Tiered pricing 101: A guide for a strategic approach

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ค่าบริการแบบแบ่งระดับมีหลักการทํางานอย่างไร
  3. วิธีคํานวณค่าบริการแบบแบ่งระดับสําหรับธุรกิจของคุณ
  4. ประโยชน์ของการใช้การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับ
  5. ความท้าทายในการใช้ค่าบริการแบบแบ่งระดับ
  6. ค่าบริการแบบแบ่งระดับเทียบกับโมเดลค่าบริการอื่นๆ
  7. วิธีเพิ่มผลกําไรให้สูงสุดด้วยค่าบริการแบบแบ่งระดับ
  8. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับค่าบริการแบบแบ่งระดับ

ค่าบริการแบบแบ่งระดับคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้กําหนดค่าใช้จ่ายของผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยอิงตามปริมาณหรือระดับต่างๆ ที่ลูกค้าซื้อ ยิ่งลูกค้าซื้อมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จ่ายน้อยลงต่อหน่วย โครงสร้างนี้ซึ่งพบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเป็นวิธีตอบแทนลูกค้าสําหรับการซื้อในปริมาณมาก

ธุรกิจบางแห่งที่อาจไม่เคยคำนึงถึงการกำหนดราคาที่แตกต่างกันในอดีตเริ่มหันมาใช้ประโยชน์จากโมเดลนี้เพื่อปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตของรายรับ และการมีส่วนร่วมของลูกค้า ความน่าดึงดูดใจนั้นชัดเจน: โครงสร้างราคาแบบแบ่งระดับช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองฐานลูกค้าได้กว้างขวาง โดยมอบระดับมูลค่าและบริการที่แตกต่างกันในราคาที่แตกต่างกัน ตามที่ Harvard Business Review ระบุไว้ ระดับราคาเหล่านี้มักเป็นตัวอย่างของการกำหนดราคาแบบดี-ดีกว่า-ดีที่สุด (หรือ G-B-B) ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ในการแบ่งระดับราคา กลยุทธ์นี้ช่วยขยายการครอบคลุมตลาดให้สูงสุดและยังตอบสนองความเต็มใจที่จะจ่ายเงินของลูกค้า ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มปริมาณการขายโดยรวมได้

โมเดลการคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับมอบความมั่นคงให้ธุรกิจ การมอบตัวเลือกแก่ลูกค้าทำให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนลูกค้าที่ซื้อครั้งเดียวให้กลายเป็นผู้ซื้อซ้ำในระดับต่างๆ ได้ ความหลากหลายนี้ก่อให้เกิดการคาดการณ์ทางการเงินที่แม่นยํายิ่งขึ้น รวมถึงการกระจายทรัพยากรที่ดีขึ้น การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับซึ่งมีจุดเข้าถึงหลายจุดช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับระดับการลงทุนของตนต่อผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์ได้ ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าอัปเกรดไปสู่ระดับที่สูงขึ้นเมื่อความต้องการของพวกเขาเพิ่มขึ้น

ค่าบริการแบบแบ่งระดับอาจเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในแนวทางสำคัญๆ ความท้าทายของค่าบริการแบบแบ่งระดับอยู่ในขั้นตอนการดําเนินงาน ซึ่งการระบุโครงสร้างค่าบริการจะมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลายราย ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นําเสนอ รวมทั้งทําความเข้าใจฐานลูกค้าและความต้องการเฉพาะของตลาด ด้านล่างนี้เราจะอธิบายสิ่งที่ธุรกิจควรทราบเกี่ยวกับโมเดลการคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับ รวมถึงธุรกิจที่สามารถใช้โมเดลดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และวิธีเลือกโมเดลที่เหมาะสมเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและความต้องการของตลาด

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ค่าบริการแบบแบ่งระดับมีหลักการทํางานอย่างไร
  • วิธีคํานวณค่าบริการแบบแบ่งระดับสําหรับธุรกิจของคุณ
  • ประโยชน์ของการใช้การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับ
  • ความท้าทายในการใช้ค่าบริการแบบแบ่งระดับ
  • ค่าบริการแบบแบ่งระดับเทียบกับโมเดลค่าบริการอื่นๆ
  • วิธีเพิ่มผลกําไรให้สูงสุดด้วยค่าบริการแบบแบ่งระดับ
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับค่าบริการแบบแบ่งระดับ

