การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคืออะไร ต่อไปนี้คือหลักการทำงานของโมเดลการเรียกเก็บเงินที่ปรับเปลี่ยนได้นี้

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคืออะไร
  3. องค์ประกอบของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
  4. ธุรกิจประเภทใดใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
  5. การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีการทํางานอย่างไร
  6. ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
  7. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

ลูกค้าต้องการความยืดหยุ่นจากธุรกิจ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงิน การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ซึ่งเป็นวิธีการเรียกเก็บเงินที่โปร่งใสที่สร้างการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการใช้งานกับค่าใช้จ่าย คือโซลูชันหนึ่งที่ธุรกิจใช้รับมือกับความท้าทายนี้ โมเดลนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงคุณค่าที่จับต้องได้ไปพร้อมๆ กับช่วยให้มั่นใจว่ามีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามการใช้งานเท่านั้น ในบทความนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน รวมถึงวิธีการทำงาน การใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ธุรกิจควรพิจารณาเมื่อปรับใช้และจัดการระบบการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคืออะไร
  • องค์ประกอบของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
  • ธุรกิจประเภทใดใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
  • การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีการทํางานอย่างไร
  • ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

Forrester ยกให้ Stripe เป็นผู้นําในด้านการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า Stripe ได้รับคะแนนสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเกณฑ์การประเมิน 10 ข้อ และสูงกว่าความคิดเห็นโดยเฉลี่ยจากลูกค้า อ่านรายงานเพื่อดูเหตุผลที่เราเชื่อว่า Stripe Billing สามารถช่วยให้คุณปลดล็อกกระแสรายรับใหม่ๆ ปรับตัวตามแนวโน้มของตลาด และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคืออะไร

การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคือโมเดลการเรียกเก็บเงินที่ธุรกิจเรียกเก็บเงินลูกค้า โดยอิงตามปริมาณผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช้ เป็นหลักการเดียวกับการควบคุมวิธีการเรียกเก็บเงินค่าสาธารณูปโภคส่วนใหญ่ โดยคุณจะจ่ายเฉพาะน้ําหรือไฟฟ้าที่คุณใช้เท่านั้น วิธีการเรียกเก็บเงินนี้มีความเหมาะสมเป็นพิเศษกับธุรกิจที่นําเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แปรผันได้ ซึ่งปริมาณการใช้งานของลูกค้ารายหนึ่งอาจต่างจากการใช้งานของอีกรายเป็นอย่างมาก

องค์ประกอบของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยหลายองค์ส่วน และแต่ละส่วนมีบทบาทเฉพาะในการรักษาความถูกต้องและความยุติธรรมตลอดกระบวนการเรียกเก็บเงิน องค์ประกอบเหล่านี้ประกอบด้วย

  • เมตริกการใช้งาน: นี่คือเมตริกที่ใช้วัดปริมาณการใช้ ตัวอย่างเช่น จํานวนการเรียก API, จํานวนชั่วโมงที่เช่าอุปกรณ์หนึ่งๆ และจํานวนกิกะไบต์ของข้อมูลที่จัดเก็บหรือถ่ายโอน

  • ระบบติดตามและการวัดผล: ระบบเหล่านี้จะบันทึกปริมาณการใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ไว้ ความแม่นยําของระบบเป็นสิ่งสําคัญ เนื่องจากข้อผิดพลาดเล็กน้อยอาจนําไปสู่ความคลาดเคลื่อนของการเรียกเก็บเงินอย่างมีนัยสําคัญ โดยทั่วไปโซลูชันซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์จะตรวจสอบการใช้งานแบบเรียลไทม์

  • การกําหนดรอบการเรียกเก็บเงิน: องค์ประกอบนี้กําหนดความถี่ในการเรียกเก็บเงินลูกค้าสําหรับปริมาณการใช้งาน ธุรกิจอาจเลือกรอบการชําระเงินที่แตกต่างกัน เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของบริการและความต้องการของลูกค้า

