เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กควรลองสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ธุรกิจ โดยการสำรวจพบว่า 73% ของธุรกิจขนาดเล็กต่างมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองในปี 2022 และ 86% ของธุรกิจที่ไม่มีเว็บไซต์ก็กล่าวว่าได้วางแผนที่จะสร้างเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์ที่แข็งแกร่งนั้นจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กถูกพบเห็น มีความน่าเชื่อถือ และมีส่วนร่วมจากลูกค้ามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้
ต่อไปนี้เราจะอธิบายว่าเหตุใดเว็บไซต์จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ รวมถึงวิธีวางแผน ออกแบบ และสร้างเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กที่ดึงดูดลูกค้าได้
เนื้อหาหลักในบทความ
- ทำไมเว็บไซต์จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็ก
- วิธีการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ทำไมเว็บไซต์จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็ก
ธุรกิจขนาดเล็กที่มีเว็บไซต์สามารถดึงดูดลูกค้า สร้างยอดขายออนไลน์ และรวบรวมข้อมูลลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ลองดูเหตุผลต่างๆ ที่เว็บไซต์มีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็กกัน
การมองเห็นและการเข้าถึงบนโลกออนไลน์
มีตัวตนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน: เว็บไซต์จะออนไลน์อยู่เรื่อยๆ ทำให้ลูกค้าสามารถพบเจอเว็บและโต้ตอบกับธุรกิจได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ลูกค้าจะคาดหวังการเข้าถึงข้อมูลและบริการอย่างทันท่วงทีตลอดเวลา
ไปให้ไกลกว่าแค่ในประเทศ: เว็บไซต์ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นนอกเหนือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
ความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ
ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องตามกฎหมาย: เว็บไซต์ที่เป็นมืออาชีพมักเป็นตัวบ่งชี้แรกที่ลูกค้ามองเห็นถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจ โดยผู้ที่อาจลูกค้าอาจเกิดความเคลือบแคลงใจของธุรกิจเมื่อไม่พบเว็บไซต์ของธุรกิจนั้นๆ
ความปลอดภัย: สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ เว็บไซต์มืออาชีพ จะทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการกรอกรายละเอียดการชำระเงินนั้นปลอดภัย
การตลาดและการสร้างแบรนด์
การเล่าเรื่องแบบควบคุม: เว็บไซต์ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมการเล่าเรื่องและภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ โดยเว็บไซต์เป็นแพลตฟอร์มสำหรับอธิบายคุณค่าที่ธุรกิจมอบให้ แชร์คำรับรองจากลูกค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าออนไลน์ได้แล้ว การจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการยังเป็นเหตุผลหลักที่บริษัทต่างๆ สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาอีกด้วย
SEO และการค้นพบบนโลกออนไลน์: เว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา (SEO) เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา โดยดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกและลูกค้าเป้าหมาย
การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนของลูกค้า
ศูนย์รวมข้อมูล: เว็บไซต์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ รายละเอียดการติดต่อ และชั่วโมงการทำงาน ช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
การสนับสนุนลูกค้า: เว็บไซต์สามารถให้การสนับสนุนลูกค้าในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น การแชทสด คำถามที่พบบ่อย หรือแบบฟอร์มติดต่อ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าโดยรวม
การเติบโตของยอดขายและรายได้
ศักยภาพด้านอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจที่ขายสินค้าสามารถเพิ่มร้านค้าออนไลน์ลงในเว็บไซต์ได้ ซึ่งจะสร้างโอกาสด้านอีคอมเมิร์ซและขยายช่องทางการขายของธุรกิจเพื่อการเติบโตของรายได้
ลดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ: เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าร้านจริง เว็บไซต์สามารถเป็นวิธีที่คุ้มต้นทุนมากกว่าในการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง
การรวบรวมข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า
เครื่องมือวิเคราะห์: เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์สามารถรวบรวมข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้เข้าชม ความชอบ และข้อมูลประชากร
การตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย: ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการวิเคราะห์เว็บไซต์ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสร้างแคมเปญการตลาดแบบกำหนดเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
การรักษาความสามารถในการแข่งขัน: ในหลายอุตสาหกรรม เว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้
โอกาสทางนวัตกรรม: เว็บไซต์เป็นแพลตฟอร์มที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างสรรค์สำหรับการนำไปใช้ เช่น การตลาดเนื้อหา การโฆษณาออนไลน์ และการผสานการทำงานกับโซเชียลมีเดีย
วิธีการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังคิดอยู่ว่าควรสร้างเว็บไซต์หรือไม่ ควรเริ่มต้นด้วยการคิดถึงเป้าหมายของเว็บไซต์นั้นๆ รวมถึงประเภทของลูกค้าที่ต้องการดึงดูด จากนั้นก็ต้องเลือกแพลตฟอร์ม ชื่อโดเมน และโฮสต์เว็บที่เหมาะสม โดยภาพรวมของวิธีสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กมีดังนี้
การวางแผนกลยุทธ์เว็บไซต์ของคุณ
การสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กเริ่มต้นด้วยการสร้างแผนกลยุทธ์ที่กำหนดรากฐานสำหรับการตัวตนบนโลกออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีขั้นตอนสำคัญหลายประการในการสร้างแผนดังนี้
กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์: เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายของเว็บไซต์ที่คุณต้องการ ให้ถามตัวเองว่าคุณอยากจะขายสินค้า สร้างโอกาสในการขาย ให้ข้อมูล หรือเพิ่มการสนับสนุนลูกค้า วัตถุประสงค์ที่ว่านี้จะเป็นแนวทางให้กับการตัดสินใจอื่นๆ ในกระบวนการสร้างเว็บไซต์
เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ: รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับใคร และคนกลุ่มนั้นต้องการสิ่งใด ชอบอะไร และมีพฤติกรรมบนออนไลน์เป็นแบบไหน เพราะความรู้นี้จะกำหนดการออกแบบ เนื้อหา และฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
วิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง: ดูว่าคู่แข่งทำอะไรกับเว็บไซต์ของพวกเขาบ้าง ระบุสิ่งที่ได้ผลดีและสิ่งที่ไม่ได้ผล เพราะการวิจัยนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบเว็บไซต์และฟังก์ชันการทำงานของคุณเอง ซึ่งช่วยสร้างความโดดเด่นในตลาด
เลือกองค์ประกอบการสร้างแบรนด์: เว็บไซต์ของคุณควรสะท้อนอัตลักษณ์ของแบรนด์ของธุรกิจ เช่น โลโก้ โทนสี และน้ำเสียง การสร้างแบรนด์ที่สอดคล้องกันในทุกช่องทางจะทำให้ลูกค้าจดจำได้และเชื่อใจ
วางแผนโครงสร้างเว็บไซต์: ร่างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงการกำหนดจำนวนหน้าที่ต้องการและวัตถุประสงค์ (เช่น หน้าแรก เกี่ยวกับเรา บริการ/ผลิตภัณฑ์ การติดต่อ) โครงสร้างเชิงตรรกะจะช่วยให้ประสบการณ์ของผู้ใช้มีคุณภาพมากขึ้น
กำหนดงบประมาณ: เลือกว่าคุณยินดีลงทุนไปกับการสร้างเว็บไซต์มากเท่าไร โดยค่าใช้จ่ายที่ว่านี้อาจประกอบไปด้วยการออกแบบเว็บ โฮสติ้ง การจดทะเบียนโดเมน การบำรุงรักษา และการสร้างเนื้อหา
อย่าลืมการขยายขนาดในอนาคต: ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ให้เลือกโซลูชันที่ปรับขนาดและปรับเปลี่ยนได้ เพราะจะช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงขนาด ฟังก์ชัน หรือเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ในอนาคต
กำหนดลำดับเวลา: กำหนดลำดับเวลาที่สมจริงเพื่อพัฒนาและเปิดตัวเว็บไซต์ โดยจะช่วยให้คุณจัดการโปรเจกต์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นที่จะเปิดตัวเว็บไซต์อย่างจริงจัง
เลือกว่าจะทำเองหรือขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับทักษะและงบประมาณของคุณ คุณต้องเลือกว่าจะสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองหรือจ้างมืออาชีพ ซึ่งแต่ละตัวเลือกก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป เช่น การจ้างผู้เชี่ยวชาญมักแพงกว่า แต่ก็อาจได้เว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพมากกว่าด้วย
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
แพลตฟอร์มที่คุณเลือกสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กจะส่งผลต่อความสามารถในการใช้งาน ความสามารถในการปรับขนาด และฟังก์ชันการทำงานโดยรวม แพลตฟอร์มประเภทต่างๆ รวมถึงข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับการเลือกมีดังนี้
ประเภทของแพลตฟอร์ม
ระบบจัดการเนื้อหา
ระบบจัดการเนื้อหาหรือ CMS เช่น WordPress, Joomla หรือ Drupal เป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะมีความยืดหยุ่น คุณสมบัติที่หลากหลาย และตัวเลือกที่ปรับแต่งได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมเว็บไซต์ของตนโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดระดับสูงโปรแกรมสร้างเว็บไซต์
โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ เช่น Wix, Squarespace และ Weebly เป็นทางเลือกที่สะดวก โดยมีคุณสมบัติการลากและวาง รวมถึงเทมเพลตที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า วิธีนี้เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือธุรกิจที่ต้องการเว็บไซต์ที่เรียบง่ายและดึงดูดลูกค้าได้อย่างรวดเร็วแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
หากเป้าหมายหลักของคุณคือการขายออนไลน์ ให้ลองเลือกแพลตฟอร์ม เช่น Shopify, Adobe Commerce (ชื่อเดิม Magento) หรือ BigCommerce เพราะตัวเลือกเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและมีคุณสมบัติต่างๆ เช่น ตะกร้าสินค้า การประมวลผลการชำระเงิน และการจัดการสินค้าคงคลัง
ข้อควรพิจารณา
ระดับทักษะทางเทคนิคของคุณ
คุณควรเลือกโดยพิจารณาว่าคุณใช้งานเทคโนโลยีเก่งมากแค่ไหน แม้แพลตฟอร์ม CMS จะสามารถปรับแต่งได้มากกว่า แต่ก็ต้องเรียนรู้มากกว่าเช่นกัน ส่วนโปรแกรมสร้างเว็บไซต์นั้นใช้งานง่ายกว่า แต่ก็อาจยืดหยุ่นน้อยกว่าด้วยความต้องการด้านการปรับแต่ง
กำหนดว่าเว็บไซต์ของคุณจะต้องปรับแต่งมากน้อยเพียงใด หากต้องการฟังก์ชันเฉพาะหรือการออกแบบที่กำหนดเอง CMS ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากต้องการเว็บไซต์มาตรฐานทั่วๆ ไป โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ก็อาจเหมาะกว่าความสามารถในการขยาย
พิจารณาว่าเว็บไซต์ที่สร้างนั้นจะเติบโตอย่างไรในอนาคต บางแพลตฟอร์มอาจเหมาะกับการปรับขนาด การเข้าชมที่มากขึ้น และการอัปเดตเนื้อหาบ่อยขึ้นขีดความสามารถด้าน SEO
ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มรองรับแนวทางปฏิบัติ SEO ที่แข็งแกร่งหรือไม่ คุณสมบัติต่างๆ เช่น ความสามารถในการแก้ไขเมตาแท็ก ใช้ URL ที่ง่ายต่อการค้นหา และผสานรวมกับ Google Analytics ถือว่ามีความสำคัญตัวเลือกการผสานการทำงาน
หากต้องการให้เว็บไซต์ผสานรวมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น ระบบ CRM ซอฟต์แวร์การตลาดผ่านอีเมล หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ให้ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มที่ต้องการรองรับการผสานการทำงานกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ฟีเจอร์ความปลอดภัย
ความปลอดภัยมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ให้ตรวจสอบว่ามีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยใดบ้าง เช่น ใบรับรอง Secure Sockets Layer (SSL)การอัปเดตเป็นประจำ และความสามารถในการสำรองข้อมูลนัยสำคัญด้านค่าใช้จ่าย
วิเคราะห์ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแต่ละแพลตฟอร์ม บางแพลตฟอร์มอาจมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสูงกว่า ในขณะที่บางรายอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายการตอบสนองต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่
ลูกค้าต่างก็หันมาใช้สมาร์ทโฟนสำหรับการท่องเว็บกันมากขึ้นทุกวัน คุณควรตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีเทมเพลตที่ตอบสนองต่อมือถือได้ดีหรือไม่บทวิจารณ์และคำรับรอง
มองหาบทวิจารณ์หรือคำรับรองจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กรายอื่น เพราะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและการบริการลูกค้าของแพลตฟอร์มนั้นได้การทดสอบแพลตฟอร์ม
หลายแพลตฟอร์มเปิดโอกาสให้คุณได้ทดลองใช้งานฟรี ให้อาศัยโอกาสนี้เพื่อสำรวจฟีเจอร์ต่างๆ และการใช้งานก่อนตัดสินใจ
การจดทะเบียนชื่อโดเมน
ชื่อโดเมนของเว็บไซต์ควรสั้น เรียบง่าย และจดจำง่าย สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกและจดทะเบียนชื่อโดเมนได้แก่
เลือกชื่อโดเมนที่เกี่ยวข้องและน่าจดจำ: ชื่อโดเมนควรจดจำง่าย สะกดง่าย และเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ อีกทั้งควรสะท้อนถึงตัวตนของแบรนด์และเป็นธรรมชาติสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
ตรวจสอบว่าโดเมนนั้นว่างหรือไม่: ใช้แพลตฟอร์มการจดทะเบียนโดเมน เช่น GoDaddy, Namecheap หรือ Squarespace เพื่อตรวจสอบว่าชื่อโดเมนที่คุณต้องการนั้นถูกนำไปใช้แล้วหรือยัง ให้เตรียมทางเลือกอื่นเอาไว้ด้วยในกรณีที่ตัวเลือกแรกของคุณถูกผู้อื่นนำไปใช้แล้ว
เลือกนามสกุลโดเมนที่เหมาะสม: แม้ว่า .com จะเป็นนามสกุลที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด แต่ก็มีนามสกุลอื่นๆ อีกมากมาย เช่น .net, .biz, .org หรือนามสกุลเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น .tech หรือ .fashion ให้เลือกส่วนขยายที่เหมาะกับประเภทธุรกิจและตำแหน่งที่ตั้ง
สั้นและเรียบง่ายไว้ก่อน: โดยทั่วไปแล้วโดเมนสั้นๆ จะดีกว่าเพราะพิมพ์ง่ายกว่าและมีแนวโน้มที่จะพิมพ์ผิดยากกว่า