ค่าบริการแบบแบ่งระดับมีหลักการทํางานอย่างไร

เมื่อใช้ค่าบริการแบบแบ่งระดับ ธุรกิจจะกําหนดราคาสําหรับผลิตภัณฑ์ระดับแรกในอัตราหนึ่งๆ เมื่อซื้อมากขึ้น ลูกค้าก็จะย้ายไปอยู่ระดับถัดไป ซึ่งมีราคาต่อหน่วยลดลง ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าซื้อใบอนุญาตซอฟต์แวร์ 10 ใบแรกอาจมีค่าใช้จ่าย $100 แต่หากซื้อ 20 ใบ ใบอนุญาตทั้งหมดอาจจะมีราคาอยู่ที่ $90 ต่อใบ

ระดับราคาแต่ละระดับจะแสดงถึงขั้นบันได เมื่อลูกค้าเดินขึ้นบันได ราคารวมจะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับจํานวนผลิตภัณฑ์หรือสิทธิประโยชน์สําหรับผู้ซื้อ ตัวอย่างเช่น บริษัทซอฟต์แวร์อาจจะเสนอแพ็กเกจพื้นฐานที่ระดับต่ําสุด ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์แบบมาตรฐาน ระดับถัดไปอาจรวมฟีเจอร์ขั้นสูงเพิ่มเติมและขีดจํากัดการใช้งานที่สูงขึ้นในราคารวมที่สูงขึ้น ระดับบนสุดอาจประกอบด้วยฟีเจอร์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด ขีดจํากัดการใช้งานสูงสุด และบริการสนับสนุนระดับพรีเมียม

วิธีคํานวณค่าบริการแบบแบ่งระดับสําหรับธุรกิจของคุณ

การคำนวณค่าบริการแบบแบ่งระดับสำหรับธุรกิจของคุณเป็นกระบวนการเชิงกลยุทธ์ที่คุณจะจับคู่ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณกับความเต็มใจที่จะจ่ายของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็ครอบคลุมต้นทุนและบรรลุอัตรากำไรที่ต้องการ เนื่องจากขั้นตอนนี้อาจเป็นงานที่ซับซ้อน ธุรกิจหลายแห่งจึงจัดสรรทรัพยากรเฉพาะให้กับโครงการนี้ ผู้บริหารระดับสูง 63% ที่ตอบแบบสำรวจราคาซอฟต์แวร์ของ EY ประจำปี 2023 นั้นมีทีมงานฝ่ายกำหนดค่าบริการโดยเฉพาะ วิธีพัฒนาระดับค่าบริการมีดังนี้

  • วิเคราะห์ต้นทุนให้เสร็จสิ้น
    เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ตัวเลขนี้ควรรวมค่าใช้จ่ายโดยตรง เช่น วัสดุและแรงงาน และต้นทุนทางอ้อม เช่น ค่าใช้จ่ายทางอ้อม ค้นหาราคาขั้นต่ําที่คุณสามารถเรียกเก็บเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายของคุณ

  • ทําการวิจัยตลาด
    ดำเนินการวิจัยตลาดเพื่อทำความเข้าใจความอ่อนไหวต่อราคาของลูกค้าของคุณและกลยุทธ์การกำหนดราคาของคู่แข่ง สิ่งนี้จะช่วยให้คุณกําหนดระดับค่าบริการที่เหมาะสมกับตลาดนั้นๆ ได้

  • กําหนดกลุ่มลูกค้า
    ระบุกลุ่มลูกค้าที่น่าจะมีความต้องการและความเต็มใจที่จะจ่ายเงินในระดับที่แตกต่างกัน ในท้ายที่สุด คุณจะกำหนดระดับค่าบริการสำหรับแต่ละระดับสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง ตั้งแต่กลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคาที่สุดไปจนถึงกลุ่มที่มองหาตัวเลือกแบบพรีเมียม

