แอปชําระเงินคือแอปบนโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ของคุณที่ช่วยให้คุณส่ง รับ หรือจัดการเงินทางดิจิทัลได้ โดยมักจะเชื่อมกับบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลโดยตรง และอาจเป็นตัวเลือกการชําระเงินที่สะดวกกว่าเงินสด แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (เช่น Cash App) ช่วยให้จ่ายเงินคืนให้เพื่อนได้ง่ายขึ้น แยกชำระเงิน ซื้อของออนไลน์ หรือซื้อสินค้าด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้บัตรหรือเงินสด มีคนกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลกใช้แอปชําระเงิน โดยยอดรวมของธุรกรรมการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มีมูลค่าถึง 7.39 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายว่าเหตุใดคุณจึงอาจควรสร้างแอปการชําระเงิน วิธีสร้างแอป และเครื่องมือที่ดีที่สุดในการพัฒนาแอปชําระเงิน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ทําไมต้องสร้างแอปชําระเงิน
- แอปชําระเงินควรมีฟีเจอร์ใดบ้าง
- คุณจะเริ่มพัฒนาแอปชําระเงินอย่างไร
- เครื่องมือที่ดีที่สุดในการพัฒนาแอปชําระเงินคืออะไร
ทำไมต้องสร้างแอปชําระเงิน
การสร้างแอปชําระเงินมีประโยชน์หลายอย่าง หากแอปของคุณมีจุดขายที่โดดเด่น เช่น การลดค่าธรรมเนียม การลดความซับซ้อนของประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ หรือโซลูชันที่ตอบโจทย์ความท้าทายบางประการ แอปนี้อาจช่วยให้คุณประสบความสําเร็จในการแข่งขัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น (ลองนึกถึง บล็อกเชน ปัญญาประดิษฐ์ [AI] ฯลฯ) โอกาสในการสร้างแอปที่นําเสนอโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมและเติมเต็มช่องว่างในตลาดก็เพิ่มขึ้นตาม ต่อไปนี้เป็นสาเหตุบางประการที่คุณควรสร้างแอปชําระเงิน
- การเติบโตของตลาดการชําระเงินดิจิทัล: ผู้คนจํานวนมากขึ้นกําลังเปลี่ยนจากเงินสดไปใช้ระบบการชําระเงินแบบดิจิทัล ในปี 2023 69% ของผู้ใหญ่ที่ใช้งานออนไลน์ในสหรัฐอเมริการะบุว่าตนเลือกใช้วิธีการชําระเงินแบบดิจิทัลในการซื้อสินค้าหรือบริการในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดยังคงเติบโตและยังมีส่วนที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่เริ่มใช้ระบบดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
- โอกาสสำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม: คุณสามารถปรับแต่งแอปของคุณเพื่อให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงหรือเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถให้บริการชําระเงินให้กับผู้ทํางานอิสระ การส่งเงินระหว่างประเทศที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ หรือโซลูชันการชําระเงินเฉพาะอุตสาหกรรม 
- โอกาสในการสร้างรายรับ: แอปชําระเงินมักจะสร้างรายรับจากค่าธรรมเนียมธุรกรรมโมเดลการสมัครใช้บริการ, การเป็นพาร์ทเนอร์ หรือฟีเจอร์ที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ตัวเลือกการลงทุนและข้อเสนอด้านสินเชื่อ 
