจของคุณ เมื่อคุณกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์แล้ว คุณจะต้องจัดลำดับความสำคัญของช่องทางการตลาดที่คุณจะทุ่มทรัพยากรลงไป วิธีจัดลำดับความสำคัญมีดังนี้

  • สำรวจช่องทางการตลาด
    คุณต้องสำรวจช่องทางต่างๆ เพื่อให้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณใช้เวลาอยู่ในช่องทางใดและข้อความประเภทใดที่โดนใจพวกเขา การสำรวจนี้ควรครอบคลุมช่องทางดิจิทัล (เช่น โซเชียลมีเดีย, SEO, โฆษณาดิจิทัล, การตลาดผ่านเนื้อหา และการตลาดผ่านอีเมล) และช่องทางแบบดั้งเดิม (เช่น สิ่งพิมพ์ วิทยุ และทีวี)

  • เปรียบเทียบช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิมกับแบบดิจิทัล
    ธุรกิจควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิมกับแบบดิจิทัล ช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิมอาจมีต้นทุนการผลิตและการกระจายสูงกว่า แต่อาจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างกว่าและสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการตลาดดิจิทัลอาจประหยัดกว่าและสามารถกำหนดเป้าหมายและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้แม่นยำกว่า

  • ทำความเข้าใจคุณค่าของการตลาดแบบบูรณาการ
    กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพมักผสมผสานกลยุทธ์ทางการตลาดแบบดิจิทัลและแบบดั้งเดิม การผสานรวมนี้ช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้กว้างขึ้นและใช้จุดแข็งของแต่ละช่องทาง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเสริมแคมเปญโฆษณาทางทีวีด้วยการตลาดบนโซเชียลมีเดียเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม

  • ประเมินตลาดและภูมิทัศน์การแข่งขัน
    ทำความเข้าใจว่าโดยทั่วไปแล้วอุตสาหกรรมของคุณมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดเท่าใด และคู่แข่งของคุณกำลังทำอะไรอยู่ วิธีนี้ช่วยให้คุณกำหนดงบประมาณได้อย่างสมเหตุสมผลและเล็งเห็นช่องทางที่ยังใช้งานไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้คุณได้เปรียบในการแข่งขัน

  • ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
    เมื่อคุณศึกษาช่องทางต่างๆ และค่าใช้จ่าย ให้พิจารณา ROI ที่เป็นไปได้ของแต่ละช่องทาง ซึ่งจะต้องอาศัยการประเมินค่าใช้จ่ายร่วมกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการมีส่วนร่วมของลูกค้า การสร้างลูกค้าเป้าหมาย หรือกิจกรรมการขายตรง โดยหลักการทั่วไป หากคุณทำเงินได้ 5 ดอลลาร์สำหรับทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ใช้จ่ายไปกับการตลาดถือว่าเป็น ROI ที่ดี

  • ความยืดหยุ่นด้านกลยุทธ์
    การตลาดดิจิทัลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สตาร์ทอัพจำเป็นต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจหมายถึงการปรับการจัดสรรงบประมาณระหว่างช่องทางต่างๆ เมื่อมีเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้น หรือเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป

  • สร้างสมดุลระหว่างกลยุทธ์ระยะยาวและระยะสั้น
    ความพยายามทางการตลาดบางอย่าง (เช่น แคมเปญแบบจ่ายต่อคลิก) อาจให้ผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ความพยายามอื่นๆ (เช่น การตลาดผ่านเนื้อหา) มุ่งเน้นที่การสร้างมูลค่าแบรนด์ในระยะยาว งบประมาณของคุณควรสร้างสมดุลระหว่างปัจจัยระยะสั้นและระยะยาวเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะบรรลุเป้าหมายระยะสั้นโดยไม่กระทบต่อการเติบโตในอนาคต

การศึกษาต้นทุนและช่องทางการตลาดอย่างรอบคอบช่วยให้สตาร์ทอัพจัดทำงบประมาณการตลาดที่พิจารณามาอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจค้นพบการผสมผสานกลยุทธ์ที่เหมาะสม ใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

