เงื่อนไขการชำระเงินรวมอยู่ในสัญญาและใบแจ้งหนี้เพื่อกำหนดเวลาที่ผู้ซื้อคาดว่าจะต้องชำระเงินค่าซื้อสินค้า ภายใต้ "เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วัน" ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินให้กับผู้ขายภายใน 30 วันหลังจากวันที่ออกใบแจ้งหนี้ เงื่อนไขเหล่านี้อาจใช้คำว่า "สุทธิ 30 วัน" หรือมีรูปแบบต่างๆ เช่น "30 วันนับจากวันที่ได้รับสินค้า" และ "30 วันหลังจากสิ้นเดือน" ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลง
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายว่าเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันส่งผลต่อกระแสเงินสดอย่างไร วิธีบังคับใช้เงื่อนไขเหล่านี้ และทางเลือกอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเมื่อคุณออกใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้า
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- เหตุใดเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันจึงเป็นเรื่องปกติ
- เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันมีผลกระทบต่อกระแสเงินสดอย่างไร
- เมื่อใดที่ธุรกิจควรเสนอเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วัน
- ธุรกิจจะบังคับใช้เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันได้อย่างไร
- มีทางเลือกอื่นใดบ้างนอกจากเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันบ้าง
เหตุใดเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันจึงเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเวลาผ่านไป เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันก็ได้กลายเป็นบรรทัดฐานในหลายอุตสาหกรรม วิธีนี้ตั้งความคาดหวังที่สอดคล้องกันในภาคส่วนต่างๆ และสร้างสมดุลความต้องการทางการเงินของผู้ซื้อและผู้ขายในการทำธุรกรรมทางธุรกิจ ต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทําไมเงื่อนไขการชําระเงิน 30 วันจึงเป็นทางเลือกยอดนิยม
วิธีนี้ให้ธุรกิจมีเวลาสร้างรายได้หรือบริหารเงินสดไหลเข้าของตนเองก่อนที่จะชำระเงิน
วิธีนี้แสดงถึงเจตนาที่ดี ซึ่งสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความสัมพันธ์ในระยะยาว
เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องชำระเงินทันทีเมื่อส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้บริการซ้ำ
สอดคล้องกันดีกับระบบการทำบัญชีและมาตรฐานต่างๆ ซึ่งมักออกแบบตามรอบเดือน
เงื่อนไขเหล่านี้สร้างความเครียดน้อยกว่าเงื่อนไขที่สั้นกว่า (เช่น เงื่อนไข 7 วัน เงื่อนไข 15 วัน) และมีแนวโน้มที่จะชำระเงินล่าช้าน้อยกว่า
มีความเสี่ยงน้อยกว่าเงื่อนไขที่ยาวนานกว่า (เช่น ระยะเวลา 60 วันหรือ 90 วัน)
เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันมีผลกระทบต่อกระแสเงินสดอย่างไร
สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันส่งผลต่อกระแสเงินสดในรูปแบบที่แตกต่างกัน
สำหรับผู้ขาย เงื่อนไขระยะเวลา 30 วันนั้นดีสำหรับการสร้างความสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขาย แต่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในขณะที่ผู้ขายกำลังรอรับเงิน เงื่อนไขเหล่านี้สามารถทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการน่าดึงดูดใจมากขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดการชำระเงินล่าช้าด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้ขายต้องรอใช้เงินนั้นเพื่อจ่ายบิล ซื้อสินค้า หรือลงทุนในธุรกิจ หากพวกเขาต้องการเงินสดก่อนที่จะชำระเงิน ก็อาจต้องกู้เงิน ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (เช่น ดอกเบี้ย) และมีโอกาสที่ลูกค้าจะไม่ชําระเงินตรงเวลาอยู่เสมอ ซึ่งอาจส่งผลต่อการวางแผนของผู้ขาย
