แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่คือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมทางการเงินผ่านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์มือถืออื่นๆ แพลตฟอร์มเหล่านี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากลูกค้าสามารถชําระเงินและทํากิจกรรมทางการเงินอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องใช้วิธีการทางกายภาพอย่างเงินสดหรือบัตรเครดิต ในปี 2022 Pew Research Center ชี้ว่า 76% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขาใช้แอปชําระเงินอย่างน้อย 1 ใน 4 ค่ายใหญ่ดังต่อไปนี้ Venmo, Cash App, Zelle และ PayPal
การนําแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้ในวงกว้างนั้นแสดงถึงความสามารถในการมอบความปลอดภัย ความเร็ว และความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จํากัดธุรกรรมในตําแหน่งที่ตั้งหรือธุรกรรมบางประเภทเท่านั้น เทคโนโลยีนี้ส่งผลต่อลูกค้ารายบุคคลและธุรกิจต่างๆ ในภาคธุรกิจอย่างมาก ธุรกิจที่ต้องการรับชําระเงินผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ หรือกําลังพิจารณาสร้างแอปชําระเงินของตนเองสําหรับแบรนด์ของตัวเอง จะได้รับประโยชน์จากการทําความเข้าใจกระบวนการและความแตกต่างที่อยู่เบื้องหลังแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เราได้อธิบายสิ่งที่คุณจําเป็นต้องทราบเพื่อเริ่มใช้งานด้านล่าง แล้วดูว่า Stripe จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชําระเงินในแอปของคุณได้อย่างไร
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ประเภทของแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
- แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ทํางานอย่างไร
- ผลกระทบที่แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีต่อธุรกิจ
- วิธีสร้างแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
- วิธีที่ Stripe รองรับแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
ประเภทของแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้พลิกโฉมวิธีที่ธุรกิจและลูกค้าประมวลผลธุรกรรมไปโดยสิ้นเชิง เราจะจัดแอปให้อยู่ใน 3 ประเภทใหญ่ๆ เพื่อทำความเข้าใจวิธีการทำงาน ดังนี้
- แอประบบปิด
- แอประบบเปิด
- แอปชำระเงินระหว่างบุคคล
แต่ละหมวดหมู่มีชุดฟีเจอร์และผลลัพธ์ต่อลูกค้าและธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน โดยดูได้จากสรุปข้อมูลต่อไปนี้
แอประบบปิด
ผู้ค้าปลีกแต่ละรายและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะใช้แอประบบปิด Starbucks และ Target คือตัวอย่างของธุรกิจที่มีแอประบบปิดของตัวเอง แอปเหล่านี้ทํางานเป็นโปรแกรมสะสมคะแนนนอกเหนือจากการเป็นแอปชําระเงิน โดยจะแสดงคะแนนหรือรางวัลสะสมของลูกค้าสําหรับธุรกรรมแต่ละรายการ ในแอปเหล่านี้ กระบวนการชําระเงินมักจะไม่ส่งผ่านเครือข่ายการเงินภายนอก ซึ่งลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมสำหรับผู้ค้าปลีกได้ ซึ่งถือเป็นประโยชน์ทั้งในฝั่งลูกค้าและธุรกิจ เนื่องจากความเรียบง่ายของแอปและโปรแกรมสะสมคะแนนเป็นสิ่งที่ลูกค้าชื่นชอบ ในขณะเดียวกันธุรกิจก็ได้รับข้อมูลที่มีคุณค่าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานให้ธุรกิจได้แอประบบเปิด
แอประบบเปิด เช่น Apple Pay, Google Pay และ Samsung Pay สามารถใช้งานได้ในร้านค้าปลีกหลากหลายประเภท แตกต่างจากแอประบบปิด โดยมักจะใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในระยะใกล้ (NFC) เพื่อโต้ตอบกับระบบระบบบันทึกการขาย (POS)ที่หน้าร้าน แอปเหล่านี้เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ลูกค้าสามารถจัดเก็บบัตรเดบิต เครดิต หรือบัตรสมาชิกของตนได้ สําหรับผู้ค้าปลีก การรับชําระเงินจากแอปเหล่านี้มักจะต้องใช้ระบบ POS ที่อัปเดตใหม่ซึ่งสามารถสื่อสารกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ของลูกค้าได้ การนําระบบเหล่านี้ไปใช้อาจทําให้ธุรกิจต้องประเมินขั้นตอนการชําระเงินที่ใช้อยู่ใหม่ เพื่อให้มีการตั้งค่าระบบที่ล้ำหน้ามากขึ้นและใช้งานง่ายขึ้นแอปชําระเงินระหว่างบุคคล
แอปชําระเงินระหว่างบุคคล เช่น Venmo และ Cash App ได้รับการออกแบบมาเพื่ออํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมโดยตรงระหว่างบุคคลทั่วไป แอปเหล่านี้เหมาะสําหรับการแยกจ่ายใบเรียกเก็บเงินที่ร้านอาหาร การโอนเงินให้เพื่อน หรือแม้แต่การทําธุรกรรมของธุรกิจขนาดเล็ก แอปเหล่านี้มีกระบวนการส่งเงินทําได้ง่ายเหมือนการส่งข้อความ แอปชําระเงินระหว่างบุคคลมักจะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการเงินที่ใช้อยู่สำหรับการโอนเงิน แต่แม้การทำธุรกรรมระหว่างลูกค้าด้วยกันเองในแอปเดียวกันมักจะไม่มีค่าใช้จ่าย การโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารอาจมีค่าธรรมเนียมได้
แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่แต่ละหมวดหมู่มีประโยชน์และความท้าทายที่เฉพาะตัว ดังนี้
แอประบบปิด
แอปแบบระบบปิดช่วยให้บริษัทต่างๆ เพิ่มความภักดีของลูกค้าและรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าที่มีคุณค่าได้ แต่ธุรกิจต้องลงทุนเงินจำนวนมากในเทคโนโลยีและการตลาดในช่วงแรกๆแอประบบเปิด
แอประบบเปิดต้องมีเทคโนโลยี POS ล่าสุดและอาจมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมสูงกว่า แต่ผู้ค้าปลีกสามารถปรับปรุงประสบการณ์การชําระเงินของลูกค้าให้ดีขึ้นได้อย่างมากแอปสำหรับบุคคล
แอปชำระเงินระหว่างบุคคลช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการโอนเงินได้ ทําให้กระบวนการเคยซับซ้อนรวดเร็วขึ้นและง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม แอปประเภทนี้ก็มีความท้าทายใหม่ๆ ในเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกง
แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ทํางานอย่างไร
แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะสร้างการเชื่อมโยงระหว่างแอปกับบัญชีการเงินที่คุณใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีธนาคาร บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต เมื่อตั้งค่าแอป ปกติแล้วคุณจะทําตามขั้นตอนการยืนยัน ซึ่งอาจมีธุรกรรมทดสอบจำนวนน้อยๆ หรือรหัสตรวจสอบสิทธิ์ที่ส่งผ่านบริการรับข้อความแบบสั้น (SMS) หรืออีเมลเพื่อยืนยันว่าคุณเป็นเจ้าของบัญชีการเงิน เมื่อยืนยันการเชื่อมต่อนี้แล้ว แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะเชื่อมโยงไปยังบัญชีธนาคารของคุณและทําหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล
กระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ทําหน้าที่เป็นอินเทอร์เฟซอิเล็กทรอนิกส์ที่สื่อสารกับธนาคารหรือผู้ให้บริการบัตรเครดิตของคุณโดยใช้ชุดคีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัยซึ่งใช้แทนบัญชีการเงินของคุณ เมื่อคุณตัดสินใจซื้อโดยใช้มือถือ ระบบจะดำเนินการที่ซับซ้อนในเบื้องหลังอย่างรวดเร็วเพื่อให้ธุรกรรมเสร็จสิ้น
ขั้นตอนเหล่านี้ประกอบไปด้วย