  • ระดับหรือขั้นของการคิดค่าบริการ: ราคาต่อหน่วยอาจลดลงเมื่อปริมาณการใช้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจในการใช้งานที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ราคาต่อกิกะไบต์อาจลดลงหลังจากลูกค้าถึงเกณฑ์ที่กำหนด

  • เครื่องมือการรายงาน: เครื่องมือเหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้งานของลูกค้า ทําให้ลูกค้าตรวจสอบและจัดการการใช้งานของตัวเองได้ อินเทอร์เฟซที่ออกแบบมาอย่างดีช่วยให้ลูกค้าเข้าใจการเรียกเก็บเงินของตนและอาจปรับพฤติกรรมการใช้งานได้

  • ระบบแจ้งเตือน: ระบบเหล่านี้ช่วยป้องกันการเรียกเก็บเงินที่สูงอย่างไม่คาดคิด ด้วยการแจ้งลูกค้าเมื่อการใช้งานถึงระดับที่กําหนดไว้ล่วงหน้า ทําให้พวกเขามีโอกาสจัดการการใช้งานและเตรียมความพร้อมสําหรับค่าใช้จ่ายที่จะมาถึง

  • การปรับยอดการเรียกเก็บเงิน: อาจเกิดสถานการณ์ที่จําเป็นต้องปรับยอด โดยอาจเป็นเพราะข้อผิดพลาดของระบบ การโต้แย้งการชําระเงินของลูกค้า หรือข้อเสนอส่งเสริมการขาย จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการในการจัดการการปรับยอดเหล่านี้

  • การสนับสนุนลูกค้า: แม้จะมีระบบการเรียกเก็บเงินที่โปร่งใสและตรงไปตรงมาที่สุด คําถามและปัญหาก็อาจยังเกิดขึ้นได้ ทีมสนับสนุนเฉพาะทางที่เข้าใจความซับซ้อนของระบบการเรียกเก็บเงินสามารถช่วยตอบคำถามและรักษาความไว้วางใจของลูกค้าได้

การทําความเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจใช้ระบบการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานที่มีความยุติธรรมต่อผู้บริโภคและสร้างผลกําไรให้กับธุรกิจได้

ธุรกิจประเภทใดใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

ธุรกิจในหลายๆ ภาคส่วนต่างก็นิยมใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเนื่องจากลักษณะที่ปรับได้และยืดหยุ่น ต่อไปนี้คือสรุปประเภทธุรกิจที่มักจะนําโมเดลการเรียกเก็บเงินนี้ไปใช้ รวมถึงเหตุผลที่ธุรกิจเลือกใช้

  • ผู้ให้บริการระบบคลาวด์
    ธุรกิจเหล่านี้จะเรียกเก็บเงินลูกค้าตามทรัพยากรที่ใช้ เช่น พื้นที่เก็บข้อมูลหรือการโอนข้อมูล การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะช่วยให้ลูกค้าชําระเงินเฉพาะสิ่งที่ใช้เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้มีความสามารถในการขยายขอบเขตโดยไม่มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่หนัก

  • โทรคมนาคม
    ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรศัพท์บ้านจะเรียกเก็บเงินตามเมตริกการใช้งาน เช่น นาทีการโทร ข้อความ หรือข้อมูลที่ใช้ การใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ซึ่งหมายความว่าธุรกิจเคารพความแตกต่างของผู้ใช้ จะช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ที่มีขนาดเล็กจะไม่ต้องรับค่าใช้จ่ายของผู้ใช้ที่มีปริมาณมาก และช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการเรียกเก็บเงินที่ยุติธรรม

  • สาธารณูปโภค
    บริษัทที่จัดหาทรัพยากรอย่างไฟฟ้า แก๊ส หรือน้ําประปา ใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานอันเนื่องมาจากรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของผู้ใช้ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานรับประกันว่าการเรียกเก็บเงินตรงกับปริมาณการบริโภค ซึ่งนําไปสู่การเรียกเก็บเงินที่เท่าเทียมกันสําหรับผู้ใช้ทุกราย

