การกำหนดค่าบริการสำหรับบริการซอฟต์แวร์ของคุณคือการตั้งราคาที่ตรงกับมูลค่าที่ลูกค้าเชื่อว่าเหมาะสม จึงควรจะตั้งราคาที่ลูกค้าพอใจที่จะจ่าย เนื่องจากลูกค้ารู้ว่าจะได้รับคุณค่าอะไรเป็นการตอบแทน ค่าบริการที่คิดตามคุณค่าไม่ได้ดีต่อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตด้วย อย่างไรก็ตาม ผลสํารวจปี 2021 พบว่ามีเพียง 39% ของบริษัทให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS)ที่ใช้วิธีตั้งค่าบริการตามคุณค่า ในขณะที่ 27% ตั้งราคาตามดุลพินิจของตนเอง และ 24% ตั้งราคาตามคู่แข่ง
ธุรกิจ SaaSต้องใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นในการกําหนดราคาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ เมื่อกำหนดราคาได้อย่างเหมาะสม คุณก็จะรักษาลูกค้าไว้ได้มากขึ้น และหากโมเดลค่าบริการของคุณไม่เหมาะสม อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินก็อาจลดลง
ในการตัดสินใจว่าจะกําหนดค่าบริการอย่างไร คุณจะต้องเข้าใจว่าธุรกิจของคุณมีความแตกต่างอย่างไร สิ่งที่ลูกค้าให้ความสําคัญ และการใช้บริการของลูกค้า นอกจากนี้ คุณยังต้องคอยติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดและพร้อมที่จะเปลี่ยนราคาเมื่อบริการของคุณเติบโตขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลง ด้านล่างนี้ เราจะเปรียบเทียบโมเดลการคิดค่าบริการ SaaS ต่างๆ อธิบายถึงลักษณะการทำงาน และอธิบายวิธีเลือกโมเดลที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ประเภทของโมเดลค่าบริการ SaaS
- การคิดค่าบริการ SaaS ทํางานอย่างไร
- อะไรทําให้โมเดลค่าบริการ SaaS แตกต่างจากโมเดลค่าบริการอื่นๆ
- วิธีเลือกโมเดลค่าบริการที่เหมาะกับธุรกิจ SaaS ของคุณ
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับค่าบริการ SaaS สําหรับธุรกิจ
ประเภทของโมเดลค่าบริการ SaaS
โมเดลค่าบริการการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) คือวิธีการต่างๆ ที่ธุรกิจ SaaS สามารถเรียกเก็บเงินค่าบริการออนไลน์ของตน แต่ละโมเดลมีตรรกะของตัวเองและเหมาะกับบริการและความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของโมเดลบางส่วนที่นิยมใช้กันมากที่สุด
โมเดลการชําระเงินตามรอบบิล
โมเดลการชําระเงินตามรอบบิลเป็นที่นิยมเพราะคาดการณ์ได้ทั้งธุรกิจและลูกค้า ลูกค้าจ่ายตามอัตราที่กําหนดไว้เป็นประจําทุกเดือนหรือรายปี เพื่อใช้แอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ ลูกค้ารู้ว่าจะต้องจ่ายอะไร ในขณะที่บริษัทก็จะมีรายรับที่แน่นอนโมเดลตามการใช้งาน
ค่าใช้จ่ายสำหรับโมเดลตามการใช้งานขึ้นอยู่กับปริมาณที่ลูกค้าใช้บริการ คิดดูก็เหมือนกับแพ็กเกจค่าโทรศัพท์มือถือแบบชำระเงินตามการใช้งาน ซึ่งอาจดึงดูดลูกค้าที่ชอบหลักการจ่ายตามที่ใช้ และยังช่วยขยายฐานลูกค้าของบริษัทได้อีกด้วยค่าบริการแบบแบ่งระดับ
โมเดลประเภทนี้มีแพ็กเกจที่หลากหลายพร้อมคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันไป วิธีนี้รองรับกลุ่มผู้ใช้ได้หลายกลุ่ม ตั้งแต่บุคคลทั่วไปไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมอบความยืดหยุ่นในการเลือกใช้แพ็กเกจที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของตนมากที่สุดโมเดลฟรีเมียม