เลี่ยงยัติภังค์และตัวเลข: ยัติภังค์และตัวเลขอาจทำให้ชื่อโดเมนซับซ้อนและพูดออกมาเป็นคำๆ ได้ยาก
นึกถึงการสร้างแบรนด์ในระยะยาว: ลองนึกดูว่าชื่อโดเมนที่เลือกจะเข้ากับแบรนด์ของคุณในระยะยาวอย่างไร การเปลี่ยนโดเมนในภายหลังอาจยุ่งยากและเป็นอันตรายต่อการจดจำแบรนด์ของคุณ
ตรวจสอบเครื่องหมายการค้า: ตรวจสอบว่าชื่อโดเมนที่เลือกไม่ละเมิดเครื่องหมายการค้าที่มีอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย
จดทะเบียนโดเมนของคุณ: เมื่อเลือกชื่อโดเมนได้แล้ว ให้จดทะเบียนผ่านผู้รับจดทะเบียนที่เชื่อถือได้ โดยลองจดทะเบียนโดเมนที่คล้ายกันเพื่อปกป้องแบรนด์ของคุณด้วย
การเลือกโฮสต์เว็บ
บริการเว็บโฮสติ้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการบำรุงรักษาเว็บไซต์และทำให้สามารถเข้าถึงเว็บนั้นๆ ได้บนโลกออนไลน์ วิธีประเมินโฮสต์เว็บมีดังนี้
กำหนดความต้องการด้านโฮสติ้ง: การเลือกโฮสติ้งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดของเว็บไซต์ ปริมาณการเข้าชมที่คาดหวัง และระดับการควบคุมทางเทคนิคที่ต้องการ
เข้าใจโฮสติ้งประเภทต่างๆ:
- โฮสติ้งแบบแชร์: เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง คุ้มค่า แต่ต้องแชร์ทรัพยากรกับเว็บไซต์อื่นบนเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน
- โฮสติ้ง VPS (Virtual Private Server): ช่วยให้สามารถควบคุมและมีทรัพยากรเฉพาะได้มากขึ้น เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่กำลังเติบโตหรือมีการเข้าชมปริมาณปานกลาง
- โฮสติ้งแบบเฉพาะ: มีทั้งเซิร์ฟเวอร์ให้เว็บไซต์ของคุณใช้งาน แพงกว่าแต่ให้การควบคุมและประสิทธิภาพสูงสุด
- โฮสติ้งแบบคลาวด์: ให้ความสามารถในการปรับขนาดเมื่อเว็บไซต์เติบโตขึ้น คุณจ่ายเงินสำหรับทรัพยากรที่ใช้ และโดยทั่วไปแล้วเชื่อถือได้
- โฮสติ้งแบบแชร์: เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง คุ้มค่า แต่ต้องแชร์ทรัพยากรกับเว็บไซต์อื่นบนเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและระยะเวลาให้บริการ: เลือกโฮสต์ที่มีชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือและคะแนนความพร้อมใช้งานสูง โดยเว็บไซต์ของคุณต้องสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา
ความเร็วและประสิทธิภาพConsider: เวลาในการโหลดเว็บไซต์มีความสำคัญต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และ SEO เลือกโฮสต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพที่รวดเร็ว
ประเมินการช่วยเหลือลูกค้า: ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการโฮสติ้งมีการช่วยเหลือลูกค้าในระดับสูงหรือไม่ ระบบช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันถือว่ายอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นผู้ที่ไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยี
ตรวจสอบฟีเจอร์ความปลอดภัย: มองหาโฮสต์ที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่รัดกุม เช่น การสำรองข้อมูลเป็นประจำ การสแกนมัลแวร์ และไฟร์วอลล์
ประเมินความสามารถในการปรับขนาด: โฮสต์ของคุณควรจะสามารถรองรับการเติบโตของเว็บไซต์และการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
เทียบราคา: เปรียบเทียบแผนการกำหนดราคาของโฮสต์รายต่างๆ คอยระวังค่าใช้จ่ายแอบแฝงและรู้ว่าแต่ละแผนมีอะไรบ้าง
การออกแบบเว็บไซต์ของคุณ
การออกแบบเว็บไซต์ของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าลูกค้าดูเว็บไซต์และบริษัทของคุณอย่างไร โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับขั้นตอนการออกแบบดังนี้
กำหนดเลย์เอาต์ที่ใช้งานง่าย:
- การนำทาง: ออกแบบเว็บไซต์ให้มีการนำทางที่ใช้งานง่าย โดยเมนูควรเรียบง่ายและผู้เข้าชมสามารถค้นหาและทำความเข้าใจสะดวกสบาย โดยพาลูกค้าไปยังสิ่งที่ต้องการได้
- ลำดับชั้น: ใช้ลำดับชั้นของภาพ (visual hierarchy) เพื่อมุ่งความสนใจไปยังองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการใช้หัวเรื่อง สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย และการเว้นวรรค
- การนำทาง: ออกแบบเว็บไซต์ให้มีการนำทางที่ใช้งานง่าย โดยเมนูควรเรียบง่ายและผู้เข้าชมสามารถค้นหาและทำความเข้าใจสะดวกสบาย โดยพาลูกค้าไปยังสิ่งที่ต้องการได้
เน้นการออกแบบที่ตอบสนองได้ดี: การออกแบบเว็บไซต์ของคุณต้องตอบสนองได้ดี ซึ่งหมายความว่าสามารถปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอและอุปกรณ์ต่างๆ ได้สะดวก นี่เป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
เลือกโทนสีและตัวอักษรที่เหมาะสม: เลือกสีและแบบอักษรที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยควรใช้โทนสีดูน่าพึงพอใจและเข้าถึงได้ ส่วนตัวอักษรต่างๆ ก็ควรอ่านสบายตา