  • กําหนดคุณค่าที่เสนอ
    กําหนดมูลค่าที่เสนอสําหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ลูกค้าในแต่ละระดับให้ความสําคัญกับอะไรมากที่สุด ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งฟีเจอร์เพิ่มเติม ปริมาณมากขึ้น หรือบริการที่ดีกว่า การทำเช่นนี้จะช่วยคุณออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการระดับต่างๆ ที่ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ากับราคา

  • กําหนดระดับค่าบริการ
    ตัดสินใจเกี่ยวกับจํานวนของระดับ และกําหนดค่าบริการสําหรับแต่ละระดับเพื่อให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ระดับที่ต่ําที่สุดควรครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการผลิตผลิตภัณฑ์หรือบริการขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ระดับบนๆ ควรเพิ่มขึ้นตามคุณค่าและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการให้บริการ

  • กำหนดฟีเจอร์หรือจํานวนให้ระดับต่างๆ
    จัดสรรฟีเจอร์ จํานวน หรือบริการในแต่ละระดับ ระดับต่ํากว่าอาจจะมีฟีเจอร์พื้นฐานหรือจํานวนที่จํากัด ในขณะที่ระดับที่สูงขึ้นอาจประกอบด้วยฟีเจอร์เพิ่มเติม ปริมาณที่สูงขึ้น หรือบริการที่ดียิ่งขึ้น

  • นําการวิเคราะห์ต้นทุน-สิทธิประโยชน์มาใช้งาน
    ทําการวิเคราะห์ต้นทุน-สิทธิประโยชน์สําหรับแต่ละระดับ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่าใช้จ่ายในการจัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในแต่ละระดับน้อยกว่าราคาที่คุณวางแผนจะเรียกเก็บ

  • ตรวจสอบและปรับยอด
    ตรวจสอบรูปแบบค่าบริการแบบแบ่งระดับเพื่อให้แน่ใจว่ามีความสมเหตุสมผล และสิทธิประโยชน์จะเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมตามราคา จากนั้นให้ปรับเปลี่ยนตามคําติชมและการวิเคราะห์เพิ่มเติม

  • สื่อสารคุณค่า
    สื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าของแต่ละระดับ โดยควรแจ้งให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะได้รับอะไรจากการจ่ายเงินมากขึ้น

  • ตรวจสอบและปรับแต่ง
    หลังจากนำไปใช้งานแล้ว ให้ติดตามดูประสิทธิภาพของแต่ละระดับ ลูกค้าได้รับคุณค่าในระดับที่สูงขึ้นหรือไม่ ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกตัวเลือกที่มีราคาต่ําที่สุดหรือไม่ ใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับระดับและค่าบริการของคุณ

ตลอดกระบวนการนี้ ให้ยึดถือการรับรู้คุณค่าของลูกค้าเป็นสำคัญ เป้าหมายคือการมอบตัวเลือกที่ลูกค้ามองว่ายุติธรรมและสอดคล้องกับคุณค่าที่พวกเขาได้รับ ซึ่งในทางกลับกันจะช่วยสนับสนุนกระแสรายรับที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจของคุณ

ประโยชน์ของการใช้การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับ

การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับมอบข้อดีให้ธุรกิจหลายประการ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ต่อไปนี้คือประโยชน์สำคัญที่สุดของโมเดลนี้:

  • การเจาะตลาด
    คุณสามารถดึงดูดฐานลูกค้าในวงกว้างด้วยการคิดค่าบริการในระดับเริ่มต้น พร้อมทั้งยังให้บริการสําหรับผู้ที่ต้องการตัวเลือกระดับพรีเมียมด้วย ความยืดหยุ่นนี้หมายความว่าคุณจะไม่สูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์จากลูกค้าที่ยินดีจะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อฟีเจอร์หรือบริการเสริม

  • การเติบโตของลูกค้า
    การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับจะกระตุ้นให้ธุรกิจของคุณมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ลูกค้าอาจเริ่มต้นด้วยระดับพื้นฐาน แต่เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นพวกเขาก็อาจปรับระดับได้ ความก้าวหน้าทางธรรมชาตินี้สามารถนําไปสู่การเพิ่มรายรับ โดยไม่ต้องหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

