ธุรกิจข้ามพรมแดนคือบริษัทที่ดําเนินงานในมากกว่า 1 ประเทศ การดําเนินการนี้อาจเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศ การลงทุนในตลาดต่างประเทศ หรือการจัดตั้งการปฏิบัติงาน เช่น การผลิตหรือบริการ ในหลายตําแหน่งที่ตั้ง
อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจกลายเป็นธุรกิจข้ามพรมแดนได้ง่ายขึ้น โดยมีมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนทั่วโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 16.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 การขยายธุรกิจนอกประเทศต้นกำเนิดจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ กระจายการดําเนินงาน และอาจได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายที่ต่ําลงหรือข้อบังคับที่แตกต่าง
แม้ธุรกิจข้ามพรมแดนจะมีโอกาสมากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายในแบบของตัวเองด้วย ซึ่งอาจรวมถึงการทำความเข้าใจระบบกฎหมายและขนบธรรมเนียมที่แตกต่างออกไป การจัดการความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบในหลายเขตอํานาจศาล แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ แต่สิ่งที่ได้จากการเจาะตลาดทั่วโลกก็ยังคงดึงดูดบริษัทต่างๆ ให้ดําเนินงานข้ามพรมแดนได้อย่างต่อเนื่อง
ต่อไปนี้เราจะอธิบายวิธีเริ่มทําธุรกิจข้ามพรมแดน ข้อดีและความท้าทายในการขายสินค้าข้ามพรมแดน วิธีตัดสินใจเลือกประเทศที่จะจําหน่าย รวมถึงตัวเลือกการขายสินค้าข้ามพรมแดน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ฉันจะเริ่มทําธุรกิจข้ามพรมแดนได้อย่างไร
- ตัวอย่างการค้าข้ามพรมแดน
- ประโยชน์ของการขายสินค้าข้ามพรมแดน
- ความท้าทายอันดับต้นๆ สําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
- วิธีตัดสินใจว่าจะขายสินค้าในประเทศใดบ้าง
- ตัวเลือกการขายข้ามพรมแดน
- อภิธานศัพท์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
- มาร์เก็ตเพลสที่ควรพิจารณา
ฉันจะเริ่มทําธุรกิจข้ามพรมแดนได้อย่างไร
นี่คือเคล็ดลับในการเริ่มทําธุรกิจข้ามพรมแดน
ทําการวิจัยตลาด: ระบุว่ามีความต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณที่ไหนบ้าง เรียนรู้เกี่ยวกับบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดที่คุณกําหนดเป้าหมาย และตรวจสอบกรอบกฎหมายและกฎระเบียบในประเทศที่คุณมีแผนจะดําเนินธุรกิจ
พัฒนาแผนธุรกิจ: สร้างกลยุทธ์การเข้าตลาด โดยตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดผ่านบริษัทย่อย การสร้างพาร์ทเนอร์ หรือการส่งออกโดยตรง เตรียมการคาดการณ์ทางการเงินอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงต้นทุน รายรับ และการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยง
จัดตั้งโครงสร้างทางกฎหมายและภาษี: เลือกโครงสร้างธุรกิจ (เช่น สาขาต่างประเทศ บริษัทย่อย กิจการร่วมลงทุน) ศึกษาวิจัยระเบียบข้อบังคับด้านภาษีในแต่ละประเทศที่คุณดําเนินงานและรักษาความปลอดภัยให้กับสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของคุณในทุกเขตอํานาจศาล
ตั้งค่าด้านการธนาคารและการเงิน: สร้างบัญชีธนาคารที่สามารถจัดการหลายสกุลเงินและทําความเข้าใจค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่างประเทศ ศึกษาวิจัยตัวเลือกในการจัดหาเงินทุน ซึ่งรวมถึงเงินกู้ยืมระหว่างประเทศ การร่วมลงทุน หรือเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
สร้างทีมระดับโลก: สร้างทีมบริหารที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจระหว่างประเทศ และพิจารณาว่าจ้างพนักงานท้องถิ่นที่เข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจดี ฝึกอบรมด้านความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมให้กับพนักงานของคุณเพื่อปรับปรุงการสื่อสาร
วางกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์: พัฒนาซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งที่สามารถจัดการการขนส่งระหว่างประเทศและศุลกากร สร้างช่องทางกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะเข้าสู่ตลาดได้
พัฒนากลยุทธ์การตลาด: ปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะกับความต้องการทางวัฒนธรรมและสภาพตลาดท้องถิ่น ใช้การตลาดดิจิทัลและโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น
ใช้งานโซลูชันเทคโนโลยี: ลงทุนกับเทคโนโลยีที่รองรับการดําเนินงานในต่างประเทศ เช่น ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ตรวจสอบให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลในประเทศต่างๆ ขณะที่ใช้ระบบเหล่านี้
จัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนดและการควบคุมคุณภาพ: ตรวจสอบและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับทั้งในและต่างประเทศเป็นประจํา รักษามาตรฐานคุณภาพสูงสําหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณเพื่อสร้างความไว้วางใจและรักษาไว้ให้ได้
ตัวอย่างการค้าข้ามพรมแดน
การค้าข้ามพรมแดนหมายถึงธุรกรรมที่ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่คนละประเทศกัน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการค้าข้ามพรมแดนที่พบกันทั่วไป
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ผู้ค้าปลีกระหว่างประเทศ: บริษัทอย่าง Amazon และ Alibaba อํานวยความสะดวกในการขายผลิตภัณฑ์ข้ามพรมแดน ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าจากหลายประเทศ และแพลตฟอร์มเหล่านี้จะจัดการกระบวนการลอจิสติกส์ การชําระเงิน และพิธีการศุลกากร
ตลาดเฉพาะกลุ่ม: แพลตฟอร์มอย่าง Etsy หรือ Farfetch มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในหมวดหมู่เฉพาะ (เช่น สินค้าแฮนด์เมด แฟชั่นหรู) ที่เชื่อมโยงผู้ซื้อจากต่างประเทศกับผู้ขายจากทั่วโลก
บริการดิจิทัล
การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS): ธุรกิจอย่างเช่น Salesforce และ Microsoft ให้บริการซอฟต์แวร์ทั่วโลก ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ในประเทศต่างๆ สมัครใช้บริการและใช้ซอฟต์แวร์ของตนทางออนไลน์ได้
การสตรีมเนื้อหา: บริการอย่างเช่น Netflix และ Spotify มีบริการสตรีมมิงดิจิทัลและให้บริการในหลายประเทศ บริการเหล่านี้ปรับเนื้อหาให้เข้ากับภาษาและความนิยมในระดับภูมิภาค
ซัพพลายเชนและการผลิต
การผลิตแบบเอาท์ซอร์ส: บริษัทอย่าง Apple ออกแบบผลิตภัณฑ์ในประเทศหนึ่งและผลิตในอีกแห่งเพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานและความเชี่ยวชาญในการผลิตที่ต่ําลง
อุตสาหกรรมยานยนต์: ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เช่น Toyota และ Volkswagen ดําเนินกิจการโรงงานผลิตในหลายประเทศเพื่อประกอบยานพาหนะและจัดส่งไปยังตลาดต่างๆ
บริการด้านการเงิน
บริการธนาคารและการชําระเงินข้ามพรมแดน: ธนาคารและสถาบันการเงินให้บริการที่ช่วยอํานวยความสะดวกด้านซื้อขายและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การโอนเงินระหว่างประเทศ และโซลูชันธนาคารข้ามพรมแดน
ธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี: คริปโตเคอร์เรนซีช่วยให้ทำธุรกรรมข้ามพรมแดนทั้งแบบตรงและแบบเพียร์ทูเพียร์ได้โดยไม่ต้องใช้ระบบธนาคารแบบเดิมๆ
บริการด้านการท่องเที่ยวและการเดินทาง
แพลตฟอร์มการจอง: บริษัทอย่าง Booking.com และ Airbnb ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถจองที่พักและประสบการณ์ในประเทศต่างๆ ได้ รวมทั้งรองรับหลากหลายสกุลเงินและหลายภาษา
สายการบินระหว่างประเทศ: สายการบินดําเนินงานในหลายประเทศ โดยจําหน่ายบัตรโดยสารให้แก่ลูกค้าจากหลายประเทศและต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการบินระหว่างประเทศที่ซับซ้อน
บริการเฉพาะทาง
