สำหรับธุรกิจแบบสมัครสมาชิกนั้น เป็นเรื่องท้าทายในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรจึงจะชนะใจและรักษาลูกค้าไว้เพื่อเพิ่มรายได้ ก่อนที่จะวางแผนกลยุทธ์ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าคุณทำผลงานกับลูกค้าปัจจุบันของคุณได้ดีเพียงใด ซึ่งรวมถึงการติดตามดูอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าอย่างใกล้ชิด
อัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าเป็นเมตริกสําคัญของธุรกิจที่ระบุว่าลูกค้ารายใดเลิกใช้และเพราะอะไร ต่อไปนี้คือสิ่งที่ธุรกิจแบบสมัครสมาชิกทุกขั้นตอนจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับอัตราการเลิกใช้บริการ ประเภทของการยกเลิก ความเชื่อมโยงระหว่างอัตราการยกเลิกใช้บริการและสถานะของธุรกิจ ความแตกต่างระหว่างการยกเลิกใช้บริการแบบสมัครใจและโดยไม่ได้ตั้งใจ และชุดกลวิธีครอบคลุมที่คุณสามารถใช้เพื่อรักษาลูกค้าไว้ได้มากที่สุด
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- อัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าคืออะไร
- ประเภทของการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
- วิธีคํานวณอัตราการการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
- ค่าเปรียบเทียบการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
- เหตุใดอัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าจึงสำคัญ
- วิธีลดอัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
- การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยสมัครใจ
- การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
- การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยสมัครใจ
อัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าคืออะไร
อัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า หรือที่เรียกว่าอัตราการออก จะได้รับการติดตามตรวจสอบในหลายอุตสาหกรรม โดยปกติ ระบบจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมดที่จะเลิกใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการในช่วงเวลาที่กําหนด สําหรับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการ อัตราการเลิกใช้บริการคืออัตราที่ลูกค้ายกเลิกหรือหยุดชําระค่าบริการสำหรับการสมัครใช้บริการ
ประเภทของการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
เนื่องจากลูกค้าอาจยุติความสัมพันธ์กับธุรกิจด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นการเลิกใช้บริการจึงได้รับการจัดหมวดหมู่ตามหลายวิธี การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้ามีหลายประเภทที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจแบบสมัครใช้บริการ ได้แก่
การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยสมัครใจ
การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยสมัครใจเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าเลือกยกเลิกการสมัครใช้บริการ การเลิกใช้บริการประเภทนี้อาจเกิดจากการที่ลูกค้าได้รับมูลค่าต่ำ การบริการลูกค้าที่ไม่ดี หรือการใช้งานไม่เพียงพอการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าโดยไม่ตั้งใจเกิดขึ้นเมื่อลูกค้ายกเลิกการสมัครใช้บริการเนื่องจากชําระเงินไม่สําเร็จ เช่น วันหมดอายุของบัตรเครดิต หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลการเรียกเก็บเงินการดาวน์เกรดการสมัครใช้บริการ
การดาวน์เกรดเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าเลือกดาวน์เกรดการสมัครใช้บริการ ย้ายจากแพ็กเกจที่ราคาแพงกว่าไปเป็นแพ็กเกจที่ถูกลง หรือจากแพ็กเกจที่มีฟีเจอร์ครบครันกว่าเป็นแพ็กเกจที่มีฟีเจอร์น้อยกว่าการยกเลิกเนื่องจากอัปเกรดการสมัครใช้บริการ
การยกเลิกเนื่องจากอัปเกรดการสมัครใช้บริการจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้ายกเลิกการสมัครใช้บริการปัจจุบัน และเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจที่แพงกว่าหรือมีฟีเจอร์ครบครันกับบริษัทอื่นการยกเลิกใช้บริการตามฤดูกาล
การยกเลิกใช้บริการตามฤดูกาลคือ การสูญเสียลูกค้าที่เกิดจากปัจจัยตามฤดูกาล เช่น วันหยุด สภาพอากาศ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำอื่นๆ สําหรับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการ การเลิกใช้บริการตามฤดูกาลอาจส่งผลกระทบต่อฐานลูกค้าและรายรับโดยรวมเป็นอย่างมาก
เนื่องจากการเลิกใช้บริการแต่ละประเภทเชื่อมโยงกับปัญหาด้านธุรกิจต่างๆ และลูกค้าส่วนต่างๆ มักมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ธุรกิจจึงต้องเข้าใจว่าลูกค้ามีการเลิกใช้บริการประเภทใด และเลิกใช้ในปริมาณเท่าใด ข้อมูลนี้อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ในการลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าอย่างมีนัยสําคัญ
วิธีคํานวณอัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
การคํานวณการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าสำหรับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการมีหลายวิธี ซึ่งรวมถึงการเลิกใช้บริการต่อเดือนเทียบกับรายปี หรือยอดขั้นต้นเทียบกับการเลิกใช้บริการสุทธิ
การเลิกใช้บริการขั้นต้นจะวัดจํานวนลูกค้าที่สูญเสียไปในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ที่ 1 เดือนหรือ 1 ไตรมาส อันเนื่องมาจากการยกเลิกการสมัครใช้บริการหรือการไม่ต่ออายุ ธุรกิจบางแห่งต้องการใช้อัตราการเลิกใช้บริการสุทธิ ซึ่งจะวัดการเปลี่ยนแปลงรายรับโดยรวมในช่วงเวลาต่างๆ อันเป็นผลมาจากการยกเลิกใช้บริการของลูกค้า (การเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า) และการขายต่อยอดหรือการขยายธุรกิจภายในฐานลูกค้าปัจจุบัน การเลิกใช้บริการสุทธิแสดงให้เห็นถึงผลกระทบทางการเงินของการเลิกใช้บริการ ในขณะที่อัตราการเลิกใช้บริการขั้นต้นเน้นให้เห็นถึงการเลิกใช้บริการมากขึ้นในด้านพฤติกรรมลูกค้า
นอกจากนี้ ระบบยังคํานวณอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าได้หลายประเภท เช่น ลูกค้าแบบสมัครใช้บริการ ผู้ใช้แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือแม้แต่พนักงานในบริษัท
การคํานวณอัตราการเลิกใช้บริการสําหรับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการมีหลายวิธี แต่วิธีทั่วไปจะใช้สูตรต่อไปนี้
อัตราการเลิกใช้บริการ = (จํานวนการสมัครใช้บริการที่ยกเลิกในช่วงเวลาหนึ่ง / จํานวนการสมัครใช้บริการทั้งหมด) x 100
ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจมีการสมัครใช้บริการทั้งหมด 100 รายการและยกเลิก 10 รายการในช่วงเวลาที่กําหนด อัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าจะอยู่ที่ 10%
สูตรที่ใช้กันทั่วไปอีกอย่างสําหรับการคํานวณอัตราการเลิกใช้บริการคือ จํานวนลูกค้าทั้งหมดเมื่อเริ่มรอบ แทนที่จะเป็นจํานวนลูกค้าทั้งหมดโดยรวม ซึ่งอาจแตกต่างกัน
อัตราการเลิกใช้บริการ = (จํานวนการสมัครใช้บริการที่ยกเลิกในช่วงเวลาหนึ่ง / จํานวนการสมัครใช้บริการที่จุดเริ่มต้นของรอบ) x 100
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้สูตรอัตราการเลิกใช้บริการแบบใดสำหรับธุรกิจของคุณ สิ่งสำคัญคือการวัดอัตราการเลิกใช้บริการในช่วงเวลาที่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี
ค่าเปรียบเทียบการเลิกใช้บริการ
การติดตามการเปลี่ยนแปลงอัตราการเลิกใช้บริการของธุรกิจคุณในช่วงเวลาต่างๆ โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแนวทางที่นําไปปฏิบัติได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบอัตราการเลิกใช้บริการของบริษัทกับค่าเปรียบเทียบอัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้าของอุตสาหกรรมนั้นๆ อาจมีประโยชน์เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธุรกิจของคุณเป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มดําเนินงาน หรือกําลังขยายการดําเนินงาน ซึ่งอาจช่วยเปลี่ยนลักษณะการดําเนินธุรกิจ ธุรกิจของคุณ สิ่งที่คุณขาย แนวทางของการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่และการรักษาลูกค้า ตลอดจนลักษณะของประสบการณ์ของลูกค้า การปรับแต่งในด้านเหล่านี้อาจส่งผลต่ออัตราการสูญเสียผู้ใช้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องติดตามเกณฑ์มาตรฐานอัตราการสูญเสียผู้ใช้อย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาที่มีการเติบโต
เน้นที่ค่าเปรียบเทียบการเลิกใช้บริการสําหรับอุตสาหกรรมหรือโมเดลธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ เนื่องจากอัตราการเลิกใช้บริการอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าเป็นใครและมีการเสนอสินค้าหรือบริการแบบใด และบางครั้ง การจำกัดการเปรียบเทียบให้อยู่ที่เฉพาะกับคู่แข่งโดยตรงของคุณเท่านั้นก็อาจจะมีประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่างเช่น บริการ SaaS สําหรับบริการแบบสมัครใช้บริการที่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจทุกหมวดหมู่มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเลิกใช้บริการต่ํากว่า อย่างเช่น บริการเตรียมอาหารล่วงหน้า
ต่อไปนี้คือเกณฑ์มาตรฐานอัตราการเลิกใช้บริการโดยทั่วไปสําหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ซึ่งแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อเดือน:
- สื่อและความบันเทิง: 20%–30%
- การสมัครใช้บริการค้าปลีกออนไลน์: 15%–20%
- ฟิตเนสและความเป็นอยู่ที่ดี: 10%–15%
- SaaS (การให้บริการซอฟต์แวร์): 5%–7%
- โทรคมนาคม: 2%–5%
การเลิกใช้บริการในแต่ละประเภท ทั้งโดยสมัครใจ ไม่สมัครใจ ดาวน์เกรด อัปเกรด หรือตามฤดูกาล อาจมีค่าเปรียบเทียบแตกต่างกันไป
การตัดสินใจว่าจะกำหนดเป้าหมายการเลิกใช้บริการแบบใเและเปรียบเทียบเกณฑ์มาตรฐานใดอาจมีความสำคัญและซับซ้อนพอๆ กับการตัดสินใจว่าธุรกิจของคุณจะลดอัตราการใช้บริการอย่างไร คุณต้องพิจารณาตัวแปรหลายๆ ตัวก่อนที่จะยอมรับเกณฑ์มาตรฐานการเลิกใช้บริการชุดหนึ่ง และไม่ใช่กระบวนการง่ายๆ
เหตุใดอัตราการเลิกใช้บริการจึงสําคัญ
อัตราการเลิกใช้บริการคือเมตริกสําคัญที่ธุรกิจแบบสมัครใช้บริการต้องคอยติดตามและจัดการ เพราะสามารถแจ้งผลการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและส่งผลกระทบที่สําคัญต่อรายรับ การเติบโต และการคาดการณ์ ขอบเขตของผลกระทบนี้ขึ้นอยู่กับสามสิ่ง ไม่ว่าในธุรกิจใดก็ตาม:
- ด้านใดของการเลิกใช้บริการที่ติดตาม
- การหมั่นสังเกตแนวโน้มต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ
- ความสม่ำเสมอในการดำเนินการตามข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมจากข้อมูลการเลิกใช้บริการ
ตัวอย่างเช่น อัตราการเลิกใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันอาจบ่งบอกถึงปัญหา เช่น ข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์หรือข้อผิดพลาดในการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ อัตราการเลิกใช้บริการสูงอาจหมายถึงปัญหาที่ลึกขึ้นซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของลูกค้า เช่น มีมูลค่าต่ํา การบริการลูกค้าที่ไม่ดี หรือการใช้งานที่ไม่ครบถ้วน อัตราการเลิกใช้บริการที่สูงอาจทำให้การดึงดูดลูกค้าใหม่มาทดแทนลูกค้าที่ยกเลิกบริการทำได้ยากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
การระบุสาเหตุของการเลิกใช้บริการนี้จะช่วยให้ธุรกิจดําเนินการเพื่อปรับปรุงการรักษาลูกค้าและลดอัตราการยกเลิกของลูกค้าได้ โดยเราจะอธิบายเพิ่มเติมด้านล่าง
นอกจากนี้ อัตราการเลิกใช้บริการที่สูงยังอาจทําให้คาดการณ์รายได้ในอนาคตได้ยาก ซึ่งอาจทําให้ธุรกิจประสบกับความท้าทายเมื่อต้องตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ธุรกิจแบบสมัครใช้บริการต้องพึ่งพากระแสรายรับที่คาดการณ์ได้เป็นอย่างมาก และการคาดการณ์เป็นสิ่งสําคัญสําหรับการวางแผนทางการเงินและการจัดงบประมาณ
ในทางตรงกันข้าม อัตราการเลิกใช้บริการต่ําเป็นตัวบ่งชี้เชิงบวกด้านความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าซึ่งสามารถเพิ่มรายได้และนําไปสู่การเติบโต หากคุณมีอัตราการเลิกใช้บริการต่ํา คุณจะรู้สึกมั่นใจว่าคุณดึงดูดลูกค้าที่เหมาะสมและมอบประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ
อัตราการเลิกใช้บริการที่ต่ําจะช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินของธุรกิจและการวางแผนสำหรับการเติบโตในอนาคตง่ายขึ้น ขณะที่อัตราการเลิกใช้บริการที่สูงจะแสดงให้เห็นถึงความผันผวน อัตราการเลิกใช้บริการที่ต่ําอาจทําให้คุณวางใจได้อย่างมากกับรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าและความมั่นใจในกลยุทธ์การเติบโตในปัจจุบัน
วิธีลดอัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า
การระบุต้นตอของอัตราการเลิกใช้บริการจะช่วยให้ธุรกิจดําเนินการเพื่อเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าและลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าได้ แม้จะมีสาเหตุที่เป็นไปได้หลายประการ ซึ่งแต่ละสาเหตุจำเป็นต้องใช้ชุดการแก้ไขที่แตกต่างกัน แต่ก็มีกลยุทธ์และวิธีการบางประการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ที่กำลังประสบปัญหากับการเลิกใช้บริการสูงควรให้ความสนใจและลงทุน
ธุรกิจในระดับสูงควรปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าโดยการมอบบริการพิเศษให้กับลูกค้า อัปเดตและปรับปรุงข้อเสนอบริการอยู่เป็นประจํา ตลอดจนเสนอรางวัลจูงใจหรือเครดิตสะสมเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทําการสมัครใช้บริการต่อไป การสร้างประสบการณ์สําหรับลูกค้าที่ทําให้เกิดการเลิกใช้บริการน้อยที่สุดเป็นเรื่องท้าทาย แต่สามารถทําได้ด้วยการวางแผนที่คิดอย่างรอบคอบ และด้วยการสํารวจเมตริกหลักๆ
กลยุทธ์อื่นๆ เกี่ยวข้องกับการเลิกใช้บริการทุกประเภท เช่น การมีโมเดลค่าบริการที่คิดอย่างรอบคอบ หรือการสร้างแนวทางการวิเคราะห์เพื่อระบุรูปแบบพฤติกรรมของลูกค้า ธุรกิจควรทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าอัตราการเลิกใช้บริการจะเป็นอย่างไร แต่การเลิกใช้บริการแต่ละประเภทอาจต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการปรับปรุงอัตราการเลิกใช้บริการ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสามารถจัดการการเลิกใช้บริการโดยตั้งใจโดยการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ในขณะที่ธุรกิจอาจลดอัตราการเลิกใช้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยการปรับใช้กระบวนการเรียกเก็บเงินและการชําระเงินที่ดีขึ้น
การเลิกใช้บริการโดยตั้งใจ
ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้ลดอัตราการเลิกใช้บริการโดยตั้งใจได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าเลือกยกเลิกการสมัครใช้บริการ
ให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
การตอบกลับต่อการสอบถามข้อมูลและการร้องเรียนของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและลดโอกาสในการยกเลิกได้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการ
การอัปเดตและการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นําเสนออยู่เป็นประจํา การเพิ่มฟีเจอร์หรือฟังก์ชันใหม่ๆ และการตอบกลับความคิดเห็นของลูกค้าจะช่วยเพิ่มมูลค่าที่ลูกค้ารับรู้และปรับปรุงการรักษาลูกค้าได้สร้างประสบการณ์สําหรับลูกค้าที่กำหนดเอง
คําแนะนําและการสื่อสารที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่มหรือพฤติกรรมการซื้อมีส่วนก่อให้เกิดประสบการณ์ของลูกค้าที่มีความเกี่ยวข้องและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและความภักดีของลูกค้าทําแบบสํารวจความคิดเห็นของลูกค้า
วิธีที่ตรงไปตรงมามากที่สุดในการค้นหาวิธีที่จะทำให้ลูกค้าของคุณมีความสุขและมีส่วนร่วมคือการถามพวกเขา แบบสํารวจสามารถสร้างข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณที่มีคุณค่า ซึ่งช่วยเติมเต็มการวิเคราะห์อื่นๆ จากเมตริกลูกค้าของคุณ นั่นก็คือ การติดตามการดําเนินงาน ความคิดเห็นของลูกค้าสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ และการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาต้องการเห็นมอบรางวัลหรือสิ่งจูงใจ
ส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษอื่นๆ ธุรกิจสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าใช้บริการของตนต่อไปได้ใช้โปรแกรม win-back
การสูญเสียลูกค้าไม่จําเป็นต้องเป็นไปอย่างถาวร นอกเหนือจากเครดิตสะสมสําหรับลูกค้าที่ภักดีแล้ว ธุรกิจยังสามารถสร้างแคมเปญที่มีการกําหนดเป้าหมายเพื่อเข้าถึงลูกค้าที่เลิกใช้บริการ โดยเสนอรางวัลจูงใจหรือส่วนลดให้ลูกค้าเพื่อให้กลับมาสมัครใช้บริการอีกครั้งเสนอการทดลองใช้ฟรี
กลยุทธ์การรักษาลูกค้าของคุณควรครอบคลุมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่เพียงการป้องกันการสูญเสียลูกค้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์กับบริษัทของคุณเป็นบวกที่สุด การเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองใช้บริการก่อนตัดสินใจสมัครใช้บริการจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าแบบชำระเงินได้พิจารณาฤดูกาล
หากอัตราการเลิกใช้บริการของคุณได้รับผลกระทบอย่างมากจากแนวโน้มการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการในแต่ละฤดูกาล คุณสามารถดําเนินการเพื่อลดผลเสียต่ออัตราการรักษาลูกค้าและรายรับต่อปีของคุณ เพื่อลดผลกระทบจากการเลิกใช้บริการตามฤดูกาล ธุรกิจแบบสมัครใช้บริการด้านฟิตเนสอาจมีโปรโมชันพิเศษหรือรางวัลจูงใจเป็นพิเศษในช่วงเดือนหน้าหนาว เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสมัครใช้บริการต่อไป โดยอาจปรับกลยุทธ์การตลาดของตนเพื่อเน้นความสะดวกสบายในการออกกำลังกายที่บ้านในช่วงฤดูหนาว
การเลิกใช้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจ
การเลิกใช้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อลูกค้ายกเลิกการสมัครใช้บริการเนื่องจากชําระเงินไม่สําเร็จ อาจลดลงได้ด้วยการปรับใช้กระบวนการเรียกเก็บเงินและการชําระเงินที่ดีขึ้น
ตั้งค่าการเรียกเก็บเงินและการชําระเงินอัตโนมัติ
ธุรกิจสามารถลดโอกาสการชำระเงินล่าช้าหรือการยกเลิกการชำระเงินได้ โดยการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าโดยอัตโนมัติเป็นประจำ โซลูชันอย่าง Stripe Billing จะลดอัตราการเลิกใช้บริการด้วย Smart Retries อีเมลการชําระเงินอัตโนมัติที่ไม่สําเร็จ และระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ ช่วยให้ธุรกิจกู้คืนการชําระเงินที่ไม่สําเร็จได้กว่า 38% โดยเฉลี่ยจัดการการชําระเงินที่ดําเนินการไม่สําเร็จอย่างรวดเร็ว
เมื่อเกิดการชําระเงินที่ไม่สําเร็จ Stripe มีขั้นตอนแบบในตัวเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะจัดการการเรียกเก็บเงินสำหรับธุรกิจของคุณอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องจัดการกับการชำระเงินที่ไม่สำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อให้มีโอกาสที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาและลดการยกเลิกมอบตัวเลือกการเรียกเก็บเงินที่ยืดหยุ่น
โมเดลการเรียกเก็บเงินแบบไดนามิกเป็นสินทรัพย์ที่น่าทึ่งสําหรับธุรกิจแบบสมัครสมาชิก โดยมีข้อดีเป็นพิเศษในการลดอัตราการเลิกใช้บริการ ธุรกิจสามารถลดโอกาสเลิกใช้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจได้ ด้วยการนําเสนอตัวเลือกการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าที่ยืดหยุ่น เช่น การชําระเงินรายปีหรือรายครึ่งปี Stripe Billing นําเสนอตรรกะการเรียกเก็บเงินที่ยืดหยุ่นและใช้งานง่าย สําหรับธุรกิจทุกรูปแบบ ตั้งแต่การกําหนดราคาต่อสิทธิ์ใช้งานไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน รวมถึงการรองรับคูปอง การทดลองใช้ฟรี การแบ่งชําระตามสัดส่วน ส่วนเสริม และการใช้งานเกินด้วยส่งการแจ้งเตือนการชําระเงิน
การส่งการแจ้งเตือนให้ลูกค้าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการชําระเงินที่ตรงเวลาและลดโอกาสในการยกเลิกได้ Stripe Billing มีการเตือนให้ชําระเงินอัตโนมัติ ดังนั้นทีมของคุณจึงไม่ต้องตั้งค่าเองยอมรับวิธีการชําระเงินให้ได้หลายวิธีที่สุด
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณยอมรับวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่กลุ่มลูกค้าหลักของคุณต้องการ โซลูชันการชําระเงินของ Stripe สามารถปรับแต่งได้อย่างกว้างขวางเพื่อลดการเลิกใช้บริการที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงินให้ลูกค้าใช้พอร์ทัลแบบบริการตัวเอง
การให้บริการพอร์ทัลแบบบริการตัวเองช่วยให้ลูกค้าอัปเดตข้อมูลการเรียกเก็บเงินและชําระเงินได้อย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยลดโอกาสในการเลิกใช้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจได้นําโมเดลการคาดการณ์การเลิกใช้บริการไปใช้
โมเดลการคาดการณ์การเลิกใช้บริการจะช่วยให้ธุรกิจระบุและกําหนดเป้าหมายลูกค้าที่มีความเสี่ยงที่จะเลิกใช้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นจึงดําเนินการในเชิงรุกเพื่อรักษาลูกค้าไว้
อัตราการเลิกใช้บริการมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากหลากหลายๆ แง่มุมของธุรกิจและตลาดที่ดำเนินงาน ธุรกิจต่างๆ จึงควรตรวจสอบอัตราการเลิกใช้บริการ วิเคราะห์ความคิดเห็นจากลูกค้า และทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ เป็นประจํา เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดอัตราการเลิกใช้บริการ ซึ่งประกอบไปด้วยการสนับสนุนการทํางานภายในของทีมด้วยทรัพยากรที่เหมาะสม ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing และวิธีที่จะช่วยลดอัตราการเลิกใช้บริการสําหรับธุรกิจแบบสมัครใช้บริการ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