การตรวจสอบสิทธิ์: โดยปกติแอปจะขอยืนยันตัวตนของคุณก่อนทําการซื้อ โดยอาจใช้ลายนิ้วมือ, PIN หรือการจดจําใบหน้า
การสื่อสาร: เมื่อตรวจสอบสิทธิ์เสร็จสิ้นแล้ว แอปจะเตรียมโต้ตอบกับระบบธุรกรรมของผู้ให้บริการ การโต้ตอบนี้เกิดขึ้นได้หลายวิธี ดังนี้
- เทคโนโลยีการสื่อสารในระยะใกล้ (NFC): เมื่อคุณแตะหรือถืออุปกรณ์ของคุณเหนือเทอร์มินัลที่ทำงานร่วมกันได้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เข้ารหัสจะเริ่มต้นการชําระเงิน
- รหัส QR: การสแกนรหัสที่เครื่องอ่านได้โดยใช้กล้องของโทรศัพท์จะเริ่มกระบวนการชําระเงิน
- อินเทอร์เฟซออนไลน์: สําหรับการซื้อออนไลน์ คุณสามารถเลือกแอปเป็นตัวเลือกการชําระเงิน แล้วเพื่อข้ามการป้อนรายละเอียดของบัตรเครดิตด้วยตนเอง
- ธุรกรรม: หลังจากการสื่อสารครั้งแรกระหว่างอุปกรณ์ของคุณกับระบบของผู้ให้บริการแล้ว สถาบันการเงินของคุณจะได้รับคําขอให้ชําระเงิน คําขอนี้ประกอบด้วยรายละเอียด เช่น จํานวนเงินที่จะชําระและข้อมูลยืนยันตัวตนของผู้ให้บริการ
- เทคโนโลยีการสื่อสารในระยะใกล้ (NFC): เมื่อคุณแตะหรือถืออุปกรณ์ของคุณเหนือเทอร์มินัลที่ทำงานร่วมกันได้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เข้ารหัสจะเริ่มต้นการชําระเงิน
การอนุมัติ: สถาบันการเงินของคุณตรวจสอบคําขอและตรวจสอบว่ามีเงินที่เพียงพอ โอกาสเกิดการฉ้อโกง หรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น หากข้อมูลทั้งหมดไม่มีสิ่งผิดปกติ สถาบันการเงินจะส่งการอนุมัติกลับมา
การยืนยัน: ทั้งคุณและผู้ขายมักจะได้รับการยืนยันภายในไม่กี่วินาที ระบบของผู้ให้บริการจะอัปเดตเพื่อแสดงว่าได้รับการชําระเงินแล้ว และคุณจะเห็นธุรกรรมดังกล่าวในประวัติของแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
การชําระเงิน: ธนาคารของผู้ขายสื่อสารกับธนาคารของคุณ และยอดเงินที่ตกลงกันจะถูกย้ายข้ามบัญชี ขั้นตอนนี้มักจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวัน แต่กรอบเวลาที่แน่นอนอาจแตกต่างกันออกไป
การเก็บบันทึก: ขั้นตอนสุดท้าย แอปจะสร้างใบเสร็จดิจิทัลซึ่งช่วยให้ทั้งคุณและผู้ขายติดตามและทําบัญชีได้อย่างง่ายดาย
ตลอดกระบวนการนี้ จะมีการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อปกป้องธุรกรรม โดยการเข้ารหัสจะช่วยให้ผู้ที่ขัดขวางธุรกรรมไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ และการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัยจะช่วยเพิ่มการยืนยันอีกชั้นหนึ่งว่าผู้ที่เริ่มธุรกรรมคือเจ้าของบัญชี สถาปัตยกรรมสำหรับการดำเนินการนี้นี้ช่วยให้การทําธุรกรรมเป็นไปอย่างสะดวก และช่วยปกป้องธุรกรรมในระดับที่สูงกว่าวิธีการชำระเงินแบบดั้งเดิม
ผลกระทบที่แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีต่อธุรกิจ
การใช้งานแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างแพร่หลายมีผลกระทบที่กว้างต่อแง่มุมต่างๆ ของการค้า พฤติกรรมของบุคคล และแม้แต่นโยบายด้านการกํากับดูแล ต่อไปนี้เป็นผลกระทบจากแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล: ธุรกิจที่พึ่งพาการชําระเงินสดหรือการชําระเงินด้วยบัตรเพียงอย่างเดียวในอดีตต่างก็ผสานการทํางานกับโซลูชันการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มากขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้จะส่งผลต่อบทบาทที่ลูกค้าเห็น และการดําเนินงานภายใน เช่น การบัญชี การจัดการข้อมูล และการควบคุมสินค้าคงคลัง
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้า: ความรวดเร็วและความสะดวกในการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เปลี่ยนความคาดหวังและพฤติกรรมของลูกค้าไป ตัวอย่างเช่น วิธีการชำระเงินนี้จะอํานวยความสะดวกในการซื้อภายในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากปราศจากความยุ่งยากจากการถือเงินสดหรือกระบวนการใช้บัตรที่ซับซ้อน วิธีที่ผู้คนจัดการการเงินส่วนบุคคลเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มักจะมีฟีเจอร์การจัดงบประมาณและรายงานการใช้จ่าย
การวิเคราะห์ข้อมูล: แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า สําหรับธุรกิจ ข้อมูลนี้เป็นแหล่งที่มีคุณค่าสําหรับการจัดการด้านการตลาด การคาดการณ์สินค้าคงคลัง และการจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์ แต่แอปนี้ก็ทำให้เกิดคําถามเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการเป็นเจ้าของข้อมูลด้วย
บริการทางการเงินที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน: ในภูมิภาคที่มีโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารที่จํากัด แอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ บุคคลที่เคยมีสิทธิ์เข้าถึงบริการธนาคารแบบจํากัดสามารถทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังมีความปลอดภัย และเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เช่น เงินกู้และการประกันภัยได้
ข้อกังวลด้านความปลอดภัย: แม้แอปการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดทำให้แอปเหล่านี้ตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรรมทางไซเบอร์ ทำให้นักพัฒนาแอปและสถาบันการเงินต้องพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการป้องกันการฉ้อโกง
ความท้าทายตามระเบียบข้อบังคับ: ความนิยมของการชําระเงินผ่านอุปกรณ์กำลังเป็นจุดสนใจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานที่ร่างกฎหมายกําลังหาทางจัดประเภทและควบคุมบริการเหล่านี้ ปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค และทำให้เกิดการแข่งขันอย่างยุติธรรมในตลาด
วิวัฒนาการของการค้าปลีก: ธุรกิจการค้าปลีกแบบมีหน้าร้านกําลังจะเปลี่ยนมารองรับการชําระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ระบบการชําระเงินด้วยตัวเอง ร้านค้าที่ลดจำนวนแคชเชียร์ และตัวเลือกการชําระเงินแบบสแกนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความท้าทายต่องานและโมเดลการดำนเนินงานในร้านค้าปลีกแบบเดิม
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การผลิตและการใช้สื่อกลางการชําระเงินทางกายภาพอย่างธนบัติและเหรียญลดลงอาจมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลที่รองรับธุรกรรมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็ใช้พลังงานเช่นกัน ธุรกิจควรพิจารณาผลทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ร่วมกับการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ความสะดวกในการทําธุรกรรมของลูกค้าสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายและก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกันนี้ วิธีนี้อาจทำให้เก็บออมเงินได้น้อยลง เพิ่มอัตราการใช้จ่ายที่มากเกินไป และก่อให้เกิดหนี้สิน
การขยายตัวสู่ระดับโลก: เนื่องจากแอปชําระเงินข้ามพรมแดนบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีจํานวนเพิ่มขึ้น เราจึงสังเกตว่าธุรกิจต่างๆ ทยอยเปลี่ยนไปใช้ระบบการชําระเงินทั่วโลกที่รวมเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาสู่โอกาสใหม่ๆ และความท้าทายสําหรับการเข้าสู่ตลาดและการแข่งขันในระดับโลก
