How to write a positioning statement for your startup

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. องค์ประกอบสำคัญของข้อความสื่อสาร
  3. เหตุใดข้อความสื่อสารจึงสำคัญต่อสตาร์ทอัพ
  4. วิธีเขียนข้อความสื่อสาร
    1. ระบุคุณค่าที่ธุรกิจสตาร์ทอัพนำเสนอ
    2. กำหนดจุดเด่นที่ทำให้สตาร์ทอัพของคุณไม่เหมือนใคร
    3. ลองนึกถึงกลุ่มเป้าหมาย
    4. ทดสอบและปรับแก้ข้อความสื่อสาร
    5. ปรับแก้เป็นระยะ ตามที่จำเป็น
  5. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการเขียนข้อความสื่อสารสำหรับสตาร์ทอัพ
  6. ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเขียนข้อความสื่อสาร
  7. วิธีการนำข้อความสื่อสารไปใช้ในกลยุทธ์การตลาด
  8. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ข้อความสื่อสารจะเป็นตัวอธิบายสินค้าหรือบริการและตลาดเป้าหมายอย่างกระชับ โดยจะบ่งบอกว่าสินค้าหรือบริการนั้นสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่าสิ่งที่คู่แข่งนำเสนออย่างไรบ้าง และข้อความสื่อสารนี้ยังเป็นแนวทางให้กับกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสาร โดยอธิบายว่าธุรกิจจะนำเสนอสินค้าหรือบริการต่อตลาดอย่างไร

แอปหาคู่อย่าง Bumble คือตัวอย่างกลยุทธ์การวางจุดยืนของแบรนด์ที่เน้นการเสริมสร้างคุณค่าผู้หญิงและให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ซึ่งทำให้ Bumble โดดเด่นกว่าแอปหาคู่อื่นๆ โดยการวางจุดยืนตรงนี้ช่วยให้ Bumble มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1,770 ล้านดอลลาร์ในปี 2024

สำหรับสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น ข้อความสื่อสารจะมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ การตลาด และสินค้า นอกจากนี้ข้อความสื่อสารยังมีอิทธิพลต่อธุรกิจโดยรวมควบคู่ไปกับคำแถลงพันธกิจของสตาร์ทอัพอีกด้วย

การร่างข้อความสื่อสารต้องอาศัยทั้งการคิดวิเคราะห์และความเข้าใจเชิงสร้างสรรค์ นั่นคือการรู้จักตลาด สินค้า และลูกค้า จากนั้นจึงนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นมาสรุปเป็นข้อความสื่อสารที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของจุดยืนของสินค้าในตลาด โดยเราจะอธิบายวิธีการเขียนข้อความสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพที่ด้านล่างนี้

เนื้อหาหลักในบทความนี้

  • องค์ประกอบสำคัญของข้อความสื่อสาร
  • เหตุใดข้อความสื่อสารจึงสำคัญต่อสตาร์ทอัพ
  • วิธีเขียนข้อความสื่อสาร
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการเขียนข้อความสื่อสารสำหรับสตาร์ทอัพ
  • ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเขียนข้อความสื่อสาร
  • วิธีการนำข้อความสื่อสารไปใช้ในกลยุทธ์การตลาด

องค์ประกอบสำคัญของข้อความสื่อสาร

การเขียนข้อความสื่อสารที่ชัดเจนเริ่มจากการรู้องค์ประกอบสำคัญที่ควรใส่ไว้ในข้อความสื่อสาร โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจต่างๆ มักมีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่

  • ตลาดเป้าหมาย: นี่กลุ่มลูกค้าที่สินค้าหรือบริการมุ่งหวัง จึงจำเป็นต้องมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูลประชากร จิตวิทยา และพฤติกรรมของตลาดเป้าหมาย เพื่อให้ข้อความสื่อสารนั้นโดนใจกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง รวมถึงตอบสนองความต้องการ ความอยาก หรือปัญหาของลูกค้าเหล่านั้นได้