  • แพลตฟอร์มแบบสมัครใช้บริการที่มีการคิดการใช้งานส่วนเกิน
    บางแพลตฟอร์มอาจเสนอการสมัครใช้บริการระดับพื้นฐาน จากนั้นจะเรียกเก็บเงินสําหรับการใช้งานเพิ่มเติม เช่น แบนด์วิดท์หรือพื้นที่เก็บข้อมูล วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ที่ต้องการทรัพยากรมากกว่าจะจ่ายให้กับการใช้งานตามสัดส่วนของตน

  • บริการให้เช่า
    ธุรกิจที่ให้บริการให้เช่า เช่น เครื่องจักร เครื่องมือ หรือพื้นที่ มักจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามระยะเวลาและความหนักหน่วงในการใช้ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานช่วยให้ธุรกรรมมีความโปร่งใสมากขึ้น และช่วยให้ลูกค้าได้คุณค่าจากสิ่งที่ตนจ่ายไป

  • แพลตฟอร์มโฆษณาดิจิทัล
    แพลตฟอร์มดังกล่าวอาจเรียกเก็บเงินจากผู้โฆษณาตามเมตริก เช่น การแสดงผลหรือการคลิก การใช้แนวทางที่มีการวัดปริมาณช่วยให้ผู้ลงโฆษณาจัดการงบประมาณของตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยในการจัดการต้นทุนให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพของแคมเปญได้ตรงมากขึ้น

  • การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS)
    แม้ธุรกิจ SaaS หลายรายจะมีการชําระเงินตามรอบบิลแบบอัตราคงที่ แต่บางรายก็เรียกเก็บเงินตามการใช้งานฟีเจอร์ ความยืดหยุ่นนี้หมายความว่าผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะเจาะจงอย่างหนักจะต้องรับค่าใช้จ่ายนี้ ซึ่งนําไปสู่ระบบนิเวศบริการที่สมดุลมากขึ้น

  • บริการด้านการคมนาคม
    แอปเรียกรถรับส่งใช้รูปแบบการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานซึ่งจะเรียกเก็บเงินตามระยะทางและเวลา วิธีนี้ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจ่ายเงินตามบริการที่ตนได้รับได้อย่างแม่นยำ

เหตุผลหลักที่การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานดึงดูดธุรกิจเหล่านี้ก็คือความสามารถในการปรับตัว โมเดลนี้ให้ความโปร่งใสเนื่องจากลูกค้าทราบว่ามีการเรียกเก็บตามปริมาณการบริโภคของตน นอกจากนี้ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานยังปรับขนาดได้เพื่อรองรับทั้งผู้ใช้ที่ใช้งานน้อยและใช้งานอย่างหนักภายในเฟรมเวิร์กเดียวกัน โมเดลนี้อาจทําให้รายรับสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ใช้ที่มีการใช้งานสูง ซึ่งแต่เดิมรายรับนี้จะถูกจำกัดด้วยอัตราคงที่ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะช่วยให้ควบคุมงบประมาณได้ดีขึ้น เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการปรับปริมาณการใช้ตามต้นทุนที่เกิดขึ้น

การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีการทํางานอย่างไร

ต่อไปนี้คือตัวอย่างหลักการทำงานของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

  • การติดตามการใช้งาน
    การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานต้องมีการตรวจสอบปริมาณการใช้ผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบการใช้ข้อมูล นาทีในการโทร หรือจํานวนคําขอ API

  • การจัดการรอบการเรียกเก็บเงิน
    ก่อนเรียกเก็บเงินผู้ใช้ ธุรกิจจะกําหนดระยะเวลาการเรียกเก็บเงินอย่างเจาะจง (เช่น เรียกเก็บเงินรายเดือนหรือรายสัปดาห์) โดยจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตอนสิ้นสุดระยะเวลานี้ ธุรกิจต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าอย่างชัดเจน

  • การกําหนดอัตรา
    มีการตั้งบัตรอัตราสําหรับเมตริกการใช้งานเฉพาะ เช่น ต่อข้อมูลหนึ่งกิกะไบต์ ต่อการใช้บริการหนึ่งชั่วโมง หรือต่อการเรียกใช้ API พันครั้ง บัตรอัตรานี้ทําหน้าที่เป็นรากฐานสําหรับการคํานวณใบเรียกเก็บเงินสรุป

  • การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ผู้ใช้มักจะมีสิทธิ์เข้าถึงแดชบอร์ดหรือพอร์ทัลที่สามารถดูการใช้งานในปัจจุบันได้แบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ทราบข้อมูลและป้องกันการเรียกเก็บเงินที่ไม่คาดคิด

  • การคํานวณอัตโนมัติ
    เมื่อสิ้นสุดรอบการเรียกเก็บเงิน ระบบจะคํานวณการเรียกเก็บเงินทั้งหมดตามการใช้งานที่ติดตามและอัตราที่กําหนดไว้ล่วงหน้า กระบวนการนี้จะลดข้อผิดพลาดและปกป้องความแม่นยําของการเรียกเก็บเงิน

  • การออกใบแจ้งหนี้
    เมื่อคํานวณยอดรวมแล้ว ระบบจะสร้างใบแจ้งหนี้และส่งให้ลูกค้า ใบแจ้งหนี้นี้จะแจกแจงรายละเอียดการใช้งานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแสดงให้ลูกค้าทราบว่ามีการคำนวณยอดสรุปอย่างไร

  • การแจ้งเตือน
    ปกติแล้วผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใกล้ถึงขีดจํากัดที่กําหนดไว้ล่วงหน้าหรือถึงเกณฑ์ที่กําหนด การแจ้งเตือนเหล่านี้อาจเป็นอีเมลหรือข้อความในแอป และช่วยป้องกันการใช้งานเกินหรือการเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมในบางกรณี

  • ความยืดหยุ่นในการชําระเงิน
    เนื่องจากจํานวนเงินที่เรียกเก็บอาจแตกต่างกัน ธุรกิจจึงมักจะมีตัวเลือกการชําระเงินที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล

  • การแก้ไขการโต้แย้งการชําระเงิน
    หากผู้ใช้โต้แย้งการเรียกเก็บเงิน ธุรกิจจะมีกลไกที่ใช้จัดการและแก้ไขข้อกังวลดังกล่าว

ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานแตกต่างจากกลยุทธ์ค่าบริการอื่นๆ เนื่องจากเน้นความโปร่งใสและการปรับตัว เมื่อผูกค่าใช้จ่ายเข้ากับการใช้งานโดยตรง จะถือว่าธุรกิจส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังผู้ใช้ว่าคุณจ่ายตามการใช้งานเท่านั้น ความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการใช้งานกับค่าใช้จ่ายช่วยกำจัดความคลุมเครือที่มักพบในโมเดลอัตราคงที่หรือการคิดค่าบริการตามระดับ

ความโปร่งใสนี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมีอำนาจ ด้วยความสามารถในการติดตามและควบคุมการใช้งานแบบเรียลไทม์ ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มค่าสูงสุดไปพร้อมๆ กับการลดความสิ้นเปลือง ผู้ใช้จะไม่ถูกบังคับให้ชําระเงินสําหรับบริการที่ตนไม่ได้ใช้หรือถูกลงโทษเมื่อมีความต้องการใช้งานพุ่งสูง

การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ได้ แม้รายรับจากผู้ใช้แต่ละรายจะแตกต่างกัน แต่กระแสรายรับโดยรวมอาจคาดการณ์ได้มากขึ้นเนื่องจากธุรกิจมีมุมมองรูปแบบการใช้งานที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้นี้จะช่วยให้ธุรกิจมีการวางแผนทางการเงิน การจัดสรรทรัพยากร และการตัดสินใจ

ความยืดหยุ่นในการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานอาจทําให้มีความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้าชอบในความยุติธรรมและความเป็นเอกราชของโมเดล ซึ่งส่งเสริมความภักดีต่อแบรนด์ ในตลาดที่ต้นทุนการได้ลูกค้าใหม่อยู่ในระดับสูง การรักษาลูกค้าสําคัญอย่างยิ่ง

