รายรับจากอุตสาหกรรมการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) ทั่วโลกได้รับการคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 3.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 สําหรับธุรกิจ SaaS การเรียกเก็บเงินตามรอบบิลเป็นกุญแจสําคัญในการมีรายรับอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมอบความยืดหยุ่นและทางเลือกให้ลูกค้า
ในบทความนี้ เราจะอธิบายว่าการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS คืออะไร วิธีการทํางาน และการเรียกเก็บเงินประเภทต่างๆ สำหรับ SaaS นอกจากนี้ เราจะมาดูกันว่าโซลูชันการจัดการการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS เช่น Stripe Billing และ Invoicing จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียกเก็บเงินสําหรับธุรกิจ SaaS ได้อย่างไร
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS คืออะไร
- การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS มีวิธีการทํางานอย่างไร
- ประเภทการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
- ฟีเจอร์การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
- Stripe Billing และ Invoicing เพื่อการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS คืออะไร
การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS เป็นกระบวนการเฉพาะทางที่ใช้ในการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าที่สมัครใช้บริการการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ SaaS ดําเนินงานแบบชำระเงินตามรอบบิล ซึ่งแตกต่างจากโมเดลซอฟต์แวร์แบบเดิมๆ ที่มีการซื้อแบบครั้งเดียวและการออกใบอนุญาตตลอดชีพ การเรียกเก็บเงินเป็นกระบวนการตามแบบแผนล่วงหน้า ซึ่งมักมีโครงสร้างเป็นรอบรายเดือนหรือรายปี โดยอาจประกอบด้วยค่าธรรมเนียมการสมัครใช้งานพื้นฐานของซอฟต์แวร์และค่าใช้จ่ายสําหรับฟีเจอร์เพิ่มเติม การจัดเก็บข้อมูล หรือบริการแบบพรีเมียม
การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS มีวิธีการทํางานอย่างไร
การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS เป็นระบบที่เชื่อมต่อกันซึ่งมีจุดสัมผัสหลายจุด ต่อไปนี้คือวิธีการทำงาน
ลูกค้าเริ่มต้นการใช้บริการ
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS จะเริ่มขึ้นเมื่อลูกค้าสร้างบัญชีออนไลน์กับธุรกิจและสมัครใช้บริการโครงสร้างการเรียกเก็บเงิน
เมื่อลูกค้าสร้างบัญชีใหม่ ระบบการเรียกเก็บเงินจะทริกเกอร์การดําเนินการต่างๆ โดยอิงตามการโต้ตอบกับบริการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าอัปเกรดเป็นระดับบริการที่แพงกว่าหรือเพิ่มผู้ใช้อื่นๆ ในบัญชี ระบบจะคํานวณใบแจ้งหนี้ที่ใกล้ครบกําหนดใหม่โดยอัตโนมัติเพื่อให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ในทํานองเดียวกัน การดาวน์เกรดหรือการยกเลิกก็จะปรับข้อกําหนดการเรียกเก็บเงินแบบเรียลไทม์ โดยทั่วไป อัลกอริทึมการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติจะดูแลการดําเนินงานเหล่านี้ และดําเนินการโดยอาศัยวิธีการที่ที่มนุษย์ต้องเข้าไปแทรกแซงเพียงเล็กน้อยการประมวลผลการชําระเงิน
ระบบตรวจสอบความถูกต้องและตรวจสอบสิทธิ์รายละเอียดการเรียกเก็บเงิน คิดค่าใช้จ่าย และสร้างใบเสร็จ สำหรับลูกค้าที่ใช้เครดิตหรือได้รับใบแจ้งหนี้ เกตเวย์การชำระเงินจะทำตามขั้นตอนเหล่านี้ให้เสร็จสิ้น ในกรณีที่ชําระเงินไม่สําเร็จ ระบบการจัดการการติดตามหนี้จะส่งการแจ้งเตือนไปให้ลูกค้าและเรียกเก็บเงินอีกครั้งการปฏิบัติตามข้อกําหนดและการรักษาความปลอดภัย
การปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านการเงินเป็นส่วนสำคัญของ SaaS ตัวอย่างเช่น โปรโตคอลการเข้ารหัสจะปกป้องข้อมูลลูกค้า ในขณะที่มาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสําหรับอุตสาหกรรมบัตรชําระเงิน (PCI DSS) จะรับประกันการรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลฟังก์ชันบัญชีแบบบริการตัวเอง
หลังจากเริ่มการชําระเงินตามรอบบิลแล้ว ลูกค้าจะได้รับการยืนยันทันทีพร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับรอบการเรียกเก็บเงิน ลูกค้าจะเข้าถึงพอร์ทัลแบบบริการตัวเองเพื่อตรวจสอบการใช้งาน อัปเดตข้อมูลการชําระเงิน หรือปรับรายละเอียดการชําระเงินตามรอบบิลได้ระหว่างรอบการชําระเงินของตนการออกใบแจ้งหนี้และการเรียกเก็บเงิน
เมื่อรอบการเรียกเก็บเงินสิ้นสุด ลูกค้าจะได้รับใบแจ้งหนี้พร้อมรายการการเรียกเก็บเงินที่แจกแจงรายการ ใบแจ้งหนี้เหล่านี้มักจะรวมองค์ประกอบด้านภาพ เช่น กราฟหรือแผนภูมิเพื่อช่วยลูกค้าตีความเมตริกการใช้งาน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับธุรกิจที่ต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายภายใน
ด้านล่างนี้ เราจะพิจารณาถึงวิธีการต่างๆ ที่ธุรกิจสามารถจัดโครงสร้างและการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
ประเภทของการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
โมเดลการเรียกเก็บเงินของ SaaS แบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่หลักๆ โดยแต่ละหมวดหมู่ก็มีฟังก์ชันการทํางาน ข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน
การเรียกเก็บเงินอัตราคงที่
นี่คือรูปแบบการเรียกเก็บเงินที่ง่ายที่สุด ซึ่งลูกค้าจะจ่ายค่าธรรมเนียมคงที่สําหรับการเข้าถึงบริการ โดยทั่วไปแล้ว การเรียกเก็บเงินอัตราคงที่จะเกี่ยวข้องกับบริการที่เข้าใจได้ง่ายและไม่กําหนดให้ต้องตั้งค่าฟีเจอร์ที่ซับซ้อนหรือมีผู้ใช้หลายระดับ- ข้อดี: ความเรียบง่ายและความสามารถในการคาดการณ์ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสิ่งที่ตนเองชําระเงินได้ง่าย
- ข้อเสีย: โมเดลแบบเดียวอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกคนได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการบริการเฉพาะทาง
- ข้อดี: ความเรียบง่ายและความสามารถในการคาดการณ์ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสิ่งที่ตนเองชําระเงินได้ง่าย
การเรียกเก็บเงินตามผู้ใช้
ในโมเดลนี้ ลูกค้าจะชําระเงินตามจํานวนผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม วิธีนี้เป็นวิธีที่พบได้ทั่วไปในบริการแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ซึ่งสมาชิกทีมแต่ละคนในองค์กรอาจต้องการบัญชีเป็นของตนเอง- ข้อดี: โมเดลนี้มาพร้อมความสามารถในการปรับขนาด และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเติบโตของบริษัท
- ข้อเสีย: ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อองค์กรเติบโตขึ้น ซึ่งทําให้ลูกค้าบางรายมองหาโซลูชันที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
- ข้อดี: โมเดลนี้มาพร้อมความสามารถในการปรับขนาด และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเติบโตของบริษัท
การเรียกเก็บเงินแบบแบ่งระดับ
ในโมเดลนี้ ผู้ให้บริการ SaaS จะเสนอระดับค่าบริการที่แตกต่างกันซึ่งแต่ละระดับมีชุดฟีเจอร์ของตัวเอง ธุรกิจมักใช้โมเดลนี้เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่มีขนาดและความต้องการแตกต่างกันไป- ข้อดี: มอบความยืดหยุ่นแก่ลูกค้าในการเลือกระดับที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตนเอง
- ข้อเสีย: ผู้ที่ใช้แพ็กเกจระดับล่างอาจพบว่าตัวเองเติบโตเกินชุดฟีเจอร์ของตนอย่างรวดเร็ว และการอัปเกรดอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
- ข้อดี: มอบความยืดหยุ่นแก่ลูกค้าในการเลือกระดับที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตนเอง
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
ระบบจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามปริมาณของบริการที่พวกเขาใช้ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมักใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การประมวลผลในระบบคลาวด์ ซึ่งต้นทุนจะอิงตามการจัดเก็บข้อมูลหรือการใช้ข้อมูล- ข้อดี: ลูกค้าจะจ่ายตามที่ใช้เท่านั้น ทําให้โมเดลนี้มีประสิทธิภาพทางการเงิน
- ข้อเสีย: สําหรับบางองค์กร ค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปมาในแต่ละรอบการเรียกเก็บเงินอาจทําให้การจัดงบประมาณมีปัญหา
- ข้อดี: ลูกค้าจะจ่ายตามที่ใช้เท่านั้น ทําให้โมเดลนี้มีประสิทธิภาพทางการเงิน
ฟรีเมียม
ในโมเดลนี้ บริการพื้นฐานนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายและลูกค้ามีทางเลือกที่จะชําระเงินสําหรับฟีเจอร์หรือความสามารถขั้นสูงได้ โดยเป็นโมเดลที่มักพบเห็นในผลิตภัณฑ์ SaaS แบบธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) ซึ่งจุดประสงค์ของโมเดลนี้ก็เพื่อให้ผู้ใช้มีความภักดีต่อบริการก่อนที่จะขายต่อยอดให้กับพวกเขา- ข้อดี: อุปสรรคในการเริ่มใช้งานที่ต่ำช่วยส่งเสริมการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
- ข้อเสีย: อัตราการเปลี่ยนจากผู้ใช้ฟรีไปเป็นผู้ใช้แบบชําระเงินอาจต่ําและส่งผลต่อรายรับได้
- ข้อดี: อุปสรรคในการเริ่มใช้งานที่ต่ำช่วยส่งเสริมการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
ไฮบริด
โมเดลนี้รวมองค์ประกอบต่างๆ ของโมเดลการเรียกเก็บเงินอื่นๆ บริษัท SaaS อาจเสนอบริการพื้นฐานในอัตราคงที่ จากนั้นจะเรียกเก็บเงินตามการใช้งานหรือฟีเจอร์เพิ่มเติม- ข้อดี: ปรับแต่งได้และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในวงกว้าง
- ข้อเสีย: ลูกค้าอาจไม่เข้าใจว่าตนเองชำระเงินค่าอะไรเนื่องจากความซับซ้อน
- ข้อดี: ปรับแต่งได้และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในวงกว้าง
โมเดลการเรียกเก็บเงินแต่ละแบบมาพร้อมข้อดีข้อเสีย จึงเหมาะกับบริการและความต้องการของลูกค้าที่เจาะจง บริษัทที่ดําเนินธุรกิจแบบ SaaS ควรเลือกโมเดลการเรียกเก็บเงินที่เหมาะสมกับการเสนอบริการและกลุ่มเป้าหมายของตนมากที่สุด
ฟีเจอร์การเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
การจัดการบัญชี
ฟีเจอร์นี้มอบพื้นที่แบบรวมศูนย์ ซึ่งธุรกิจและลูกค้าจะควบคุมการมีปฏิสัมพันธ์ในแง่มุมต่างๆ ได้ สําหรับลูกค้า ก็จะหมายถึงความสามารถในการอัปเดตข้อมูลส่วนตัว ตรวจสอบการใช้งาน หรือปรับระดับบริการ สําหรับธุรกิจ ต่างๆ ระบบนี้จะทําหน้าที่เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลลูกค้า ประวัติการชําระเงิน และรายละเอียดระดับบริการ ซึ่งช่วยให้ทําการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทำการสื่อสารที่กําหนดเป้าหมายได้การออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ
การดำเนินการนี้จะทำให้กระบวนการเรียกเก็บเงินเป็นแบบอัตโนมัติโดยสร้างใบแจ้งหนี้ตามเมตริกการใช้งานหรือช่วงเวลาที่แน่นอน จึงช่วยขจัดขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการคํานวณค่าใช้จ่าย การออกใบแจ้งหนี้ และการติดตามการชําระเงินออกไป ลูกค้าจึงได้รับความสะดวกสบายของการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติที่มีการแจกแจงรายการเกตเวย์การชําระเงิน
นี่คือระบบที่ผสานการทํางานซึ่งจัดการธุรกรรม ซึ่งจะรับวิธีการชําระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร และกระเป๋าเงินดิจิทัล เกตเวย์การชําระเงินช่วยให้ธุรกิจสามารถเรียกเก็บเงินในที่เดียวและกระทบยอดบัญชีได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็มอบความยืดหยุ่นให้ลูกค้าสามารถชําระเงินด้วยวิธีที่ต้องการการจัดการอัตราและแพ็กเกจ
นี่คือแดชบอร์ดหรืออินเทอร์เฟซการดูแลระบบที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตั้งค่าและจัดการแพ็กเกจค่าบริการหลายรายการหรือหลายระดับได้ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถนํากลยุทธ์การกําหนดราคาใหม่ๆ มาใช้ได้อย่างง่ายดาย และลูกค้าก็สามารถเลือกแพ็กเกจที่เหมาะกับความต้องการของตัวเองได้มากที่สุดการคํานวณภาษี
ฟีเจอร์นี้จะคํานวณและเพิ่มภาษีที่เกี่ยวข้องลงในใบแจ้งหนี้ของลูกค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาของธุรกิจในการระบุหาภาษีที่เกี่ยวข้องด้วยตนเองการแปลงสกุลเงิน
สําหรับบริษัท SaaS ที่ดําเนินธุรกิจในหลายประเทศ ฟีเจอร์นี้จะแปลงราคาเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของลูกค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเข้าใจค่าใช้จ่าย ไปพร้อมๆ กับการช่วยให้ธุรกิจดําเนินงานได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องอัปเดตอัตราสกุลเงินอยู่เสมอการจัดการการติดตามหนี้
การจัดการการติดตามหนี้คือการจัดการการชําระเงินที่ล่าช้าหรือดําเนินการไม่สําเร็จโดยแจ้งลูกค้าให้ทราบโดยอัตโนมัติ และเรียกเก็บเงินซ้ํา สําหรับธุรกิจ ขั้นตอนนี้จะช่วยเพิ่มการกู้คืนรายรับ และลูกค้าก็มีโอกาสแก้ไขปัญหาการชําระเงินได้การรายงานและการวิเคราะห์
ฟีเจอร์นี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้า แนวโน้มรายรับ และอัตราการเลิกใช้บริการ ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อกําหนดเป้าหมายความพยายามด้านการตลาดและทำการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมการจัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนด
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการประมวลผลการชําระเงินและการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกฎหมายท้องถิ่นและมาตรฐานสากลเกี่ยวกับความปลอดภัยข้อมูลและธุรกรรมทางการเงิน วิธีนี้ช่วยปกป้องทั้งธุรกิจและลูกค้าในกรณีที่มีการตรวจทานหรือตรวจสอบทางกฎหมายการแจ้งเตือนลูกค้า
การดําเนินการนี้จะช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่สําคัญของบัญชี เช่น การชําระเงินที่สําเร็จ ธุรกรรมที่ไม่สําเร็จ หรือการต่ออายุที่ใกล้ครบกําหนด ความโปร่งใสจะสร้างความเชื่อมั่นและช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
ฟีเจอร์แต่ละรายการงเหล่านี้สร้างให้เกิดระบบการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS ที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่งซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและลูกค้า
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
การรายงานแบบละเอียด
รวบรวมและวิเคราะห์จุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ประวัติการชําระเงิน และระดับบริการ เพื่อระบุรูปแบบพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณทําการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับค่าบริการหรือการสื่อสารแบบกําหนดเป้าหมายได้การเรียกเก็บเงินที่รวมศูนย์
ใช้ระบบการเรียกเก็บเงินที่รวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อจัดการช่องทางรายรับทั้งหมด ตั้งแต่การชําระเงินตามรอบบิลไปจนถึงการชําระเงินแบบครั้งเดียว การรวมศูนย์นี้ทําให้การรายงานทางการเงินง่ายขึ้นและปรับปรุงความแม่นยําของข้อมูลข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีต่อสถานะบัญชี การใช้งาน หรือระดับบริการจะแสดงในระบบการเรียกเก็บเงินโดยทันที การซิงโครไนซ์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างแผนกต่างๆ สามารถป้องกันการโต้แย้งการชําระเงินตามใบแจ้งหนี้ไปพร้อมๆ กับการเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าได้การสื่อสารกับลูกค้า
ให้ความสําคัญกับการสื่อสารที่ชัดเจนและโปร่งใสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหรือการดําเนินการเรียกเก็บเงิน การส่งการแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีเกี่ยวกับการต่ออายุที่ใกล้ครบกําหนด การชําระเงินที่สําเร็จ หรือธุรกรรมที่ไม่สําเร็จจะสร้างความสัมพันธ์แบบรัดกุมกับลูกค้าไว้ได้ และเพิ่มโอกาสในการกู้คืนการชําระเงินได้สําเร็จการยืนยันตัวตนหลายระดับ
ใช้การยืนยันหลายระดับสําหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินหรือการดําเนินการที่ละเอียดอ่อน เช่น การปิดบัญชี การดําเนินการนี้ช่วยลดความเสี่ยงของกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตและตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูลการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
ให้ความสําคัญกับมาตรฐานสูงสุดของการเข้ารหัสและการคุ้มครองข้อมูลเพื่อจัดเก็บข้อมูลการเรียกเก็บเงินการปรับแต่งใบแจ้งหนี้
มอบความสามารถในการปรับแต่งใบแจ้งหนี้โดยใช้รายละเอียดธุรกิจและองค์ประกอบของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องให้ลูกค้า วิธีนี้ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าไปพร้อมๆ กับการเสริมสร้างความสอดคล้องของแบรนด์ตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลาย
รองรับฐานลูกค้าที่หลากหลายด้วยการนําเสนอวิธีการชําระเงินที่หลากหลายความยืดหยุ่นในรอบการเรียกเก็บเงิน
อนุญาตให้ลูกค้าเลือกรอบการเรียกเก็บเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี การรองรับความต้องการของพวกเขาอาจทําให้มีอัตราการรักษาลูกค้าที่นานขึ้นการฝึกอบรมและการสนับสนุน
ช่วยให้พนักงานของคุณมีทักษะและความรู้ในการจัดการแพลตฟอร์มการเรียกเก็บเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถภายในที่เข้มแข็งจะนําไปสู่การดําเนินงานที่ราบรื่นขึ้นและข้อผิดพลาดที่น้อยลงเปิดรับความคิดเห็นของลูกค้า
ขอความคิดเห็นจากลูกค้าเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียกเก็บเงิน ใช้ข้อมูลที่ได้รับโดยตรงนี้เพื่อทําการปรับเปลี่ยนกระบวนการที่จําเป็นแผนกู้คืนหลังภัยพิบัติ
มีแผนฉุกเฉินสําหรับสถานการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียข้อมูลหรือปัญหาระบบขัดข้อง กลยุทธ์การสํารองข้อมูลและการกู้คืนที่ละเอียดจะลดผลกระทบของปัญหาแทรกซ้อนที่คาดไม่ถึงการตรวจสอบประสิทธิภาพ
ทําการตรวจสอบประสิทธิภาพการทํางานของระบบการเรียกเก็บเงินเป็นประจําเพื่อระบุความไร้ประสิทธิภาพหรือด้านต่างๆ ที่ต้องปรับปรุง จากนั้น ให้ใช้แผนการดําเนินการเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
การยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการการเรียกเก็บเงิน SaaS ของคุณ ตั้งแต่การปรับปรุงการรายงานด้านการเงิน ไปจนถึงการเพิ่มความพึงพอใจและการรักษาลูกค้า
Stripe Billing และ Invoicing เพื่อการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS
Stripe Billing และ Stripe Invoicing ช่วยจัดการกับความซับซ้อนของการเรียกเก็บเงินสำหรับ SaaS ของธุรกิจ วิธีการทํางานของระบบดังกล่าวมีดังนี้
การเก็บรายรับได้อย่างสม่ำเสมอ
ธุรกิจ SaaS ต้องการกระแสรายรับที่สอดคล้องกันและสม่ำเสมอ โซลูชัน Stripe จะทำให้ความสัมพันธ์ที่ดำเนินการซ้ำๆ ทำงานอย่างเป็นระบบอัตโนมัติ จัดการเหตุการณ์ของลูกค้า และจัดลำดับความสำคัญในการลองชำระเงินที่ล้มเหลวอีกครั้ง ซึ่งช่วยลดการหยุดชะงักของกระแสรายรับ นอกจากนี้ Stripe Invoicing ยังช่วยให้ธุรกิจต่างๆ จัดส่งใบเสนอราคาที่ออกแบบเองได้โดยทันที พร้อมทั้งการจัดการกับบัญชีลูกหนี้อัตโนมัติเพื่อให้รายรับสม่ำเสมอมากขึ้นการลดจํานวนการชําระเงินที่ไม่สําเร็จและการเลิกใช้บริการ
การเลิกใช้บริการและการชําระเงินไม่สําเร็จเป็นข้อกังวลหลักสําหรับธุรกิจ SaaS และอาจนําไปสู่การสูญเสียรายรับจํานวนมาก Stripe เรียกเก็บเงินที่ดําเนินการไม่สําเร็จซ้ําโดยอัตโนมัติ และทํางานโดยตรงกับเครือข่ายบัตรเพื่ออัปเดตรายละเอียดของบัตร ซึ่งจะช่วยลดอัตราการชําระเงินไม่สําเร็จเนื่องจากบัตรหมดอายุหรือเปลี่ยนบัตรใหม่โมเดลค่าบริการที่ยืดหยุ่น
บริษัท SaaS มักต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การกําหนดราคาเพื่อคงความยืดหยุ่น Stripe รองรับโมเดลการเรียกเก็บเงินหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ค่าบริการแบบอัตราคงที่ไปจนถึงโครงสร้างแบบแบ่งระดับหรือตามการใช้งานที่ซับซ้อน ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ธุรกิจ SaaS ปรับแต่งโมเดลค่าบริการตามอุปสงค์ของตลาดหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจได้โดยไม่ต้องปรับปรุงระบบการเรียกเก็บเงินทั้งหมดการจัดการเข้าถึงและสกุลเงินทั่วโลก
การแปลงสกุลเงินและการจัดการสกุลเงินอาจทําให้ธุรกิจ SaaS กําหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วโลกได้ โซลูชันของ Stripe รองรับกว่า 135 สกุลเงิน ลูกค้าและธุรกิจต่างๆ จึงใช้สกุลเงินที่ต้องการได้ การรองรับทั่วโลกนี้ขยายการเข้าถึงตลาดโดยขจัดความซับซ้อนในด้านสกุลเงินการรายงานทางการเงินที่เรียบง่าย
การติดตามการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรายรับตามแบบแผนล่วงหน้า อาจเป็นสิ่งสำคัญ Stripe จัดทํารายงานทางการเงินแบบละเอียดที่ธุรกิจ SaaS สามารถใช้เพื่อตรวจสอบสถานะรายรับ ติดตามใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่ได้ชําระ และทําความเข้าใจแนวโน้มการเติบโตของรายรับโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือด้านบัญชีเพิ่มเติมประสบการณ์และความไว้วางใจของลูกค้า
Stripe มอบประสบการณ์การชําระเงินที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าและลดการเลิกใช้บริการ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing และวิธีที่ธุรกิจต่างๆ ใช้ผลิตภัณฑ์นี้เพื่อให้บริการระบบการเรียกเก็บเงิน SaaS อัตโนมัติแบบครบวงจร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