การเลือกระหว่างการเรียกเก็บเงินรายปีและรายเดือนเป็นการตัดสินใจที่สําคัญสําหรับธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในตลาดการสมัครใช้บริการ อีคอมเมิร์ซแบบสมัครใช้บริการคาดว่าจะสร้างรายรับกว่า 38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2023 ดังนั้นการเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยการตัดสินใจเลือกไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างราคาเท่านั้น แต่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ความมั่นคงด้านรายรับ และการกําหนดตำแหน่งทางการตลาด
สำหรับธุรกิจแล้ว การเลือกใช้รอบการเรียกเก็บเงินแบบรายปีอาจมีความหมายมากกว่ากระแสรายรับที่แน่นอน การที่ลูกค้าตกลงใช้บริการระยะยาวช่วยธุรกิจได้ในเรื่องการวางแผนการเงินและการจัดทำงบประมาณ และโมเดลนี้ยังส่งเสริมความภักดีของลูกค้า เนื่องจากรอบการเรียกเก็บเงินที่นานขึ้นจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ยาวนานขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการหาลูกค้าใหม่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่สูงอาจเป็นอุปสรรคสําหรับลูกค้าบางราย
ในทางกลับกัน การเรียกเก็บเงินรายเดือนจะยืดหยุ่นกับลูกค้ามากกว่า ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่น่าสนใจในการดึงดูดฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น วิธีนี้เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและต้องการที่จะสามารถเลิกใช้บริการได้โดยไม่ต้องได้รับผลทางการเงินมากเกินไป แม้ว่าวิธีนี้อาจทำให้คาดการณ์กระแสรายรับของธุรกิจได้ยากขึ้น แต่ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่อาจทำให้ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น และอาจเพิ่มรายรับในระยะยาวได้ด้วยปริมาณ
ด้านล่างนี้เป็นสรุปข้อเท็จจริงพื้นฐานและข้อควรพิจารณาพื้นฐานที่ธุรกิจควรตระหนักเมื่อตัดสินใจเลือกกําหนดเวลาการเรียกเก็บเงินที่จะใช้กับลูกค้า
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การเรียกเก็บเงินรายเดือนคืออะไร
- การเรียกเก็บเงินรายปีคืออะไร
- ข้อดีและข้อเสียของการเรียกเก็บเงินรายเดือนเทียบกับการเรียกเก็บเงินรายปี
- ธุรกิจประเภทใดที่ใช้การเรียกเก็บเงินรายเดือนและประเภทใดที่ใช้การเรียกเก็บเงินรายปี
- วิธีตัดสินใจระหว่างการเรียกเก็บเงินแบบรายเดือนและรายปีสําหรับบริการแบบสมัครสมาชิก
Forrester ยกให้ Stripe เป็นผู้นําในด้านการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า Stripe ได้รับคะแนนสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเกณฑ์การประเมิน 10 ข้อ และสูงกว่าความคิดเห็นโดยเฉลี่ยจากลูกค้า อ่านรายงานเพื่อดูเหตุผลที่เราเชื่อว่า Stripe Billing สามารถช่วยให้คุณปลดล็อกกระแสรายรับใหม่ๆ ปรับตัวตามแนวโน้มของตลาด และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย
การเรียกเก็บเงินรายเดือนคืออะไร
การเรียกเก็บเงินรายเดือนคือโมเดลการชําระเงินที่ธุรกิจเรียกเก็บเงินค่าผลิตภัณฑ์หรือบริการจากลูกค้าเป็นประจําทุกเดือน การเรียกเก็บเงินลักษณะนี้ธุรกิจจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคงที่จากลูกค้าในเวลาเดียวกันทุกเดือน ซึ่งเป็นกำหนดเวลาชำระเงินที่สม่ำเสมอและคาดเดาได้สำหรับลูกค้าและเป็นกระแสรายได้ที่มั่นคงสําหรับธุรกิจ