โมเดลลักษณะนี้ บริษัทจะให้คุณสมบัติพื้นฐานของซอฟต์แวร์ฟรีแล้วเรียกเก็บค่าใช้คุณสมบัติขั้นสูงหรือบริการเพิ่มเติม ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้ลูกค้ามีความภักดีกับผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะขอให้ลูกค้าตกลงชำระเงินค่าบริการต่อผู้ใช้
เมื่อใช้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น โมเดลแบบนี้เหมาะกับบริการแบบธุรกิจกับธุรกิจ ซึ่งคุณค่าของซอฟต์แวร์จะเติบโตขึ้นตามจำนวนสมาชิกผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นโมเดลค่าบริการคงที่
โมเดลค่าบริการในอัตราคงที่เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายซึ่งคิดค่าบริการหนึ่งราคาต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์ วิธีการนี้ไม่ค่อยแพร่หลายเนื่องจากไม่ได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย แต่เป็นการสื่อสารอย่างชัดเจนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายและมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตน
โมเดลแต่ละแบบมีจุดแข็งเฉพาะตัวและตอบสนองความต้องการและรูปแบบการใช้งานของลูกค้าที่แตกต่างกัน ประเด็นสำคัญคือบริษัท SaaSต้องเลือกใช้โมเดลค่าบริการให้ตรงกับคุณค่าที่ส่งมอบให้กับลูกค้า เพื่อให้ราคาสอดคล้องกับมูลค่าและตรงกับการรับรู้ของลูกค้าต่อสิ่งที่บริษัทนำเสนอ
ค่าบริการ SaaS ทํางานอย่างไร
บริษัทที่ดําเนินธุรกิจ SaaS ต้องพัฒนาโมเดลค่าบริการที่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้และลูกค้ารูสึกว่าเป็นธรรมและยอมรับได้ ซึ่งจะส่งเสริมความภักดีและการเติบโตในระยะยาว ต่อไปนี้คือวิธีการพิจารณาวิธีการคิดค่าบริการของคุณในฐานะธุรกิจ SaaS
การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย
ขั้นตอนแรกคือการตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายเซิร์ฟเวอร์ การบํารุงรักษาซอฟต์แวร์ การอัปเดต และการสนับสนุนลูกค้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่าราคาครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในขณะที่ยังเหลือกําไรอยู่ด้วยการประเมินคุณค่า
จากนั้นให้ประเมินคุณค่าของบริการที่มีต่อลูกค้า พิจารณาคุณสมบัติของบริการ ปัญหาที่บริษัทแก้ไข และดูว่าบริการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับลูกค้าได้อย่างไร คุณค่าที่รับรู้นี้จะส่งผลต่อราคาที่ลูกค้ายินดีที่จะจ่ายการศึกษาตลาด
จากนั้นให้ทําการศึกษาตลาดเพื่อทําความเข้าใจว่าคู่แข่งกําลังทําอะไรอยู่ ประเมินว่าผู้ให้บริการแบบเดียวกันคิดราคาอย่างไรและพิจารณาว่าบริการของคุณอยู่ที่จุดใดในช่วงราคาดังกล่าว การคิดค่าบริการสูงเกินไปหรือต่ําเกินไปอาจส่งผลเสียได้การเลือกโครงสร้างค่าบริการ
ตัดสินใจเลือกโครงสร้างค่าบริการที่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานและความชอบของลูกค้า โครงสร้างราคาควรสอดคล้องกับมูลค่าของบริการที่ลูกค้ารับรู้ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลแบบแบ่งระดับที่เติบโตไปพร้อมกับลูกค้าหรือโมเดลค่าบริการตามจำนวนผู้ใช้ที่ขยายตามขนาดทีมของลูกค้าการปรับตัวและความยืดหยุ่น
ค่าบริการ SaaS ไม่ใช่ค่าบริการแบบถาวร ให้ปรับเปลี่ยนการคิดค่าบริการอย่างต่อเนื่องตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ หรือความคิดเนของลูกค้าที่เปลี่ยนไป การทบทวและการปรับเปลี่ยนเป็นประจําช่วยให้ค่าบริการเหมาะกับสถานการณ์และสามารถแข่งขันได้ความโปร่งใสและการสื่อสาร
สื่อสารโครงสร้างค่าบริการและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างชัดเจน ลูกค้ามักพึงพอใจที่ได้ทราบว่าตนเองจ่ายเงินไปเพื่ออะไรและเพราะอะไร ดังนั้นการให้ข้อมูลนี้ด้วยวิธีที่เข้าถึงได้จึงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การกําหนดราคาที่ประสบความสําเร็จ
อะไรทําให้โมเดลค่าบริการ SaaS แตกต่างจากโมเดลค่าบริการแบบอื่นๆ
วิธีที่เราเรียกเก็บค่าซอฟต์แวร์เปลี่ยนแปลงไปมาก แทนที่จะเรียกเก็บเงินค่าผลิตภัณฑ์จากลูกค้าเพียงครั้งเดียว ปัจจุบันบริษัทต่างๆ เปิดให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการและรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องผ่านบริการแบบสมัครสมาชิก วิธีนี้ต้องการให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ที่จุดขาย ลองมาดูกันว่าอะไรที่ทําให้บริการแบบสมัครสมาชิกโดดเด่น:
มูลค่าตลอดอายุการเป็นลูกค้า
โมเดล SaaS เน้นความสัมพันธ์ตลอดวงจรการเป็นลูกค้า เป้าหมายคือการเพิ่มคุณค่าที่ลูกค้าได้รับเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการใช้งานอย่างต่อเนื่องและสร้างโอกาสในการขายต่อยอด มุมมองระยะยาวนี้ส่งผลต่อโครงสร้างค่าบริการและวิธีการทําการตลาดและขายบริการกลยุทธ์การกําหนดราคาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
โมเดล SaaS ช่วยให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลลูกค้ามากมายที่ใช้ประกอบการตัดสินใจด้านราคาได้ โดยสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าโต้ตอบกับซอฟต์แวร์ของตนอย่างไร และฟีเจอร์ใดที่ลูกค้าใช้งานและเห็นคุณค่ามากที่สุด ข้อมูลนี้ทำให้บริษัทสามารถกำหนดกลยุทธ์ราคาอย่างละเอียดอ่อนและสอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานจริง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้กับโมเดลการขายแบบเดิมๆ ที่ความสัมพันธ์กับลูกค้ามักจะสิ้นสุดลงหลังการขายครั้งแรกความยืดหยุ่นของค่าบริการแบบไดนามิก
บริษัท SaaS สามารถปรับค่าบริการได้บ่อยโดยอ้างอิงจากความคิดเห็นของตลาดแบบเรียลไทม์และข้อมูลของลูกค้า การที่จะเปลี่ยนแปลงราคาในโมเดลแบบเดิมอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์หรือต้องรอรอบการอัปเดตที่ยาวนาน ในขณะที่บริษัท SaaS สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้รวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ต้นทุนการดำเนินงาน
โมเดลรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าของ SaaS ต้องอาศัยการบริหารต้นทุนการดำเนินงานอย่างรอบคอบเพื่อรักษาอัตรากําไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยต้องตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเลือกใช้บริการคลาวด์หรือใช้เซิร์ฟเวอร์ภายในบริษัท ซึ่งอาจส่งผลอย่างมากต่อความสามารถในการทํากําไรอัตราการเลิกใช้บริการและการรักษาลูกค้า
อัตราการเลิกใช้บริการเป็นตัวชี้วัดที่สําคัญของกลยุทธ์ค่าบริการ SaaS เป้าหมายคือการกําหนดราคาที่ลดอัตราการเลิกใช้บริการไปพร้อมๆ กับทำให้ราคาสะท้อนคุณค่าของบริการอย่างเต็มที่ การรักษาสมดุลนี้ซับซ้อนและต้องอาศัยการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าค่าบริการจะไม่ทําให้ลูกค้าเลิกใช้งานการนำเสนอคุณค่าที่สอดคล้อง
บริษัท SaaS ต้องทำให้แน่ใจว่าโมเดลค่าบริการของตนสื่อสารการนำเสนอคุณค่าของบริการอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมักหมายถึงการรวมชุดฟีเจอร์ในลักษณะที่ทําให้คุณค่าที่รับรู้ชัดเจนและสอดคล้องกับปัญหาที่ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยแก้ไขการสร้างรายรับจากวิวัฒนาการของบริการ
เมื่อผลิตภัณฑ์ SaaS พัฒนาขึ้น โมเดลค่าบริการจะต้องสร้างรายรับจากฟีเจอร์และบริการใหม่ๆ โดยไม่ทำให้ลูกค้าที่อาจคุ้นเคยกับฟังก์ชันที่มีอยู่ในระดับการสมัครใช้บริการเดิมรู้สึกแปลกแยก
วิธีเลือกโมเดลค่าบริการที่เหมาะสมสําหรับธุรกิจ SaaS ของคุณ
การเลือกวิธีกําหนดค่าบริการสมัครใช้ซอฟต์แวร์เป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยการรู้จักผลิตภัณฑ์และลูกค้าของคุณเป็นอย่างดี ต่อไปนี้คือคู่มือที่จะช่วยคุณหากลยุทธ์ค่าบริการที่เหมาะสมที่สุด
ประเมินคุณค่าผลิตภัณฑ์
เริ่มต้นด้วยการประเมินสิ่งผลิตภัณฑ์ของคุณนำเสนอและคุณค่าเฉพาะที่ผลิตภัณฑ์มอบให้กับลูกค้า พิจารณาว่าลูกค้าใช้ฟีเจอร์และให้คุณค่ากับฟีเจอร์ใดมากที่สุด แล้วใช้โมเดลค่าบริการที่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณค่าของผลิตภัณฑ์อยู่ที่ฟีเจอร์ที่หลากหลาย โมเดลค่าบริการแบบแบ่งระดับก็น่าจะเหมาะสมที่สุดเข้าใจกลุ่มลูกค้า
แบ่งกลุ่มฐานผู้ใช้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า พร้อมทั้งทําความเข้าใจความต้องการและคุณค่าที่แต่ละกลุ่มรับรู้ ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีงบประมาณจํากัดจะมีความจําเป็นและความไวต่อราคาแตกต่างจากองค์กรขนาดใหญ่ โมเดลค่าบริการของคุณควรรองรับกลุ่มลูกค้าต่างๆ เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจใช้ตัวเลือกแบ่งระดับที่สามารถปรับขยายได้ตามลูกค้าวิเคราะห์ค่าบริการของคู่แข่ง
ตรวจสอบว่าคู่แข่งโดยตรงและผู้ให้บริการที่คล้ายกันตั้งราคาผลิตภัณฑ์อย่างไร วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้มาตรฐานตลาด เข้าใจคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ตัวเอง และสามารถกําหนดราคาที่แข่งขันได้ประเมินตําแหน่งทางการตลาดและการสร้างแบรนด์
บริการของคุณเป็นระดับพรีเมียมหรือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ใช้โมเดลค่าบริการที่สอดคล้องกับแบรนด์โดยรวมและการวางตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทพิจารณาต้นทุนและอัตรากําไร
คิดคำนวณค่าใช้จ่ายในการส่งมอบบริการและอัตรากําไรที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ โมเดลค่าบริการของคุณควรทำให้ธุรกิจอยู่ได้และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ โปรดทราบว่าเป้าหมายคือความสามารถในการทํากําไร และค่าบริการของคุณควรสะท้อนถึงคุณภาพและต้นทุนบริการของคุณทดสอบโมเดลต่างๆ
อย่ากลัวที่จะทดลองโมเดลค่าบริการหลายๆ แบบก่อนตัดสินใจเลือก การทดสอบ A/B กับโมเดลค่าบริการหลายๆ แบบกับกลุ่มลูกค้าต่างๆ ในฐานลูกค้าสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีเพิ่มอัตราการใช้บริการและรายรับให้ได้สูงสุดวางแผนการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
โมเดลค่าบริการของคุณควรเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการเติบโตของบริการและตลาด จึงควรพิจารณาว่าจะปรับโมเดลอย่างไรเมื่อธุรกิจของคุณขยายธุรกิจและเมื่อลูกค้าต้องการความเปลี่ยนแปลง
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับค่าบริการ SaaS สําหรับธุรกิจ
การกำหนดค่าบริการ SaaS ไม่ใช่เรื่องของการคิดว่าจะเรียกเก็บเงินเท่าไหร่ แต่ยังรวมถึงวิธีการกำหนดกรอบและใช้กลยุทธ์ค่าบริการของคุณด้วย กลยุทธ์การกําหนดราคาที่ได้ผลจะรักษาลูกค้าที่พึงพอใจไว้และช่วยให้กระบวนการชําระเงินมีความติดขัดน้อยที่สุด ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่สามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้
กําหนดค่าบริการที่เรียบง่ายและชัดเจน
ทําให้โครงสร้างค่าบริการของคุณไม่ซับซ้อนและเข้าใจง่าย การคิดค่าบริการที่ซับซ้อนอาจทําให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเกิดความสับสนและนำไปสู่ความลังเลหรือหมดความสนใจได้ ระบุอย่างชัดเจนว่าราคาแต่ละรายการรวมอะไร และหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมแอบแฝงที่อาจทำลายความเชื่อถือและความพึงพอใจปรับราคาให้สอดคล้องกับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้
ตั้งราคาที่แสดงถึงคุณค่าที่ลูกค้าของคุณจะได้รับจากบริการ นั่นหมายความว่าคุณจะต้องมองเห็นประโยชน์ในมุมมองของลูกค้าและกําหนดราคาที่ตรงกับความคาดหวังและผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับทบทวนและปรับค่าบริการเป็นประจํา
ตลาดและผลิตภัณฑ์ของคุณจะเปลี่ยนแปลงไป ค่าบริการก็เช่นกัน การทบทวนเป็นประจําจะช่วยให้คุณปรับราคาตามฟีเจอร์ใหม่ๆ ต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ความกดดันจากการแข่งขัน ความต้องการของลูกค้า รวมถึงรูปแบบการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปได้สื่อสารด้วยความโปร่งใส
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าบริการ ให้สื่อสารกับลูกค้าอย่างโปร่งใส อธิบายเหตุผลเบื้องหลังการเพิ่มขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าบริการ พร้อมทั้งแจ้งลูกค้าล่วงหน้าโดยเผื่อเวลาอย่างเพียงพอก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมีผลส่งเสริมการขายต่อยอดโดยอ้างอิงคุณค่า
กระตุ้นให้เกิดการอัปเกรดและการขายต่อยอดโดยผูกกับการนำเสนอคุณค่าที่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนไปใช้ฟีเจอร์ระดับสูงขึ้นหรือซื้อฟีเจอร์เพิ่มเติมจะเป็นประโยชน์กับลูกค้าโดยตรงอย่างไรตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานของลูกค้าเพื่อใช้เป็นข้อมูลจัดทำกลยุทธ์ด้านราคา ดูว่าฟีเจอร์ใดใช้มากที่สุดและน้อยที่สุด แล้วพิจารณาวิธีการปรับค่าบริการเพื่อเพิ่มการใช้งานและรายรับค่าบริการที่ยุติธรรม
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่าบริการของคุณยุติธรรมและไม่มีการฉวยประโยชน์จากลูกค้า ค่าบริการที่เป็นธรรมช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและความภักดีของลูกค้า ซึ่งมีค่าอย่างยิ่งต่อบริษัท SaaS ที่ต้องพึ่งพิงรายได้จากการต่ออายุบริการ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe ช่วยให้เกิดโมเดลการเรียกเก็บเงินแบบไดนามิกที่ปรับแต่งได้สําหรับธุรกิจ SaaSอย่างไร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