สอดแทรกด้วยรูปภาพและกราฟิกความคมชัดสูง: ใช้รูปภาพและกราฟิกความคมชัดสูงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้น องค์ประกอบภาพเหล่านี้สามารถถ่ายทอดข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ต้องคำนึงถึงเวลาในการโหลดและปรับรูปภาพให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานเว็บด้วยเช่นกัน
มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): ให้ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก ประสบการณ์ของผู้ใช้ควรราบรื่นและน่ามีส่วนร่วม โดยกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้นและสำรวจสิ่งต่างๆ มีเลย์เอาต์ที่ไม่เกะกะ เวลาในการโหลดที่รวดเร็ว และคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ที่ชัดเจน
นำองค์ประกอบการสร้างแบรนด์มาใช้: ใช้โลโก้ จานสี และสไตล์ของแบรนด์อย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งเว็บไซต์ ความสม่ำเสมอนี้ช่วยเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์และช่วยให้จดจำแบรนด์ได้
เพิ่มการเข้าถึงให้มากที่สุด: ตรวจสอบว่าผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ รวมถึงผู้ทุพพลภาพด้วย โดยคุณอาจใช้ข้อความแสดงแทนสำหรับรูปภาพ ซึ่งช่วยให้นำทางด้วยโปรแกรมอ่านหน้าจอได้ และการใช้โทนสีที่มีความคมชัดสูง (หากจำเป็น)
ผสานรวมหลักฐานทางสังคมและสัญญาณความน่าเชื่อถือ: ผนวกองค์ประกอบต่างๆ เช่น คำรับรองจากลูกค้า ใบรับรอง และรางวัล หลักฐานทางสังคมสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้อย่างมาก
_เน้นความเร็วในการโหลด: _ ทดสอบและเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นประจำ เช่น การปรับแต่งรูปภาพ การใช้ประโยชน์จากแคชของเบราว์เซอร์ และการลดการใช้สคริปต์หนักๆ เนื่องจากความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสบการณ์ผู้ใช้และ SEO
วางแผนเพื่อความสามารถในการปรับขนาด: ออกแบบเว็บไซต์ของคุณโดยคำนึงถึงการเติบโตในอนาคต โดยควรมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับเนื้อหา ฟีเจอร์ หรือฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ
ขอคำติชมจากผู้เชี่ยวชาญหรือจ้างนักออกแบบ: หากคุณไม่มีทักษะการออกแบบเว็บไซต์ ให้ลองจ้างนักออกแบบเว็บไซต์มืออาชีพ เพราะพวกเขาสามารถนำเสนอความเชี่ยวชาญที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก
ตรวจสอบว่าทุกหน้าเว็บมีความสอดคล้องกัน: แต่ละหน้าบนเว็บไซต์ควรมีองค์ประกอบการออกแบบที่สอดคล้องกัน เนื่องจากความสม่ำเสมอนี้จะสร้างรูปลักษณ์ที่เชื่อมโยงกัน
ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม: ขอคำติชมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เช่น สมาชิกในทีมและผู้ที่อาจเป็นลูกค้า เพื่อตรวจสอบว่าการออกแบบตรงตามความต้องการและความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น
การสร้างเนื้อหาที่แข็งแกร่ง
เนื้อหาที่น่าสนใจจะดึงดูดลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามายังเว็บไซต์ ทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ วิธีการสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้
_สร้างคอนเทนต์ด้วยอัตลักษณ์ของแบรนด์: _ กำหนดเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของแบรนด์ให้สอดคล้องและโดนใจกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบมืออาชีพ เป็นกันเอง ให้ข้อมูล หรือแบบสบายๆ ก็ใส่เอกลักษณ์เหล่านี้ลงไปในเนื้อหาทั้งหมดของคุณ
โฟกัสที่ความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย: เขียนเนื้อหาที่ตอบคำถาม จัดการความต้องการ และแก้ปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย เพราะพวกเขามีแนวโน้มที่จะมองว่าเนื้อหาประเภทนี้มีคุณค่าและน่าสนใจ
ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและความเกี่ยวข้อง: เนื้อหาทั้งหมดควรเขียนออกมาเป็นอย่างดี ถูกต้อง และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เนื้อหาคุณภาพสูงดึงดูดผู้อ่านและสร้างธุรกิจของคุณให้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในอุตสาหกรรมของคุณ
สร้างลำดับชั้นของเนื้อหา: จัดโครงสร้างเนื้อหาของคุณเพื่อช่วยนำทางผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์ ใช้หัวเรื่อง หัวเรื่องย่อย และสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยเพื่อทำให้ข้อมูลง่ายต่อการกวาดตามองและทำความเข้าใจ
ใช้รูปแบบเนื้อหาที่หลากหลาย: ใช้รูปแบบที่หลากหลายเพื่อให้เนื้อหาของคุณไม่จำเจ เช่น บล็อก วิดีโอ อินโฟกราฟิก พอดแคสต์ หรือกรณีศึกษา รูปแบบต่างๆ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และช่วยอธิบายหัวข้อที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใส่คำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA): ชี้นำให้ผู้เข้าชมทำสิ่งที่ต้องการโดยอาศัย CTA ไม่ว่าจะเป็นการสมัครรับจดหมายข่าว ดาวน์โหลดคู่มือ หรือการซื้อ ปุ่ม CTA ก็ควรมีความชัดเจนและโน้มน้าวใจได้