  • คำจำกัดความของตลาด: นี่คือแง่มุมที่จะกำหนดหมวดหมู่ที่สินค้าหรือบริการแข่งขันกัน โดยจะเกี่ยวข้องกับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและตลาดเฉพาะกลุ่มที่สินค้าหรือบริการนั้นครองตลาดอยู่ ซึ่งช่วยสร้างความโดดเด่นให้สินค้าเหนือกว่าคู่แข่งในวงการ และบ่งชี้ถึงคู่แข่งโดยตรงภายในตลาดเฉพาะกลุ่มนั้นได้

  • การนำเสนอคุณค่าที่ไม่เหมือนใคร: มักเรียกกันว่าคำมั่นสัญญาของแบรนด์ ซึ่งหมายถึงประโยชน์หลักที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ สัญญาว่าจะมอบให้ และเป็นคำอธิบายถึงสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณค่าต่อตลาดเป้าหมาย คำมั่นสัญญานี้จะต้องดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายและแตกต่างจากสิ่งที่คู่แข่งนำเสนอ

  • เหตุผลที่ควรเชื่อ: นี่คือจุดที่ธุรกิจจะต้องพิสูจน์คำมั่นสัญญาของแบรนด์ รวมถึงหลักฐานที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างหลัก ซึ่งอาจรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ การรับรองจากลูกค้า หรือผลการวิจัย หลักฐานเหล่านี้ทำให้ตลาดเป้าหมายมีเหตุผลที่จะเชื่อคำมั่นสัญญาของผลิตภัณฑ์

  • ผลตอบแทนทางอารมณ์: นี่คือองค์ประกอบที่มักถูกมองข้าม ซึ่งจะอธิบายถึงความรู้สึกที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้สินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่ง ความมั่นคง หรือนวัตกรรม ความผูกพันทางอารมณ์นี้สามารถเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่ทรงพลังในตลาดได้

  • _การสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน: _ นี่คือสิ่งที่จะอธิบายรายละเอียดว่าสินค้าหรือบริการแตกต่างและดีกว่าคู่แข่งอย่างไร เป็นการบอกถึงสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์แตกต่างและสาเหตุที่ความแตกต่างนั้นสำคัญต่อตลาดเป้าหมาย องค์ประกอบนี้ควรเน้นให้เห็นจุดแข็งของผลิตภัณฑ์เทียบกับจุดอ่อนของคู่แข่ง

เหตุใดข้อความสื่อสารจึงสำคัญต่อสตาร์ทอัพ

ข้อความสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสตาร์ทอัพที่กำลังเปิดตัวในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ข้อความสื่อสารที่ชัดเจนสามารถกระตุ้นการเติบโตได้ด้วยเหตุผลดังนี้

  • วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน: สตาร์ทอัพมักมีไอเดียสร้างสรรค์ แต่มักมีปัญหาในการนำเสนอที่ชัดเจน ข้อความสื่อสารจะช่วยกลั่นกรองแก่นแท้ของสินค้าหรือบริการของธุรกิจให้กลายเป็นข้อความสั้นกระชับ ความชัดเจนนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการตลาดและความสอดคล้องภายในองค์กร

  • กลยุทธ์การตลาดแบบมุ่งเน้น: สตาร์ทอัพจะต้องไม่เสียเวลาและเงินไปกับการตลาดแบบไร้เป้าหมาย ข้อความสื่อสารจะเป็นแนวทางในกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสื่อสารข้อความที่ใช่ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง การเน้นจุดนี้จะช่วยให้เงินทุกบาทที่ลงทุนไปนั้นตอบแทนเป็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

  • สร้างความแตกต่างในตลาด: ตลาดมักเต็มไปด้วยผู้เล่นและคู่แข่งที่ผู้คนรู้จักอยู่แล้ว ข้อความสื่อสารจะช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้อย่างชัดเจนด้วยการกำหนดสิ่งที่แตกต่าง โดยความแตกต่างนี้สามารถดึงดูดความสนใจและเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้า

  • สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง: การสร้างแบรนด์เริ่มต้นด้วยสร้างจุดยืนที่มีประสิทธิภาพ สำหรับสตาร์ทอัพแล้ว การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน ข้อความสื่อสารจะช่วยสร้างแบรนด์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายและมีความสอดคล้องกันในทุกจุดสัมผัส