สำหรับผู้ซื้อ เงื่อนไข 30 วันนั้นถือเป็นช่องทางที่ดีในการบริหารเงินสด แต่ต้องมีการติดตามงบประมาณอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเกินตัว เงื่อนไขเหล่านี้ช่วยให้ผู้ซื้อมีเวลาและความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้จัดการเงินและชำระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจมีเงื่อนไขการชำระเงินที่สั้นลงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็สามารถทำให้ดูเหมือนว่าผู้ซื้อมีเงินมากกว่าที่เป็นจริงได้ หากผู้ซื้อมีการชำระเงินหลายรายการครบกำหนดในเวลาเดียวกัน เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันอาจทำให้เกิดความเครียดและทำให้เงินสำรองหมดไป
เมื่อใดที่ธุรกิจควรเสนอเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วัน
คุณควรเสนอเงื่อนไขการชําระเงิน 30 วันเมื่อเงื่อนไขนี้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน การเงิน และความสัมพันธ์กับลูกค้าของคุณ หากคุณไม่รู้จักลูกค้าเป็นอย่างดีหรือมีความน่าเชื่อถือทางเครดิตไม่ดี เงื่อนไข 30 วันอาจมีความเสี่ยง ในทำนองเดียวกัน หากคุณประสบปัญหาในการชำระค่าใช้จ่ายของตนเอง คุณก็ไม่ควรมอบเงื่อนไขการชำระเงิน เว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ
ต่อไปนี้เป็นบางสถานการณ์ที่เงื่อนไขการชําระเงิน 30 วันอาจเป็นทางเลือกที่ดี
เมื่อต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: หากคุณมีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับลูกค้าหรือผู้ซื้อและไว้วางใจว่าพวกเขาจะชำระเงินตรงเวลา เงื่อนไข 30 วันสามารถเสริมสร้างความร่วมมือนั้นได้
เพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งได้: หลายๆ อุตสาหกรรม เช่น การค้าส่ง การผลิต และบริการสําหรับธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) จะใช้รอบการชําระเงิน 30 วัน หากคู่แข่งของคุณเสนอเงื่อนไข 30 วัน คุณอาจสูญเสียลูกค้า หากเรียกร้องให้ชำระเงินเร็วกว่านั้น
เพื่อหาลูกค้ารายใหญ่ขึ้น: ลูกค้ารายใหญ่อาจคาดหวังว่าเงื่อนไขการชำระเงินเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการจัดซื้อมาตรฐาน และอาจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาลูกค้ารายนี้ไว้
มอบความยืดหยุ่นให้แก่ธุรกิจใหม่หรือลูกค้ารายย่อย: ธุรกิจขนาดเล็กหรือใหม่มักต้องใช้เวลาในการจัดการงบประมาณ เงื่อนไขเหล่านี้สามารถช่วยให้พวกเขาทํางานร่วมกับคุณได้ง่ายขึ้น
เพื่อเพิ่มยอดขาย: การให้เวลาผู้ซื้อ 30 วันเพื่อชําระเงินอาจทําให้พวกเขาสั่งซื้อสินค้าจํานวนมากได้สะดวกยิ่งขึ้น
ดึงดูดลูกค้าใหม่: ตัวเลือกการชําระเงินที่ยืดหยุ่นอาจเป็นจุดขายได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณพยายามจะหาลูกค้าใหม่ คุณอาจใช้เงื่อนไข 30 วันอย่างมีกลยุทธ์ เช่น ตอนที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือขยายไปสู่ตลาดใหม่
ธุรกิจจะบังคับใช้เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันได้อย่างไร