  • ความครอบคลุม
    การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับสามารถสร้างความครอบคลุมได้ เนื่องจากรองรับระดับงบประมาณที่แตกต่างกันโดยไม่ตัดโอกาสผู้ที่อาจเป็นลูกค้าออกไป ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าทุกรายสามารถหาระดับที่เหมาะกับงบประมาณของตน ซึ่งจะช่วยขยายการเข้าถึงตลาดของคุณได้

  • ความง่ายในการตัดสินใจ
    ระดับค่าบริการทําให้การตัดสินใจซื้อเป็นเรื่องง่ายสําหรับลูกค้า ตัวเลือกที่ชัดเจนช่วยให้ลูกค้าเปรียบเทียบฟีเจอร์และตัดสินใจได้ว่าระดับใดเหมาะกับตนเองมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดภาระในการตัดสินใจและอาจเวลาของวงจรการขายลงได้

  • ความสามารถในการปรับขนาด
    ค่าบริการรแบบแบ่งะดับเป็นโครงสร้างที่เรียบง่ายสําหรับการปรับขนาดบริการหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ เมื่อความต้องการเติบโตขึ้นหรือเมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ คุณสามารถเพิ่มระดับใหม่หรือปรับระดับที่มีอยู่ได้โดยอิงตามโครงสร้างที่มีอยู่

  • ความคาดหวังที่เหมาะสม
    ระดับค่าบริการจะช่วยให้คุณจับคู่ความคาดหวังของลูกค้ากับระดับบริการได้ ลูกค้าเล็งเห็นว่าการจ่ายเงินมากขึ้นจะทําให้พวกเขาได้รับบริการที่ดีขึ้นหรือมีฟีเจอร์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความพึงพอใจโดยรวม

  • การรับรู้แบรนด์
    ค่าบริการระดับไฮเอนด์อาจเพิ่มสถานะแบรนด์ของคุณ แม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเลือกระดับที่ต่ํากว่าก็ตาม โดยการเชื่อมโยงแบรนด์ของคุณกับผลิตภัณฑ์และบริการระดับพรีเมียม

  • กลยุทธ์การแข่งขัน
    ด้วยจุดราคาหลายจุด คุณจะสามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านราคาและคุณค่า ซึ่งอาจก้าวนำคู่แข่งที่ดำเนินงานในจุดราคาเดียว

  • ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า
    การคิดค่าบริการแบบแบ่งระดับช่วยให้คุณสามารถรวบรวมข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าและความอ่อนไหวต่อราคาได้ คุณสามารถติดตามระดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและปรับกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดของคุณให้สอดคล้องกัน

ความท้าทายในการใช้ค่าบริการแบบแบ่งระดับ

ค่าบริการแบบแบ่งระดับมาพร้อมกับความท้าทายต่างๆ รายละเอียดนั้นมีดังต่อไปนี้

  • ความซับซ้อนในการจัดการ
    การจัดการค่าบริการหลายระดับอาจก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการดําเนินธุรกิจได้ ธุรกิจต่างๆ จะต้องติดตามระดับบริการ สิทธิ์ของลูกค้า และการเรียกเก็บเงินที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างภาระให้ทรัพยากรด้านการบริหารจัดการ

  • ลูกค้าเกิดความสับสน
    ตัวเลือกหลายรายการเกินไปหรือการกําหนดอย่างไร้ประสิทธิภาพอาจทําให้ลูกค้าสับสนจนไม่สามารถตัดสินใจได้ หากลูกค้าไม่สามารถระบุความแตกต่างระหว่างระดับต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย หรือมองเห็นคุณค่าของระดับที่มีราคาสูงกว่า พวกเขาอาจเลือกระดับที่ต่ำที่สุด ซึ่งทำให้ศักยภาพในการสร้างรายรับของคุณลดลง

  • การลดยอดขาย
    หากโมเดลค่าบริการแบบแบ่งระดับของคุณไม่ได้รับการออกแบบมาอย่างรอบคอบ โมเดลค่าบริการที่ต่ำกว่าก็อาจลดยอดขายจากระดับที่สูงกว่าได้ ลูกค้าอาจดาวน์เกรดหากพวกเขาคิดว่าระดับที่ต่ำลงให้คุณค่ามากกว่าสำหรับความต้องการของพวกเขา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรโดยรวมของคุณ

  • การคาดการณ์รายรับ
    การคาดการณ์รายรับอาจเป็นเรื่องท้าทายขึ้น หากกำหนดราคาแบบแบ่งระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการคาดการณ์ของคุณต้องอาศัยการที่ลูกค้าอัปเกรดไปเป็นระดับที่สูงขึ้น การคาดการณ์จำนวนลูกค้าที่เลื่อนระดับราคาขึ้นและความรวดเร็วที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมักเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

  • ความสมดุลของค่าบริการ
    การหาความสมดุลที่เหมาะสมในการกําหนดค่าบริการแต่ละระดับอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก หากตั้งราคาต่ำเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงิน แต่ถ้าตั้งราคาสูงเกินไป ก็อาจทำให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าหนีไปได้

  • การรับรู้ค่า
    คุณต้องพิสูจน์คุณค่าในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากลูกค้าไม่มองว่าผลประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ากับต้นทุนเพิ่มเติม พวกเขาก็จะไม่เห็นเหตุผลที่ต้องอัปเกรด ซึ่งอาจจำกัดประสิทธิผลของการกำหนดค่าบริการแบบแบ่งระดับได้

  • ความเสี่ยงต่อแบรนด์
    หากระดับพรีเมียมของคุณแพงเกินไป ก็อาจเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของแบรนด์ ลูกค้าอาจมองว่าธุรกิจของคุณมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ตรงกับความต้องการของพวกเขา ส่งผลให้สูญเสียความไว้วางใจ และอาจถึงขั้นสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดได้

  • ความเหมาะสมกับตลาด
    ผลิตภัณฑ์หรือบริการอาจไม่เหมาะกับโมเดลค่าบริการแบบแบ่งระดับ โมเดลนี้เหมาะสําหรับผลิตภัณฑ์ที่มีข้อเสนอที่แตกต่างกัน รวมทั้งตลาดซึ่งแสดงความต้องการและงบประมาณที่หลากหลาย

  • ความท้าทายในการปรับแต่ง
    เมื่อลูกค้าคุ้นเคยกับระดับค่าบริการหนึ่งๆ ก็อาจแสดงออกในทางลบต่อการเปลี่ยนแปลง หากคุณตัดสินใจปรับฟีเจอร์หรือค่าบริการ คุณอาจเสี่ยงต่อการสร้างความไม่พอใจให้ลูกค้า

ความท้าทายเหล่านี้แต่ละอย่างต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบและการจัดการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าค่าบริการแบบแบ่งระดับสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ รวมทั้งส่งผลต่อการเติบโตทางธุรกิจและความพึงพอใจของลูกค้า

ค่าบริการแบบแบ่งระดับเทียบกับโมเดลค่าบริการอื่นๆ

ในฐานะกลยุทธ์ ค่าบริการแบบแบ่งระดับจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากโมเดลค่าบริการอื่นๆ แต่วิธีนี้ไม่ใช่วิธีเดียวในการสร้างโมเดลค่าบริการสําหรับธุรกิจของคุณ รายการทางเลือกอื่นๆ มีดังนี้

  • ค่าบริการอัตราคงที่
    ค่าบริการแบบอัตราคงที่จะเรียกเก็บค่าบริการในราคาเดียวสําหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยไม่คํานึงถึงการใช้งานหรือประเภทลูกค้า โมเดลนี้เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา และสื่อสารกับลูกค้าได้ง่าย แต่อาจไม่ดึงดูดทุกกลุ่มของตลาดและจำกัดศักยภาพในการสร้างรายรับ

  • ค่าบริการแบบชําระเงินตามการใช้งาน
    โมเดลนี้เรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามการใช้งาน แม้ว่าจะมีความยืดหยุ่นและยุติธรรมจากมุมมองของลูกค้า แต่ก็อาจทำให้รายรับของธุรกิจไม่แน่นอนและทำให้การกำหนดงบประมาณของลูกค้าซับซ้อนขึ้น