  • ดึงดูดการลงทุน: นักลงทุนต้องการเห็นว่าสตาร์ทอัพมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและมีแผนที่จะคว้าส่วนแบ่งตลาด ข้อความสื่อสารที่เขียนมาอย่างดีจะแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าสตาร์ทอัพนั้นรู้จักตลาด ลูกค้า และคู่แข่งเป็นอย่างดี และมีแผนสู่ความสำเร็จ

  • ปูทางสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์: สตาร์ทอัพมักพัฒนาอย่างรวดเร็ว ข้อความสื่อสารสามารถชี้นำธุรกิจในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง ช่วยให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและวิสัยทัศน์โดยรวม

  • สร้างความภักดีของลูกค้า: การสร้างฐานลูกค้าชั้นดีในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพนั้นมีค่ามาก ข้อความสื่อสารที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพเชื่อมโยงกับลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะด้วยตัวผลิตภัณฑ์ ค่านิยมที่มีร่วมกัน และความสัมพันธ์ทางอารมณ์

วิธีเขียนข้อความสื่อสาร

การร่างข้อความสื่อสารก่อนที่จะเริ่มเขียนนั้นต้องอาศัยการเตรียมพร้อมมากมาย นี่คือคำแนะนำในการเขียนข้อความสื่อสารแบบเป็นขั้นตอน รวมถึงปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาด้วย

ระบุคุณค่าที่ธุรกิจสตาร์ทอัพนำเสนอ

การรู้ว่าคุณค่าที่สตาร์ทอัพนำเสนอนั้นคืออะไรถือเป็นขั้นตอนแรกและอาจเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการเขียนข้อความสื่อสาร คุณต้องตอบให้ได้ว่าสินค้าหรือบริการของคุณนำเสนออะไรสู่ตลาด และช่วยแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการได้ดีกว่าทางเลือกอื่นๆ อย่างไรบ้าง โดยวิธีการระบุคุณค่าที่นำเสนอมีดังนี้

  • ตอบให้ได้ว่าช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง: เริ่มต้นด้วยการกำหนดปัญหาที่สินค้าหรือบริการของสตาร์ทอัพจะเข้ามาแก้ไข สิ่งสำคัญคือต้องบอกให้ชัดเจน ยิ่งคุณบ่งชี้ถึงปัญหาได้ตรงจุด คุณก็จะอธิบายวิธีแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

  • ระบุประโยชน์หลักของโซลูชันของคุณ: ขั้นต่อไป ให้อธิบายถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ของคุณว่าสินค้าหรือบริการของคุณมีอะไรที่ธุรกิจอื่นทำไม่ได้บ้าง ลองตีกรอบประโยชน์เหล่านั้นในแง่ของการทำให้ชีวิตของลูกค้าง่ายขึ้น ดีขึ้น หรือน่าพึงพอใจมากขึ้น

  • ประเมินผลประโยชน์: ถ้าเป็นไปได้ ให้ใช้ข้อมูลเพื่อประเมินผลประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งอาจเป็นเรื่องของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น การประหยัดต้นทุน การประหยัดเวลา หรือผลกระทบอื่นๆ ที่สามารถวัดผลได้ การประเมินผลประโยชน์สามารถช่วยให้คุณค่าที่นำเสนอนั้นมีความเป็นรูปธรรมและน่าสนใจยิ่งขึ้น

  • ใช้เสน่ห์ดึงดูดทางอารมณ์: วิธีการใช้เสน่ห์ดึงดูดทางอารมณ์ของสินค้าหรือบริการนั้นเป็นสิ่งที่น่าลอง โดยอาจเป็นในแง่ของความสงบ ความสุข หรือความรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งก็ได้ ซึ่งบางครั้งประโยชน์ทางอารมณ์ก็สำคัญพอๆ กับประโยชน์ที่จับต้องได้จริง

  • เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น: เพื่อปรับแต่งคุณค่าที่นำเสนอให้ดียิ่งขึ้น ลองเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ของคุณกับตัวเลือกอื่นๆ ในตลาด การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้สินค้าหรือบริการของคุณโดดเด่นยิ่งขึ้น

