ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับค่าบริการตามการใช้งาน: คืออะไรและกลยุทธ์ในการนำไปใช้งาน

Billing
Billing

Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและจัดการลูกค้าได้ในทุกแบบที่ต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินแบบตามรอบไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน และสัญญาการเจรจาการขาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. ค่าบริการตามการใช้งานคืออะไร
  3. ประเภทของค่าบริการตามการใช้งาน
  4. องค์ประกอบของค่าบริการตามการใช้งาน
  5. คุณจะใช้ค่าบริการตามการใช้งานเมื่อใด
  6. ค่าบริการตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
  7. ประโยชน์ของค่าบริการตามการใช้งาน
  8. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับค่าบริการตามการใช้งาน

การกำหนดราคาตามการใช้งานตอบสนองโดยตรงกับความต้องการของธุรกิจและลูกค้าของพวกเขา วิธีนี้แตกต่างจากวิธีอัตราคงที่หรือสมัครสมาชิก เนื่องจากตั้งราคาตามการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการจริงๆ ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ค้นหาวิธีในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด การกำหนดราคาตามการใช้งานจึงเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในบรรดารูปแบบการกำหนดราคา ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2022 อัตราการนำรูปแบบกำหนดราคาตามการใช้งานมาใช้ในบริษัทให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) เติบโตจาก 27% เป็น 46%

โมเดลค่าบริการนี้มีข้อดีที่ชัดเจน นั่นคือการมอบโอกาสในการสร้างรายได้ที่มั่นคงสําหรับบริษัท ในขณะเดียวกันก็มอบราคาที่โปร่งใสสําหรับผู้ใช้ ด้านล่างนี้ เราจะแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าบริการตามการใช้งาน วิธีทํางานและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ธุรกิจต่างๆ นํามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประโยชน์ให้สูงสุด

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • ค่าบริการตามการใช้งานคืออะไร
  • ประเภทของค่าบริการตามการใช้งาน
  • องค์ประกอบของค่าบริการตามการใช้งาน
  • คุณจะใช้ค่าบริการตามการใช้งานเมื่อใด
  • ค่าบริการตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
  • ประโยชน์ของค่าบริการตามการใช้งาน
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับค่าบริการตามการใช้งาน

Forrester ยกให้ Stripe เป็นผู้นําในด้านการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้า Stripe ได้รับคะแนนสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในเกณฑ์การประเมิน 10 ข้อ และสูงกว่าความคิดเห็นโดยเฉลี่ยจากลูกค้า อ่านรายงานเพื่อดูเหตุผลที่เราเชื่อว่า Stripe Billing สามารถช่วยให้คุณปลดล็อกกระแสรายรับใหม่ๆ ปรับตัวตามแนวโน้มของตลาด และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

ค่าบริการตามการใช้งานคืออะไร

ค่าบริการตามการใช้งานเป็นวิธีการเรียกเก็บเงินซึ่งค่าใช้จ่ายจะสอดคล้องโดยตรงกับการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการของลูกค้า โมเดลนี้แตกต่างจากอัตราคงที่หรือการเรียกเก็บเงินตามรอบบิล โดยจะแสดงเป็นรูปแบบเมตริกเฉพาะเจาะจง เช่น ปริมาณการใช้งานข้อมูล ชั่วโมงการเข้าถึงบริการ หรือปริมาณสินค้าที่ใช้ ผลลัพธ์คือระบบการกำหนดค่าบริการแบบละเอียดที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละราย

ประเภทของค่าบริการตามการใช้งาน

ค่าบริการตามการใช้งานมีโมเดลที่ต่างกันหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละโมเดลจะปรับให้เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจและรูปแบบการบริโภคของลูกค้าโดยเฉพาะ ประเภทที่พบบ่อยๆ มีดังต่อไปนี้