บริการด้านกฎหมายและการให้คําปรึกษา: บริษัทอย่าง McKinsey, PwC และบริษัทกฎหมายระหว่างประเทศให้บริการให้คําปรึกษาและบริการด้านกฎหมายแก่ลูกค้าทั่วโลก ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ด้านกฎหมาย การเงิน และธุรกิจข้ามพรมแดน
บริการด้านการศึกษา
แพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์: Coursera and edX นําเสนอหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยทั่วโลกโดยเปิดให้นักเรียนจากทุกประเทศลงทะเบียนและเรียนรู้จากทางไกล
การเปิดรับสมัครนักศึกษาต่างชาติ: มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทําการตลาดโปรแกรมของตนไปยังนักเรียนต่างชาติโดยให้บริการการศึกษาข้ามพรมแดน
ข้อดีของการขายข้ามพรมแดน
การขายสินค้าข้ามพรมแดนจะช่วยสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจของคุณดังต่อไปนี้
การเข้าถึงตลาด
กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น: เมื่อเข้าสู่ตลาดระดับสากล ธุรกิจจะขยายการเข้าถึงและเข้าถึงกลุ่มผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้
การสร้างความหลากหลาย: การขายสินค้าทั่วโลกช่วยให้บริษัทต่างๆ มีความหลากหลายในฐานลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาตลาดในพื้นที่ของตนเองและสร้างความมั่นคงต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นได้
รายรับ
ศักยภาพในการขายที่สูงขึ้น: การเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ซึ่งมักส่งผลให้มีรายรับโดยรวมสูงขึ้น
ค่าบริการระดับพรีเมียม: ในตลาดบางแห่ง ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศสามารถตั้งราคาระดับพรีเมียมได้เนื่องจากมุมมองด้านคุณภาพ ความพิเศษ หรือความนิยมของแบรนด์
ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
การนำเสนอสินค้า/บริการที่ไม่เหมือนใคร: ธุรกิจที่นําเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่เหมือนใครหรือเหนือกว่าธุรกิจในประเทศจะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดที่มีขนาดใหญ่ได้
การกําหนดจุดยืนของแบรนด์: การปรากฏตัวในระดับสากลสามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ และกําหนดจุดยืนของบริษัทเป็นผู้เล่นระดับโลก
เศรษฐกิจขนาดใหญ่
ต้นทุนต่อหน่วยลดลง: การขยายปริมาณการผลิตหรือยอดขายจะช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยสินค้าที่ขายและเพิ่มผลกําไรได้
ทรัพยากรที่เพิ่มประสิทธิภาพ: ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพกําลังการผลิตและทรัพยากรของตนด้วยการรองรับหลายตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความต้องการภายในประเทศเป็นตามฤดูกาลหรือมีจํากัด
นวัตกรรมและการเรียนรู้
ข้อมูลเชิงลึกข้ามวัฒนธรรม: การเปิดรับตลาดหลายแห่งสามารถสร้างความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ความต้องการ และแนวโน้มต่างๆ ข้อมูลนี้สามารถช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดได้
ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น: การดําเนินงานในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและระเบียบข้อบังคับที่หลากหลายทําให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนและตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น
การลดความเสี่ยง
กระจายความเสี่ยง: ธุรกิจสามารถกระจายความเสี่ยงได้เมื่อดําเนินธุรกิจในหลายตลาด การตกต่ำทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับ หรือความอิ่มตัวของตลาดในภูมิภาคหนึ่งอาจได้รับการชดเชยโดยประสิทธิภาพที่ดีกว่าในอีกภูมิภาคหนึ่ง
ความต่อเนื่องและความมั่นคง: การดําเนินงานทั่วโลกสามารถสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจในกรณีที่เกิดการหยุดชะงักในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นภัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือภัยธรรมชาติ
การหาบุคลากรที่มีความสามารถ
- กลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถทั่วโลก: บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถในวงกว้าง ซึ่งสามารถแนะนํามุมมองและทักษะที่หลากหลายซึ่งจําเป็นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน
ความท้าทายอันดับต้นๆ สําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ต่อไปนี้เป็นความท้าทายที่พบได้บ่อยซึ่งบริษัทต่างๆ ที่ต้องเผชิญเมื่อทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
ศุลกากรและภาษี: การทำความเข้าใจข้อกําหนดและภาษีศุลกากรในประเทศต่างๆ
ข้อจํากัดทางกฎหมาย: การทําความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นเกี่ยวกับการขายออนไลน์ สิทธิ์สําหรับผู้บริโภค การคุ้มครองข้อมูล และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในหลายเขตอํานาจศาล
โลจิสติกส์และการขนส่ง
ค่าใช้จ่ายและเวลาในการขนส่ง: การจัดการค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและระยะเวลาการจัดส่งที่นานขึ้นจากการจัดส่งระหว่างประเทศ
ซัพพลายเชน: การประสานงานด้านลอจิสติกส์ข้ามพรมแดน ซึ่งอาจต้องมีจุดพักหลายแห่งและผู้ให้บริการขนส่งที่แตกต่างกัน
พิธีการศุลกากร: การรับมือกับความล่าช้าและความซับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผ่านพิธีการศุลกากร
การประมวลผลการชําระเงิน
การแปลงสกุลเงิน: การจัดการหลายสกุลเงินสําหรับการกําหนดราคา การทําบัญชี และการจัดการรายรับ
วิธีการชําระเงิน: การใช้วิธีการชําระเงินที่ได้รับความนิยมในท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการการเชื่อมต่อการทํางานและการทํางานของระบบเหล่านี้
วัฒนธรรมและภาษา
การแปลภาษาให้เข้ากับท้องถิ่น: การปรับเว็บไซต์ คําอธิบายผลิตภัณฑ์ และสื่อการตลาดให้เข้ากับภาษาท้องถิ่นและความแตกต่างทางวัฒนธรรม
พฤติกรรมของผู้บริโภค: การทําความเข้าใจและการรองรับความชอบและพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในท้องถิ่น
การแข่งขันและการเข้าสู่ตลาด
การสร้างตัวตน: การสร้างตัวตนของแบรนด์และสร้างความไว้วางใจในตลาดใหม่ๆ ซึ่งคู่แข่งในท้องถิ่นอาจมีบทบาทที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ความสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน: การหาจุดเด่นในตลาดที่มีคู่แข่งหนาแน่น โดยเฉพาะเมื่อต้องแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ในประเทศที่อาจได้รับประโยชน์จากความนิยมในท้องถิ่น
การเก็บภาษี
โครงสร้างภาษีที่ซับซ้อน: การจัดการหลักเกณฑ์ภาษีและการปฏิบัติตามข้อกําหนดของภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีท้องถิ่นอื่นๆ ที่แตกต่างกันโดยไม่ส่งผลต่อส่วนแบ่งกำไร
การเก็บภาษีสองต่อ: การทำความเข้าใจการเก็บภาษีสองต่อทั้งในประเทศต้นทางและประเทศโฮสต์ที่คิดภาษีจากรายได้เดียวกัน
เทคโนโลยี
การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพสําหรับการเข้าชมในต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วยเวลาในการโหลด การตอบสนองกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ และการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหา (SEO) สําหรับภูมิภาคต่างๆ
การรักษาความปลอดภัยข้อมูล: การปกป้องข้อมูลของลูกค้าในเขตอํานาจศาลต่างๆ โดยแต่ละแห่งมีกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นของตัวเอง
การบริการลูกค้า
รองรับหลายภาษา: การสนับสนุนลูกค้าในหลากหลายภาษาและในเขตเวลาที่แตกต่างกัน
บริการหลังการขาย: การจัดการการคืนสินค้า การคืนเงิน และคําขอของลูกค้าเพื่อรักษาคุณภาพบริการและความพึงพอใจของลูกค้า
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ความผันผวนของสกุลเงิน: การจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าบริการและความสามารถในการทํากําไร
ความผันผวนของตลาด: การรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือทางการเมืองในตลาดเป้าหมาย ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของตลาด
ทรัพย์สินทางปัญญา
- ความคุ้มครองข้ามพรมแดน: การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในเขตอํานาจศาลที่กฎหมาย IP อาจมีความเข้มงวดหรือการบังคับใช้น้อยกว่าอาจมีความหละหลวม
วิธีตัดสินใจว่าจะขายสินค้าในประเทศใดบ้าง
การตัดสินใจว่าจะจําหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศใดบ้างต้องมีการประเมินเชิงกลยุทธ์สําหรับวัตถุประสงค์และความสามารถของธุรกิจ รวมถึงฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดแต่ละแห่ง คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตลาดที่เลือกสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจในระยะยาวและทิศทางเชิงกลยุทธ์ นอกจากนี้ คุณยังต้องตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่ามีทรัพยากรที่จําเป็นต่อการเข้าสู่และดําเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในตลาดเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงทรัพยากรทางการเงิน ทรัพยากรมนุษย์ และการเป็นพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น
นี่คือภาพรวมคร่าวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องวิจัยและประเมินเมื่อพิจารณาตลาดใหม่ๆ
ความต้องการของผู้บริโภค: ระบุตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างคงที่ ใช้ข้อมูลการวิจัยตลาด แนวโน้มผู้บริโภค และการวิเคราะห์ในการแข่งขันเพื่อวัดความสนใจ
ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์: ลองพิจารณาว่าสิ่งที่คุณเสนอตรงตามความต้องการและความชอบของลูกค้าในตลาดเหล่านี้หรือไม่
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: มองหาประเทศที่มีสภาพเศรษฐกิจที่มั่นคง เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เชื่อถือได้สําหรับการดําเนินธุรกิจ
กําลังซื้อ: ให้ความสําคัญกับตลาดที่ลูกค้ามีกําลังซื้อสูงกว่าเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้สูงสุด
กฎหมายและระเบียบข้อบังคับทางการค้า: ทําความเข้าใจกรอบกฎหมายของแต่ละตลาด รวมถึงระเบียบข้อบังคับด้านการนําเข้าและส่งออก ภาษี และอากร พิจารณาประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่ตรงไปตรงมา
ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา: ตรวจสอบให้มั่นใจว่าประเทศเหล่านั้นมีกฎหมายที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของคุณ
ระดับการแข่งขัน: วิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการแข่งขัน ตลาดที่มีคู่แข่งน้อยกว่า หรือที่ที่คู่แข่งไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอาจเป็นโอกาสที่ดี
อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด: พิจารณาตลาดที่มีอุปสรรคในการเข้าตลาดน้อยกว่าเพื่อลดค่าใช้จ่ายขั้นต้นและความซับซ้อน
อุปสรรคทางวัฒนธรรม: ประเมินความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทําการตลาดผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ พิจารณาภาษา ขนบธรรมเนียม และพฤติกรรมผู้บริโภค
ความต้องการด้านการปรับให้เหมาะสมกับท้องถิ่น: ประเมินขอบเขตของการปรับผลิตภัณฑ์ที่จําเป็นเพื่อให้สอดคล้องตามรสนิยมของท้องถิ่นและข้อกําหนดทางกฎหมาย
โครงสร้างพื้นฐานด้านซัพพลายเชน: เลือกประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้สําหรับโลจิสติกส์ รวมถึงเครือข่ายการขนส่ง คลังสินค้า และการจัดจําหน่าย
ค่าใช้จ่ายและเวลาในการขนส่ง: พิจารณาผลกระทบของลอจิสติกส์ที่มีต่อต้นทุนและความพึงพอใจของลูกค้า
ตัวเลือกการขายข้ามพรมแดน
เมื่อพูดถึงการขายข้ามพรมแดน ธุรกิจจะมีแพลตฟอร์มต่างๆ ให้พิจารณา
มาร์เก็ตเพลสต่างประเทศ: แพลตฟอร์มอย่าง Amazon, eBay และ Alibaba มีการเข้าถึงที่กว้างขวางและฐานลูกค้าที่มั่นคง ซึ่งทําให้ธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่การแข่งขันอาจดุเดือดและผู้ขายในแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจควบคุมการสร้างแบรนด์และประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างจํากัด
เว็บไซต์ที่แปลให้เหมาะกับท้องถิ่น: การสร้างเว็บไซต์เฉพาะสําหรับแต่ละตลาดเป้าหมายจะช่วยให้ธุรกิจควบคุมการสร้างแบรนด์ การส่งข้อความ และประสบการณ์ของลูกค้าโดยรวมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังต้องลงทุนมากขึ้นสําหรับการแปล การปรับให้เข้ากับท้องถิ่น และความพยายามทางการตลาด
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากบริษัทอื่น: แพลตฟอร์มอย่าง Shopify และ BigCommerce มีเครื่องมือและฟีเจอร์มากมายที่รองรับการขายข้ามพรมแดน รวมถึงการรองรับหลายสกุลเงิน การแปลภาษา และการผสานการทํางานสําหรับการจัดส่งระหว่างประเทศ แพลตฟอร์มเหล่านี้อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับธุรกิจที่ต้องการแนวทางที่เรียบง่าย
โมเดลการส่งตรงถึงผู้บริโภค (DTC): การขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของคุณเองช่วยให้คุณควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าและภาพลักษณ์แบรนด์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ต้องมีการลงทุนค่อนข้างมากในด้านการตลาด การได้ลูกค้าใหม่ และการดําเนินการตามคําสั่งซื้อ
เป็นพาร์ทเนอร์กับผู้จัดจําหน่ายในท้องถิ่น: การเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้จัดจําหน่ายหรือผู้ค้าปลีกในท้องถิ่นสามารถช่วยให้ธุรกิจเอาชนะความท้าทายด้านโลจิสติกส์และเข้าถึงเครือข่ายกระจายสินค้าที่มั่นคงได้ แต่ธุรกิจเหล่านั้นอาจต้องแบ่งปันผลกําไรและไม่สามารถควบคุมแบรนด์ได้อย่างสมบูรณ์
อภิธานศัพท์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ต่อไปนี้คืออภิธานศัพท์ที่ครอบคลุมคำสําคัญในด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
A
ATA Carnet (เอกสารค้ำประกันเอ.ที.เอ คาร์เนท์): เอกสารที่ช่วยให้ธุรกิจนําเข้าสินค้าได้ชั่วคราวโดยไม่ต้องเสียภาษีและอากรขาเข้า
Ad valorem tariff (อัตราอากรตามราคาฉ: ภาษีอากรตามมูลค่าของสินค้า
B
- Bill of lading - BOL (ใบตราส่งสินค้า): เอกสารทางกฎหมายที่บริษัทขนส่งออกให้ผู้จัดส่ง โดยระบุรายละเอียดประเภท จํานวน และปลายทางของสินค้าที่จะจัดส่ง
C
Customs clearance (พิธีการศุลกากร): กระบวนการตรวจสอบและอนุมัติสําหรับสินค้าในประเทศโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร
Country of origin (ประเทศต้นทาง): ประเทศที่ผลิตสินค้า
D
Duties (อากร): ภาษีที่รัฐบาลบังคับใช้กับสินค้านําเข้าหรือส่งออก
Delivered Duty Paid - DDP (ชำระภาษีจัดส่ง): ข้อตกลงการส่งมอบสินค้าระหว่างประเทศที่ผู้ขายรับผิดชอบหน้าที่และค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าทั้งหมดจนกว่าผู้ซื้อจะได้รับสินค้า
E
Economic Operators Registration and Identification - EORI (การลงทะเบียนและข้อมูลประจําตัวสําหรับผู้ปฏิบัติงานทางเศรษฐกิจ): ระบบสําหรับการลงทะเบียนและติดตามผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศุลกากรในสหภาพยุโรป
Export license (ใบอนุญาตส่งออก): เอกสารของรัฐบาลที่อนุมัติให้ส่งออกสินค้าในปริมาณเฉพาะไปยังปลายทางหนึ่งๆ
F
Free trade agreement - FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี): กลยุทธ์ระหว่างสองประเทศขึ้นไปเพื่อลดอุปสรรคในการนําเข้าและส่งออกในหมู่ประเทศเหล่านั้นด้วยการกําจัดหรือลดภาษี โควตา และอากร
Fulfillment (การดําเนินการตามคําสั่งซื้อ): ขั้นตอนการจัดเก็บ การบรรจุ และการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า
G
Gross domestic product - GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ): มูลค่าทั้งหมดของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในช่วงเวลาหนึ่งๆ ภายในเขตแดนของประเทศ