จัดสรรงบประมาณให้กับกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ

สตาร์ทอัพสามารถใช้งบประมาณการตลาดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้โดยแบ่งงบประมาณให้กับกิจกรรมต่างๆ อย่างชาญฉลาด วิธีนี้ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ เข้าถึงลูกค้าในอุดมคติ และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ การจัดสรรงบประมาณให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการรู้จักกลุ่มเป้าหมาย ใช้วิธีทางการตลาดที่หลากหลาย เปิดรับไอเดียใหม่ๆ และปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณเมื่อจำเป็น

วิธีที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพกระจายงบประมาณการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมีดังนี้

  • จัดลำดับความสำคัญของช่องทางการตลาดตามเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย
    ในขั้นแรก คุณต้องระบุให้ได้ว่าช่องทางการตลาดใดมีแนวโน้มที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจมากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากกลุ่มเป้าหมายของคุณประกอบด้วยคนหนุ่มสาวเป็นหลัก การลงทุนในโซเชียลมีเดียและเนื้อหาดิจิทัลอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการโฆษณาบนสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม การเลือกช่องทางควรสอดคล้องกับพื้นที่ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งานและเปิดรับมากที่สุด

  • สร้างสมดุลระหว่างกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีต้นทุนสูงและต้นทุนต่ำ
    สร้างสมดุลระหว่างกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีต้นทุนสูงและต้นทุนประหยัด กลยุทธ์ที่มีต้นทุนสูง เช่น โฆษณาทางโทรทัศน์หรือการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง อาจสร้างผลกระทบได้มาก แต่ก็อาจใช้งบประมาณสูง ในทางกลับกัน กลยุทธ์ราคาประหยัด เช่น การตลาดผ่านอีเมล การมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย หรือ SEO อาจให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สม่ำเสมอในระยะยาว การรักษาสมดุลนี้ช่วยให้คุณมีกลยุทธ์ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงและประสิทธิภาพของงบประมาณ

  • จัดสรรเงินทุนสำหรับการทดสอบและนวัตกรรม
    สำรองงบประมาณส่วนหนึ่งไว้สำหรับการทดสอบช่องทางและกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ การตลาดดิจิทัลมีการพัฒนาอยู่ตลอด และสิ่งที่ใช้ได้ผลในวันนี้อาจมีประสิทธิภาพน้อยลงในวันพรุ่งนี้ การจัดสรรทรัพยากรสำหรับการทดลองช่วยให้สตาร์ทอัพของคุณเป็นผู้นำเทรนด์และค้นพบสิ่งที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด

  • พิจารณาปรับงบประมาณตามฤดูกาลและตามวงจร
    บางธุรกิจอาจประสบกับความผันผวนตามฤดูกาลในด้านยอดขายและการมีส่วนร่วมของลูกค้า สิ่งสำคัญคือคุณต้องคาดการณ์วงจรเหล่านี้และปรับงบประมาณการตลาดให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าปลีกอาจเพิ่มการใช้จ่ายด้านการตลาดในช่วงเทศกาลวันหยุดเพื่อใช้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

  • ผสานการทำงานด้านการตลาดกับฝ่ายขายและแผนกอื่นๆ
    ผสานความพยายามทางการตลาดกับฝ่ายขาย ฝ่ายบริการลูกค้า และแผนกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด การผสานการทำงานนี้จะช่วยให้มั่นใจว่ากิจกรรมทางการตลาดจะสนับสนุนเป้าหมายโดยรวมของธุรกิจ และข้อมูลเชิงลึกจากแผนกอื่นๆ เหล่านั้นจะเป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด

  • ทบทวนและปรับการจัดสรรงบประมาณเป็นประจำ
    ทบทวนงบประมาณการตลาดอย่างสม่ำเสมอและปรับเปลี่ยนตามประสิทธิภาพของแคมเปญและกิจกรรมเฉพาะ วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถย้ายทรัพยากรไปยังช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ ได้

วางแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด

การวางแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเป็นส่วนสำคัญในการจัดทำงบประมาณการตลาดสำหรับสตาร์ทอัพ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์ทางการตลาดของคุณมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้เมื่อเผชิญกับความท้าทายที่ไม่คาดฝัน วิธีวางแผนมีดังนี้

  • กันงบประมาณส่วนหนึ่งไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
    คุณควรจัดสรรงบประมาณการตลาดบางส่วนไว้เป็นเงินทุนฉุกเฉิน เงินทุนนี้ทำหน้าที่เป็นกันชนทางการเงินที่จะรับมือกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดโดยไม่กระทบกับแผนการตลาดโดยรวมของคุณ ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันเหล่านี้อาจเกิดจากโอกาสทางการตลาดที่เข้ามาอย่างกะทันหันซึ่งจำเป็นต้องลงทุนอย่างเร่งด่วน เช่น สปอตโฆษณาที่ลดราคาในนาทีสุดท้าย หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้วางแผนไว้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด

  • จัดทำงบประมาณอย่างยืดหยุ่นเพื่อให้ปรับตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้
    บางครั้งเราก็ไม่อาจคาดเดาตลาดได้ ไม่ว่าจะด้วยเทรนด์ที่เปลี่ยนไปหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น งบประมาณการตลาดของคุณควรมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งอาจหมายถึงการจัดสรรเงินทุนใหม่โดยโยกย้ายจากช่องทางที่มีประสิทธิภาพต่ำไปยังช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า หรือลงทุนในแพลตฟอร์มเกิดใหม่เพื่อให้นำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ ความยืดหยุ่นยังหมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มในโครงการริเริ่มที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย

  • วางแผนรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ
    สภาวะเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและพลวัตของตลาด งบประมาณการตลาดของคุณควรคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเฟื่องฟูที่อาจเกิดขึ้นโดยปรับการใช้จ่ายให้เหมาะสม การมุ่งเน้นไปที่ช่องทางที่ประหยัดมากขึ้นอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ในขณะที่ช่วงตลาดขาขึ้นอาจเป็นโอกาสเหมาะสำหรับการลงทุนเชิงรุกมากขึ้น

  • จัดสรรเงินทุนสำหรับการทดสอบและนวัตกรรม
    จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับทดลองกลยุทธ์หรือช่องทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและรักษาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งอาจรวมถึงการทดสอบเครื่องมือ แพลตฟอร์ม หรือเทคนิคการตลาดดิจิทัลใหม่ๆ ที่อาจให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีกว่า

  • ทบทวนและปรับเปลี่ยนเป็นประจำ
    ทบทวนงบประมาณและกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาจุดที่คุณอาจต้องปรับเปลี่ยน ซึ่งอาจรวมถึงแคมเปญที่มีประสิทธิภาพต่ำหรือโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ การทบทวนเป็นประจำช่วยให้มั่นใจว่ากลยุทธ์ทางการตลาดของคุณสอดคล้องกับสภาวะตลาดและวัตถุประสงค์ของธุรกิจในขณะนั้น

ติดตามตรวจสอบและปรับงบประมาณการตลาดของคุณ

งบประมาณการตลาดของสตาร์ทอัพสามารถเปลี่ยนแปลงได้และควรเปลี่ยนแปลงเมื่อผ่านไปสักระยะ วิธีปรับงบประมาณมีดังนี้

  • ติดตามการใช้จ่ายด้านการตลาดและวัด ROI
    ติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดว่าคุณใช้จ่ายไปกับการตลาดเท่าใด และใช้จ่ายไปกับช่องทางไหน ประเมินแต่ละช่องทางและแคมเปญการตลาดเพื่อวัดผลในแง่ของการสร้างลูกค้าเป้าหมาย ยอดขาย หรือตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) อื่นๆ ตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ ในการวัด ROI ให้เปรียบเทียบผลลัพธ์เหล่านี้กับต้นทุนที่ใช้ไป การวิเคราะห์นี้ช่วยให้คุณทราบว่ากิจกรรมทางการตลาดใดสร้างมูลค่าให้กับสตาร์ทอัพของคุณ และกิจกรรมใดไม่ก่อให้เกิดมูลค่า