ใช้เนื้อหาที่สดใหม่และอัปเดตอยู่เสมอ: อัปเดตเว็บไซต์เป็นประจำให้มีเนื้อหาที่สดใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงการเพิ่มบล็อกโพสต์ใหม่ อัปเดตข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือแก้ไขหน้าสำคัญๆ เพื่อให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์: ใช้เนื้อหาของคุณเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ บอกเล่าต้นกำเนิด ภารกิจ และค่านิยมของคุณ เพราะการเล่าเรื่องสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
สอดแทรกคำรับรองและบทวิจารณ์จากลูกค้า: คำรับรองและบทวิจารณ์จากลูกค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ ให้ใส่องค์ประกอบเหล่านี้ไว้ในจุดที่เกี่ยวข้องเพื่อให้หลักฐานทางสังคมเกี่ยวกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
สร้างเนื้อหาที่นำไปแชร์ต่อได้: เพิ่มปุ่มแชร์ผ่านช่องทางโซเชียลและกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมแชร์เนื้อหาของคุณ เพราะสิ่งนี้สามารถเพิ่มการเข้าถึงและเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
ทำให้น่าสนใจโดยใช้องค์ประกอบภาพและอินเทอร์แอกทีฟ: ใช้ภาพ วิดีโอ หรือองค์ประกอบอินเทอร์แอกทีฟที่เกี่ยวข้องคั่นเนื้อหาข้อความ เพราะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง: ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อทำให้เนื้อหาน่าสนใจและน่าจดจำมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้ตัวอย่างในชีวิตจริง การสร้างสถานการณ์ที่เข้าใจได้ หรือการร้อยเรียงเรื่องราวที่อธิบายประเด็นต่างๆ ของคุณ
ให้มืออาชีพช่วยแก้ไขและการตรวจทานเนื้อหา: ให้มืออาชีพแก้ไขและตรวจทานเนื้อหาของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
การใช้ฟีเจอร์และฟังก์ชันหลัก
การผสานรวมฟีเจอร์และฟังก์ชันที่เหมาะสมในเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลโดยรวมได้อย่างมาก ภาพรวมของสิ่งที่คุณควรพิจารณามีดังนี้
ข้อมูลติดต่อ
แสดงข้อมูลติดต่อให้เด่นชัด เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล และตำแหน่งที่ตั้งจริง (หากมี) ให้ลองใส่แบบฟอร์มการติดต่อเพื่อการสื่อสารที่สะดวกไว้ด้วยการผสานการทำงานกับโซเชียลมีเดีย
ใส่ปุ่มโซเชียลมีเดียเพื่อส่งเสริมการแชร์และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ลองใส่ฟีดโซเชียลมีเดียล่าสุดลงในเว็บไซต์ของคุณด้วยฟังก์ชันอีคอมเมิร์ซ (หากมี)
สำหรับการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ ให้ผสานการทำงานฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ เช่น ตะกร้าสินค้า หน้าสินค้า กระบวนการชำระเงินที่ปลอดภัย และเกตเวย์การชำระเงินการผสานการทำงานกับ CRM
ผสานเว็บไซต์ของคุณเข้ากับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) เพื่อติดตามและจัดการการโต้ตอบกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นข้อมูลวิเคราะห์และการติดตาม
ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าชม แหล่งที่มาของการเข้าชม และเมตริกที่สำคัญอื่นๆ โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการรู้จักกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ผสานการลงทะเบียนรับอีเมลและจดหมายข่าว
เพิ่มตัวเลือกให้ผู้เข้าชมสามารถจดหมายข่าวหรืออัปเดตทางอีเมล นี่เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์ในการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าสำหรับการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ให้ผสานเว็บไซต์ของคุณเข้ากับซอฟต์แวร์การตลาดทางอีเมลเพื่อดึงดูดลูกค้าเป้าหมายและดูแลลูกค้าผ่านลำดับอีเมลอัตโนมัติคำรับรองและบทวิจารณ์
แสดงคำรับรองจากลูกค้า กรณีศึกษา และบทวิจารณ์ เพื่อให้ผู้ที่อาจเป็นลูกค้าน่าเชื่อถือและไว้วางใจสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความไว้วางใจ
แสดงใบรับรอง รางวัล หรือการรับรองที่ธุรกิจของคุณได้รับส่วนคำถามที่พบบ่อย
ส่วนคำถามที่พบบ่อยสามารถให้คำตอบอย่างรวดเร็วสำหรับคำถามทั่วไป ซึ่งช่วยประหยัดเวลาสำหรับทั้งคุณและลูกค้าฟีเจอร์การช่วยการเข้าถึง
ใช้ฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ รวมถึงผู้ทุพพลภาพ เช่น ฟังก์ชันการอ่านออกเสียงข้อความ การนำทางด้วยแป้นพิมพ์ และตัวเลือกภาพความคมชัดสูงรองรับภาษาที่หลากหลาย (หากทำได้)
หากกลุ่มเป้าหมายของคุณกระจายอยู่ทั่วโลก ให้ลองนำเสนอเนื้อหาในหลายภาษา
การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับโปรแกรมค้นหา
การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization สามารถเพิ่มการมองเห็นให้กับธุรกิจขนาดเล็กของคุณได้ การทำ SEO ที่ดีสามารถดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิกได้ โดยการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเว็บไซต์อยู่ใกล้กับอันดับต้นๆ ของหน้าแรก วิธีปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหามีดังนี้
การศึกษาคีย์เวิร์ด
ระบุคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับของคุณ ใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Semrush หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาดีและการแข่งขันค่อนข้างต่ำ คุณยังสามารถเน้นคีย์เวิร์ดแบบหางยาวเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับและดึงดูดการเข้าชมที่มีคุณภาพได้มากขึ้นSEO ในหน้า
เพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บแต่ละหน้าโดยใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายอย่างเป็นธรรมชาติไว้ในชื่อ หัวเรื่อง คำอธิบายเมตา และเนื้อหา โดยแต่ละหน้าต้องมีชื่อและคำอธิบายที่ไม่ซ้ำกันเนื้อหาคุณภาพสูง
สร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูล น่าสนใจ และมีคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมาย โดย Google จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ การอัปเดตเว็บไซต์ให้มีเนื้อหาใหม่ๆ เป็นประจำจึงช่วยได้การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ทำให้เว็บไซต์เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพราะ Google จะแสดงเว็บไซต์ที่ตอบสนองต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ดีในผลการค้นหาอันดับต้นๆความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์โดยการบีบอัดรูปภาพ ให้ใช้เครื่องมือแคช และลดการใช้สคริปต์ที่หนักหน่วงให้เหลือน้อยที่สุด ใช้เครื่องมือ เช่น Google PageSpeed Insights เพื่อขอคำแนะนำการลิงก์กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์
ใช้ลิงก์ภายในอย่างชาญฉลาดเพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณ และกระจายการอนุมัติหน้าไปทั่วทั้งเว็บไซต์ลิงก์ภายนอกและลิงก์ย้อนกลับ
รับคุณภาพสูง ลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งลิงก์ย้อนกลับเป็นสัญญาณการจัดอันดับที่แข็งแกร่งสำหรับเครื่องมือค้นหา ให้เลี่ยงการสร้างลิงก์ที่น่าสงสัยซึ่งอาจส่งผลเสียต่อ SEO ของคุณโครงสร้าง URL
ใช้ URL ที่สื่อความหมาย ตามหลักการแล้ว URL ควรอ่านง่ายและมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเพิ่มประสิทธิภาพของภาพ
ใช้แท็ก alt เพื่ออธิบายรูปภาพ โดยใส่คีย์เวิร์ดตามความเหมาะสม เพราะจะช่วยปรับปรุงการเข้าถึงและให้บริบทแก่เครื่องมือค้นหาSEO ท้องถิ่น (หากมี)
สำหรับธุรกิจในท้องถิ่น ให้เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาในท้องถิ่นโดยใส่คีย์เวิร์ดและลิงก์ย้อนกลับในท้องถิ่น ให้ลงทะเบียนกับ Google Business Profile (ชื่อเดิมคือ Google My Business) และเพิ่มธุรกิจของคุณในไดเร็กทอรีในท้องถิ่นใบรับรอง SSL
ใช้การเข้ารหัส SSL เพื่อรักษาความปลอดภัยในการถ่ายโอนข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ และยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้เข้าชมอีกด้วยการมาร์กอัปข้อมูลที่มีโครงสร้าง
ใช้มาร์กอัปสกีมาเพื่อให้เครื่องมือค้นหาได้รับข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาด้วย Rich Snippetการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง
เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาด้วยเสียงโดยรวมคีย์เวิร์ดและวลีสนทนาที่ผู้คนอาจใช้เมื่อพูดแทนการพิมพ์การตรวจสอบ SEO เป็นประจำ
ตรวจสอบ SEO เป็นประจำเพื่อระบุและแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ลิงก์เสีย ข้อผิดพลาดในแผนผังไซต์ XML และปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อนการติดตามและปรับตัวของการวิเคราะห์
ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ให้ปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณตามข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมมาได้
การทดสอบและเปิดตัวเว็บไซต์
ก่อนเปิดใช้งานเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก คุณต้องทดสอบเว็บไซต์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้องและมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ โดยมีขั้นตอนการทดสอบและเปิดใช้งานแบบคร่าวๆ ดังนี้
การทดสอบฟังก์ชันการทำงาน
ตรวจสอบฟังก์ชันทั้งหมดของเว็บไซต์ เช่น แบบฟอร์ม กระบวนการชำระเงิน การค้นหา และองค์ประกอบอินเทอร์แอกทีฟ เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ตามที่ตั้งใจไว้การทดสอบความเข้ากันได้กับเบราว์เซอร์