ผลกระทบที่เชื่อมถึงกันเหล่านี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกออกเป็นแขนงอันซับซ้อน และก่อให้เกิดผลกระทบต่ออนาคตของการค้า บริการทางการเงิน และพฤติกรรมของลูกค้า เมื่อเทคโนโลยีการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ข้อพิจารณาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย แต่ลูกค้ารายบุคคลไปจนถึงองค์กรระดับโลก
วิธีสร้างแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
การสร้างแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบระบบปิดจะได้รับการปรับให้เหมาะกับธุรกิจเฉพาะหรือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และต้องใช้ชุดของขั้นตอนที่วางแผนไว้อย่างรอบคอบ ต่อไปนี้คือแผนกลยุทธ์สําหรับสร้างแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบระบบปิดสําหรับธุรกิจ
ขอบเขตและวัตถุประสงค์ของโครงการ
ขั้นแรก ให้ระบุวัตถุประสงค์ของแอปและกลุ่มเป้าหมายของแอป แอปทําหน้าที่เป็นเครื่องมือการชําระเงินเท่านั้นหรือไม่ หรือจะรวมโปรแกรมสะสมคะแนน ข้อเสนอ และโปรโมชันด้วย การทําความเข้าใจขอบเขตจะช่วยจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกันได้การศึกษาความเป็นไปได้
ประเมินแง่มุมทางการเงินและทางเทคนิค ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการคํานวณผลตอบแทนที่คาดการณ์จากการลงทุน การศึกษาความเป็นไปได้ควรครอบคลุมข้อกําหนดทางกฎหมายและปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นการเลือกทีมพัฒนา
ว่าจ้างทีมนักพัฒนาแอปที่มีทักษะ นักออกแบบ UI/UX และผู้จัดการโครงการ สําหรับโครงการที่ซับซ้อน ทีมที่มีประสบการณ์ด้านฟินเทคสามารถช่วยได้สถาปัตยกรรมระบบ
ร่างสถาปัตยกรรมและโครงสร้างการออกแบบสําหรับแอป ตัดสินใจเลือกโมเดลฐานข้อมูลและขั้นตอนการจัดการข้อมูล นอกจากนี้ ให้พิจารณาว่าแอปจะผสานการทํางานกับระบบที่มีอยู่อย่างไร เช่น ระบบบันทึกการขายและการจัดการสินค้าคงคลังวิธีการชําระเงิน
กําหนดประเภทการชําระเงินที่แอปจะยอมรับ แอประบบปิดส่วนใหญ่จะเลือกใช้กระเป๋าเงินในแอปที่เติมเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต บัญชีธนาคาร หรือแม้แต่การชําระเงินด้วยเงินสดที่จุดขายโปรโตคอลความปลอดภัย
รวมมาตรการรักษาความปลอดภัยแบบหลายชั้น เช่น การตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยและการเข้ารหัส เพื่อปกป้องข้อมูลทางการเงินและข้อมูลของลูกค้าอินเทอร์เฟซและประสบการณ์ผู้ใช้
การออกแบบควรมุ่งเน้นไปที่ความสะดวกในการใช้งานและมอบประสบการณ์ที่ง่ายดาย ตั้งแต่การเข้าสู่ระบบไปจนถึงการชําระเงินเสร็จสิ้น องค์ประกอบการออกแบบที่ใช้งานง่ายจะส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าและการนำแอปไปใช้งานระยะการพัฒนา
เป็นขั้นตอนที่เริ่มการเขียนโค้ด โดยทำตามเฟรมเวิร์กและสถาปัตยกรรมที่วางไว้ก่อนหน้านี้ แอปดังกล่าวมักจะได้รับการพัฒนาในหลายๆ ระยะ โดยแต่ละระยะมีโมดูลการทํางานที่สามารถทดสอบได้อย่างอิสระการรับประกันคุณภาพ
แต่ละโมดูลควรผ่านการทดสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้งาน การรักษาความปลอดภัย และประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบุและแก้ไขข้อบกพร่องรวมถึงช่องโหว่ได้ตั้งแต่เนิ่นการทดสอบนําร่อง
ก่อนที่จะเปิดตัวแอปเต็มรูปแบบ ให้ทดสอบแอปในบริบทการตั้งค่าจริงในขอบเขตที่เล็กลง ผลตอบรับจากช่วงนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปรับปรุงที่มีคุณค่าการเปิดตัวและการติดตามตรวจสอบ
เมื่อแอปพร้อมแล้วและได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพตามการทดสอบนําร่อง ให้วางแผนเพื่อเปิดตัวแอปอย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดตัวแล้ว ให้ติดตามประสิทธิภาพและความคิดเห็นของลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อทําการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นการอัปเดตและการบํารุงรักษา
การอัปเดตเป็นประจําจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและให้ฟีเจอร์ใหม่ ทําให้แอปมีความสดใหม่และดึงดูดลูกค้าได้อยู่เสมอ การบํารุงรักษาอย่างถี่ถ้วนและต่อเนื่องจะช่วยรักษาความเสถียรและความปลอดภัยของแอปได้
การสร้างแอปชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเทคนิค รวมถึงการเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า กรอบทางกฎหมาย และความปลอดภัยของข้อมูลอย่างรอบด้าน ธุรกิจต่างๆ ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทางการเงิน รับรองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้แอปทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
วิธีที่ Stripe รองรับแอปพลิเคชันการชําระเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
นอกจากการรับชําระเงินด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล และแอปชําระเงินที่มาพร้อมชุดโซลูชันการประมวลผลการชําระเงินแล้ว Stripe ยังมีบริการที่ปรับขอบเขตได้ ปลอดภัย และเหมาะกับนักพัฒนาสําหรับให้ธุรกิจสร้างสร้างแอปชําระเงินที่ออกแบบเอง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์หรือต้องการใช้งานเพิ่มเติมจากระบบการชำระเงินที่มีอยู่แล้ว โซลูชันของ Stripe ก็สามารถทําให้กระบวนการง่ายขึ้น
ต่อไปนี้คือรายละเอียดว่าธุรกิจจะผสานการทํางาน Stripe เข้ากับแอปการชําระเงินที่ออกแบบเองได้อย่างไร
การวิจัยและการวางแผน: จัดลําดับความสําคัญฟีเจอร์และกําหนดว่า Stripe จะผสานการทํางานกับสถาปัตยกรรมปัจจุบันหรือที่วางแผนไว้ของแอปอย่างไร
บัญชีนักพัฒนา: สร้างบัญชี Stripe และสร้างคีย์ API เพื่อทดสอบและใช้งานในสภาพแวดล้อมจริง
การผสานการทํางานแบ็กเอนด์: ใช้ไลบรารีฝั่งเซิร์ฟเวอร์ของ Stripe เพื่อจัดการการประมวลผลการชําระเงิน รวมถึงการสร้างการเรียกเก็บเงินและการจัดการการชําระเงินตามรอบบิลในโค้ดแบ็กเอนด์
การพัฒนาฟรอนท์เอนด์: ใช้ไลบรารีฝั่งไคลเอ็นต์ของ Stripe เพื่อสร้างแบบฟอร์มการชําระเงิน จัดการข้อมูลที่ลูกค้าป้อน และจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอย่างปลอดภัย
การทดสอบ: ทดสอบกระบวนการชําระเงินอย่างละเอียดในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและใช้แซนด์บ็อกซ์ (ให้บริการโดย Stripe) ตรวจสอบว่าการทำงานครอบคลุมถึงประเภทธุรกรรม การจัดการข้อผิดพลาด และกรณีปัญหาเฉพาะทางทั้งหมด
การนำไปใช้งาน: เมื่อทดสอบแอปเรียบร้อยแล้ว ให้นําแอปไปใช้งานในสภาพแวดล้อมจริง และเปลี่ยนจากคีย์ API ในโหมดทดสอบของ Stripe ไปใช้คีย์ API ในโหมดใช้งานจริง
การจัดการต่อเนื่อง: ตรวจสอบธุรกรรม จัดการการคืนเงิน และจัดการการโต้แย้งการชําระเงินของลูกค้าผ่านแดชบอร์ดของ Stripe หรือใช้โปรแกรมผ่าน API
การอัปเดตและการปรับปรุง: เมื่อแอปเติบโตขึ้น คุณสามารถเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ หรือแก้ไขฟีเจอร์ที่มีอยู่ได้ง่ายๆ โดยใช้ API ที่ยืดหยุ่นของ Stripe
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน Stripeเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแอปชําระเงินของคุณ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