หากต้องการบังคับใช้เงื่อนไขการชำระเงิน 30 วัน คุณควรใช้ข้อมูลลูกค้า รวมการสื่อสารและการแจ้งเตือนที่ชัดเจน พร้อมทั้งสร้างวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบต่อลูกค้าของคุณ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการบังคับใช้
กําหนดเงื่อนไขการชําระเงินล่วงหน้า
อย่ารอจนกว่าคุณจะส่งใบแจ้งหนี้แล้วจึงค่อยพูดคุยเกี่ยวกับเงื่อนไขการชําระเงิน กำหนดความคาดหวังไว้ล่วงหน้าเมื่อคุณปิดข้อตกลงหรือเซ็นสัญญา ปฏิบัติตามเงื่อนไขของคุณโดยถือว่าไม่สามารถต่อรองได้ เว้นแต่จะมีเหตุผลที่ดีที่จะทำให้เกิดข้อยกเว้น
ส่งเสริมการชําระเงินอย่างรวดเร็ว
มอบสิทธิประโยชน์ เช่น ส่วนลด การจัดส่งที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และสิทธิ์การเข้าถึงบริการเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติตามกฎของคุณ สําหรับลูกค้าที่ชําระเงินแต่เนิ่นๆ พิจารณาการมอบส่วนลด (เช่น ส่วนลด 2% หากชําระเงินภายใน 10 วัน) สร้างแรงจูงใจเหล่านี้ให้เฉพาะเจาะจงกับลูกค้า โดยมอบรางวัลใหญ่ขึ้นสำหรับลูกค้าที่จ่ายเงินสูงหรือสำหรับการสั่งซื้อปริมาณมาก
ผลักดันไม่ให้มีการจ่ายเงินล่าช้า
หากลูกค้าชำระเงินล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า โปรดแจ้งให้พวกเขาทราบว่าอาจส่งผลให้ได้รับเงื่อนไขที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น การชำระเงินล่วงหน้า วงเงินกู้ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และค่าธรรมเนียมล่าช้า คุณไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ แต่ค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยสามารถกระตุ้นให้ชำระเงินตรงเวลาได้ คุณอาจจำเป็นต้องหยุดการจัดส่งหรือเลื่อนคำสั่งซื้อใหม่ออกไปจนกว่าลูกค้าจะชำระเงิน
ติดตามเรื่องอย่างมีกลยุทธ์
ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อติดตามใบแจ้งหนี้ของคุณ ใช้การแจ้งเตือนอัตโนมัติ ซึ่งประกอบด้วยรายการต่อไปนี้
คำขอบคุณเมื่อคุณส่งใบแจ้งหนี้
การกระตุ้นเตือนอย่างเป็นมิตรหนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงกำหนด
ทำการเตือนอย่างสุภาพแต่เด็ดขาดเกี่ยวกับวันครบกำหนด
ทำการติดตามเรื่องอย่างฉับไวยิ่งขึ้นหากลูกค้าเลยกำหนดชำระไป 2-3 วัน
ปรับแต่งการติดตามเรื่องเหล่านี้ การแจ้งเตือนอย่างเป็นมิตรอาจเหมาะกับลูกค้าประจําที่ไม่เคยชําระเงินล่าช้า แต่ผู้ที่ทำผิดซ้ำจะต้องได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนกว่านี้ สำหรับลูกค้ารายใหญ่ การส่งอีเมลหรือโทรศัพท์สั้นๆ จากสมาชิกทีมระดับสูง เช่น หัวหน้าฝ่ายการเงิน (CFO) หรือหัวหน้าฝ่ายขาย ก็สามารถช่วยให้กระบวนการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ปรับแต่งเงื่อนไขการชําระเงินให้กับลูกค้า
ก่อนที่คุณจะเสนอเงื่อนไข 30 วัน โปรดตรวจสอบประวัติของลูกค้าและตรวจสอบเครดิตเพื่อดูว่าพวกเขาชำระเงินให้กับผู้ขายรายอื่นตรงเวลาหรือไม่ พิจารณาการใช้เงื่อนไขที่สั้นลง (เช่น สุทธิ 15 วัน) หรือสินเชื่อจำนวนน้อยลงสำหรับลูกค้าใหม่ จากนั้นขยายเงื่อนไขเป็น 30 วันหรือยาวกว่านั้นเมื่อลูกค้าพิสูจน์แล้วว่ามีความรับผิดชอบ
สำหรับลูกค้าที่มีอยู่ ให้ตรวจสอบว่าลูกค้ารายใดมักจะชำระเงินล่าช้า และปรับวิธีทำงานร่วมกับพวกเขา โดยอาจต้องใช้เงื่อนไขที่เข้มงวดหรือการเตือนบ่อยขึ้น หากคุณมีลูกค้าสำคัญที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ให้คิดหาวิธีแก้ไขพฤติกรรมของพวกเขา คุณสามารถขอการชําระเงินบางส่วน ล่วงหน้า หรือกําหนดเงื่อนไขที่สั้นกว่านี้สําหรับคําสั่งซื้อขนาดใหญ่ เป้าหมายคือการปกป้องตัวเองไปพร้อมๆ กับการรักษาความสัมพันธ์
ติดตามข้อมูลการชําระเงิน
ติดตามดูจำนวนวันที่ยอดขายค้างชําระ (DSO) นี่คือระยะเวลาโดยเฉลี่ยที่ใช้ในการเรียกเก็บเงิน หากจํานวนนี้เพิ่มขึ้น คุณควรปรับกระบวนการให้เข้มงวดกว่าเดิม ตรวจสอบใบแจ้งหนี้อีกครั้งเพื่อหาข้อผิดพลาดและปรับให้เข้าใจได้ง่าย หากมีบางอย่างผิดปกติหรือตกหล่น (เช่น วันครบกําหนด การเรียกเก็บเงินที่แยกเป็นรายการ วิธีการชําระเงิน) อาจทําให้ลูกค้ามีข้อแก้ตัวในการชําระเงินล่าช้า ดูว่าการปรับเวลาช่วยหรือไม่: ลูกค้าบางรายตอบกลับเร็วขึ้นหากได้รับใบแจ้งหนี้ในช่วงต้นเดือนหรือก่อนวันจ่ายเงินเดือน
ใช้การเสริมแรงเชิงบวก
เมื่อคุณติดเรื่อง ให้เตือนลูกค้าถึงคุณค่าที่คุณมอบให้ ตัวอย่างเช่น คุณอาจพูดว่า "เรายินดีอย่างยิ่งที่เราสามารถจัดส่งคําสั่งซื้อให้คุณได้ล่วงหน้าก่อนกําหนด การชำระเงินตรงเวลาช่วยให้เราสามารถให้บริการในระดับนี้ต่อไปได้" วิธีนี้จะช่วยให้โทนเสียงดูเป็นมืออาชีพพร้อมทั้งเน้นย้ำว่าเหตุใดการยึดตามเงื่อนไขการชำระเงินจึงมีความสำคัญ
มีแผนสํารอง
หากลูกค้ามาสายเป็นประจำ ให้ลองขายใบแจ้งหนี้ให้กับบริษัทผู้รับซื้อลูกหนี้ คุณจะได้รับเงินส่วนใหญ่ล่วงหน้า และบริษัทผู้รับซื้อลูกหนี้จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บเงิน สำหรับความเสี่ยงที่มากขึ้น คุณยังอาจทำประกันสินเชื่อการค้าเพื่อปกป้องตัวเองในกรณีที่ลูกค้าผิดนัดชำระหนี้ทั้งก้อน
มีทางเลือกอื่นใดบ้างนอกจากเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันบ้าง
แม้ว่าเงื่อนไขการชำระเงิน 30 วันจะเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่อาจเหมาะกับความต้องการทางธุรกิจหรือลูกค้าของคุณ การเลือกเงื่อนไขที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือของลูกค้าและลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมของคุณ ต่อไปนี้คือตัวเลือกมาตรฐานอื่นๆ
การชําระเงินเมื่อได้รับ
ครบกําหนดชําระเงินทันทีที่ออกใบแจ้งหนี้หรือจัดส่งสินค้าหรือบริการ นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับธุรกรรมแบบครั้งเดียวที่มีขนาดไม่ใหญ่สำหรับลูกค้าใหม่ หรือเมื่อมีเงินจํากัดและคุณต้องการเงินทุนทันที แต่อาจดูไม่น่าดึงดูดใจสำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่คาดหวังความยืดหยุ่น
การชําระเงินล่วงหน้าหรือการวางเงินมัดจำล่วงหน้า
ครบกําหนดชําระเงินบางส่วนหรือเต็มจํานวนก่อนเริ่มต้นงานหรือส่งมอบสินค้า นี่เป็นตัวเลือกที่มีความเสี่ยงต่ํา ซึ่งมอบเงินทุนหมุนเวียนก่อนที่คุณจะเริ่มต้นงาน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับโปรเจ็กต์ที่มีมูลค่าสูงหรือที่กำหนดเองซึ่งคุณต้องรับภาระต้นทุนล่วงหน้าหรือเมื่อคุณทำงานกับลูกค้าที่มีประวัติการชำระเงินล่าช้า แต่ก็อาจทำให้ลูกค้าเลือกไม่ใช้บริการได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่การชำระเงินล่วงหน้าเป็นเรื่องแปลก
สุทธิ 7 หรือสุทธิ 15
การชําระเงินจะครบกําหนดชําระ 7 หรือ 15 วันหลังจากวันที่ออกใบแจ้งหนี้ นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีกระแสเงินสดน้อยหรือในอุตสาหกรรมที่รอบการชําระเงินที่เร็วเป็นปกติ (เช่น งานอิสระ การให้คําปรึกษา) แต่ก็อาจเป็นอุปสรรคสําหรับลูกค้าที่คุ้นเคยกับเงื่อนไขระยะยาว
สุทธิ 45 หรือสุทธิ 60