  • ปรับเปลี่ยนโดยอิงจากข้อมูลเพื่อปรับปรุงงบประมาณการตลาด
    ข้อมูลการใช้จ่ายด้านการตลาดและ ROI ช่วยให้คุณทราบว่าควรจัดสรรงบประมาณให้กับช่องทางใด หากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหนึ่งให้ ROI สูง การเพิ่มการลงทุนในช่องทางนั้นก็อาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล ในทางกลับกัน หากโฆษณาบางประเภทให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับที่คาดหวังไว้ การลดการใช้จ่ายหรือเปลี่ยนแคมเปญก็อาจเป็นวิธีที่ควรทำ ให้ใช้ข้อมูลเป็นแนวทางในการตัดสินใจ และเตรียมพร้อมที่จะปรับแผนของคุณ

  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดขึ้น
    เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพการตลาดของคุณได้ละเอียดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ประสิทธิภาพของแคมเปญ และอัตราการเปลี่ยนผู้ใช้เป็นผู้ซื้อ และช่วยให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้นว่าความพยายามทางการตลาดของคุณส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร

  • พิจารณาแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค
    ติดตามแนวโน้มตลาดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ ข้อมูลจากภายนอกนี้ควรเป็นปัจจัยในการตัดสินใจจัดทำงบประมาณของคุณ ตัวอย่างเช่น หากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหนึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หรือความชอบของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ให้ปรับงบประมาณการตลาดให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

  • จัดประชุมทบทวนเป็นประจำ
    จัดประชุมทบทวนงบประมาณกับทีมการตลาดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ เป็นประจำ ในระหว่างการประชุมเหล่านี้ ให้พูดคุยเรื่องประสิทธิภาพของกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ประเมิน ROI และตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับงบประมาณ การทำงานร่วมกันนี้ช่วยให้คุณมีมุมมองที่หลากหลายให้พิจารณาเมื่อต้องปรับปรุงงบประมาณการตลาด

  • เตรียมพร้อมลดหรือขยาย
    เตรียมพร้อมที่จะขยายหรือลดความพยายามทางการตลาดตามประสิทธิภาพและปัจจัยภายนอก มีกลยุทธ์ที่จะเพิ่มงบประมาณให้กับแคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หรือลดการใช้จ่ายในช่องทางที่ประสิทธิภาพไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

การติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดและปรับงบประมาณการตลาดของคุณอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ความพยายามทางการตลาดของสตาร์ทอัพมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ กระบวนการนี้ต้องอาศัยวงจรการวัดผล การวิเคราะห์ และการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลที่ได้มาจากแนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับงบประมาณการตลาดของสตาร์ทอัพ

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับงบประมาณการตลาดของสตาร์ทอัพมักจะมุ่งเน้นไปที่การใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสร้างผลกระทบให้มากที่สุดไปพร้อมๆ กัน โดยมีตัวอย่างกลยุทธ์หลักๆ ดังนี้

  • ใช้ช่องทางและเครื่องมือการตลาดที่คุ้มราคา
    สิ่งสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพคือการใช้ช่องทางและเครื่องมือการตลาดที่ให้มูลค่าสูงแต่ต้นทุนต่ำ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสำหรับการเข้าถึงแบบออร์แกนิก เครื่องมือการตลาดผ่านอีเมลสำหรับการสื่อสารเฉพาะบุคคล และเครื่องมือวิเคราะห์สำหรับการติดตามประสิทธิภาพ หลายแพลตฟอร์มมีตัวเลือกให้ใช้งานฟรีหรือตัวเลือกราคาประหยัดซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสตาร์ทอัพที่มีงบประมาณจำกัด และอาจมีประโยชน์เมื่อพิจารณาถึงวิธีที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดีที่สุด

  • สำรวจกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างสรรค์แต่ใช้ต้นทุนน้อย
    สตาร์ทอัพมักต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้โดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งอาจรวมถึงการพึ่งพากลยุทธ์การตลาดแบบกองโจร แคมเปญการตลาดแบบไวรัล หรือเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น โดยทั่วไปกลยุทธ์เหล่านี้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และความพยายามมากกว่าการลงทุนทางการเงิน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสตาร์ทอัพ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณและการมีส่วนร่วมกับลูกค้าสามารถเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเพิ่มการมองเห็นโดยใช้ต้นทุนต่ำ

  • มุ่งเน้นความพยายามทางการตลาดแบบเจาะจงเป้าหมาย
    คุณไม่จำเป็นต้องกระจายงบประมาณไปกับหลายช่องทาง แต่ให้มุ่งเน้นช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งานมากที่สุด วิธีการแบบเจาะจงเป้าหมายนี้จะทำให้ความพยายามทางการตลาดของคุณเป็นแบบมุ่งเน้นเฉพาะจุดและมีประสิทธิภาพ ลดการใช้จ่ายที่สูญเปล่าและเพิ่ม ROI ปรับแต่งข้อความและแคมเปญของคุณให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อการมีส่วนร่วมที่ดียิ่งขึ้น

  • ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
    ตัดสินใจเกี่ยวกับการตลาดโดยอิงตามข้อมูลและการวิเคราะห์ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญเป็นประจำเพื่อเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ใช้ได้ผล กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนี้ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรหรือปรับงบประมาณให้กับช่องทางและกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

  • สร้างความร่วมมือและทำงานร่วมกัน
    การทำงานร่วมกับธุรกิจ อินฟลูเอนเซอร์ หรือแบรนด์อื่นๆ อาจเป็นวิธีที่คุ้มค่าในการขยายความพยายามทางการตลาด ความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น มีผู้ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแคมเปญการตลาด และเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์

  • ลงทุนในการตลาดผ่านเนื้อหา
    การตลาดผ่านเนื้อหาเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังสำหรับสตาร์ทอัพ การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและเกี่ยวข้อง เช่น บล็อกโพสต์ วิดีโอ และอินโฟกราฟิก สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ วิธีนี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์และยังปรับปรุง SEO ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตแบบออร์แกนิกในระยะยาว

  • ให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้า
    การหาลูกค้าใหม่อาจมีค่าใช้จ่ายสูง จึงควรมุ่งเน้นไปที่การรักษาลูกค้าเดิมผ่านโปรแกรมสะสมคะแนน การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม และการมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอ ลูกค้าที่พึงพอใจมีแนวโน้มที่จะซื้อซ้ำและแนะนำแบรนด์ของคุณกับคนอื่นๆ ซึ่งเป็นวิธีขยายธุรกิจที่คุ้มค่า

  • คล่องตัวและพร้อมปรับเปลี่ยน
    ตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ่อยครั้ง และสตาร์ทอัพจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างคล่องตัว คุณต้องพร้อมที่จะปรับความพยายามทางการตลาดเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ใหม่ๆ คำติชมจากลูกค้า หรือการเปลี่ยนแปลงในตลาด

ในฐานะสตาร์ทอัพ คุณสามารถบริหารงบประมาณการตลาดให้มีประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบที่ชัดเจนผ่านแนวทางที่กล่าวถึงในคู่มือนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเจาะจงเป้าหมาย การใช้ข้อมูล หรือมีความยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด กลยุทธ์งบประมาณการตลาดที่พิจารณามาอย่างดีสามารถสร้างอนาคตที่ดีให้กับสตาร์ทอัพของคุณได้

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

เข้าร่วมกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง รวมถึงส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe รวมถึงการประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas