วิธีการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ทำไมเว็บไซต์จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การมองเห็นและการเข้าถึงบนโลกออนไลน์
    2. ความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ
    3. การตลาดและการสร้างแบรนด์
    4. การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนของลูกค้า
    5. การเติบโตของยอดขายและรายได้
    6. การรวบรวมข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า
    7. ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
  3. วิธีการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การวางแผนกลยุทธ์เว็บไซต์ของคุณ
    2. การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
    3. ประเภทของแพลตฟอร์ม
    4. ข้อควรพิจารณา
    5. การจดทะเบียนชื่อโดเมน
    6. การเลือกโฮสต์เว็บ
    7. การออกแบบเว็บไซต์ของคุณ
    8. การสร้างเนื้อหาที่แข็งแกร่ง
    9. การใช้ฟีเจอร์และฟังก์ชันหลัก
    10. การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับโปรแกรมค้นหา
    11. การทดสอบและเปิดตัวเว็บไซต์
  4. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กควรลองสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ธุรกิจ โดยการสำรวจพบว่า 73% ของธุรกิจขนาดเล็กต่างมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองในปี 2022 และ 86% ของธุรกิจที่ไม่มีเว็บไซต์ก็กล่าวว่าได้วางแผนที่จะสร้างเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์ที่แข็งแกร่งนั้นจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กถูกพบเห็น มีความน่าเชื่อถือ และมีส่วนร่วมจากลูกค้ามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้

ต่อไปนี้เราจะอธิบายว่าเหตุใดเว็บไซต์จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ รวมถึงวิธีวางแผน ออกแบบ และสร้างเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กที่ดึงดูดลูกค้าได้

เนื้อหาหลักในบทความ

  • ทำไมเว็บไซต์จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็ก
  • วิธีการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

ทำไมเว็บไซต์จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็ก

ธุรกิจขนาดเล็กที่มีเว็บไซต์สามารถดึงดูดลูกค้า สร้างยอดขายออนไลน์ และรวบรวมข้อมูลลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ลองดูเหตุผลต่างๆ ที่เว็บไซต์มีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็กกัน

การมองเห็นและการเข้าถึงบนโลกออนไลน์

  • มีตัวตนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน: เว็บไซต์จะออนไลน์อยู่เรื่อยๆ ทำให้ลูกค้าสามารถพบเจอเว็บและโต้ตอบกับธุรกิจได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ลูกค้าจะคาดหวังการเข้าถึงข้อมูลและบริการอย่างทันท่วงทีตลอดเวลา

  • ไปให้ไกลกว่าแค่ในประเทศ: เว็บไซต์ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นนอกเหนือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

ความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ

  • ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องตามกฎหมาย: เว็บไซต์ที่เป็นมืออาชีพมักเป็นตัวบ่งชี้แรกที่ลูกค้ามองเห็นถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจ โดยผู้ที่อาจลูกค้าอาจเกิดความเคลือบแคลงใจของธุรกิจเมื่อไม่พบเว็บไซต์ของธุรกิจนั้นๆ

  • ความปลอดภัย: สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ เว็บไซต์มืออาชีพ จะทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการกรอกรายละเอียดการชำระเงินนั้นปลอดภัย

การตลาดและการสร้างแบรนด์

  • การเล่าเรื่องแบบควบคุม: เว็บไซต์ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมการเล่าเรื่องและภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ โดยเว็บไซต์เป็นแพลตฟอร์มสำหรับอธิบายคุณค่าที่ธุรกิจมอบให้ แชร์คำรับรองจากลูกค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าออนไลน์ได้แล้ว การจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการยังเป็นเหตุผลหลักที่บริษัทต่างๆ สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาอีกด้วย

  • SEO และการค้นพบบนโลกออนไลน์: เว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา (SEO) เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา โดยดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกและลูกค้าเป้าหมาย

การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนของลูกค้า

  • ศูนย์รวมข้อมูล: เว็บไซต์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ รายละเอียดการติดต่อ และชั่วโมงการทำงาน ช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

  • การสนับสนุนลูกค้า: เว็บไซต์สามารถให้การสนับสนุนลูกค้าในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น การแชทสด คำถามที่พบบ่อย หรือแบบฟอร์มติดต่อ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าโดยรวม

การเติบโตของยอดขายและรายได้

  • ศักยภาพด้านอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจที่ขายสินค้าสามารถเพิ่มร้านค้าออนไลน์ลงในเว็บไซต์ได้ ซึ่งจะสร้างโอกาสด้านอีคอมเมิร์ซและขยายช่องทางการขายของธุรกิจเพื่อการเติบโตของรายได้

  • ลดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ: เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าร้านจริง เว็บไซต์สามารถเป็นวิธีที่คุ้มต้นทุนมากกว่าในการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง

การรวบรวมข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า

  • เครื่องมือวิเคราะห์: เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์สามารถรวบรวมข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้เข้าชม ความชอบ และข้อมูลประชากร

  • การตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย: ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการวิเคราะห์เว็บไซต์ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสร้างแคมเปญการตลาดแบบกำหนดเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน

  • การรักษาความสามารถในการแข่งขัน: ในหลายอุตสาหกรรม เว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้

  • โอกาสทางนวัตกรรม: เว็บไซต์เป็นแพลตฟอร์มที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างสรรค์สำหรับการนำไปใช้ เช่น การตลาดเนื้อหา การโฆษณาออนไลน์ และการผสานการทำงานกับโซเชียลมีเดีย

วิธีการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

ธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังคิดอยู่ว่าควรสร้างเว็บไซต์หรือไม่ ควรเริ่มต้นด้วยการคิดถึงเป้าหมายของเว็บไซต์นั้นๆ รวมถึงประเภทของลูกค้าที่ต้องการดึงดูด จากนั้นก็ต้องเลือกแพลตฟอร์ม ชื่อโดเมน และโฮสต์เว็บที่เหมาะสม โดยภาพรวมของวิธีสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กมีดังนี้

การวางแผนกลยุทธ์เว็บไซต์ของคุณ

การสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กเริ่มต้นด้วยการสร้างแผนกลยุทธ์ที่กำหนดรากฐานสำหรับการตัวตนบนโลกออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีขั้นตอนสำคัญหลายประการในการสร้างแผนดังนี้

  • กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์: เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายของเว็บไซต์ที่คุณต้องการ ให้ถามตัวเองว่าคุณอยากจะขายสินค้า สร้างโอกาสในการขาย ให้ข้อมูล หรือเพิ่มการสนับสนุนลูกค้า วัตถุประสงค์ที่ว่านี้จะเป็นแนวทางให้กับการตัดสินใจอื่นๆ ในกระบวนการสร้างเว็บไซต์

  • เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ: รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับใคร และคนกลุ่มนั้นต้องการสิ่งใด ชอบอะไร และมีพฤติกรรมบนออนไลน์เป็นแบบไหน เพราะความรู้นี้จะกำหนดการออกแบบ เนื้อหา และฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

  • วิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง: ดูว่าคู่แข่งทำอะไรกับเว็บไซต์ของพวกเขาบ้าง ระบุสิ่งที่ได้ผลดีและสิ่งที่ไม่ได้ผล เพราะการวิจัยนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบเว็บไซต์และฟังก์ชันการทำงานของคุณเอง ซึ่งช่วยสร้างความโดดเด่นในตลาด

  • เลือกองค์ประกอบการสร้างแบรนด์: เว็บไซต์ของคุณควรสะท้อนอัตลักษณ์ของแบรนด์ของธุรกิจ เช่น โลโก้ โทนสี และน้ำเสียง การสร้างแบรนด์ที่สอดคล้องกันในทุกช่องทางจะทำให้ลูกค้าจดจำได้และเชื่อใจ

  • วางแผนโครงสร้างเว็บไซต์: ร่างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงการกำหนดจำนวนหน้าที่ต้องการและวัตถุประสงค์ (เช่น หน้าแรก เกี่ยวกับเรา บริการ/ผลิตภัณฑ์ การติดต่อ) โครงสร้างเชิงตรรกะจะช่วยให้ประสบการณ์ของผู้ใช้มีคุณภาพมากขึ้น

  • กำหนดงบประมาณ: เลือกว่าคุณยินดีลงทุนไปกับการสร้างเว็บไซต์มากเท่าไร โดยค่าใช้จ่ายที่ว่านี้อาจประกอบไปด้วยการออกแบบเว็บ โฮสติ้ง การจดทะเบียนโดเมน การบำรุงรักษา และการสร้างเนื้อหา

  • อย่าลืมการขยายขนาดในอนาคต: ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ให้เลือกโซลูชันที่ปรับขนาดและปรับเปลี่ยนได้ เพราะจะช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงขนาด ฟังก์ชัน หรือเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ในอนาคต

  • กำหนดลำดับเวลา: กำหนดลำดับเวลาที่สมจริงเพื่อพัฒนาและเปิดตัวเว็บไซต์ โดยจะช่วยให้คุณจัดการโปรเจกต์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นที่จะเปิดตัวเว็บไซต์อย่างจริงจัง

  • เลือกว่าจะทำเองหรือขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับทักษะและงบประมาณของคุณ คุณต้องเลือกว่าจะสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองหรือจ้างมืออาชีพ ซึ่งแต่ละตัวเลือกก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป เช่น การจ้างผู้เชี่ยวชาญมักแพงกว่า แต่ก็อาจได้เว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพมากกว่าด้วย

การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของคุณ

แพลตฟอร์มที่คุณเลือกสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กจะส่งผลต่อความสามารถในการใช้งาน ความสามารถในการปรับขนาด และฟังก์ชันการทำงานโดยรวม แพลตฟอร์มประเภทต่างๆ รวมถึงข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับการเลือกมีดังนี้

ประเภทของแพลตฟอร์ม

  • ระบบจัดการเนื้อหา
    ระบบจัดการเนื้อหาหรือ CMS เช่น WordPress, Joomla หรือ Drupal เป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะมีความยืดหยุ่น คุณสมบัติที่หลากหลาย และตัวเลือกที่ปรับแต่งได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมเว็บไซต์ของตนโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดระดับสูง

  • โปรแกรมสร้างเว็บไซต์
    โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ เช่น Wix, Squarespace และ Weebly เป็นทางเลือกที่สะดวก โดยมีคุณสมบัติการลากและวาง รวมถึงเทมเพลตที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า วิธีนี้เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือธุรกิจที่ต้องการเว็บไซต์ที่เรียบง่ายและดึงดูดลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
    หากเป้าหมายหลักของคุณคือการขายออนไลน์ ให้ลองเลือกแพลตฟอร์ม เช่น Shopify, Adobe Commerce (ชื่อเดิม Magento) หรือ BigCommerce เพราะตัวเลือกเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและมีคุณสมบัติต่างๆ เช่น ตะกร้าสินค้า การประมวลผลการชำระเงิน และการจัดการสินค้าคงคลัง

ข้อควรพิจารณา

  • ระดับทักษะทางเทคนิคของคุณ
    คุณควรเลือกโดยพิจารณาว่าคุณใช้งานเทคโนโลยีเก่งมากแค่ไหน แม้แพลตฟอร์ม CMS จะสามารถปรับแต่งได้มากกว่า แต่ก็ต้องเรียนรู้มากกว่าเช่นกัน ส่วนโปรแกรมสร้างเว็บไซต์นั้นใช้งานง่ายกว่า แต่ก็อาจยืดหยุ่นน้อยกว่าด้วย

  • ความต้องการด้านการปรับแต่ง
    กำหนดว่าเว็บไซต์ของคุณจะต้องปรับแต่งมากน้อยเพียงใด หากต้องการฟังก์ชันเฉพาะหรือการออกแบบที่กำหนดเอง CMS ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากต้องการเว็บไซต์มาตรฐานทั่วๆ ไป โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ก็อาจเหมาะกว่า

  • ความสามารถในการขยาย
    พิจารณาว่าเว็บไซต์ที่สร้างนั้นจะเติบโตอย่างไรในอนาคต บางแพลตฟอร์มอาจเหมาะกับการปรับขนาด การเข้าชมที่มากขึ้น และการอัปเดตเนื้อหาบ่อยขึ้น

  • ขีดความสามารถด้าน SEO
    ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มรองรับแนวทางปฏิบัติ SEO ที่แข็งแกร่งหรือไม่ คุณสมบัติต่างๆ เช่น ความสามารถในการแก้ไขเมตาแท็ก ใช้ URL ที่ง่ายต่อการค้นหา และผสานรวมกับ Google Analytics ถือว่ามีความสำคัญ

  • ตัวเลือกการผสานการทำงาน
    หากต้องการให้เว็บไซต์ผสานรวมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น ระบบ CRM ซอฟต์แวร์การตลาดผ่านอีเมล หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ให้ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มที่ต้องการรองรับการผสานการทำงานกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่

  • ฟีเจอร์ความปลอดภัย
    ความปลอดภัยมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ให้ตรวจสอบว่ามีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยใดบ้าง เช่น ใบรับรอง Secure Sockets Layer (SSL)การอัปเดตเป็นประจำ และความสามารถในการสำรองข้อมูล

  • นัยสำคัญด้านค่าใช้จ่าย
    วิเคราะห์ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแต่ละแพลตฟอร์ม บางแพลตฟอร์มอาจมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสูงกว่า ในขณะที่บางรายอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย

  • การตอบสนองต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่
    ลูกค้าต่างก็หันมาใช้สมาร์ทโฟนสำหรับการท่องเว็บกันมากขึ้นทุกวัน คุณควรตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีเทมเพลตที่ตอบสนองต่อมือถือได้ดีหรือไม่

  • บทวิจารณ์และคำรับรอง
    มองหาบทวิจารณ์หรือคำรับรองจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กรายอื่น เพราะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและการบริการลูกค้าของแพลตฟอร์มนั้นได้

  • การทดสอบแพลตฟอร์ม
    หลายแพลตฟอร์มเปิดโอกาสให้คุณได้ทดลองใช้งานฟรี ให้อาศัยโอกาสนี้เพื่อสำรวจฟีเจอร์ต่างๆ และการใช้งานก่อนตัดสินใจ

การจดทะเบียนชื่อโดเมน

ชื่อโดเมนของเว็บไซต์ควรสั้น เรียบง่าย และจดจำง่าย สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกและจดทะเบียนชื่อโดเมนได้แก่

  • เลือกชื่อโดเมนที่เกี่ยวข้องและน่าจดจำ: ชื่อโดเมนควรจดจำง่าย สะกดง่าย และเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ อีกทั้งควรสะท้อนถึงตัวตนของแบรนด์และเป็นธรรมชาติสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ

  • ตรวจสอบว่าโดเมนนั้นว่างหรือไม่: ใช้แพลตฟอร์มการจดทะเบียนโดเมน เช่น GoDaddy, Namecheap หรือ Squarespace เพื่อตรวจสอบว่าชื่อโดเมนที่คุณต้องการนั้นถูกนำไปใช้แล้วหรือยัง ให้เตรียมทางเลือกอื่นเอาไว้ด้วยในกรณีที่ตัวเลือกแรกของคุณถูกผู้อื่นนำไปใช้แล้ว

  • เลือกนามสกุลโดเมนที่เหมาะสม: แม้ว่า .com จะเป็นนามสกุลที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด แต่ก็มีนามสกุลอื่นๆ อีกมากมาย เช่น .net, .biz, .org หรือนามสกุลเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น .tech หรือ .fashion ให้เลือกส่วนขยายที่เหมาะกับประเภทธุรกิจและตำแหน่งที่ตั้ง

  • สั้นและเรียบง่ายไว้ก่อน: โดยทั่วไปแล้วโดเมนสั้นๆ จะดีกว่าเพราะพิมพ์ง่ายกว่าและมีแนวโน้มที่จะพิมพ์ผิดยากกว่า

  • เลี่ยงยัติภังค์และตัวเลข: ยัติภังค์และตัวเลขอาจทำให้ชื่อโดเมนซับซ้อนและพูดออกมาเป็นคำๆ ได้ยาก

  • นึกถึงการสร้างแบรนด์ในระยะยาว: ลองนึกดูว่าชื่อโดเมนที่เลือกจะเข้ากับแบรนด์ของคุณในระยะยาวอย่างไร การเปลี่ยนโดเมนในภายหลังอาจยุ่งยากและเป็นอันตรายต่อการจดจำแบรนด์ของคุณ

  • ตรวจสอบเครื่องหมายการค้า: ตรวจสอบว่าชื่อโดเมนที่เลือกไม่ละเมิดเครื่องหมายการค้าที่มีอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย

  • จดทะเบียนโดเมนของคุณ: เมื่อเลือกชื่อโดเมนได้แล้ว ให้จดทะเบียนผ่านผู้รับจดทะเบียนที่เชื่อถือได้ โดยลองจดทะเบียนโดเมนที่คล้ายกันเพื่อปกป้องแบรนด์ของคุณด้วย

การเลือกโฮสต์เว็บ

บริการเว็บโฮสติ้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการบำรุงรักษาเว็บไซต์และทำให้สามารถเข้าถึงเว็บนั้นๆ ได้บนโลกออนไลน์ วิธีประเมินโฮสต์เว็บมีดังนี้

  • กำหนดความต้องการด้านโฮสติ้ง: การเลือกโฮสติ้งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดของเว็บไซต์ ปริมาณการเข้าชมที่คาดหวัง และระดับการควบคุมทางเทคนิคที่ต้องการ

  • เข้าใจโฮสติ้งประเภทต่างๆ:

    • โฮสติ้งแบบแชร์: เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง คุ้มค่า แต่ต้องแชร์ทรัพยากรกับเว็บไซต์อื่นบนเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน
    • โฮสติ้ง VPS (Virtual Private Server): ช่วยให้สามารถควบคุมและมีทรัพยากรเฉพาะได้มากขึ้น เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่กำลังเติบโตหรือมีการเข้าชมปริมาณปานกลาง
    • โฮสติ้งแบบเฉพาะ: มีทั้งเซิร์ฟเวอร์ให้เว็บไซต์ของคุณใช้งาน แพงกว่าแต่ให้การควบคุมและประสิทธิภาพสูงสุด
    • โฮสติ้งแบบคลาวด์: ให้ความสามารถในการปรับขนาดเมื่อเว็บไซต์เติบโตขึ้น คุณจ่ายเงินสำหรับทรัพยากรที่ใช้ และโดยทั่วไปแล้วเชื่อถือได้
  • ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและระยะเวลาให้บริการ: เลือกโฮสต์ที่มีชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือและคะแนนความพร้อมใช้งานสูง โดยเว็บไซต์ของคุณต้องสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา

  • ความเร็วและประสิทธิภาพConsider: เวลาในการโหลดเว็บไซต์มีความสำคัญต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และ SEO เลือกโฮสต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพที่รวดเร็ว

  • ประเมินการช่วยเหลือลูกค้า: ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการโฮสติ้งมีการช่วยเหลือลูกค้าในระดับสูงหรือไม่ ระบบช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันถือว่ายอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นผู้ที่ไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยี

  • ตรวจสอบฟีเจอร์ความปลอดภัย: มองหาโฮสต์ที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่รัดกุม เช่น การสำรองข้อมูลเป็นประจำ การสแกนมัลแวร์ และไฟร์วอลล์

  • ประเมินความสามารถในการปรับขนาด: โฮสต์ของคุณควรจะสามารถรองรับการเติบโตของเว็บไซต์และการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

  • เทียบราคา: เปรียบเทียบแผนการกำหนดราคาของโฮสต์รายต่างๆ คอยระวังค่าใช้จ่ายแอบแฝงและรู้ว่าแต่ละแผนมีอะไรบ้าง

การออกแบบเว็บไซต์ของคุณ

การออกแบบเว็บไซต์ของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าลูกค้าดูเว็บไซต์และบริษัทของคุณอย่างไร โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับขั้นตอนการออกแบบดังนี้

  • กำหนดเลย์เอาต์ที่ใช้งานง่าย:

    • การนำทาง: ออกแบบเว็บไซต์ให้มีการนำทางที่ใช้งานง่าย โดยเมนูควรเรียบง่ายและผู้เข้าชมสามารถค้นหาและทำความเข้าใจสะดวกสบาย โดยพาลูกค้าไปยังสิ่งที่ต้องการได้
    • ลำดับชั้น: ใช้ลำดับชั้นของภาพ (visual hierarchy) เพื่อมุ่งความสนใจไปยังองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการใช้หัวเรื่อง สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย และการเว้นวรรค
  • เน้นการออกแบบที่ตอบสนองได้ดี: การออกแบบเว็บไซต์ของคุณต้องตอบสนองได้ดี ซึ่งหมายความว่าสามารถปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอและอุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวก นี่เป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

  • เลือกโทนสีและตัวอักษรที่เหมาะสม: เลือกสีและแบบอักษรที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยควรใช้โทนสีดูน่าพึงพอใจและเข้าถึงได้ ส่วนตัวอักษรต่างๆ ก็ควรอ่านสบายตา

  • สอดแทรกด้วยรูปภาพและกราฟิกความคมชัดสูง: ใช้รูปภาพและกราฟิกความคมชัดสูงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้น องค์ประกอบภาพเหล่านี้สามารถถ่ายทอดข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ต้องคำนึงถึงเวลาในการโหลดและปรับรูปภาพให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานเว็บด้วยเช่นกัน

  • มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): ให้ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก ประสบการณ์ของผู้ใช้ควรราบรื่นและน่ามีส่วนร่วม โดยกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้นและสำรวจสิ่งต่างๆ มีเลย์เอาต์ที่ไม่เกะกะ เวลาในการโหลดที่รวดเร็ว และคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ที่ชัดเจน

  • นำองค์ประกอบการสร้างแบรนด์มาใช้: ใช้โลโก้ จานสี และสไตล์ของแบรนด์อย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งเว็บไซต์ ความสม่ำเสมอนี้ช่วยเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์และช่วยให้จดจำแบรนด์ได้

  • เพิ่มการเข้าถึงให้มากที่สุด: ตรวจสอบว่าผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ รวมถึงผู้ทุพพลภาพด้วย โดยคุณอาจใช้ข้อความแสดงแทนสำหรับรูปภาพ ซึ่งช่วยให้นำทางด้วยโปรแกรมอ่านหน้าจอได้ และการใช้โทนสีที่มีความคมชัดสูง (หากจำเป็น)

  • ผสานรวมหลักฐานทางสังคมและสัญญาณความน่าเชื่อถือ: ผนวกองค์ประกอบต่างๆ เช่น คำรับรองจากลูกค้า ใบรับรอง และรางวัล หลักฐานทางสังคมสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้อย่างมาก

  • _เน้นความเร็วในการโหลด: _ ทดสอบและเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นประจำ เช่น การปรับแต่งรูปภาพ การใช้ประโยชน์จากแคชของเบราว์เซอร์ และการลดการใช้สคริปต์หนักๆ เนื่องจากความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสบการณ์ผู้ใช้และ SEO

  • วางแผนเพื่อความสามารถในการปรับขนาด: ออกแบบเว็บไซต์ของคุณโดยคำนึงถึงการเติบโตในอนาคต โดยควรมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับเนื้อหา ฟีเจอร์ หรือฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ

  • ขอคำติชมจากผู้เชี่ยวชาญหรือจ้างนักออกแบบ: หากคุณไม่มีทักษะการออกแบบเว็บไซต์ ให้ลองจ้างนักออกแบบเว็บไซต์มืออาชีพ เพราะพวกเขาสามารถนำเสนอความเชี่ยวชาญที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก

  • ตรวจสอบว่าทุกหน้าเว็บมีความสอดคล้องกัน: แต่ละหน้าบนเว็บไซต์ควรมีองค์ประกอบการออกแบบที่สอดคล้องกัน เนื่องจากความสม่ำเสมอนี้จะสร้างรูปลักษณ์ที่เชื่อมโยงกัน

  • ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม: ขอคำติชมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เช่น สมาชิกในทีมและผู้ที่อาจเป็นลูกค้า เพื่อตรวจสอบว่าการออกแบบตรงตามความต้องการและความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น

การสร้างเนื้อหาที่แข็งแกร่ง

เนื้อหาที่น่าสนใจจะดึงดูดลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามายังเว็บไซต์ ทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ วิธีการสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้

  • _สร้างคอนเทนต์ด้วยอัตลักษณ์ของแบรนด์: _ กำหนดเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของแบรนด์ให้สอดคล้องและโดนใจกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบมืออาชีพ เป็นกันเอง ให้ข้อมูล หรือแบบสบายๆ ก็ใส่เอกลักษณ์เหล่านี้ลงไปในเนื้อหาทั้งหมดของคุณ

  • โฟกัสที่ความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย: เขียนเนื้อหาที่ตอบคำถาม จัดการความต้องการ และแก้ปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย เพราะพวกเขามีแนวโน้มที่จะมองว่าเนื้อหาประเภทนี้มีคุณค่าและน่าสนใจ

  • ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและความเกี่ยวข้อง: เนื้อหาทั้งหมดควรเขียนออกมาเป็นอย่างดี ถูกต้อง และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เนื้อหาคุณภาพสูงดึงดูดผู้อ่านและสร้างธุรกิจของคุณให้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในอุตสาหกรรมของคุณ

  • สร้างลำดับชั้นของเนื้อหา: จัดโครงสร้างเนื้อหาของคุณเพื่อช่วยนำทางผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์ ใช้หัวเรื่อง หัวเรื่องย่อย และสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยเพื่อทำให้ข้อมูลง่ายต่อการกวาดตามองและทำความเข้าใจ

  • ใช้รูปแบบเนื้อหาที่หลากหลาย: ใช้รูปแบบที่หลากหลายเพื่อให้เนื้อหาของคุณไม่จำเจ เช่น บล็อก วิดีโอ อินโฟกราฟิก พอดแคสต์ หรือกรณีศึกษา รูปแบบต่างๆ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และช่วยอธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ใส่คำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA): ชี้นำให้ผู้เข้าชมทำสิ่งที่ต้องการโดยอาศัย CTA ไม่ว่าจะเป็นการสมัครรับจดหมายข่าว ดาวน์โหลดคู่มือ หรือการซื้อ ปุ่ม CTA ก็ควรมีความชัดเจนและโน้มน้าวใจได้

  • ใช้เนื้อหาที่สดใหม่และอัปเดตอยู่เสมอ: อัปเดตเว็บไซต์เป็นประจำให้มีเนื้อหาที่สดใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงการเพิ่มบล็อกโพสต์ใหม่ อัปเดตข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือแก้ไขหน้าสำคัญๆ เพื่อให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

  • บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์: ใช้เนื้อหาของคุณเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ บอกเล่าต้นกำเนิด ภารกิจ และค่านิยมของคุณ เพราะการเล่าเรื่องสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

  • สอดแทรกคำรับรองและบทวิจารณ์จากลูกค้า: คำรับรองและบทวิจารณ์จากลูกค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ ให้ใส่องค์ประกอบเหล่านี้ไว้ในจุดที่เกี่ยวข้องเพื่อให้หลักฐานทางสังคมเกี่ยวกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ

  • สร้างเนื้อหาที่นำไปแชร์ต่อได้: เพิ่มปุ่มแชร์ผ่านช่องทางโซเชียลและกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมแชร์เนื้อหาของคุณ เพราะสิ่งนี้สามารถเพิ่มการเข้าถึงและเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

  • ทำให้น่าสนใจโดยใช้องค์ประกอบภาพและอินเทอร์แอกทีฟ: ใช้ภาพ วิดีโอ หรือองค์ประกอบอินเทอร์แอกทีฟที่เกี่ยวข้องคั่นเนื้อหาข้อความ เพราะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนเข้าใจได้ง่ายขึ้น

  • ใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง: ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อทำให้เนื้อหาน่าสนใจและน่าจดจำมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้ตัวอย่างในชีวิตจริง การสร้างสถานการณ์ที่เข้าใจได้ หรือการร้อยเรียงเรื่องราวที่อธิบายประเด็นต่างๆ ของคุณ

  • ให้มืออาชีพช่วยแก้ไขและการตรวจทานเนื้อหา: ให้มืออาชีพแก้ไขและตรวจทานเนื้อหาของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

การใช้ฟีเจอร์และฟังก์ชันหลัก

การผสานรวมฟีเจอร์และฟังก์ชันที่เหมาะสมในเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลโดยรวมได้อย่างมาก ภาพรวมของสิ่งที่คุณควรพิจารณามีดังนี้

  • ข้อมูลติดต่อ
    แสดงข้อมูลติดต่อให้เด่นชัด เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล และตำแหน่งที่ตั้งจริง (หากมี) ให้ลองใส่แบบฟอร์มการติดต่อเพื่อการสื่อสารที่สะดวกไว้ด้วย

  • การผสานการทำงานกับโซเชียลมีเดีย
    ใส่ปุ่มโซเชียลมีเดียเพื่อส่งเสริมการแชร์และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ลองใส่ฟีดโซเชียลมีเดียล่าสุดลงในเว็บไซต์ของคุณด้วย

  • ฟังก์ชันอีคอมเมิร์ซ (หากมี)
    สำหรับการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ ให้ผสานการทำงานฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ เช่น ตะกร้าสินค้า หน้าสินค้า กระบวนการชำระเงินที่ปลอดภัย และเกตเวย์การชำระเงิน

  • การผสานการทำงานกับ CRM
    ผสานเว็บไซต์ของคุณเข้ากับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) เพื่อติดตามและจัดการการโต้ตอบกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

  • ข้อมูลวิเคราะห์และการติดตาม
    ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าชม แหล่งที่มาของการเข้าชม และเมตริกที่สำคัญอื่นๆ โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการรู้จักกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์

  • ผสานการลงทะเบียนรับอีเมลและจดหมายข่าว
    เพิ่มตัวเลือกให้ผู้เข้าชมสามารถจดหมายข่าวหรืออัปเดตทางอีเมล นี่เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์ในการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าสำหรับการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ให้ผสานเว็บไซต์ของคุณเข้ากับซอฟต์แวร์การตลาดทางอีเมลเพื่อดึงดูดลูกค้าเป้าหมายและดูแลลูกค้าผ่านลำดับอีเมลอัตโนมัติ

  • คำรับรองและบทวิจารณ์
    แสดงคำรับรองจากลูกค้า กรณีศึกษา และบทวิจารณ์ เพื่อให้ผู้ที่อาจเป็นลูกค้าน่าเชื่อถือและไว้วางใจ

  • สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความไว้วางใจ
    แสดงใบรับรอง รางวัล หรือการรับรองที่ธุรกิจของคุณได้รับ

  • ส่วนคำถามที่พบบ่อย
    ส่วนคำถามที่พบบ่อยสามารถให้คำตอบอย่างรวดเร็วสำหรับคำถามทั่วไป ซึ่งช่วยประหยัดเวลาสำหรับทั้งคุณและลูกค้า

  • ฟีเจอร์การช่วยการเข้าถึง
    ใช้ฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ รวมถึงผู้ทุพพลภาพ เช่น ฟังก์ชันการอ่านออกเสียงข้อความ การนำทางด้วยแป้นพิมพ์ และตัวเลือกภาพความคมชัดสูง

  • รองรับภาษาที่หลากหลาย (หากทำได้)
    หากกลุ่มเป้าหมายของคุณกระจายอยู่ทั่วโลก ให้ลองนำเสนอเนื้อหาในหลายภาษา

การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับโปรแกรมค้นหา

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization สามารถเพิ่มการมองเห็นให้กับธุรกิจขนาดเล็กของคุณได้ การทำ SEO ที่ดีสามารถดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้ โดยการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเว็บไซต์อยู่ใกล้กับอันดับต้นๆ ของหน้าแรก วิธีปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหามีดังนี้

  • การศึกษาคีย์เวิร์ด
    ระบุคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับของคุณ ใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Semrush หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาดีและการแข่งขันค่อนข้างต่ำ คุณยังสามารถเน้นคีย์เวิร์ดแบบหางยาวเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับและดึงดูดการเข้าชมที่มีคุณภาพได้มากขึ้น

  • SEO ในหน้า
    เพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บแต่ละหน้าโดยใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายอย่างเป็นธรรมชาติไว้ในชื่อ หัวเรื่อง คำอธิบายเมตา และเนื้อหา โดยแต่ละหน้าต้องมีชื่อและคำอธิบายที่ไม่ซ้ำกัน

  • เนื้อหาคุณภาพสูง
    สร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูล น่าสนใจ และมีคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมาย โดย Google จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ การอัปเดตเว็บไซต์ให้มีเนื้อหาใหม่ๆ เป็นประจำจึงช่วยได้

  • การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
    ทำให้เว็บไซต์เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพราะ Google จะแสดงเว็บไซต์ที่ตอบสนองต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ดีในผลการค้นหาอันดับต้นๆ

  • ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
    เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์โดยการบีบอัดรูปภาพ ให้ใช้เครื่องมือแคช และลดการใช้สคริปต์ที่หนักหน่วงให้เหลือน้อยที่สุด ใช้เครื่องมือ เช่น Google PageSpeed Insights เพื่อขอคำแนะนำ

  • การลิงก์กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์
    ใช้ลิงก์ภายในอย่างชาญฉลาดเพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณ และกระจายการอนุมัติหน้าไปทั่วทั้งเว็บไซต์

  • ลิงก์ภายนอกและลิงก์ย้อนกลับ
    รับคุณภาพสูง ลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งลิงก์ย้อนกลับเป็นสัญญาณการจัดอันดับที่แข็งแกร่งสำหรับเครื่องมือค้นหา ให้เลี่ยงการสร้างลิงก์ที่น่าสงสัยซึ่งอาจส่งผลเสียต่อ SEO ของคุณ

  • โครงสร้าง URL
    ใช้ URL ที่สื่อความหมาย ตามหลักการแล้ว URL ควรอ่านง่ายและมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

  • เพิ่มประสิทธิภาพของภาพ
    ใช้แท็ก alt เพื่ออธิบายรูปภาพ โดยใส่คีย์เวิร์ดตามความเหมาะสม เพราะจะช่วยปรับปรุงการเข้าถึงและให้บริบทแก่เครื่องมือค้นหา

  • SEO ท้องถิ่น (หากมี)
    สำหรับธุรกิจในท้องถิ่น ให้เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาในท้องถิ่นโดยใส่คีย์เวิร์ดและลิงก์ย้อนกลับในท้องถิ่น ให้ลงทะเบียนกับ Google Business Profile (ชื่อเดิมคือ Google My Business) และเพิ่มธุรกิจของคุณในไดเร็กทอรีในท้องถิ่น

  • ใบรับรอง SSL
    ใช้การเข้ารหัส SSL เพื่อรักษาความปลอดภัยในการถ่ายโอนข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ และยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้เข้าชมอีกด้วย

  • การมาร์กอัปข้อมูลที่มีโครงสร้าง
    ใช้มาร์กอัปสกีมาเพื่อให้เครื่องมือค้นหาได้รับข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาด้วย Rich Snippet

  • การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง
    เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาด้วยเสียงโดยรวมคีย์เวิร์ดและวลีสนทนาที่ผู้คนอาจใช้เมื่อพูดแทนการพิมพ์

  • การตรวจสอบ SEO เป็นประจำ
    ตรวจสอบ SEO เป็นประจำเพื่อระบุและแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ลิงก์เสีย ข้อผิดพลาดในแผนผังไซต์ XML และปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน

  • การติดตามและปรับตัวของการวิเคราะห์
    ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ให้ปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณตามข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมมาได้

การทดสอบและเปิดตัวเว็บไซต์

ก่อนเปิดใช้งานเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก คุณต้องทดสอบเว็บไซต์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้องและมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ โดยมีขั้นตอนการทดสอบและเปิดใช้งานแบบคร่าวๆ ดังนี้