การชําระเงินจะครบกําหนดชําระ 45 หรือ 60 วันหลังจากวันที่ออกใบแจ้งหนี้ นี่เป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อคุณทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเงื่อนไขการชำระเงินที่ยาวนานขึ้น หรือสำหรับลูกค้าที่ชำระเงินล่าช้าเป็นประจำภายใต้เงื่อนไขที่สั้นลง เนื่องจากการกำหนดรอบการชำระเงินที่ยาวนานขึ้นอาจช่วยให้ความคาดหวังสอดคล้องกัน โดยเป็นตัวเลือกที่เหมาะในการรองรับลูกค้ารายใหญ่แต่ก็อาจทำให้กระแสเงินสดของคุณตึงตัวได้
การชําระเงินเมื่อบรรลุเป้าหมาย
ชำระเงินเป็นงวดๆ ตามจุดสำคัญของโครงการที่เฉพาะเจาะจง (เช่น ชำระล่วงหน้า 30%, ชำระ 40% ระหว่างช่วงกลางของโครงการ และชำระ 30% เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น) นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับโครงการระยะยาวหรือที่มีต้นทุนสูงซึ่งการรอการชำระเงินเต็มจำนวนในตอนท้ายนั้นไม่สะดวก หรือเมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการลดความเสี่ยงโดยการเชื่อมโยงการชำระเงินกับความคืบหน้า วิธีนี้ช่วยรักษาสมดุลความเสี่ยงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ต้องมีการเรียกเก็บเงินและติดตามมากขึ้น
ข้อตกลงการให้บริการ
ต้องมีการชำระเงินจำนวนหนึ่งล่วงหน้าเพื่อจองเวลาหรือบริการของคุณ นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับบริการต่อเนื่อง เช่น การให้คําปรึกษา กฎหมาย หรืองานสร้างสรรค์ หรือเมื่อคุณต้องการสร้างรายรับที่คาดการณ์ได้ในแต่ละเดือน นอกจากนี้ ยังช่วยลดความจําเป็นในการออกใบแจ้งหนี้บ่อยๆ
การชำระเงินตามรอบบิลหรือโมเดลชําระล่วงหน้า
ลูกค้าจะชําระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้าในรอบเวลาหนึ่งๆ (เช่น รายเดือน รายไตรมาส รายปี) นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับธุรกิจที่ให้บริการตามแบบแผนล่วงหน้า เช่น การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) การบํารุงรักษา และการเป็นสมาชิก หรือเมื่อรายได้ที่คาดการณ์ได้เป็นสิ่งที่สำคัญ วิธีนี้จะมอบกระแสรายได้ที่คาดการณ์ได้ แต่ต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เก็บอย่างต่อเนื่อง
ชําระเงินตามการใช้งาน
การชําระเงินจะครบกําหนดทันทีก่อนหรือหลังธุรกรรมแต่ละรายการ เช่นเดียวกับรูปแบบการพกเงินสดติดตัว นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการซื้อจำนวนน้อย ลูกค้าที่ไม่ต้องการเงื่อนไขที่ยาวนาน หรือเมื่ออัตรากำไรน้อยและคุณไม่สามารถรอการชำระเงินได้ โดยจะขจัดความเสี่ยงของการชําระเงินที่ล่าช้าและช่วยให้เข้าถึงเงินทุนได้ทันที แต่อาจจํากัดฐานลูกค้าของคุณ
ข้อกําหนดการชําระเงินแบบไดนามิก
เงื่อนไขการชำระเงินแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประวัติการชำระเงินของลูกค้าหรือขนาดของคำสั่งซื้อ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่เชื่อถือได้อาจได้รับเงื่อนไขสุทธิ 60 ขณะที่ลูกค้าใหม่หรือลูกค้าที่ไม่สม่ำเสมออาจได้รับเงื่อนไขสุทธิ 15 นี่เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการให้รางวัลแก่ลูกค้าบางราย หรือเสนอความยืดหยุ่นเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่ซื้อเป็นจํานวนมาก การปรับแต่งประเภทนี้สามารถกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าคนสำคัญได้ แต่จะเพิ่มความยุ่งยากให้กับการออกใบแจ้งหนี้ และต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