  • ค่าบริการแบบแปรผัน
    ค่าบริการแบบแปรผันเน้นเมตริกด้านการบริโภค ค่าใช้จ่ายจะผันผวนตามจํานวนหรือปริมาณที่ลูกค้าใช้ โมเดลนี้เป็นที่นิยมในภาคส่วนต่างๆ เช่น สาธารณูปโภค โดยลูกค้าจะจ่ายเงินสำหรับแต่ละหน่วยที่ใช้ (เช่น ไฟฟ้าเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือน้ำเป็นแกลลอน)

  • ค่าบริการแบบแบ่งระดับ
    โมเดลนี้มุ่งเน้นไปที่เกณฑ์ โดยที่ปริมาณการใช้เป็นตัวกำหนดต้นทุนต่อหน่วย แต่สัมพันธ์กับจุดตัดเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ลองนึกถึงสถานการณ์ที่ต้นทุนต่อหน่วยสำหรับ 100 หน่วยแรกแตกต่างจากต้นทุนต่อหน่วยของ 100 หน่วยถัดไป โครงสร้างนี้สร้างแรงจูงใจให้มีการบริโภคมากขึ้นโดยยังคงรักษาแนวทางตามการใช้งานไว้

  • ค่าบริการแบบไดนามิก
    สภาวะตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการจะมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดราคาแบบไดนามิก ราคาจะมีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มการแชร์รถเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในเรื่องนี้ โดยค่าโดยสารอาจเพิ่มขึ้นในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนหรือในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง สะท้อนให้เห็นถึงความสมดุล (หรือความไม่สมดุล) ระหว่างอุปทานและอุปสงค์

  • ค่าบริการต่อฟีเจอร์
    วิธีนี้เป็นที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ แทนที่จะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้สำหรับชุดฟีเจอร์ทั้งหมด โมเดลนี้จะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้เฉพาะสำหรับฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานและใช้งานเท่านั้น ส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นอิสระและประหยัดต้นทุน

องค์ประกอบของค่าบริการตามการใช้งาน

ค่าบริการตามการใช้งานจะเปลี่ยนวิธีการเรียกเก็บเงินลูกค้าและยังส่งผลต่อส่วนประกอบพื้นฐานของระบบเรียกเก็บเงินอีกด้วย สําหรับธุรกิจที่สนใจเปลี่ยนมาใช้โมเดลค่าบริการแบบนี้ ก็จะจําเป็นต้องทําความเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้ ต่อไปนี้คือส่วนประกอบหลักที่ควรพิจารณา

  • หน่วยวัด
    นี่คือหน่วยที่ธุรกิจใช้วัดการบริโภค หน่วยนี้อาจแตกต่างกันออกไปตามบริการหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ บริการที่จัดเก็บข้อมูลผ่านระบบคลาวด์อาจวัดการใช้งานเป็นกิกะไบต์ ในขณะที่บริการโทรคมนาคมอาจนับเป็นนาทีหรือข้อความ

  • รอบการเรียกเก็บเงิน
    ปัจจัยนี้จะกำหนดว่าลูกค้าจะได้รับใบแจ้งยอดบ่อยแค่ไหน เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ตลอดรอบบิล จะมีการติดตามการใช้งาน และเมื่อรอบบิลสิ้นสุดลง ลูกค้าจะได้รับใบเรียกเก็บเงินตามปริมาณการใช้งาน

  • อัตรา
    ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าแต่ละหน่วยการวัดมีค่าใช้จ่ายเท่าไร แม้ว่าบริการบางอย่างจะมีอัตราคงที่ แต่บริการอื่นๆ อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณการชําระเงิน

  • เครื่องมือติดตามการใช้งาน
    โมเดลค่าบริการตามการใช้งานทุกรูปแบบต้องใช้วิธีการที่น่าเชื่อถือในการตรวจสอบการบริโภค เครื่องมือหรือระบบนี้จะติดตามการใช้งานแบบเรียลไทม์หรือใกล้เคียง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบจะเรียกเก็บเงินลูกค้าอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อใกล้ถึงขีดจํากัดการใช้งานบางอย่างได้ด้วย