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

สําหรับธุรกิจ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะต้องมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มงวด การนําโมเดลนี้ไปใช้งานอาจมอบความโปร่งใสให้กับลูกค้า ไปพร้อมๆ กับการสร้างความภักดีและความไว้วางใจในแบรนด์ของคุณ

ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ควรพิจารณาเมื่อใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน

  • ตั้งค่าการวัดหน่วยที่ชัดเจน: ตัดสินใจว่าสิ่งใดที่เป็น "หน่วย" ของปริมาณการใช้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งของบริการ ข้อมูลขนาดหนึ่งกิกะไบต์ หรืออย่างอื่น สิ่งสําคัญคือการเลือกหน่วยที่แตกต่างกันและเรียบง่าย

  • รักษาความโปร่งใสให้กับลูกค้า: ช่วยให้ลูกค้าดูการใช้งานในปัจจุบันได้ง่าย การจัดหาเครื่องมือหรือแดชบอร์ดที่ตรวจสอบการใช้งานได้จะช่วยจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่น

  • เสนออัตราหลายระดับสําหรับผู้ใช้ที่มีการใช้งานสูง: พิจารณาให้อัตราที่ลดราคาสําหรับผู้ใช้ที่ใช้ปริมาณมาก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้งานให้มากขึ้นไปพร้อมๆ กับการตอบแทนลูกค้าที่มีการใช้งานมากที่สุด

  • ตรวจสอบและปรับค่าบริการเป็นประจํา: รูปแบบการใช้งานและค่าใช้จ่ายทางธุรกิจอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เราขอแนะนําให้คุณตรวจสอบค่าบริการเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับสภาวะของตลาดในปัจจุบันและครอบคลุมค่าใช้จ่ายของคุณ

  • ใช้การแจ้งเตือนสําหรับการใช้งานที่ผิดปกติ: ตั้งค่าการแจ้งเตือนอัตโนมัติสําหรับผู้ใช้ที่ใกล้จะถึงขีดจํากัดการใช้งานปกติหรือแสดงการพุ่งขึ้นผิดปกติ วิธีนี้สามารถป้องกันการเรียกเก็บเงินที่สร้างความตกใจให้ลูกค้า ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คุณทราบถึงปัญหาของระบบที่อาจเกิดขึ้นหรือการใช้งานในทางที่ผิด

  • ดูแลรักษาระบบการเรียกเก็บเงินที่น่าเชื่อถือและแข็งแกร่ง: ลงทุนกับระบบการเรียกเก็บเงินที่รับมือกับความซับซ้อนของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ติดตามการใช้งาน สร้างใบเรียกเก็บเงิน และจัดการกับข้อยกเว้นได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องดําเนินการด้วยตัวเอง

  • แสดงเอกสารประกอบที่ชัดเจน: นำเสนอคู่มือที่เข้าใจง่ายและคําถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีการทํางานของระบบการเรียกเก็บเงินใหม่ วิธีเก็บเงินจากผู้ใช้ ตลอดจนวิธีที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและควบคุมการใช้งานของตน

  • ฝึกอบรมทีมสนับสนุนลูกค้า: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวแทนบริการลูกค้าเข้าใจรายละเอียดของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน เพื่อให้สามารถจัดการกับการสอบถามข้อมูลและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

  • เสนอช่วงทดลองใช้งานหรือการเรียกเก็บเงินแบบจํากัดยอด: สําหรับลูกค้ารายใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับพฤติกรรมการใช้งานของตัวเอง ธุรกิจอาจพิจารณาจัดช่วงทดลองใช้บริการที่ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หรือคุณอาจเสนอระบบการเรียกเก็บเงินแบบจำกัดยอดที่จะมีการเรียกเก็บเงินไม่เกินจำนวนที่ระบุภายในรอบการเรียกเก็บเงินหนึ่งๆ ก็ได้

เป้าหมายของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคือการมอบความยืดหยุ่นและความยุติธรรมให้ลูกค้า พร้อมทั้งรักษากระแสรายรับที่คาดการณ์ได้สําหรับธุรกิจของคุณ การนําการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมาใช้อย่างเหมาะสมและการยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสามารถสร้างประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างมาก

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้