  • การทดสอบฟังก์ชันการทำงาน
    ตรวจสอบฟังก์ชันทั้งหมดของเว็บไซต์ เช่น แบบฟอร์ม กระบวนการชำระเงิน การค้นหา และองค์ประกอบอินเทอร์แอกทีฟ เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ตามที่ตั้งใจไว้

  • การทดสอบความเข้ากันได้กับเบราว์เซอร์
    ทดสอบเว็บไซต์ในเว็บเบราว์เซอร์หลายตัว (เช่น Chrome, Firefox, Safari, Edge) เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์แสดงผลและทำงานได้อย่างถูกต้องในแต่ละเว็บหรือไม่ เพราะความเข้ากันได้ของเบราว์เซอร์เป็นสิ่งสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น

  • ทดสอบการตอบสนองบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
    ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และขนาดหน้าจอที่หลากหลาย เช่น การทดสอบการนำทาง ความสามารถในการอ่านเนื้อหา และการเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญต่างๆ

  • การทดสอบโหลดผู้เข้าชม
    ทดสอบโหลดเพื่อดูว่าเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพอย่างไรภายใต้ปริมาณการเข้าชมที่แตกต่างกัน เนื่องจากจะช่วยระบุและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้

  • การทดสอบลิงก์และการนำทาง
    ลิงก์ทั้งภายในและภายนอกทั้งหมดต้องทำงานอย่างถูกต้อง และเมนูการนำทางทำงานตามที่คาดไว้ เนื่องจากลิงก์เสียอาจทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้แย่ลง

  • ตรวจสอบ SEO
    ทำการตรวจสอบ SEO ขั้นสุดท้าย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา และแท็ก alt และตรวจสอบว่าเนื้อหาทั้งหมดได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับคำหลักที่กำหนดเป้าหมาย

  • ตรวจสอบความปลอดภัย
    ยืนยันว่าได้ติดตั้งฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น ใบรับรอง SSL และทำงานอย่างถูกต้อง

  • การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด
    ตรวจสอบว่าเว็บไซต์เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายในประเทศ เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) (หากมี) นโยบายความเป็นส่วนตัว และความยินยอมให้ใช้คุกกี้

  • ตรวจสอบเนื้อหา
    ตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งการสะกดคำ ไวยากรณ์ และความถูกต้อง ตรวจสอบว่ารูปภาพและองค์ประกอบมัลติมีเดียทั้งหมดได้รับการจัดรูปแบบและปรับให้เหมาะสมอย่างเหมาะสมแล้ว

  • ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX)
    รวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เช่น ขอให้เพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือกลุ่มเป้าหมายสำรวจเว็บไซต์และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของตน

  • การสำรองข้อมูลก่อนการเปิดตัว
    สร้างข้อมูลสำรองเว็บไซต์ก่อนเปิดตัว เพื่อเป็นมาตรการนิรภัยในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นระหว่างหรือหลังจากเปิดตัว

  • กำหนดการวิเคราะห์
    ตรวจสอบว่าเครื่องมือ เช่น Google Analytics หรือระบบติดตามอื่น ๆ ได้รับการตั้งค่าอย่างถูกต้องเพื่อตรวจสอบปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ ทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ ติดตามคอนเวอร์ชัน และระบุจุดที่ปรับปรุงได้

  • แผนการเปิดตัว
    พัฒนาแผนการเปิดตัวซึ่งประกอบด้วยตารางเวลา กิจกรรมทางการตลาดเพื่อส่งเสริมการเปิดตัว และแผนสำหรับการติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทันทีหลังจากเปิดตัว

  • การใช้งานจริง
    เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นและคุณพอใจกับเว็บไซต์แล้ว ให้เริ่มการเปิดตัว อัปเดตการตั้งค่าโดเมนของคุณหากจำเป็น เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณเผยแพร่สู่สาธารณะ

  • การเฝ้าติดตามหลังการเปิดตัว
    คอยติดตามเว็บไซต์อย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดตัว ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ความคิดเห็นของผู้ใช้ และข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิด

  • การทดสอบ A/B
    ทำการทดสอบ A/B เป็นประจำกับองค์ประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น CTA เค้าโครงหน้า และพาดหัว เพื่อเพิ่มคอนเวอร์ชัน

  • วงจรข้อเสนอแนะ
    สร้างกระบวนการรวบรวมและดำเนินการตามความคิดเห็นของลูกค้าเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง

  • การอัปเดตเป็นประจำ
    อัปเดตแพลตฟอร์มเว็บไซต์และปลั๊กอินอยู่เสมอเพื่อป้องกันช่องโหว่

  • คอยอัปเดตให้ทันเทรนด์
    ติดตามการออกแบบเว็บไซต์และเทรนด์การตลาดดิจิทัลล่าสุด เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณทันเหตุการณ์และมีประสิทธิภาพ

เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กควรพัฒนาไปพร้อมกับธุรกิจของคุณและความต้องการของลูกค้าดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้ไปใช้เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการดึงดูดลูกค้า สร้างแบรนด์ และขับเคลื่อนการเติบโต

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas