โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะเรียกเก็บเงินลูกค้าตามปริมาณการใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ แทนที่จะใช้อัตราคงที่ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเพิ่มรายรับและความพึงพอใจของลูกค้าด้วยการปรับค่าบริการตามรูปแบบการใช้งานจริง นอกจากนี้ กลยุทธ์การเรียกเก็บเงินนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและช่วยให้ลูกค้าควบคุมการใช้จ่ายของตนได้ และสําหรับบางธุรกิจบาง จะได้รับประโยชน์ทั้งผู้ให้บริการและลูกค้า โมเดลนี้เหมาะสําหรับบริการที่ความต้องการของลูกค้าอาจแตกต่างกันอย่างมาก เช่น การประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ สาธารณูปโภค และโทรคมนาคม
ในปี 2022 61% ของบริษัทที่ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) ได้นําค่าบริการตามการใช้งานมาใช้หรือกําลังทดสอบโซลูชันดังกล่าว ต่อไปเราจะอธิบายวิธีการทํางานของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน การเปรียบเทียบกับโมเดลการเรียกเก็บเงินแบบอื่นๆ และสถานการณ์ที่สมมติฐานบางประการเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
- การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเทียบกับโมเดลการเรียกเก็บเงินอื่นๆ
- ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
- ความเสี่ยงและความท้าทายที่มาพร้อมกับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
- ลักษณะโมเดลการเรียกเก็บเงินที่ประสบความสําเร็จ
- สถานการณ์ของโมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานที่ดําเนินการสําเร็จ
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะติดตามการบริโภคผลิตภัณฑ์หรือบริการของลูกค้า และเรียกเก็บเงินให้สอดคล้องกัน ผู้ให้บริการนําระบบการวัดปริมาณมาใช้เพื่อตรวจสอบปริมาณของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ลูกค้าใช้อยู่ กรณีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการติดตามตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้งานข้อมูล เวลาการโทร และการเรียกใช้อินเทอร์เฟซการตั้งโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังสร้างโครงสร้างค่าบริการด้วย (เช่น อัตราคงที่ต่อหน่วยการใช้งาน) และรอบการเรียกเก็บเงิน (เช่น รายเดือน รายปี)
เมื่อสิ้นสุดแต่ละรอบ โมเดลจะวัดการใช้งานของลูกค้าและเรียกเก็บเงินตามโครงสร้างค่าบริการ จากนั้นผู้ให้บริการจะส่งใบแจ้งหนี้ไปให้ลูกค้าซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียกเก็บเงินของลูกค้ามีข้อมูลการใช้งานอย่างไร ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการพื้นที่จัดเก็บในระบบคลาวด์อาจเรียกเก็บเงิน 10 เซนต์ต่อข้อมูลที่จัดเก็บไว้และส่งใบเรียกเก็บเงินสําหรับการใช้งานทั้งหมดให้กับลูกค้าทุกๆ สิ้นเดือน
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเทียบกับโมเดลการเรียกเก็บเงินอื่นๆ
ธุรกิจควรเลือกโมเดลการเรียกเก็บเงินตามลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตลาดเป้าหมาย และเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเหมาะสําหรับธุรกิจที่มีโซลูชันที่ปรับขนาดได้และลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันไป ส่วนการเรียกเก็บเงินตามรอบบิลเหมาะสําหรับบริการที่คาดการณ์ได้ และธุรกิจที่ต้องลงทุนในความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว การเรียกเก็บเงินตามระดับช่วยให้มีความสมดุลระหว่างตัวเลือกและการคาดการณ์ ในขณะที่การเรียกเก็บเงินตามอัตราคงที่เหมาะที่สุดสําหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เรียบง่ายซึ่งมีความสามารถในการขยายขอบเขตที่จํากัด
มาดูข้อมูลการเปรียบเทียบการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานกับโมเดลการเรียกเก็บเงินแบบอื่นๆ อย่างละเอียดยิ่งขึ้นดังนี้
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
ลูกค้าชําระเงินตามยอดจริงของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช้เท่านั้น จํานวนนี้วัดเป็นหน่วยต่างๆ เช่น การใช้งานข้อมูล นาที ธุรกรรม และการเรียกใช้ API โมเดลนี้ดึงดูดลูกค้าที่มีความอ่อนไหวเรื่องราคา โดยมีอุปสรรคต่อการเข้าตลาดต่ําลงและเหมาะกับธุรกิจที่มีความต้องการที่ปรับได้ โดยมอบความยืดหยุ่นให้ลูกค้าในการปรับการใช้งานตามความต้องการของตัวเองและชําระเงินเฉพาะสิ่งที่ใช้
แต่สําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน รายรับจึงอาจคาดการณ์ไม่ได้ เนื่องจากมีความผันผวนตามรูปแบบการใช้งานของลูกค้า นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายแรงงานในการเปิดใช้ระบบการวัดและการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังต้องให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานและการเรียกเก็บเงินด้วย
การเรียกเก็บเงินตามรอบบิล
ลูกค้าจ่ายค่าธรรมเนียมตามรอบ (เช่น รายเดือน รายปี) เพื่อเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยไม่คํานึงถึงการใช้งาน โมเดลนี้สนับสนุนให้มีความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้กับผู้ให้บริการ และค่อนข้างง่ายในการจัดการและทำความเข้าใจ
แต่การเรียกเก็บเงินตามรอบบิลอาจทําให้ลูกค้าชําระเงินค่าบริการที่ตนไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การเรียกเก็บเงินยังยืดหยุ่นน้อยกว่าการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน เนื่องจากไม่รองรับลูกค้าที่มีความต้องการที่ปรับได้ และค่าใช้จ่ายที่สูงที่ต้องจ่ายล่วงหน้าอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าของลูกค้าบางราย
การเรียกเก็บเงินแบบแบ่งระดับ
ลูกค้าจ่ายค่าธรรมเนียมคงที่ตามระดับหรือแพ็กเกจที่เลือก ซึ่งปกติแล้วจะรวมฟีเจอร์หรือสิทธิ์การใช้งานในระดับต่างๆ โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้ช่วยให้ลูกค้าเลือกระดับที่เหมาะสมกับความต้องการได้ดีที่สุด แนะนําให้ลูกค้าอัปเกรดเป็นระดับที่สูงขึ้น และสร้างรายรับที่คาดเดาได้มากกว่าการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บเงินแบบแบ่งระดับมีความยืดหยุ่นที่จํากัด เนื่องจากลูกค้าอาจไม่ใช้ฟีเจอร์ทั้งหมดของระดับที่เลือก นอกจากนี้การออกแบบระดับที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย และลูกค้าอาจได้รับความไม่พึงพอใจหากลูกค้าใช้เกินวงเงินของระดับที่กําหนดและได้รับการเรียกเก็บเงิน
การเรียกเก็บเงินอัตราคงที่
ลูกค้าชําระเงินด้วยราคาคงที่ราคาเดียวสําหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ไม่ว่าจะใช้งานหรือไม่ก็ตาม โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้ง่ายต่อการจัดทํางบประมาณและไม่มีเรื่องสร้างความประหลาดใจให้กับลูกค้า และยังต้องการโครงสร้างพื้นฐานสําหรับการเรียกเก็บเงินเพียงเล็กน้อยด้วย
แต่การเรียกเก็บเงินอัตราคงที่อาจทําให้ลูกค้าที่มีการใช้งานต่ําชําระเงินมากกว่าที่ควร และไม่ได้จูงใจผู้ให้บริการให้เสนอฟีเจอร์หรือการใช้งานเพิ่มเติม นอกจากนี้ โมเดลการเรียกเก็บเงินแบบนี้ไม่ปรับขนาดเพื่อรองรับธุรกิจที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น
ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
วิธีการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีประโยชน์ต่อลูกค้าและธุรกิจ
ลูกค้า
การควบคุมค่าใช้จ่ายและความยืดหยุ่น: การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานช่วยให้ลูกค้าชําระเงินเฉพาะสิ่งที่ใช้จริงเท่านั้น จึงเป็นตัวเลือกที่มีต้นทุนต่ําสําหรับผู้ใช้ที่มีความต้องการที่ผันผวนหรือคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเพิ่มหรือลดการใช้งานได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องถูกล็อกให้ชำระค่าธรรมเนียมคงที่
ความยุติธรรมและความโปร่งใส: เมื่อเชื่อมโยงการเรียกเก็บเงินกับปริมาณการใช้ โมเดลจะชี้แจงค่าใช้จ่ายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมแอบแฝงและไม่มีเรื่องให้ประหลาดใจ
การเข้าถึงได้: เมื่อใช้โมเดลแบบจ่ายตามการใช้งาน อุปสรรคในการเข้าถึงลูกค้าใหม่มีน้อยกว่า ผู้ที่มีงบประมาณจํากัดหรือผู้ที่ต้องการลองใช้บริการสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการผูกมัดทางการเงินครั้งใหญ่ล่วงหน้า
ธุรกิจ
รายรับที่เพิ่มขึ้น: การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะช่วยเพิ่มรายรับในระยะยาว โดยเฉพาะสําหรับธุรกิจที่มีโซลูชันที่ปรับขนาดได้ ขณะที่ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการมากขึ้น รายรับของผู้ให้บริการก็เติบโตอย่างเป็นสัดส่วน
การสร้างความแตกต่างของตลาด: กลยุทธ์การเรียกเก็บเงินนี้อาจเป็นจุดขายที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสําคัญกับความยืดหยุ่นและการควบคุมต้นทุน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้ธุรกิจโดดเด่นกว่าคู่แข่งที่ใช้โมเดลการคิดค่าบริการแบบเดิมๆ อีกด้วย
แรงจูงใจภายใน: เนื่องจากการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานช่วยเชื่อมโยงรายรับกับการบริโภค จึงเป็นแรงจูงใจให้ธุรกิจมอบบริการที่มีคุณภาพสูงและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงสุด
การรักษาลูกค้า: การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานสอดคล้องกับความสนใจของลูกค้าและผู้ให้บริการ ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะใช้บริการต่อไปหากพวกเขารู้สึกว่าตนชําระค่าบริการในราคาที่ยุติธรรมสําหรับการใช้งานจริง ซึ่งวิธีนี้อาจช่วยเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าได้
ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า: ข้อมูลการใช้งานที่เก็บรวบรวมผ่านการวัดปริมาณสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า ธุรกิจต่างๆ สามารถนําข้อมูลนี้ไปใช้ปรับแต่งบริการ พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ และปรับปรุงกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยรวมได้
ความเสี่ยงและความท้าทายที่มาพร้อมกับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
ต่อไปนี้คือความเสี่ยงและความท้าทายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
รายรับที่คาดการณ์ไม่ได้: กระแสรายรับที่อิงตามการใช้งานอาจผันผวนอย่างมากจากรูปแบบการใช้งานของลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากโมเดลการชําระเงินตามรอบบิลแบบอัตราคงที่หรือโมเดลการสมัครใช้บริการที่ให้กระแสรายรับที่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจทําให้เกิดความซับซ้อนในการวางแผนการเงินและการจัดงบประมาณได้
ระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน: การปรับใช้ระบบการเรียกเก็บเงินที่ติดตามการใช้งานได้อย่างแม่นยํา คํานวณการเรียกเก็บเงิน และสร้างใบแจ้งหนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายและมีค่าใช้จ่ายสูง ระบบจะต้องจัดการกับข้อมูลจํานวนมากอย่างถูกต้องและปลอดภัยในขณะที่ข้อกําหนดของธุรกิจอาจเพิ่มปัญหาทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษา
การเรียกเก็บเงินที่สร้างความตกใจ: หากการใช้งานของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดและได้รับการเรียกเก็บเงินสูงกว่าที่คาดไว้ ลูกค้าอาจประสบกับการเรียกเก็บเงินที่สร้างความตกใจ กรณีนี้อาจทําให้การเลิกใช้บริการของลูกค้าเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกค้ารู้สึกว่าไม่มีการควบคุมหรือการแจ้งเตือนที่เพียงพอให้ติดตามและจัดการการใช้งาน
การขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดการใช้งาน: โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการวัดการใช้งานอย่างถูกต้องและโปร่งใส ข้อบกพร่องหรือความไม่ถูกต้องในการวัดอาจทําให้การเรียกเก็บเงินเกิดการโต้แย้งการชําระเงินและความสูญเสียความไว้วางใจของลูกค้า
ค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ: การจัดการระบบการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมักเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับโมเดลการเรียกเก็บเงินที่เรียบง่ายกว่า ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและบํารุงรักษาระบบชี้วัดและการเรียกเก็บเงิน การเรียกใช้การสนับสนุนลูกค้าเพื่อจัดการคําขอเกี่ยวกับการใช้งานและการเรียกเก็บเงิน และการประมวลผลข้อมูลการเรียกเก็บเงินที่ยุ่งยากมากขึ้น
ข้อจํากัดของตลาด: บางตลาดหรือกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มไม่เหมาะสําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ลูกค้าบางรายต้องการความเรียบง่ายและการคาดการณ์ค่าบริการอัตราคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่ความสอดคล้องตามงบประมาณสำคัญกว่าความยืดหยุ่น
การปฏิบัติตามข้อกําหนด: การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานอาจก่อให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การคุ้มครองผู้บริโภค และแนวทางปฏิบัติด้านการเรียกเก็บเงินที่เป็นธรรม ซึ่งขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเหล่านี้ในขณะปรับใช้โมเดลตามการใช้งานอาจซับซ้อน
การรักษาลูกค้า: เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากลูกค้าอาจแตกต่างกันในแต่ละเดือน ลูกค้าอาจมีแรงจูงใจน้อยลงที่จะคงความภักดีหากพวกเขาเชื่อว่าสามารถหาข้อเสนอที่ดีกว่าได้จากที่อื่น กรณีนี้ตรงข้ามกับโมเดลการชําระเงินตามรอบบิล ซึ่งลูกค้าอาจติดตามใช้บริการได้อย่างสะดวกสะดวกแม้ไม่ได้ใช้บริการอยู่ก็ตาม
การจัดการความต้องการ: ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สาธารณูปโภคและระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่ความจุของทรัพยากรเป็นปัญหา เวลาใช้งานสูงสุดอาจใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง การจัดการจุดสูงสุดเหล่านี้พร้อมกับรักษาคุณภาพของบริการอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ลักษณะโมเดลการเรียกเก็บเงินที่ประสบความสําเร็จ
โมเดลการเรียกเก็บเงินที่ดีจะรองรับทั้งความมั่นคงทางการเงินและความพึงพอใจของลูกค้า ต่อไปนี้เป็นลักษณะบางประการที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียกเก็บเงินที่ประสบความสำเร็จ:
ความโปร่งใส: ลูกค้าควรเข้าใจวิธีการคํานวณการเรียกเก็บเงินของตนเองและค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าชําระได้ง่าย แนวทางการเรียกเก็บเงินที่โปร่งใสช่วยลดความขัดแย้ง และสร้างความไว้วางใจและความภักดีของลูกค้า
ความยุติธรรม: โมเดลการเรียกเก็บเงินควรเรียกเก็บเงินลูกค้าด้วยวิธีการที่สื่อว่ามีความเท่าเทียมกันและยุติธรรมโดยอิงตามระดับการใช้งานหรือการสมัครใช้บริการ ค่าบริการที่ยุติธรรมจะส่งเสริมให้มีการยอมรับที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการชําระเงินในใบเรียกเก็บเงินน้อยลง
ความยืดหยุ่น: โมเดลการเรียกเก็บเงินที่ดีจะปรับเปลี่ยนตามความต้องการและรูปแบบการบริโภคของลูกค้าที่แตกต่างกัน และควรเปิดใช้การเปลี่ยนแปลงระดับบริการ เช่น การอัปเกรด การดาวน์เกรด และส่วนเสริมโดยไม่เรียกเก็บเงินเพิ่มเติมจากลูกค้าสําหรับการเปลี่ยนแปลงการใช้บริการ
ความสามารถในการคาดการณ์: ลูกค้าชื่นชอบความคาดเดาได้ในใบเรียกเก็บเงินของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโมเดลการสมัครใช้บริการหรือแบบอัตราคงที่ แม้แต่ในโมเดลตามการใช้งาน เครื่องมือสำหรับการติดตามและประมาณต้นทุนก็สามารถช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการการคาดการณ์งบประมาณได้ดีขึ้นและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้
การปรับขนาด: เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น โมเดลการเรียกเก็บเงินควรปรับขนาดได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ อีกทั้งจะต้องสามารถจัดการธุรกรรมที่มีปริมาณการชําระเงินสูง รวมถึงความต้องการของลูกค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงข้อกําหนดในภูมิภาคต่างๆ ได้โดยไม่ยุ่งยาก
ระบบอัตโนมัติ: โมเดลการเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพมักใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อลดข้อผิดพลาดและลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียกเก็บเงิน ระบบอัตโนมัติช่วยปรับปรุงการเรียกเก็บเงิน ความถูกต้อง และความสอดคล้องกันได้ทันเวลา ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การปฏิบัติตามข้อกําหนด: โมเดลการเรียกเก็บเงินจะต้องเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ์ของผู้บริโภค การคุ้มครองข้อมูล และธุรกรรมทางการเงิน การปฏิบัติตามข้อกําหนดช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายและรับรองว่าธุรกิจจะได้รับชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
ความสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ: โมเดลการเรียกเก็บเงินควรสอดคล้องกับเป้าหมายที่กว้างขึ้นของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการสมัครใช้บริการในระยะยาว การเพิ่มการใช้บริการ หรือการขายต่อยอดฟีเจอร์ระดับพรีเมียม นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนกลยุทธ์ธุรกิจโดยรวม แทนที่จะทําหน้าที่เป็นแหล่งรายได้เพียงอย่างเดียว
สถานการณ์ของโมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานที่ดําเนินการสําเร็จ
ด้านล่างนี้ เราจะตรวจสอบบางสถานการณ์ของบริษัทสมมติที่บรรลุตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) ผ่านโมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ในสถานการณ์เหล่านี้ บริษัทเหล่านี้จะวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานของลูกค้าอย่างละเอียดและระบุความท้าทายจากโมเดลค่าบริการที่มีอยู่ โซลูชันตามการใช้งานของพวกเขาให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวกดังนี้:
ลูกค้าสามารถปรับแต่งการใช้จ่ายให้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง เพิ่มความพึงพอใจ และลดอัตราการเลิกใช้บริการได้
บริษัทต่างๆ สามารถปรับปรุงกระแสรายรับของตนและเพิ่มผลกําไรได้ด้วยการเรียกเก็บเงินตามมูลค่าที่บริษัทมอบให้อย่างถูกต้องแม่นยํามากขึ้น
บริษัทต่างๆ สามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นและลดต้นทุนด้วยการจูงใจให้ลูกค้าใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความไว้วางใจของลูกค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ใช้รู้สึกว่าถูกเรียกเก็บเงินอย่างสมเหตุสมผลสําหรับการบริโภคจริง
ต่อไปนี้เป็นสถานการณ์บางสถานการณ์ที่โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะประสบความสําเร็จ
ชุดเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของ SaaS
อันดับแรก แพลตฟอร์มการเขียนและการทํางานร่วมกันบนคลาวด์มีโมเดลการสมัครใช้บริการตามระดับที่มีระดับฟรีและแผนการชําระเงินหลายแบบ แพลตฟอร์มจะสังเกตเห็นว่าผู้ใช้บางรายในระดับต่ำกว่ามักจะใช้งานเกินขีดจำกัดของตนบ่อยครั้ง ในขณะที่บางรายก็แทบจะไม่ได้ใช้งานเลย เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทจึงได้แนะนำส่วนประกอบตามการใช้งานสำหรับฟีเจอร์พรีเมียม เช่น การตรวจสอบไวยากรณ์ขั้นสูงและการตรวจจับการลอกเลียนแบบมาใช้
จากนั้นบริษัทจะติดตามตัวชี้ัวัดหลัก ๆ ซึ่งรวมถึงรายรับเฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) อัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้า และอัตราการนําไปใช้ของตัวเลือกตามการใช้งาน ตอนนี้ ARPU เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ลูกค้าที่มีการใช้งานสูง อัตราการเลิกใช้บริการจะลดลงเมื่อลูกค้าที่เคยจํากัดระดับไว้ตอนนี้มีความยืดหยุ่นมากกว่า นอกจากนี้ ตัวเลือกตามการใช้งานยังดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ลังเลที่จะใช้แพ็กเกจที่มีค่าบริการสูง
ผู้ให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลคลาวด์
ในตอนแรก บริษัทที่ให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์มีแผนการจัดเก็บข้อมูลที่หลากหลายโดยมีค่าธรรมเนียมรายเดือนคงที่ แต่ตระหนักว่าลูกค้าจํานวนมากไม่ได้ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลที่ได้รับจัดสรรอย่างเต็มที่ ธุรกิจจะใช้โมเดลตามการใช้งานที่ลูกค้าจะชําระเฉพาะพื้นที่เก็บข้อมูลที่ใช้เพื่อปรับปรุงการจัดสรรทรัพยากรและรายรับ
หลังจากนั้น จะมีการติดตามตัวชี้วัด ซึ่งรวมถึงการใช้พื้นที่จัดเก็บ ค่าใช้จ่ายต่อกิกะไบต์ และคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า การจัดเก็บใช้วิธีแบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากลูกค้าได้รับแรงจูงใจมากขึ้นในการเพิ่มการใช้งาน ซึ่งต้นทุนต่อกิกะไบต์จะลดลงเนื่องจากจัดสรรทรัพยากรได้ดีขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้าก็เพิ่มขึ้นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาจ่ายเงินในราคาที่ยุติธรรมตามความต้องการจริง
ผู้ให้บริการโทรคมนาคม
ในตอนแรก บริษัทโทรคมนาคมมีแพ็กเกจการใช้อินเทอร์เน็ตแบบไม่จํากัด แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความแออัดและการใช้งานเกินของเครือข่าย บริษัทจึงเปลี่ยนเป็นโมเดลตามการใช้งานที่มีค่าบริการเกินวงเงินที่แตกต่างกัน
หลังจากนั้น ผู้ให้บริการจะติดตามตัวชี้วัด รวมถึงการใช้งานข้อมูลเฉลี่ยต่อลูกค้า ระดับการจํากัดของเครือข่าย และ ARPU โมเดลตามการใช้งานช่วยให้มีการแจกแจงข้อมูลทั่วฐานลูกค้าได้มากขึ้นและช่วยลดการส่งข้อมูลติดขัดในเครือข่าย ARPU เพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากสามารถจ่ายค่าบริการได้แม่นยำมากขึ้น บริษัทยังใช้ฟีเจอร์และเครื่องมือการบันทึกข้อมูลเพื่อช่วยลูกค้าจัดการการใช้งานของตัวเอง
แพลตฟอร์ม API
ผู้ให้บริการ API ข้อมูลทางการเงินมีโมเดลการชําระเงินตามรอบบิลที่มีระดับต่างๆ ตามจํานวนการเรียกใช้ API ที่อนุญาต แต่ระบบก็สังเกตเห็นว่ารูปแบบการใช้งานแตกต่างกันไปมากในหมู่ลูกค้า. จึงได้นำโมเดลค่าบริการตามการใช้งานไปใช้เมื่อลูกค้าชําระเงินต่อการเรียกใช้ API เกินขีดจํากัดของแพ็กเกจ
หลังจากนั้น บริษัทจะติดตามตัวชี้วัด รวมถึงปริมาณการเรียกใช้ API รายรับต่อการเรียกใช้ API และความพึงพอใจของลูกค้าผ่านโมเดลค่าบริการ โมเดลตามการใช้งานช่วยเพิ่มรายรับจากลูกค้าที่มีการใช้งานสูง และยังมอบความยืดหยุ่นให้แก่ลูกค้าที่มีความต้องการด้านการใช้งานต่ํากว่าด้วย ลูกค้าชอบความโปร่งใสของโมเดลค่าบริการและรู้สึกว่าตนจ่ายในราคาที่ยุติธรรมตามมูลค่าที่ได้รับ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังนําเครื่องมือเพื่อช่วยลูกค้าตรวจสอบการใช้งาน API และค่าใช้จ่ายมาใช้ด้วย
บริการการประมวลผลแบบคลาวด์
ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่มีทรัพยากรด้านการประมวลผลออนไลน์จะใช้โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเพื่อเรียกเก็บเงินจากลูกค้าโดยอิงตามจำนวนชั่วโมงที่ใช้หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) จํานวนกิกะไบต์ของพื้นที่เก็บข้อมูลที่ถูกโอนเข้าและออกจากแพลตฟอร์ม โดยจะคิดค่าบริการ 5 เซนต์ต่อชั่วโมงของ CPU, 1 เซนต์ต่อ GB ที่เก็บข้อมูลต่อเดือน และ 2 เซนต์ต่อ GB ของการถ่ายโอนข้อมูลต่อ GB KPI ของบริษัทประกอบด้วยอัตราการใช้ทรัพยากร อัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้า และ ARPU
โมเดลใหม่ของบริษัทเพิ่มอัตราการใช้งานได้ 40% เนื่องจากลูกค้าใช้ทรัพยากรได้มากตามต้องการ นอกจากนี้ ธุรกิจยังประสบกับอัตราการเลิกใช้บริการที่ต่ำเพียง 5% ต่อปีและเพิ่ม ARPU ได้ถึง 25% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี
บริษัทโทรคมนาคม
ผู้ให้บริการเครือข่ายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่นำแพ็กเกจแบบจ่ายตามการใช้งานมาใช้ โดยระบบจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามจํานวนนาที ข้อความ SMS และอินเทอรืเน็ตที่ใช้ โครงสร้างการเรียกเก็บเงินจะเรียกเก็บเงิน 10 เซนต์ต่อนาทีสําหรับการโทร 1 เซนต์ต่อข้อความ และ 5 เซนต์ต่อเมกะไบต์ (MB) ของอินเทอร์เน็ต KPI ประกอบด้วยอัตราการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ การใช้งานโดยเฉลี่ยต่อลูกค้า และมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (CLTV)
โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานของบริษัทดึงดูดผู้ใช้ใหม่กว่า 100,000 รายในไตรมาสแรกหลังจากติดตั้งใช้งาน การใช้งานโดยเฉลี่ยต่อลูกค้าเพิ่มขึ้น 30% และ CLTV ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าลูกค้าให้ความสําคัญกับความยืดหยุ่น
ผู้ให้บริการสาธารณูปโภค
ผู้ให้บริการไฟฟ้าเปลี่ยนมาใช้โมเดลค่าบริการแบบไดนามิกโดยอิงตามการใช้งานในช่วงสูงสุดและช่วงนอกเวลาสูงสุดเพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงาน โครงสร้างการเรียกเก็บเงินจะคิดค่าบริการที่ 8 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ (kWh) ในช่วงนอกชั่วโมงที่มีปริมาณการใช้งานสูงและ 15 เซนต์ต่อ kWh ในช่วงเวลาใช้งานสูงสุด KPI ประกอบด้วยการลดความต้องการสูงสุด คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า และรูปแบบการใช้พลังงาน
โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานของบริษัทลดความต้องการสูงสุดถึง 20% เนื่องจากลูกค้าเปลี่ยนจากการใช้งานจํานวนมากมาใช้ในชั่วโมงที่ไม่มีการใช้งานสูงสุด คะแนนความพึงพอใจยังคงสูงและสะท้อนให้เห็นถึงการประหยัดต้นทุนของลูกค้า การติดตามรูปแบบการบริโภคอย่างสม่ำเสมอแสดงให้เห็นถึงการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของผู้ให้บริการ
ผู้ให้บริการ SaaS
ซอฟต์แวร์การจัดการโครงการนําโครงสร้างการเรียกเก็บเงินรายเดือนมาใช้ โดยจะเรียกเก็บเงิน 10 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้ และ 5 ดอลลาร์ต่อโครงการที่ใช้งานอยู่ KPI ประกอบด้วยรายรับตามแบบแผนล่วงหน้าต่อเดือน (MRR) อัตราการเลิกใช้บริการ/ซื้อสินค้า และอัตราการใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติม
ระบบการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานของบริษัททำให้ MRR เพิ่มขึ้น 10% ในแต่ละไตรมาส นอกจากนี้ยังประสบกับอัตราการเลิกใช้บริการที่ต่ําถึง 3% รวมไปถึงอัตราการนําไปใช้ที่สูงสําหรับฟีเจอร์เพิ่มเติม ซึ่งนี่บ่งบอกถึงการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจกับโมเดลค่าบริการของผู้ใช้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