  • ค่าบริการแบบฟรีเมียม
    เมื่อใช้การคิดค่าบริการแบบฟรีเมียม จะไม่มีค่าบริการสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการเวอร์ชันพื้นฐาน ในขณะที่ฟีเจอร์ขั้นสูงจะต้องมีการชําระเงิน ความท้าทายคือการเปลี่ยนผู้ใช้ฟรีให้เป็นลูกค้าที่จ่ายเงินด้วยฟีเจอร์พรีเมียมที่น่าสนใจเพียงพอที่จะคุ้มกับค่าใช้จ่าย

  • ค่าบริการตามปริมาณ
    ค่าบริการตามปริมาณจะรวมส่วนลดโดยอิงตามปริมาณที่ซื้อ โมเดลนี้มีประสิทธิผลในการส่งเสริมการซื้อจำนวนมากขึ้น แต่ไม่ได้คำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่มลูกค้าในลักษณะเดียวกับค่าบริการแบบแบ่งระดับ

  • ค่าบริการตามคุณค่า
    โมเดลนี้กำหนดค่าบริการตามคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ แทนที่จะตั้งค่าจากราคาต้นทุนหรือราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องอาศัยความตระหนักรู้เกี่ยวกับลูกค้าอย่างลึกซึ้งและอาจประเมินค่าได้ยาก แต่ส่งผลให้ได้ราคาที่สอดคล้องกับคุณค่าที่ลูกค้ามอบให้กับผลิตภัณฑ์

  • ค่าบริการเพื่อเจาะตลาด
    ธุรกิจตั้งค่าบริการในระดับต่ําเพื่อเข้าสู่ตลาดและเพิ่มราคาหลังจากมีลูกค้าจำนวนหนึ่ง วิธีนี้สามารถสร้างฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เสี่ยงต่อความสามารถในการทํากําไรในระยะยาวหากลูกค้าต่อต้านราคาที่เพิ่มขึ้น

  • ค่าบริการระดับพรีเมียม
    ตรงข้ามกับค่าบริการเพื่อเจาะตลาด ค่าบริการระดับพรีเมียมจะมีจำนวนสูง เพื่อสร้างการรับรู้ในแง่ของคุณภาพหรือความหรูหรา การทําเช่นนี้อาจจํากัดฐานลูกค้า แต่สามารถสร้างผลกําไรสูงจากการขายแต่ละครั้ง

วิธีเพิ่มผลกําไรให้สูงสุดด้วยค่าบริการแบบแบ่งระดับ

การเพิ่มผลกําไรให้สูงสุดด้วยค่าบริการแบบแบ่งระดับหมายถึงการค้นหาจุดที่เหมาะสมซึ่งคุณสามารถมอบคุณค่าสูงสุดให้กับลูกค้าของคุณ พร้อมยังคงได้รับผลตอบแทนที่ดี ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการดำเนินการ

  • การกำหนดระดับด้วยความแม่นยํา
    แต่ละระดับควรมีข้อเสนอคุณค่าที่สูงกว่าระดับก่อนหน้าหนึ่งขั้น เมื่อลูกค้าเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ระดับเหล่านี้ พวกเขาควรจะรู้สึกเหมือนกับว่าตนได้รับข้อเสนอดีๆ ที่ไม่อาจปล่อยผ่านได้ในทุกระดับ ธุรกิจต้องเสนอคุณค่าเพียงพอในระดับล่างเพื่อดึงดูดใจลูกค้า ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ระดับบนน่าดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ต้องการคุณค่ามากขึ้น

  • การแยกโครงสร้างต้นทุน
    ทําความเข้าใจว่าธุรกิจของคุณมีต้นทุนเท่าไหร่ในแต่ละระดับ ราคาในระดับต่ำสุดของคุณควรครอบคลุมต้นทุนเหล่านี้โดยมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย เพื่อเตรียมการสำหรับระดับที่สูงขึ้นเพื่อสร้างรายได้สูงสุด