Global value chain - GVC (ห่วงโซ่มูลค่าโลก): ชุดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในการออกแบบ การผลิต และการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ในระดับโลก
H
- Harmonized System (HS) code (พิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์): ระบบชื่อและตัวเลขตามมาตรฐานระดับสากลสําหรับจัดหมวดหมู่สินค้าซื้อขาย
I
- Incoterm: ข้อตกลงการส่งมอบสินค้าระหว่างประเทศจากหอการค้าระหว่างประเทศ (International Chamber of Commerce) ที่กําหนดความรับผิดชอบของผู้ซื้อและผู้ขายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมระหว่างประเทศ
L
- Landed cost (ต้นทุนสินค้า): ราคารวมของผลิตภัณฑ์เมื่อจัดส่งแล้ว ซึ่งรวมถึงราคาดั้งเดิม ค่าธรรมเนียมการขนส่ง ศุลกากร อากร และภาษี
M
Market entry strategy (กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด): วิธีที่วางแผนไว้ในการจัดส่งสินค้าหรือบริการให้กับตลาดเป้าหมายใหม่และจัดจำหน่ายในตลาดดังกล่าว
Multichannel retailing (การค้าปลีกหลายช่องทาง): แนวทางปฏิบัติในการขายสินค้าในช่องทางการขายมากกว่าหนึ่งช่องทาง
P
Payment gateway (เกตเวย์การชําระเงิน): บริการที่อนุมัติและประมวลผลการชําระเงินในธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ
Pro forma invoice (ใบแจ้งราคา): ใบแจ้งหนี้ที่ส่งไปยังผู้ซื้อก่อนการจัดส่งสินค้า โดยแสดงรายละเอียดชนิดและปริมาณสินค้าที่จะส่ง
R
- Rules of origin (กฎต้นทาง): เงื่อนไขที่ใช้เพื่อกําหนดประเทศที่ผลิตสินค้า กฎเหล่านี้มีความสําคัญสําหรับการใช้นโยบายการค้า เช่น ภาษีและโควตา
S
Supply chain management -SCM (การจัดการซัพพลายเชน): การจัดการการไหลของสินค้าและบริการ ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการทั้งหมดที่เปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย
Stock keeping unit - SKU (หน่วยในการจัดเก็บสินค้า): รหัสระบุเฉพาะสําหรับแต่ละผลิตภัณฑ์และบริการที่ต่างกัน
T
Tariff (ภาษีสินค้า): ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากสินค้าหรือบริการที่นําเข้าจากประเทศอื่นๆ
Trade barrier (อุปสรรคทางการค้า): กฎระเบียบหรือนโยบายที่จํากัดการค้าระหว่างประเทศ
V
- Value-added tax - VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม): ภาษีจากยอดเงินที่เพิ่มมูลค่าของสินค้าในแต่ละขั้นของการผลิตหรือการจัดจำหน่าย
W
- Warehousing (การจัดการคลังสินค้า): กระบวนการจัดเก็บสินค้าภายในอาคารพาณิชย์เพื่อรองรับการนําเข้า การส่งออก การขายส่ง หรือการจัดจําหน่ายจํานวนมาก
มาร์เก็ตเพลสที่ควรพิจารณา
เมื่อเลือกมาร์เก็ตเพลสสําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ลองพิจารณาความต้องการและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ เลือกมาร์เก็ตเพลสที่มีตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาคที่คุณเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอยู่และเลือกแพลตฟอร์มที่สนับสนุนประเภทผลิตภัณฑ์และภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณ ประเมินค่าใช้จ่ายในการแสดงรายการสินค้าและการขายในแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึงค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมการจัดส่ง รวมทั้งประเมินการสนับสนุนแบ็กเอนด์ ความสะดวกในการตั้งค่า และระดับการบริการลูกค้าที่มาร์เก็ตเพลสมีให้
ต่อไปนี้คือรายละเอียดของมาร์เก็ตเพลสออนไลน์หลักๆ สําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและสิ่งที่มาร์เก็ตเพลสเหล่านี้นำเสนอ