การเรียกเก็บเงินรายปีคืออะไร
การเรียกเก็บเงินต่อปี หรือที่มักเรียกว่าการเรียกเก็บเงินรายปี เป็นโมเดลการชําระเงินที่ธุรกิจเรียกเก็บเงินค่าบริการหรือผลิตภัณฑ์แบบสมัครสมาชิกจากลูกค้าปีละครั้ง ในรูปแบบนี้ ลูกค้าจะชําระค่าบริการล่วงหน้า 1 ปี ซึ่งปกติแล้วจะเป็นวันเดียวกับวันเริ่มต้นของการสมัครใช้บริการ
ข้อดีและข้อเสียของการเรียกเก็บเงินรายเดือนเทียบกับการเรียกเก็บเงินรายปี
การเลือกระหว่างโมเดลการเรียกเก็บเงินแบบรายเดือนและรายปีมีผลกระทบที่สําคัญต่อทั้งธุรกิจและลูกค้า แต่ละโมเดลมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง
การเรียกเก็บเงินรายเดือน
ข้อดี
ลดอุปสรรคในการเข้าใช้บริการของลูกค้า: ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่ต่ำกว่าของการเรียกเก็บเงินรายเดือนช่วยลดอุปสรรคในการลงทะเบียนสมัครใช้บริการ โดยเฉพาะลูกค้าที่ระมัดระวังเกี่ยวกับการตกลงชำระเงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว
ความยืดหยุ่นที่มากขึ้น: ลูกค้าชอบความยืดหยุ่นในการยกเลิกหรือเปลี่ยนการสมัครใช้บริการได้โดยไม่ต้องผูกกับสัญญาระยะยาว ทางเลือกนี้น่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งลูกค้าอาจอยากเปลี่ยนบริการบ่อยๆ
การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง: การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นประจําทุกเดือนช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งได้มากขึ้น
กระแสเงินสม่ำเสมอ: แม้ว่าการชําระเงินรายเดือนแต่ละรายการจะมีขนาดเล็กกว่าการเรียกเก็บเงินรายปีอย่างชัดเจน แต่การชําระเงินรายเดือนทำให้มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ตลอดทั้งปี
ข้อเสีย
ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่สูงขึ้น: การประมวลผลการชําระเงินในแต่ละเดือนอาจทําให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านธุรกรรมและการบริหารจัดการที่สูงขึ้นได้
กระแสรายรับที่คาดการณ์ไม่ได้: ผู้สมัครใช้บริการรายเดือนอาจยกเลิกการสมัครใช้บริการได้ทุกเมื่อ ส่งผลให้คาดการณ์กระแสรายรับได้ยากขึ้น
อัตราการเลิกใช้บริการที่เพิ่มขึ้น: การเรียกเก็บเงินรายเดือนอาจทําให้อัตราการเลิกใช้บริการสูงขึ้น เนื่องจากลูกค้าไม่มีภาระผูกพันในระยะยาวและสามารถเลิกใช้บริการได้อย่างง่ายดาย
การเรียกเก็บเงินรายปี
ข้อดี
การจัดการกระแสเงินสดที่ดีขึ้น: การรับเงินรายปีเต็มจำนวนตั้งแต่ต้นรอบการเรียกเก็บเงินทำให้ธุรกิจมีเงินก้อนซึ่งดีต่อการจัดการกระแสเงินสด
คํามั่นสัญญาของลูกค้า: การสมัครใช้บริการรายปี อาจทําให้ได้ฐานลูกค้าที่ผูกพันมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าใช้บริการเป็นเวลานานก่อนที่จะสามารถยกเลิกได้
ค่าใช้จ่ายในบริหารจัดการที่ลดลง: การเรียกเก็บเงินที่มีความถี่น้อยลงช่วยลดงานและค่าใข้จ่ายด้านธุรกรรมและการบริหารจัดการ
ส่วนลดจูงใจ: ธุรกิจสามารถมอบส่วนลดสําหรับการสมัครใช้บริการรายปี ซึ่งเป็นจุดขายที่น่าสนใจสําหรับลูกค้า
ข้อเสีย
ต้นทุนแรกเริ่มที่สูงขึ้นสําหรับลูกค้า: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทันทีอาจเป็นอุปสรรคต่อลูกค้าบางราย โดยเฉพาะกับบริการที่มีราคาสูง
ภาระผูกพันที่ยาวนานกว่า: ลูกค้าอาจลังเลที่จะทําสัญญาเต็มปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นผู้ใช้ใหม่หรือในตลาดมีการแข่งขันสูง
การรับรู้รายรับ: ในมุมมองการทำบัญชี ธุรกิจจะต้องรับรู้รายรับจากการสมัครใช้บริการรายปีตลอดทั้งปี ซึ่งอาจส่งผลต่อการรายงานทางการเงิน
ความท้าทายด้านการรักษาลูกค้า: เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ลูกค้าจะต่ออายุการสมัครใช้บริการรายปี ธุรกิจอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการโน้มน้าวให้ลูกค้าต่ออายุ โดยเฉพาะในกรณีที่บริการยังไม่ตรงตามความคาดหวัง
บทสรุป: การเรียกเก็บเงินรายเดือนมีความยืดหยุ่นและราคาต่ำกว่าสำหรับลูกค้า แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายในการจัดการที่สูงขึ้น และอาจทำให้อัตราการเลิกใช้บริการสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม การเรียกเก็บเงินรายปีทำให้มีรายรับล่วงหน้าได้มากกว่าและรับรองถึงคำมั่นสัญญาของลูกค้า แต่อาจกันลูกค้าบางส่วนออกไปเนื่องจากค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงและต้องมีข้อผูกพันระยะยาว การเลือกระหว่างสองโมเดลนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ ความชอบของลูกค้า และพลวัตของตลาดโดยรวม
ธุรกิจประเภทใดที่ใช้การเรียกเก็บเงินรายเดือนและประเภทใดที่ใช้การเรียกเก็บเงินรายปี
ตัวเลือกระหว่างการเรียกเก็บเงินรายเดือนและรายปีมักจะขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ อุตสาหกรรมที่ดําเนินธุรกิจ และความต้องการฐานลูกค้าเป้าหมาย
ธุรกิจที่มักจะใช้การเรียกเก็บเงินรายเดือน
บริการสตรีมมิง: การเรียกเก็บเงินรายเดือนพบได้ทั่วไปในบริการสตรีมมิง เช่น Netflix และ Spotify โมเดลนี้ดึงดูดลูกค้าที่ไม่สนใจจะมีภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่แข่งขันอยู่ในตลาด
การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS): บริษัท SaaSจำนวนมาก โดยเฉพาะที่มีเป้าหมายเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือธุรกิจขนาดเล็กมักชอบการเรียกเก็บเงินรายเดือนมากกว่า เพราะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดและให้ความยืดหยุ่นมากกว่า
โทรคมนาคม: ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตมักจะใช้แพ็กเกจรายเดือนเพราะสอดคล้องกับลักษณะของบริการและความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการชําระเงินเป็นประจําในอัตราที่จัดการได้
กล่องสินค้าและชุดอาหารแบบสมัครสมาชิก: บริการเหล่านี้ซึ่งให้บริการจัดส่งสินค้าเป็นประจํา เช่น อาหารหรือผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ มักใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินรายเดือน ลักษณะนี้สอดคล้องกับบริการที่ต่อเนื่องและเกิดขึ้นซ้ํา
ยิมและฟิตเนส: สมาชิกรายเดือนเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในภาคธุรกิจนี้ เพราะการจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนรองรับบุคคลที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเป็นสมาชิกโดยไม่ต้องมีภาระผูกพันเป็นปี
ธุรกิจที่มีแนวโน้มจะใช้การเรียกเก็บเงินรายปี
ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์สําหรับองค์กร: บริษัทที่ให้บริการโซลูชันซอฟต์แวร์สําหรับธุรกิจขนาดใหญ่มักจะใช้การเรียกเก็บเงินรายปี ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ลูกค้าต้องการสัญญารายปีเพื่อจุดประสงค์ในการวางแผนงบประมาณและการวางแผนทางการเงิน
สมาคมวิชาชีพและสมาชิกภาพ: องค์กรที่มีบริการสมัครสมาชิก เช่น สมาคมการค้าและสโมสรมักจะใช้การเรียกเก็บเงินรายปี โดยทั่วไปแล้ว สมาชิกจะต้องสมัครสมาชิกเป็นเวลา 1 ปีเพื่อรับสิทธิประโยชน์ด้านการพัฒนาวิชาชีพ เครือข่าย และทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง
เนื้อหาและบริการข่าวระดับพรีเมียม: บริการสิ่งพิมพ์และการวิจัยออนไลน์บางแห่งเสนอบริการสมัครสมาชิกรายปี โดยมีเป้าหมายเป็นลูกค้าที่ให้ความสําคัญกับเนื้อหาและเต็มใจที่จะมีภาระผูกพันระยะยาว
แพลตฟอร์มการศึกษาและการฝึกอบรม: แพลตฟอร์มที่ให้บริการหลักสูตรหรือการพัฒนาทางวิชาชีพมักจะใช้การเรียกเก็บเงินรายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโปรแกรมการฝึกอบรมที่ครอบคลุมหรือต่อเนื่อง
บริการด้านการจัดการด้านไอทีและบริการสนับสนุน: ธุรกิจที่ให้บริการสนับสนุนหรือจัดการด้านไอทีอย่างต่อเนื่องมักจะทำสัญญาแบบรายปี แนวทางนี้ให้ความมั่นคงกับธุรกิจและช่วยให้มั่นใจว่าจะทุ่มเทกับการให้บริการในระยะยาว
โดยทั่วไปแล้วธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า มีความยืดหยุ่น หรือมีบริการที่อัปเดตอยู่เป็นประจํามักจะชอบใช้การเรียกเก็บเงินรายเดือนมากกว่า ส่วนธุรกิจที่ให้บริการแบบครอบคลุม มูลค่าสูง หรือเป็นบริการแบบ B2B ซึ่งมีลูกค้าที่ยินดีจะมีภาระผูกพันระยะยาวเพื่อคุณค่าที่รับรู้ได้ที่สูงขึ้น มักเลือกการเรียกเก็บเงินแบบรายปี
วิธีตัดสินใจระหว่างการเรียกเก็บเงินแบบรายเดือนและรายปีสําหรับบริการแบบสมัครสมาชิก
การตัดสินใจเลือกระหว่างการเรียกเก็บเงินแบบรายเดือนและรายปีสําหรับบริการแบบสมัครสมาชิก จะต้องพิจารณาปัจจัยหลายข้อที่เกี่ยวข้องกับโมเดลธุรกิจ ความต้องการของลูกค้า และพลวัตของตลาด ต่อไปนี้คือวิธีที่ธุรกิจจะพิจารณาตัดสินใจในเรื่องนี้
ทําความเข้าใจฐานลูกค้า
ข้อมูลประชากรและความต้องการ: พิจารณาลักษณะนิสัยทางการเงินและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของคุณ เป็นบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจ พวกเขามีแนวโน้มอยากมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในอัตราที่ต่ำกว่า (และน่าจะชอบการเรียกเก็บเงินรายเดือน) หรือให้ความสำคัญกับข้อผูกพันระยะยาวที่อาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ (และชอบการเรียกเก็บเงินรายปี) มากกว่า
ความเสี่ยงที่รับได้: ประเมินความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ การเรียกเก็บเงินรายเดือนเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นในอุตสาหกรรมที่ลูกค้าต้องการหลีกเลี่ยงภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นผู้ใช้ใหม่และไม่คุ้นเคยกับบริการหรือผลิตภัณฑ์
วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
คุณค่าที่นำเสนอ: พิจารณาว่าลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างไร ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณเป็นสิ่งที่ลูกค้าจะใช้เป็นประจำตลอดทั้งปี หรือว่าคุณค่าจะลดลงตามเวลา
ความถี่ในการอัปเดต: สําหรับบริการซอฟต์แวร์หรือเนื้อหา ให้พิจารณาว่าคุณมีการปรับปรุงหรือเพิ่มคุณลักษณะใหม่ๆ บ่อยเพียงใด หากมีการอัปเดตบ่อยครั้ง แพ็กเกจรายเดือนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ลูกค้าสนใจมากกว่า
ประเมินผลกระทบทางการเงิน
ความต้องการกระแสเงินสด: ประเมินความต้องการด้านกระแสเงินสดของธุรกิจ การเรียกเก็บเงินรายปีทำให้ธุรกิจได้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์อย่างมากในการดำเนินงานหรือการเติบโต
การรับรู้รายรับ: ทําความเข้าใจผลกระทบของแต่ละโมเดลต่อการรายงานทางการเงินของคุณ หากใช้การเรียกเก็บเงินรายปี ธุรกิจจะต้องรับรู้รายรับตลอดระยะเวลาการสมัครใช้บริการซึ่งอาจส่งผลต่องบการเงิน
ระบุคู่แข่งและการกำหนดตำแหน่งทางการตลาด
การวิเคราะห์คู่แข่ง: ค้นหาว่าคู่แข่งของคุณกําลังทําอะไร การเลียนแบบหรือตอบโต้กลยุทธ์การเรียกเก็บเงินของคู่แข่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
การสร้างความแตกต่าง: ตัดสินใจว่าจะใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินเป็นจุดสร้างความแตกต่างหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การเสนอแพ็กเกจเดือนในขณะที่คู่แข่งมีแต่แพ็กเกจรายปีอาจช่วยลูกค้ากลุ่มอื่นในตลาดได้
ประเมินขีดความสามารถในการดําเนินงาน
การเรียกเก็บเงินและการดูแลระบบ: ประเมินความสามารถในการจัดการกระบวนการเรียกเก็บเงินของคุณ การเรียกเก็บเงินรายเดือนต้องออกใบแจ้งหนี้และมีการโต้ตอบกับฝ่ายบริการลูกค้าบ่อยขึ้น
โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี: ตรวจสอบว่าระบบของคุณรองรับโมเดลการเรียกเก็บเงินที่เลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการจัดการการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าและบัญชีลูกค้า
การทดลองใช้งานและคําติชม
โปรแกรมนําร่อง: พิจารณาทำโปรแกรมนําร่องกับทั้งสองโมเดลการเรียกเก็บเงินเพื่อวัดการตอบสนองและความชอบของลูกค้า
ความคิดเห็นของลูกค้า: รวบรวมความคิดเห็นจากลูกค้าเกี่ยวกับโมเดลการเรียกเก็บเงินที่ชอบและเหตุผลที่ชอบ
มอบความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับเปลี่ยน
โมเดลผสมผสาน: อย่ามองข้ามความเป็นไปได้ในการเสนอทั้งสองตัวเลือก โมเดลแบบผสมผสานสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ในวงกว้างขึ้น
ตรวจสอบและปรับเปลี่ยน: ตรวจสอบประสิทธิภาพการทํางานของโมเดลการเรียกเก็บเงินที่คุณเลือกเป็นประจํา และเตรียมพร้อมปรับตัวตามความต้องการของลูกค้าและสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจเลือกระหว่างการเรียกเก็บเงินรายปีและรายเดือนควรมีความสมดุลระหว่างการเงินที่ดีของธุรกิจกับสิ่งที่เหมาะกับลูกค้า การศึกษาวิจัยตลาดอย่างละเอียด การพิจารณาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า และการทําความเข้าใจขีดความสามารถด้านการเงินและการปฏิบัติงานของธุรกิจเป็นส่วนสําคัญในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสนับสนุนแบบไดนามิกของ Stripe สําหรับกําหนดเวลาการเรียกเก็บเงินแบบต่างๆ และสิ่งที่สามารถทำให้กับลูกค้าได้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