  • เทคนิคการกําหนดราคาตามหลักจิตวิทยา
    กำหนดค่าบริการให้ต่ำกว่าเกณฑ์ทั่วไปเพียงเล็กน้อย (เช่น การเรียกเก็บเงิน 9.99 ดอลลาร์แทนที่จะเป็น 10 ดอลลาร์) อาจสร้างความแตกต่างในวิธีที่ลูกค้ารับรู้คุณค่า ทั้งนี้ ให้ดึงดูดลูกค้าด้วยระดับสูงสุดก่อน วิธีนี้จะทำให้ระดับอื่นๆ ดูมีราคาที่สมเหตุสมผลมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน

  • การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
    ใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้วยการติดตามตรวจสอบระดับที่ลูกค้าของคุณนิยมใช้มากที่สุดและทำการปรับเปลี่ยนเมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจเพิ่มฟีเจอร์ยอดนิยมในระดับที่สูงกว่าเพื่อกระตุ้นการอัปเกรด หรืออาจตัดฟีเจอร์ที่ใช้งานน้อยในระดับล่างเพื่อลดต้นทุน

  • สิ่งจูงใจสําหรับการอัปเกรด
    ดึงดูดลูกค้าที่อัปเกรดด้วยสิ่งจูงใจที่วางแผนมาอย่างดี โดยอาจเป็นส่วนลดในเดือนแรกของระดับที่สูงกว่า หรือเนื้อหาหรือบริการพิเศษที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเมื่อใช้ตัวเลือกแบบพรีเมียมเท่านั้น ทำให้การเปลี่ยนระดับมีความราบรื่นและน่าดึงดูดใจ

  • วงจรคําติชมและการปรับตัว
    สร้างวงจรคําติชมและรับฟังลูกค้าของคุณ หากมีฟีเจอร์ที่ทุกคนต้องการ แต่คุณยังไม่ได้เสนอ ให้ลองเพิ่มฟีเจอร์นั้นไปยังระดับที่สูงกว่า ทำการปรับตัวและเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ

  • การมุ่งเน้นที่มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า
    ติดตามดูมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า การดึงดูดลูกค้าในระดับต่ำกว่าถือเป็นเรื่องดี แต่ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเมื่อพวกเขาใช้และชื่นชอบบริการ และตัดสินใจที่จะอัปเกรด นี่คือแหล่งที่มาของความสามารถในการทํากําไรในระยะยาวของคุณ

  • ความชัดเจนในการสื่อสาร
    ลูกค้าควรรู้ว่าตัวเองได้รับอะไรในแต่ละระดับและเข้าใจว่าทําไมระดับถัดไปจึงคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ลูกค้าไม่ควรต้องดิ้นรนเพื่อหาคำตอบว่าตนจ่ายเงินไปเพื่ออะไร

  • การวิเคราะห์คู่แข่ง
    จับตาดูคู่แข่ง หากพวกเขาเสนอคุณค่ามากกว่าในระดับที่ต่ำกว่า คุณจะต้องตอบสนอง หากพวกเขาตั้งราคาระดับต่างๆ สูงเกินไป คุณควรใช้โอกาสนี้ดึงดูดลูกค้าด้วยข้อเสนอที่ดีกว่า

  • ข้อพิจารณาเกี่ยวกับค่าบริการแบบไดนามิก
    ควรใช้กลยุทธ์ค่าบริการแบบไดนามิก หากเหมาะสม โดยอาจมีช่วงเวลาที่มีการใช้บริการสูงที่คุณสามารถเรียกเก็บเงินเพิ่มได้ หรือจัดกิจกรรมพิเศษซึ่งเสนอราคาโปรโมชันสำหรับระดับที่สูงกว่า

การใช้ค่าบริการแบบแบ่งระดับเพื่อเพิ่มกำไรสูงสุดเป็นเรื่องของการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ จิตวิทยาของลูกค้า และความเต็มใจของคุณที่จะปรับแต่งผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงผลกำไรของคุณให้ดีขึ้นด้วย

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับค่าบริการแบบแบ่งระดับ

การสร้างและการจัดการแพ็กเกจค่าบริการแบบแบ่งระดับต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการจัดการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณยังคงมีความเกี่ยวข้องและทำกำไรได้ตลอดเวลา ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการส่งเสริมแพ็กเกจแบบแบ่งระดับ:

  • ทําการวิจัยตลาด
    รู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณ พวกเขาเป็นใครและต้องการอะไร พวกเขายินดีจะจ่ายเงินเท่าไหร่ใช้บริการ ความรู้ความรู้นี้เป็นกุญแจสําคัญในการสร้างระดับต่างๆ ที่สอดคล้องกับตลาดของคุณ

  • วิเคราะห์ต้นทุนให้เสร็จสิ้น
    รู้ตัวเลขของคุณ คำนวณต้นทุนในการให้บริการในแต่ละระดับ และตั้งราคาให้ไม่เพียงแต่ครอบคลุมต้นทุนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มอัตรากำไรของคุณอีกด้วย

  • วิเคราะห์คู่แข่ง
    ดูโมเดลค่าบริการของคู่แข่ง การทำเช่นนี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับมาตรฐานตลาดและช่วยคุณกำหนดระดับของคุณได้

  • ระบุคุณค่าที่ชัดเจน
    ลูกค้าไม่ควรต้องสงสัยว่าตนเองจะเลือกระดับใดระดับหนึ่งเพราะเหตุผลใด ค่าบริการควรได้รับการแบ่งให้เหมาะสมตามฟีเจอร์ บริการ หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ

  • เสนอฟีเจอร์ที่ปรับขนาดได้
    ออกแบบระดับเพื่อให้คุณสามารถปรับขนาดบริการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้อย่างง่ายดายตามคำติชมของลูกค้าหรือแนวโน้มของตลาด

  • แสดงตัวเลือกง่ายๆ
    การมีทางเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ตัวเลือกมากเกินไปอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก รักษาจำนวนระดับให้สามารถจัดการได้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกระดับที่เหมาะกับตนเองได้อย่างง่ายดาย

  • รักษาความยืดหยุ่นในโครงสร้าง
    เตรียมพร้อมที่จะปรับระดับของคุณเมื่อคุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าของคุณให้ความสำคัญมากที่สุด

ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการจัดการแพ็กเกจแบบแบ่งระดับอย่างต่อเนื่อง:

  • ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมลูกค้า
    ให้ความสําคัญกับวิธีที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับค่าบริการระดับต่างๆ ของคุณ ระดับใดได้รับความนิยมมากที่สุด ลูกค้าอัปเกรดหรือดาวน์เกรด

  • ตรวจสอบค่าใช้จ่ายและผลกําไรเป็นประจํา
    ประเมินต้นทุนและส่วนต่างกําไรของคุณเป็นระยะๆ เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละระดับจะยังคงได้รับผลกําไรเมื่อต้นทุนและสภาพของตลาดเปลี่ยนแปลงไป

  • ปรับตามคําติชม
    ใช้ความคิดเห็นของลูกค้าเพื่อปรับข้อเสนอของคุณ หากฟีเจอร์บางอย่างเป็นที่ต้องการสูง ให้ลองเพิ่มไว้ในระดับที่สูงขึ้น

  • จูงใจให้ทำการอัปเกรด
    การโปรโมตเป็นบางโอกาสจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้ระดับที่สูงขึ้น

  • สื่อสารการเปลี่ยนแปลง
    ดำเนินการให้แน่ใจว่าได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงแพ็กเกจแบบแบ่งระดับของคุณให้ลูกค้าเข้าใจล่วงหน้า

  • ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล
    ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทําความเข้าใจรูปแบบการใช้งานและความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับค่าบริการและฟีเจอร์

  • ทําการทดสอบ A/B
    ทดสอบโครงสร้างราคาและฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อดูว่าสิ่งใดที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายของคุณและนำไปสู่อัตราการรักษาลูกค้าและการอัปเกรดที่สูงขึ้น

  • มอบการสนับสนุนลูกค้า
    ให้การสนับสนุนลูกค้าที่ยอดเยี่ยมในทุกระดับ และมอบการสนับสนุนระดับพรีเมียมสําหรับลูกค้าในระดับสูงขึ้น

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe รองรับโมเดลค่าบริการแบบแบ่งระดับ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้