Amazon: Amazon มีตัวตนอันแข็งแกร่งในระดับโลก โดยมีแพลตฟอร์มเฉพาะสําหรับสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น และอื่นๆ อีกมากมาย มาร์เก็ตเพลสนี้เหมาะสําหรับผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย และของใช้ในบ้าน คุณสมบัติหลักๆ ได้แก่ ลอจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง (ดําเนินการตามคําสั่งซื้อโดย Amazon) ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และสิทธิประโยชน์สมาชิก Prime
eBay: eBay มีตัวตนอยู่ในทั่วโลกในกว่า 190 ตลาด มาร์เก็ตเพลสนี้เหมาะสําหรับสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ใหม่ไปจนถึงสินค้ามือสองและของสะสม ฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่ โมเดลการขายแบบประมูล นอกเหนือไปจากการแสดงผลิตภัณฑ์แบบมาตรฐานและหมวดหมู่ที่หลากหลาย
Alibaba/AliExpress: Alibaba/AliExpress เน้นที่ประเทศจีนโดยมีตัวตนในระดับสากลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมาะที่สุดสําหรับผู้ผลิตและการขายแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) อย่างไรก็ตาม Alibaba ก็เป็นที่นิยมสําหรับโมเดลธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) โดยมีผู้ซื้อที่ใช้งานอยู่กว่า 200 ล้านรายทั่วโลก ฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่ การเข้าถึงฐานผู้ผลิตขนาดใหญ่และตัวเลือกการซื้อจํานวนมาก
Rakuten: Rakuten มีตลาดอันแข็งแกร่งในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีตัวตนอยู่ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และส่วนอื่นๆ ของเอเชีย มาร์เก็ตเพลสนี้เหมาะสําหรับผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ คล้ายกับ Amazon แต่เน้นที่ลูกค้าในญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่ ระบบสะสมคะแนนและหน้าร้านที่ปรับแต่งตามบุคคลสําหรับผู้ขาย
Etsy: Etsy มีตัวตนระดับโลกที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย เหมาะที่สุดสําหรับสินค้าแฮนด์เมด สินค้าวินเทจ และงานฝีมือ มาร์เก็ตเพลสนี้เป็นที่รู้จักในด้านการส่งเสริมช่างฝีมือและศิลปิน และมีสภาพแวดล้อมในลักษณะชุมชนที่มีความแข็งแกร่ง
Mercado Libre: Mercado Libre ครองตลาดในลาตินอเมริกา รวมถึงเม็กซิโก บราซิล และอาร์เจนตินา เหมาะที่สุดสําหรับผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งคล้ายกับ Amazon และมีระบบการชําระเงินแบบผสานรวม (Mercado Pago) และบริการลอจิสติกส์
Shopee: Shopee มีตัวตนที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน และกําลังขยายตัวตนในลาตินอเมริกา เหมาะที่สุดสําหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แฟชั่น สินค้าภายในบ้าน และอีกมากมาย ฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่ เป็นมาร์เก็ตเพลสที่เน้นการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ มีการจัดส่งฟรี และมีการสนับสนุนด้านการส่งเสริมการขายสําหรับผู้ขาย
JD.com: JD.com อยู่ในจีนป็นส่วนใหญ่ โดยมีตัวเลือกการจัดส่งระหว่างประเทศบ้าง เหมาะที่สุดสําหรับสินค้าคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสินค้าหรูหรา รวมถึงโมเดลการขายโดยตรง การควบคุมคุณภาพที่เข้มแข็ง และโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
Zalando: Zalando มุ่งเน้นไปที่ยุโรปเป็นหลักและเหมาะที่สุดสําหรับผลิตภัณฑ์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ฟีเจอร์ต่างๆ รวมถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่สนใจในแฟชั่น และการเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ท้องถิ่นและต่างประเทศ
Cdiscount: Cdiscount มีตัวตนที่แข็งแกร่งในฝรั่งเศส โดยมีการให้บริการไปยังตลาดยุโรปอื่นๆ เหมาะที่สุดสําหรับผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท คล้ายกับ Amazon โดยเน้นที่ลูกค้าในฝรั่งเศส ฟีเจอร์หลักได้แก่ ค่าบริการที่แข่งขัน ได้ การสนับสนุนสําหรับผู้ขายที่เข้มแข็ง และโปรแกรมสะสมคะแนน
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