ทดสอบเว็บไซต์ในเว็บเบราว์เซอร์หลายตัว (เช่น Chrome, Firefox, Safari, Edge) เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์แสดงผลและทำงานได้อย่างถูกต้องในแต่ละเว็บหรือไม่ เพราะความเข้ากันได้ของเบราว์เซอร์เป็นสิ่งสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นทดสอบการตอบสนองบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และขนาดหน้าจอที่หลากหลาย เช่น การทดสอบการนำทาง ความสามารถในการอ่านเนื้อหา และการเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญต่างๆการทดสอบโหลดผู้เข้าชม
ทดสอบโหลดเพื่อดูว่าเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพอย่างไรภายใต้ปริมาณการเข้าชมที่แตกต่างกัน เนื่องจากจะช่วยระบุและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้การทดสอบลิงก์และการนำทาง
ลิงก์ทั้งภายในและภายนอกทั้งหมดต้องทำงานอย่างถูกต้อง และเมนูการนำทางทำงานตามที่คาดไว้ เนื่องจากลิงก์เสียอาจทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้แย่ลงตรวจสอบ SEO
ทำการตรวจสอบ SEO ขั้นสุดท้าย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา และแท็ก alt และตรวจสอบว่าเนื้อหาทั้งหมดได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับคำหลักที่กำหนดเป้าหมายตรวจสอบความปลอดภัย
ยืนยันว่าได้ติดตั้งฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น ใบรับรอง SSL และทำงานอย่างถูกต้องการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายในประเทศ เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) (หากมี) นโยบายความเป็นส่วนตัว และความยินยอมให้ใช้คุกกี้ตรวจสอบเนื้อหา
ตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งการสะกดคำ ไวยากรณ์ และความถูกต้อง ตรวจสอบว่ารูปภาพและองค์ประกอบมัลติมีเดียทั้งหมดได้รับการจัดรูปแบบและปรับให้เหมาะสมอย่างเหมาะสมแล้วข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX)
รวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เช่น ขอให้เพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือกลุ่มเป้าหมายสำรวจเว็บไซต์และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนการสำรองข้อมูลก่อนการเปิดตัว
สร้างข้อมูลสำรองเว็บไซต์ก่อนเปิดตัว เพื่อเป็นมาตรการนิรภัยในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นระหว่างหรือหลังจากเปิดตัวกำหนดการวิเคราะห์
ตรวจสอบว่าเครื่องมือ เช่น Google Analytics หรือระบบติดตามอื่น ๆ ได้รับการตั้งค่าอย่างถูกต้องเพื่อตรวจสอบปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ ทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ ติดตามคอนเวอร์ชัน และระบุจุดที่ปรับปรุงได้แผนการเปิดตัว
พัฒนาแผนการเปิดตัวซึ่งประกอบด้วยตารางเวลา กิจกรรมทางการตลาดเพื่อส่งเสริมการเปิดตัว และแผนสำหรับการติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทันทีหลังจากเปิดตัวการใช้งานจริง
เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นและคุณพอใจกับเว็บไซต์แล้ว ให้เริ่มการเปิดตัว อัปเดตการตั้งค่าโดเมนของคุณหากจำเป็น เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณเผยแพร่สู่สาธารณะการเฝ้าติดตามหลังการเปิดตัว
คอยติดตามเว็บไซต์อย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดตัว ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ความคิดเห็นของผู้ใช้ และข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิดการทดสอบ A/B
ทำการทดสอบ A/B เป็นประจำกับองค์ประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น CTA เค้าโครงหน้า และพาดหัว เพื่อเพิ่มคอนเวอร์ชันวงจรข้อเสนอแนะ
สร้างกระบวนการรวบรวมและดำเนินการตามความคิดเห็นของลูกค้าเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้อย่างต่อเนื่องการอัปเดตเป็นประจำ
อัปเดตแพลตฟอร์มเว็บไซต์และปลั๊กอินอยู่เสมอเพื่อป้องกันช่องโหว่คอยอัปเดตให้ทันเทรนด์
ติดตามการออกแบบเว็บไซต์และเทรนด์การตลาดดิจิทัลล่าสุด เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณทันเหตุการณ์และมีประสิทธิภาพ
เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กควรพัฒนาไปพร้อมกับธุรกิจของคุณและความต้องการของลูกค้าดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้ไปใช้เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการดึงดูดลูกค้า สร้างแบรนด์ และขับเคลื่อนการเติบโต
Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst
การสมัครใช้งาน Atlas
การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน
การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้
การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ
การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe
เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