  • การปรับยอดการเรียกเก็บเงิน
    บางครั้งลูกค้าอาจถูกหักเงินเกินจํานวน หรืออาจมีสิทธิ์รับส่วนลดใน 1 เดือน องค์ประกอบนี้จัดการความคลาดเคลื่อน การคืนเงิน และเครดิต ซึ่งช่วยทำฝห้กระบวนการเรียกเก็บเงินดําเนินไปอย่างยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น

  • การแจ้งเตือน
    เพื่อหลีกเลี่ยงความประหลาดใจ ผู้ให้บริการหลายรายจึงแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับการบริโภคของตน ธุรกิจต่างๆ อาจส่งการแจ้งเตือนเมื่อผู้ใช้ถึงระดับการใช้งานที่กําหนดหรือใกล้ถึงเกณฑ์ที่กําหนดไว้

  • การรายงาน
    ทั้งธุรกิจและผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากรายงานแบบละเอียดเกี่ยวกับการบริโภค สําหรับธุรกิจ รายงานเหล่านี้จะช่วยเรื่องการคาดการณ์และการจัดการสินค้าคงคลัง สําหรับผู้ใช้ การทําความเข้าใจรูปแบบการใช้งานของตัวเองสามารถช่วยในการตัดสินใจด้านงบประมาณและการใช้งานได้

องค์ประกอบเหล่านี้รวมกันเป็นกรอบการทำงานพื้นฐานของระบบค่าบริการตามการใช้งาน การใช้องค์ประกอบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพในกลยุทธ์ที่ครบวงจรคือกุญแจสําคัญเพื่อประสบการณ์การเรียกเก็บเงินที่ราบรื่นและโปร่งใส

คุณจะใช้ค่าบริการตามการใช้งานเมื่อใด

การเลือกที่จะเสนอราคาตามการใช้งานสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ธุรกิจทำเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะตัวของอุตสาหกรรมและลักษณะของบริการที่พวกเขาส่งมอบ ต่อไปนี้เป็นบางภาคส่วนที่โมเดลนี้ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

  • การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS)
    แพลตฟอร์ม SaaS บางแพลตฟอร์มให้ธุรกิจชําระเงินตามฟีเจอร์ที่เข้าถึงหรือจํานวนผู้ใช้งาน โมเดลนี้ดึงดูดใจบริษัทที่มีความต้องการที่เปลี่ยนแปลง หรือบริษัทที่ต้องการทดลองใช้โซลูชันซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องการลงทุนกับแพ็กเกจเต็มรูปแบบ

  • ผู้ให้บริการสาธารณูปโภค
    บริษัทไฟฟ้า น้ำ และแก๊สใช้การเรียกเก็บเงินด้วยวิธีนี้มานานแล้ว เนื่องจากมีความยุติธรรมในตัวและยังช่วยสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรอีกด้วย

  • ผู้ให้บริการระบบคลาวด์
    เนื่องจากการพึ่งพาโซลูชันบนระบบคลาวด์เพิ่มมากขึ้น ผู้ให้บริการจึงเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามปริมาณพื้นที่เก็บข้อมูลหรือพลังการประมวลผลที่พวกเขาใช้ บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพหรือบริษัทที่มีความต้องการที่เปลี่ยนแปลง ต่างชื่นชอบรูปแบบนี้ เนื่องจากช่วยให้สามารถปรับการใช้งานได้โดยไม่ต้องติดอยู่กับต้นทุนที่คงที่

  • บริษัทโทรคมนาคม
    แพ็กเกจแบบชําระเงินตามการใช้งาน ซึ่งผู้ใช้จะถูกเรียกเก็บเงินตามจำนวนนาทีที่ใช้หรือข้อความที่ส่งจริง รองรับผู้ที่กังวลกับแพ็กเกจรายเดือนหรือผู้ที่ไม่ได้ใช้งานสม่ำเสมอ

  • แพลตฟอร์มสตรีมมิง
    บริการบางอย่างจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามเนื้อหาที่เลือก แทนที่จะเรียกเก็บเงินรายเดือนแบบคงที่ ผู้ใช้อาจถูกเรียกเก็บเงินตามภาพยนตร์หรือตอนที่รับชม นี่เป็นแนวทางเฉพาะที่ตอบสนองผู้ชมทั่วไปที่ไม่สนใจการสมัครใช้บริการแบบปกติ

  • บริการให้เช่า
    การเช่าในเมือง เช่น จักรยานหรือสกู๊ตเตอร์ มักใช้รูปแบบนี้ โดยจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามจำนวนเวลาที่ใช้รถ จึงทําให้บริการนี้เป็นที่น่าดึงดูดใจสําหรับนักปั่นหรือนักท่องเที่ยวเป็นครั้งคราวมากขึ้น

  • ผู้ให้บริการข้อมูล
    สำหรับธุรกิจที่เสนออินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) สำหรับข้อมูลเฉพาะเจาะจง การเรียกเก็บเงินอาจเชื่อมโยงกับจำนวนการดึงข้อมูลที่ผู้ใช้หรือธุรกิจดำเนินการ วิธีนี้เป็นที่นิยมสําหรับนักพัฒนาหรือธุรกิจที่มีความต้องการข้อมูลแบบแปรผัน

ท้ายที่สุดแล้ว มูลค่าของการกำหนดราคาตามการใช้งานนั้นอยู่ที่แนวทางที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งจะขยายการเข้าถึงบริการและตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลาย ตั้งแต่บุคคลทั่วไปที่มีงบประมาณจำกัดไปจนถึงธุรกิจที่มีความต้องการที่หลากหลาย

ค่าบริการตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร

ค่าบริการตามการใช้งานปรับแต่งโครงสร้างให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของผู้ใช้แต่ละราย รายละเอียดต่างๆ มีดังนี้

  • การติดตามตรวจสอบและการวัดปริมาณ
    รากฐานของวิธีการเรียกเก็บเงินนี้คือการติดตามการใช้งานของผู้ใช้แต่ละรายอย่างแม่นยำ ซึ่งอาจครอบคลุมตัวแปรต่างๆ เช่น ปริมาณของข้อมูลที่ใช้ ระยะเวลาการเข้าถึงบริการ หรือหน่วยของทรัพยากรที่ใช้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ระบบการติดตามจึงได้รับการพัฒนาเพื่อบันทึกรายละเอียดเหล่านี้ด้วยความแม่นยำ ช่วยให้สามารถเรียกเก็บเงินในระดับละเอียดได้

  • กําหนดอัตรา
    ปริมาณการบริโภคแต่ละหน่วยจะมีราคาที่เกี่ยวข้องกัน พิจารณาว่าผู้ให้บริการที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์จะเรียกเก็บเงินสำหรับทุกๆ เมกะไบต์หรือกิกะไบต์ที่ใช้อย่างไร ในทำนองเดียวกัน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับทุกนาทีที่ใช้ในการโทรหรือทุกข้อความที่ส่ง การกำหนดอัตราเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพลวัตของตลาด ต้นทุนการดำเนินงาน และพฤติกรรมของผู้ใช้

  • รอบการเรียกเก็บเงิน
    รอบเวลาปกติ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน จะระบุช่วงเวลาที่ผู้ใช้จะถูกเรียกเก็บเงิน ลักษณะและความต้องการของบริการกำหนดความยาวและความถี่ของรอบเหล่านี้ เมื่อวงจรสิ้นสุดลง ระบบจะรวมกิจกรรมของผู้ใช้ทั้งหมด

  • การออกใบแจ้งหนี้แบบไดนามิก
    หลังจากคำนวณเมตริกการบริโภคทั้งหมดสำหรับรอบแล้ว ระบบจะสร้างใบแจ้งหนี้ที่ปรับแต่งเฉพาะ โดยจะได้มาจากการคูณหน่วยรวมที่ใช้ไปด้วยอัตราหน่วยที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้แต่ละรายจะได้รับใบแจ้งหนี้ที่สะท้อนการใช้งานบริการของตนในช่วงเวลานั้น

  • การแจ้งเตือน
    เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความประหลาดใจกับค่าใช้จ่าย ผู้ให้บริการหลายรายได้นำกลไกในการส่งคำเตือนถึงผู้ใช้อย่างทันท่วงทีเมื่อค่าใช้จ่ายใกล้จะถึงหรือเกินเกณฑ์มาตรฐานการบริโภคที่ตั้งไว้ โดยการแจ้งเตือนเหล่านี้จะทําหน้าที่เป็นมาตรการควบคุมต้นทุนสําหรับผู้ใช้ รวมถึงเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการ

  • วิธีการชําระเงิน
    หลังจากใบแจ้งหนี้เข้าสู่กล่องจดหมายแล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกตัวเลือกการชำระเงินได้หลากหลาย ซึ่งอาจมีตั้งแต่วิธีดั้งเดิม เช่น บัตรเครดิต และการโอนเงินผ่านธนาคาร ไปจนถึงโซลูชันร่วมสมัย เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล

  • การโต้แย้งการชําระเงินและการปรับยอด
    เมื่อมีการเรียกเก็บเงินภายหลังการใช้งาน มีโอกาสที่ผู้ใช้จะโต้แย้งการเรียกเก็บเงินได้ การมีกลไกที่แข็งแกร่ง โปร่งใส และเป็นมิตรต่อผู้ใช้ในการแก้ไขข้อกังวลเหล่านี้ แก้ไขความคลาดเคลื่อน และรับรองความพึงพอใจของลูกค้านั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ค่าบริการตามการใช้งานนําเสนอวิธีการเรียกเก็บเงินแบบไดนามิกและปรับเปลี่ยนได้ โมเดลสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงกิจกรรมของผู้ใช้ ทำให้ระบบเรียกเก็บเงินมีความโปร่งใส ยืดหยุ่น และยุติธรรมมากขึ้น ซึ่งให้ประโยชน์ทั้งแก่ธุรกิจและผู้ใช้

ประโยชน์ของค่าบริการตามการใช้งาน

ค่าบริการตามการใช้งานมอบสิทธิประโยชน์มากมายที่ตอบสนองความต้องการแบบไดนามิกของธุรกิจ ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับข้อดีของโมเดลนี้

  • ความยืดหยุ่นสําหรับลูกค้า
    การเรียกเก็บเงินลูกค้าตามการใช้งานจะช่วยให้ลูกค้ามีเครื่องมือในการจัดการและคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โมเดลนี้ช่วยป้องกันการเรียกเก็บเงินเกินสำหรับบริการที่ไม่ได้ใช้หรือการใช้จ่ายเกินงบประมาณ โดยดึงดูดใจลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่สตาร์ทอัพที่มีงบประมาณจำกัดไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการควบคุมต้นทุนแบบละเอียด

  • ความโปร่งใสในการเรียกเก็บเงิน
    การเรียกเก็บเงินผู้ใช้ตามปริมาณที่แน่นอนของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่พวกเขาใช้จะเพิ่มความซื่อสัตย์และความชัดเจนให้กับกระบวนการ แนวทางตรงไปตรงมานี้สามารถสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจด้วยการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมแอบแฝง จึงทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือในแวดวงของตนเอง และในขณะเดียวกันก็ลดความคิดเห็นเชิงลบ

  • การปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด
    ธุรกิจที่ใช้ค่าบริการตามการใช้งานยังคงมีความยืดหยุ่นในการปรับราคาตามเงื่อนไขตลาดที่เปลี่ยนแปลง แรงกดดันทางการแข่งขัน หรือการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการจัดหาทรัพยากร การมีความคล่องตัวและตอบสนองความต้องการด้านราคาถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการรักษาความได้เปรียบในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

  • มีโอกาสสร้างรายรับเพิ่มขึ้น
    แนวคิดจ่ายตามการใช้งานสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้กล้าทดลองใช้ฟีเจอร์หรือบริการเพิ่มเติม ซึ่งอาจเพิ่มการใช้งานโดยรวมของพวกเขาได้ การมีส่วนร่วมที่ขยายตัวนี้สามารถเพิ่มรายรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธุรกิจเปิดตัวบริการใหม่ๆ โดยใช้โมเดลนี้เพื่อกระตุ้นการนำมาใช้ในระยะเริ่มต้น

  • การรักษาลูกค้าที่ดีขึ้น
    ความผูกพันระหว่างรายจ่ายและคุณค่าที่ได้รับมีบทบาทสำคัญในการรักษาลูกค้า เมื่อลูกค้ามองเห็นคุณค่าที่จับต้องได้จากทุกบาททุกสตางค์ ความภักดีต่อแบรนด์หรือบริการก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป การรักษาลูกค้าเดิมไว้จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ ซึ่งเน้นย้ำถึงข้อได้เปรียบนี้

  • ลดการสิ้นเปลืองทางการเงิน
    แนวทางการกำหนดราคานี้ช่วยให้ธุรกิจลดการสิ้นเปลืองทางการเงินที่พบเห็นในโมเดลแบบอัตราคงที่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการใช้ทรัพยากรไม่คุ้มค่า การจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและประสิทธิภาพของทรัพยากรได้

  • การนําแนวทางแบบจ่ายตามการเติบโตไปใช้
    โมเดลนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายขั้นต้นจำนวนมากและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทที่ขนาดเล็ก ธุรกิจเหล่านี้สามารถเริ่มต้นด้วยบริการที่ต้องการ และเมื่อขยายตัวขึ้นก็ค่อยๆ ปรับขนาดการใช้งานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง สภาพที่จำเพาะนี้ช่วยทำลายอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด ส่งเสริมให้วิถีการเติบโตเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น และส่งเสริมนวัตกรรม

ข้อดีเหล่านี้เน้นย้ำถึงวิธีที่ค่าบริการตามการใช้งานสอดคล้องกับหลักการทางธุรกิจที่สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ ความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ความโปร่งใส และการมุ่งเน้นอย่างจริงจังต่อความต้องการของลูกค้า

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับค่าบริการตามการใช้งาน

ค่าบริการตามการใช้งานถือเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ด้านการกำหนดราคาและการเรียกเก็บเงินของธุรกิจ แต่การนําไปใช้งานโดยไม่มีการวางแผนและการดําเนินงานที่เหมาะสมอาจทําให้เกิดความท้าทายที่ไม่คาดคิดได้ ต่อไปนี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดบางส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพให้การเปลี่ยนแปลง

  • สร้างการสื่อสารโดยตรงและเปิดกว้างกับลูกค้า: การเปลี่ยนไปใช้ค่าบริการตามการใช้งานอย่างโปร่งใสต้องอาศัยมากกว่าแค่การประกาศ ธุรกิจควรจัดสัมมนาผ่านเว็บ จัดทําคู่มือที่ครอบคลุม และจัดเซสชันถามตอบ แนวทางเชิงรุกในการให้ความรู้แก่ลูกค้าและแก้ไขข้อกังวลก่อนเกิดขึ้นจริงจะช่วยนำทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น

  • ประเมินและปรับปรุงกลยุทธ์ด้านค่าบริการอย่างต่อเนื่อง: ลักษณะของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้ต้องมีการประเมินโครงสร้างราคาบ่อยครั้ง การติดตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของคู่แข่ง และความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินสามารถช่วยในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลประกอบ นอกจากนี้ยังทำให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณยังคงมีความเกี่ยวข้องและน่าดึงดูดสำหรับฐานผู้ใช้

  • ใช้โซลูชันการตรวจสอบการใช้งานที่ครอบคลุม: ความแม่นยำในการติดตามการใช้งานของลูกค้าเหนือกว่าความแม่นยำของการเรียกเก็บเงิน เครื่องมือติดตามสมัยใหม่ไม่เพียงแต่จะต้องลงทะเบียนทุกหน่วยที่บริโภคเท่านั้น แต่ยังควรให้ข้อมูลเชิงลึกเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคด้วย ข้อมูลดังกล่าวมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนากลยุทธ์ในอนาคตและการเสนอบริการแบบกำหนดเป้าหมาย

  • มอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินที่ครอบคลุมให้กับลูกค้า: ยกระดับประสบการณ์การเรียกเก็บเงินด้วยการวิเคราะห์การบริโภคแบบเจาะลึก แดชบอร์ดแบบอินเทอร์แอกทีฟหรือรายงานรายเดือนที่ครอบคลุมสามารถระบุพฤติกรรมการบริโภคได้ ทําให้ผู้ใช้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้น และอาจนำไปสู่การใช้บริการเพิ่มเติม

  • ให้ความสำคัญกับลูกค้าในการวางกลยุทธ์: แสดงความทุ่มเทของคุณต่อลูกค้าในแง่ที่นอกเหนือจากการเรียกเก็บเงิน การสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าด้วยเครื่องมือหรือเซสชันการให้คำปรึกษาสามารถวางจุดยืนของคุณในฐานะพาร์ทเนอร์ด้านการเติบโตได้

  • นําเสนอข้อกําหนดของสัญญาที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้: แม้ว่าแนวทางแบบสำเร็จรูปจะให้ความเรียบง่ายในการปฏิบัติงาน แต่ความยืดหยุ่นก็สามารถเป็นปัจจัยในการตัดสินใจสำหรับลูกค้าบางรายได้ สัญญาที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ระดับค่าบริการที่ไม่เหมือนใคร และฟีเจอร์ที่ปรับแต่งได้นั้นแสดงถึงความสามารถในการปรับตัวและความเต็มใจที่จะรองรับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

  • ทําการตรวจสอบและการประเมินอย่างเป็นระบบ: การประเมินกระบวนการเรียกเก็บเงินของคุณเป็นระยะๆ จะช่วยชี้ให้เห็นจุดที่ต้องปรับปรุง ตั้งแต่ข้อผิดพลาดไปจนถึงประสิทธิภาพที่ต่ำ การประเมินผลเป็นประจําจะแก้ไขปัญหานี้และปรับปรุงกระบวนการเรียกเก็บเงินได้ ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าด้วย

  • ช่วยให้ลูกค้าตรวจสอบการใช้งานของตนเองได้: มอบเครื่องมือให้ลูกค้าติดตามตรวจสอบการใช้งานโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ และลดภาระให้ทีมสนับสนุนลูกค้า

  • ชักชวนให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็น แล้วตอบกลับ: ช่องทางการให้คำติชมที่แท้จริงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญได้ การทำการเปลี่ยนแปลงที่อิงมาจากข้อเสนอแนะเหล่านี้แสดงถึงความสามารถในการปรับตัวและความมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนา จึงช่วยเพิ่มความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับลูกค้า

หากดำเนินการอย่างถูกต้อง การเปลี่ยนไปใช้ค่าบริการตามการใช้งานสามารถสื่อถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่มีต่อความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความพึงพอใจของลูกค้าได้

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe เพิ่มประสิทธิภาพให้กับค่าบริการตามการใช้งานสําหรับธุรกิจ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Billing

Billing

เรียกเก็บและรักษารายรับได้มากขึ้น ใช้วิธีอัตโนมัติกับขั้นตอนการจัดการรายรับ ตลอดจนรับการชำระเงินได้ทั่วโลก

Stripe Docs เกี่ยวกับ Billing

สร้างและจัดการการชำระเงินตามรอบบิล ติดตามการใช้งาน และออกใบแจ้งหนี้