- ความสะดวกแก่ลูกค้า: ธุรกิจที่ผสานการทํางานกับโซลูชันการชําระเงิน (เช่น มาร์เก็ตเพลสที่มีการชําระเงินในตัว) สามารถมอบประสบการณ์ลูกค้าที่สะดวกมากขึ้นและดึงดูดให้ลูกค้าใช้งานต่อเนื่อง 
- ข้อมูลเชิงลึก: แอปชําระเงินช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ที่มีคุณค่า ซึ่งช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ ช่วยคุณปรับปรุงบริการ หรือส่งเสริมการเป็นพันธมิตรกับบริษัทอื่นๆ ได้ 
- ช่องว่างตลาด: มีพื้นที่เสมอในการปรับปรุงโซลูชันที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น การลดความซับซ้อนของการชําระเงินข้ามพรมแดน การเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย หรือการเพิ่มความเร็วในการทําธุรกรรมคือความก้าวหน้าที่ทำให้แอปใหม่แตกต่างจากแอปอื่นๆ ได้ 
- การเงินที่คำนึงถึงทุกคน: ในตลาดเกิดใหม่ แอปชําระเงินสามารถตอบสนองความต้องการของประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือประชากรที่่เข้าถึงบริการธนาคารจำกัด ทําให้พวกเขาสามารถทําธุรกรรมดิจิทัลได้เป็นครั้งแรก 
- ความภักดีและการรักษาแบรนด์: หากคุณจับคู่แอปชําระเงินกับบริการอื่นๆ (เช่น การชอปปิง การจอง ฟีเจอร์โซเชียลมีเดีย) จะช่วยเพิ่มการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้และกระตุ้นให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ได้ 
- โอกาสการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ: แอปชําระเงินมักเปิดโอกาสสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีคุณค่า การผสานการทํางานกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ค้าปลีกและบริการต่างๆ สร้างโอกาสในการทํางานร่วมกันได้ 
ฟีเจอร์ใดบ้างที่แอปชําระเงินควรมี
แอปชําระเงินต้องมีความสมดุลระหว่างฟังก์ชัน ความปลอดภัย และการใช้งานง่าย ต่อไปนี้คือฟีเจอร์ที่สําคัญจริง ๆ หากคุณต้องการสร้างแอปที่ใช้งานง่ายและแข่งขันได้
ธุรกรรมที่รวดเร็วและยืดหยุ่น
- การชําระเงินทันที: ไม่มีใครอยากรอ 3 วันเพื่อให้ยอดคงเหลือในบัญชีอัปเดต แอปของคุณควรโอนเงินทันทีหรือเกือบจะทันทีได้ 
- รองรับหลายสกุลเงิน: หากคุณมีเป้าหมายเป็นผู้ใช้ทั่วโลก แอปของคุณต้องช่วยให้ผู้ใช้เหล่านั้นส่งและรับการชําระเงินระหว่างประเทศในสกุลเงินต่างๆ ได้ โดควรมีค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำและโปร่งใส 
- การแยกชำระเงิน: ความสามารถในหารค่าใช้จ่ายภายในแอปทําให้ชีวิตของผู้ใช้ง่ายขึ้น เพราะช่วยอํานวยความสะดวกในกรณี เช่น การรับประทานอาหารเย็นร่วมกันแล้วหารค่าใข้จ่ายกัน 
ผสานการทํางานกับบัญชีธนาคารและบัตรได้อย่างง่ายดาย
- การผสานการทํางานกับธนาคาร: ผู้ใช้ควรเชื่อมโยงบัญชีธนาคาร บัตรเครดิตและเดบิต หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น Apple Pay และ Google Pay ได้ง่าย 
- ตัวเลือกการฝากเงินโดยตรง: ความสามารถในการรับชําระเงินโดยตรงเข้าบัญชีธนาคารมีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับแอปที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ทํางานอิสระหรือธุรกิจขนาดเล็ก 
ความปลอดภัยระดับสูงสุด
- การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (2FA): คุณควรคิดว่า 2FA เป็นคุณสมบัติที่ต้องมีในแอป ให้ลูกค้ามีตัวเลือกการตรวจสอบสิทธิ์ เช่น ไบโอเมตริก (เช่น ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้า) และรหัสที่ใช้ในแอป 
- การตรวจจับการฉ้อโกง: คุณสามารถใช้ AI เพื่อรายงานธุรกรรมที่ผิดปกติได้โดยอัตโนมัติ นี่คือฟีเจอร์ประเภทที่ผู้ใช้อาจไม่นึกถึงจนกว่าจำเป็นจะต้องใช้ 
- การเข้ารหัส: การเข้ารหัสตั้งแต่ปลายทางจนถึงปลายทางสําหรับธุรกรรมทุกรายการก็ควรเป็นสิ่งที่ต้องมี เนื่องจากผู้ใช้จะรู้สึกมั่นใจได้มากขึ้นว่าข้อมูลของตนปลอดภัยจากการรั่วไหล 
คําขอและการแจ้งเตือน
- คําขอให้ชําระเงิน: ขั้นตอนการชําระเงินอัตโนมัติที่เรียบร้อยและเป็นระบบอัตโนมัติช่วยให้ผู้ใช้ส่งคําขอให้ผู้อื่นชําระเงินหรือตั้งค่าการแจ้งเตือนสําหรับการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าได้ง่ายขึ้น ความสามารถเหล่านี้จะช่วยประหยัดเวลาและลดความหงุดหงิดของลูกค้า 
- การแจ้งเตือนที่ปรับแต่งได้: ไม่มีใครต้องการรับการแจ้งเตือนที่ไม่เกี่ยวข้อง ให้ผู้ใช้ควบคุมสิ่งที่ตนจะรับการแจ้งเตือน รวมถึงการแจ้งเตือนธุรกรรมขนาดใหญ่ การยืนยันการชําระเงิน และการแจ้งเตือนเวลาที่มีคนส่งเงินให้ 
ความสามารถในการปรับขนาดได้และการอัปเกรด
- การรองรับอนาคต: เมื่อฐานผู้ใช้ของคุณเติบโตขึ้น คุณอาจจะเพิ่มฟีเจอร์อย่างการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า การจัดการการชําระเงินตามรอบบิล และแม้แต่องค์ประกอบการทำงบประมาณแบบใช้ AI ก็ได้ 
- ค่าธรรมเนียมต่ำหรือโปร่งใส: หากคุณเรียกเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมหรือขายฟีเจอร์พรีเมียม ให้แสดงข้อมูลค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอย่างชัดเจน ค่าธรรมเนียมแอบแฝงอาจส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้ 
ประสบการณ์ที่สะดวกสําหรับลูกค้า
- กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่เป็นมิตรกับลูกค้า: คุณอาจทำให้ผู้ใช้ลงทะเบียนได้ง่ายแต่ปลอดภัยด้วยการใช้วิธีการยืนยันตัวตนที่ไม่รู้สึกรุกล้ำมากเกินไป เช่น การสแกนบัตรประจําตัว (ID) หรือการเชื่อมบัญชีที่ยืนยันแล้วอาจให้ความรู้สึกสะดวกใจมากกว่าการยืนยันด้วยไบโอเมตริกซึ่งอาจใช้ลายนิ้วมือหรือการจดจําใบหน้า 
- การสนับสนุนลูกค้า: แชตบอทเป็นตัวเลือกที่ดีสําหรับคําถามพื้นฐาน แต่คุณอาจต้องมีช่องทางติดต่อคนเป็นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางแชต อีเมล หรือโทรศัพท์ หากมีอะไรผิดพลาด 
- แดชบอร์ดส่วนบุคคล: คุณสามารถแสดงการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายหรือประวัติการชําระเงินของผู้ใช้ได้ด้วยแดชบอร์ดที่คล่องตัวและใช้งานง่าย ข้อมูลเชิงลึกอย่าง "เดือนนี้คุณใช้จ่ายค่ากาแฟไป 200 ดอลลาร์สหรัฐ" อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ 
- โซเชียลมีเดีย: คุณควรเพิ่มองค์ประกอบทางสังคมที่เป็นตัวเลือกเสริม เช่น ฟีดการชําระเงิน ซึ่งผู้ใช้สามารถแชร์ธุรกรรมของตนกับเพื่อนๆ ได้ 
การช่วยเหลือด้านการเข้าถึงและการใช้งานที่ง่าย
- การแปลภาษา: หากกลุ่มเป้าหมายเป็นรายภูมิภาค อย่าลืมตอบสนองความต้องการที่ตรงกับภูมิภาคนั้นๆ ตัวอย่างเช่น คุณอาจผสานการทํางานอินเทอร์เฟซการชําระเงินแบบรวมเป็นรายการเดียว (UPI) ในอินเดีย หรือเปิดใช้การโอนเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบทันทีในตลาดแอฟริกา ซึ่งเป็นวิธีการชําระเงินที่เป้าหมายของคุณต้องการ 
- ความเข้ากันได้ระหว่างแพลตฟอร์ม: แอปของคุณต้องทํางานได้โดยไม่มีปัญหาในอุปกรณ์เคลื่อนที่(iOS และ Android) เดสก์ท็อป และอุปกรณ์สวมใส่ จะยิ่งดีถ้าแอปซิงก์ระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 
- ตัวเลือกโหมดออฟไลน์หรือการสํารองข้อมูล: คุณสามารถอนุญาตให้ผู้ใช้เริ่มการชําระเงินแบบออฟไลน์ได้ โดยอาจสร้างรหัสที่พวกเขาสามารถรับได้เมื่อทั้งผู้ส่งและผู้รับมีการเชื่อมต่อออนไลน์ 
ตัวเลือกขั้นสูงสําหรับผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม
- คุณสมบัติเพิ่มเติมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก: คุณอาจอยากให้แอปของคุณมีวิธีการออกใบแจ้งหนี้ การติดตามค่าใช้จ่าย หรือการผสานการทํางานกับซอฟต์แวร์บัญชี เช่น QuickBooks ด้วย 
- การชําระเงินด้วยรหัส QR: รหัส QR ช่วยอํานวยความสะดวกในการชําระเงินที่รวดเร็ว โดยเฉพาะสําหรับธุรกรรมที่จุดขาย ลูกค้าสามารถสแกนและชําระเงินได้ง่ายที่จุดขาย ในขณะที่แถวการชำระเงินของธุรกิจก็จะลื่นไหลขึ้น 
- การผสานการทํางานคริปโต: คุณอาจลองเปิดใช้ธุรกรรมคริปโตสําหรับผู้ที่ต้องการชําระเงินหรือรับเงินด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล 
คุณเริ่มพัฒนาแอปชําระเงินอย่างไร
เมื่อสร้างแพลตฟอร์มที่จัดการข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อน คุณต้องมีกลยุทธ์ที่ผ่านคิดอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนา ต่อไปนี้คือวิธีเริ่มต้น
ระบุปัญหาที่คุณกําลังจะแก้ไข
อันดับแรก ให้หาคําตอบว่าอะไรทําให้แอปของคุณแตกต่าง คุณเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงหรือไม่ เช่น ผู้ทํางานอิสระหรือธุรกิจขนาดเล็ก คุณกำลังจะทําให้การแยกชำระเงินเป็นเรื่องง่าย จะแก้ไขปัญหาการชําระเงินข้ามพรมแดนหรือจะนำเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ระบุกลุ่มเฉพาะของคุณ แล้วสิ่งนี้จะนำทางคุณเอง
ทําความเข้าใจกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
การชําระเงินอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นจงเริ่มเรียนรู้ด้านนี้โดยเร็วที่สุด ทุ่มเทเวลาให้กับงานต่อไปนี้:
- ศึกษาข้อกําหนดในการปฏิบัติตามข้อกําหนดสําหรับการจัดการข้อมูลบัตร เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) 
- ตรวจสอบระเบียบข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในท้องถิ่นในภูมิภาคที่คุณดําเนินธุรกิจ เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค (GDPR) ในยุโรปและกฎหมายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (CCPA) 
- การขอใบอนุญาตใดๆ ที่คุณอาจต้องใช้ เช่น ใบอนุญาตผู้ให้บริการส่งเงินในสหรัฐอเมริกา 
- การทำงานร่วมกับทนายความหรือที่ปรึกษาด้านฟินเทคในขั้นตอนนี้อาจเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ได้ 
ออกแบบฟีเจอร์หลัก
ตัดสินใจว่าแอปของคุณจะให้อะไรกับผู้ใช้ อย่างน้อยๆ แอปชําระเงินส่วนใหญ่จะต้องมี
- ฟังก์ชันสําหรับส่งและรับชําระเงิน 
- การเชื่อมบัญชีธนาคาร บัตร และกระเป๋าเงินดิจิทัล 
- ฟีเจอร์ประวัติธุรกรรมที่มีรายละเอียดที่แม่นยําและอ่านง่าย 
- มาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัส, 2FA และการตรวจจับการฉ้อโกง 
- เครื่องมือต่างๆ เช่น การออกใบแจ้งหนี้และการแจ้งเตือนการชําระเงิน (หากเป้าหมายของคุณเป็นลูกค้าธุรกิจ) 
- พิมพ์เขียวหรือจําลองที่ใช้งานง่ายเพื่อแสดงเส้นทางให้ผู้ใช้เห็นภาพ 
เลือกชุดเทคโนโลยีที่เหมาะสม
คุณต้องใช้เทคโนโลยีที่รองรับการเติบโต ความเร็ว และความปลอดภัยของแอป
- ฟรอนท์เอนด์: เฟรมเวิร์กเช่น React Native หรือ Flutter จะช่วยให้คุณสร้างแอปข้ามแพลตฟอร์มสําหรับ iOS และ Android ได้อย่างง่ายดาย 
- แบ็กเอนด์: ตัวเลือกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น เช่น Node.js Python (Django หรือ Flask) หรือ Ruby on Rails ใช้ได้ดีสําหรับการพัฒนาแบ็กเอนด์ 
- ฐานข้อมูล: คุณต้องมีฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น PostgreSQL หรือ MongoDB เพื่อจัดการธุรกรรม 
- อินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) การผสานการทํางานกับธนาคาร (เช่น Plaid, Yodlee) การแปลงสกุลเงิน และเกตเวย์การชําระเงินต้องใช้ API 
- บริการระบบคลาวด์: Amazon Web Services, Google Cloud หรือ Azure สามารถโฮสต์และขยายแอปของคุณได้ 
ผสานการทํางานกับ Stripe
หากคุณไม่ได้สร้างระบบประมวลผลการชําระเงินของตนเอง Stripe จะช่วยเหลือธุรกิจของคุณได้ โดยจัดการกับการอนุมัติการชําระเงิน การตรวจจับการฉ้อโกง และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมาพร้อม API ที่เหมาะสําหรับนักพัฒนา ตัวเลือกการผสานการทํางานที่ยืดหยุ่น และรองรับวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย ไม่ว่าคุณจะสร้างขั้นตอนการชําระเงินที่เรียบง่ายหรือระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อนขึ้น Stripe จะช่วยทําให้การเริ่มต้นใช้งานง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับรายละเอียดของระบบการรับชําระเงิน
เน้นความปลอดภัยตั้งแต่แรก
ความปลอดภัยควรเป็นรากฐานของแอปของคุณ ซึ่งคุณจะต้องจัดให้มีตั้งแต่แรกด้วยวิธีต่อไปนี้
- ใช้การเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทางกับธุรกรรมทุกรายการ 
- นําการแปลงเป็นโทเค็นมาใช้เพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น รายละเอียดของบัตร 
- จัดให้มีระบบติดตามตรวจสอบการฉ้อโกงและการแจ้งเตือนผู้ใช้ในกรณีที่มีกิจกรรมที่น่าสงสัย 
- ทดสอบแอปของคุณเป็นประจําด้วยการประเมินช่องโหว่และการตรวจสอบ 
สร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบหรือผลิตภัณฑ์ที่ทํางานได้ขั้นต่ํา (MVP)
เริ่มจากฟีเจอร์หลักๆ แล้วเน้นที่ฟีเจอร์หลัก เพื่อแก้ไขปัญหาหลักๆ ของผู้ใช้ MVP เปิดโอกาสให้คุณทดสอบไอเดียโดยไม่ต้องทุ่มเททรัพยากรแบบผลิตภัณฑ์เต็มรูปแบบ ต่อไปนี้คือขั้นตอนบางส่วนสําหรับการสร้าง MVP
- สร้างอินเทอร์เฟซที่เรียบร้อยและใช้งานง่าย 
- ให้ผู้ใช้ส่งและรับเงิน 
- จัดให้มีประวัติธุรกรรมขั้นพื้นฐานและการลิงก์บัญชี 
ทดสอบแอปอย่างละเอียด
แอปชําระเงินต้องทํางานได้อย่างน่าเชื่อถือก่อนเปิดตัว ทดสอบสิ่งต่อไปนี้
- ฟังก์ชัน: การชําระเงินประมวลผลถูกต้องหรือไม่ การแจ้งเตือนถูกต้องหรือไม่ ขั้นตอนของผู้ใช้ง่ายหรือไม่ 
- ประสิทธิภาพการทํางาน: แอปทํางานได้ดีภายใต้โหลดจํานวนมากหรือไม่ 
- การรักษาความปลอดภัย: แอปได้รับการทดสอบช่องโหว่เป็นประจําหรือไม่ เช่น การละเมิดข้อมูลและการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต 
- การทำงานร่วมกันของระบบ: แอปทํางานสอดคล้องกันบนอุปกรณ์และระบบปฏิบัติการต่างๆ หรือไม่ 
วางแผนเพื่อการเติบโต
แม้ในระยะแรกเริ่ม ลองคิดถึงวิธีที่แอปของคุณจะรับมือกับการเติบโต ใช้บริการคลาวด์ที่สามารถขยายได้เมื่อฐานผู้ใช้ของคุณขยาย ดูแลแบ็กเอนด์ให้ยืดหยุ่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสร้างฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้าและการรองรับสกุลเงินคริปโตขึ้นใหม่แบบเต็มรูปแบบเพื่อใช้งาน
เปิดตัวอย่างมีกลยุทธ์
เมื่อคุณพร้อมที่จะใช้งานแอปจริงๆ แล้ว คุณจะต้องทําสิ่งต่อไปนี้
- เริ่มด้วยการเปิดตัวเล็กๆ กับกลุ่มผู้ใช้ขนาดเล็กเพื่อการทดสอบขั้นสุดท้าย 
- รวบรวมความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาในนาทีสุดท้าย 
- ค่อยๆ เปิดใช้งานและเน้นที่ตลาดหรือกลุ่มเป้าหมายเฉพาะก่อนที่จะขยายกลุ่มผู้ใช้ 
ทําการตลาดแอปและพัฒนาให้เติบโต
หลังจากเปิดตัวแอปแล้ว การตลาดก็มีความสําคัญพอๆ กับการพัฒนา ให้เน้นสิ่งต่อไปนี้
- การหาผู้ใช้ใหม่: ใช้โซเชียลมีเดีย การเป็นพาร์ทเนอร์ หรือโปรแกรมแนะนําเพื่อให้มีผู้ใช้เข้ามาใช้งาน 
- วงจรคําติชม: ให้ความสําคัญกับความคิดเห็นและข้อร้องเรียน ผู้ใช้จะบอกให้คุณทราบว่าอะไรใช้ดีและอะไรไม่ดี 
- การดูแลรักษา: ทยอยอัปเดตโดยอาศัยคําติชม ทำแอปให้ปลอดภัยแอป และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ 
เครื่องมือที่ดีที่สุดสําหรับการพัฒนาแอปชําระเงินคืออะไร
API เป็นส่วนสําคัญในโครงสร้างของแอป API ของ Stripe ช่วยให้คุณผสานการทํางานกับผลิตภัณฑ์ Stripe ได้อย่างง่ายดาย ต่อไปนี้คือเครื่องมือที่มีค่าที่สุด
Stripe Payments
Stripe Payments เป็นฟีเจอร์หลักในการจัดการการชําระเงิน ช่วยให้คุณรับและประมวลผลวิธีการชําระเงินได้หลากหลายวิธี ซึ่งได้แก่
- กระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น Apple Pay, Google Pay) 
- การโอนเงินผ่านธนาคาร (เช่น ACH Direct Debit การหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA (SEPA)) 
- ตัวเลือกแบบ "ซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง" (BNPL) (เช่น Afterpay) 
ผลิตภัณฑ์นี้มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับแต่งได้ทั้งสําหรับการซื้อแบบครั้งเดียวและการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า
Stripe Checkout
หากคุณต้องการวิธีที่รวดเร็วและปลอดภัยในการติดตั้งใช้งานหน้าการชําระเงินสําเร็จรูป Stripe Checkout เป็นตัวเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ โดยจะจัดการขั้นตอนการชําระเงินทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย
- การคํานวณภาษี 
- ส่วนลดและรหัสโปรโมชัน 
- การแปลภาษาให้เข้ากับท้องถิ่น (รองรับหลายภาษาและหลายสกุลเงิน) 
- การป้องกันการฉ้อโกง 
สิ่งนี้เหมาะมากหากคุณต้องการโซลูชันพร้อมใช้แบบต้องพัฒนาเพื่อปรับแต่งเองเพียงเล็กน้อย
Stripe Connect
พิจารณาใช้ Stripe Connect หากคุณกําลังสร้างแพลตฟอร์มหรือมาร์เก็ตเพลสที่ผู้ใช้ (เช่น ผู้ขาย ผู้ให้บริการ) จําเป็นต้องรับการชําระเงิน ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยให้คุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้
- ตั้งค่าให้ผู้ใช้รับชําระเงิน 
- แบ่งการชำระเงินกับหลายฝ่าย 
- สร้างขั้นตอนการจ่ายเงินอัตโนมัติไปยังบัญชีผู้ใช้ 
- ช่วยเหลือในการปฏิบัติตามข้อกําหนดให้กับผู้ใช้ทั่วโลก 
Connect เหมาะกับธุรกิจอย่างมาร์เก็ตเพลส, แพลตฟอร์มงานพิเศษ, และองค์กรอื่นๆ ที่มีผู้รับเงินหลายราย
Stripe Billing
เหมาะกับแพลตฟอร์มการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) หรือบริการแบบสมาชิก Stripe Billing รองรับโมเดลการชําระเงินตามรอบบิลหลายรูปแบบ (เช่น ค่าบริการต่อผู้ใช้ แพ็กเกจอัตราคงที่ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน)
โดยสามารถช่วยแอปที่จัดการการชําระเงินตามรอบบิลหรือการชําระเงินตามแบบแผนล่วงหน้า ฟีเจอร์ต่างๆ ประกอบด้วย:
- การจัดการการชําระเงินตามรอบบิลอัตโนมัติ 
- การเรียกเก็บเงินตามสัดส่วนสําหรับการอัปเกรดแพ็กเกจและดาวน์เกรด 
- การออกใบแจ้งหนี้ในตัว 
- ตรรกะการลองซ้ำสําหรับการชําระเงินที่ไม่สําเร็จ 
Stripe Identity
หากแอปกําหนดให้ต้องยืนยันตัวตน Stripe Identity จะช่วยคุณยืนยันตัวตนของผู้ใช้ด้วยการตรวจสอบยืนยันตัวตนด้วยเอกสารและภาพเซลฟี ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยปฏิบัติตามข้อกําหนดในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงินและในมาร์เก็ตเพลส
Stripe Treasury
สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการมากกว่าการชําระเงินพื้นฐานและต้องการนําเสนอฟีเจอร์คล้ายกับแอปธนาคาร Stripe Treasuryนับเป็นโซลูชันที่ทรงคุณค่า เนื่องจากมีประโยชน์เป็นพิเศษสําหรับแอปฟินเทคซึ่งช่วยให้คุณ
- สร้างบัญชีสําหรับผู้ใช้ 
- จัดการกระแสเงินสด 
- เปิดใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การโอนเงินระหว่างธนาคารและยอดคงเหลือที่ได้ดอกเบี้ย 
Stripe Radar
Stripe Radar เป็นระบบป้องกันการฉ้อโกงในตัวของ Stripe ซึ่งใช้ AI ในการตรวจจับและป้องกันธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ คุณสามารถปรับแต่งเกณฑ์ความเสี่ยงและตรวจสอบการชําระเงินที่มีการเตือนความเสี่ยงได้ด้วยตนเองหากต้องการ
Stripe Tax
Stripe Tax คํานวณและเก็บภาษีอัตโนมัติสําหรับธุรกิจที่ดําเนินธุรกิจในหลายเขตอํานาจศาล โดยรองรับการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านภาษีทั่วโลกและผสานการทํางานกับ API ของ Stripe ในการกําหนดภาษีสําหรับผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้และผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