  • ระบุคุณค่าที่นำเสนอให้ชัดเจน: เมื่อคุณรวบรวมข้อมูลเหล่านี้แล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาเขียนข้อความแสดงคุณค่าที่นำเสนอที่ตรงไปตรงมาและชัดเจน โดยควรเป็นข้อความที่อ่านง่ายและไม่มีศัพท์เฉพาะทาง รวมถึงสื่อสารอย่างชัดเจนว่าทำไมผลิตภัณฑ์ของคุณจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาที่คุณได้พูดถึง

กำหนดจุดเด่นที่ทำให้สตาร์ทอัพของคุณไม่เหมือนใคร

คุณค่าที่นำเสนอคือรากฐานของข้อความสื่อสาร และสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่างคือวิธีที่ธุรกิจของคุณนำเสนอคุณค่านี้ในแบบที่คู่แข่งทำไม่ได้ ขั้นตอนนี้เป็นกุญแจสำคัญในการเขียนข้อความสื่อสารที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

  • วิเคราะห์สถานการณ์ของการแข่งขัน:วิเคราะห์คู่แข่งของคุณเพื่อทำความเข้าใจว่าคู่แข่งมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างไร สื่อสารข้อความอย่างไร และวางจุดยืนของตนเองอย่างไร วิธีนี้จะช่วยให้คุณค้นพบโอกาสในตลาดที่สตาร์ทอัพของคุณสามารถเข้าไปตอบโจทย์ได้

  • คุณสมบัติและนวัตกรรมที่โดดเด่น: อะไรคือเทคโนโลยีหรือวิธีการพื้นฐานที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่น ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คุณก็ต้องตอบให้ได้ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้แตกต่างจากเทคโนโลยีอื่นอย่างไร อย่าตอบแค่ว่า "อะไร" แต่ให้เน้นถึง "วิธีการ" และ "เหตุผล" ของคุณสมบัตินั้นๆ

  • สร้างประสบการณ์ของลูกค้าในมุมมองใหม่ๆ: การสร้างความแตกต่างในตลาดทุกวันนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพลิกโฉมประสบการณ์ลูกค้าด้วย สตาร์ทอัพของคุณเปลี่ยนธุรกรรมให้เป็นประสบการณ์ได้อย่างไร ลองดูกระบวนการในทุกขั้นตอนตั้งแต่การค้นพบไปจนถึงการสนับสนุน และสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำให้กับลูกค้า

  • จุดเด่นของทีม: บ่อยครั้งที่จุดเด่นของสตาร์ทอัพเกิดขึ้นจากความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันในทีม การให้ความสำคัญกับทักษะ ประสบการณ์ และมุมมองของทีมอาจเป็นส่วนที่น่าดึงดูดในเรื่องราวของคุณ นักลงทุนและลูกค้าต่างก็ให้ความสนใจกับทีมที่ผสานความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์เข้าด้วยกัน

  • พันธกิจและค่านิยมคือตัวสร้างความแตกต่าง: ในโลกที่ผลิตภัณฑ์มากมายผสมผสานกันไปหมด พันธกิจที่ชัดเจนและจริงใจสามารถช่วยให้คุณโดดเด่นได้ ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณทำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหตุผลที่คุณทำด้วย หากสตาร์ทอัพของคุณขับเคลื่อนด้วยพันธกิจที่มากกว่าการทำเงิน ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืน ผลกระทบต่อสังคม หรือนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ก็สามารถดึงดูดลูกค้าและพาร์ทเนอร์ที่มีแนวคิดเดียวกันได้

ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับแก่นแท้ของธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณต้องอาศัยการพิจารณาจริยธรรมทางธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ลองดูว่าคุณนำเสนออะไรและทำไมสิ่งนั้นจึงสำคัญต่อลูกค้า

ลองนึกถึงกลุ่มเป้าหมาย

ทำความเข้าใจว่าลูกค้าของคุณคือใคร อะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ และพฤติกรรมของลูกค้า การวิเคราะห์นี้ต้องละเอียดถี่ถ้วนและแม่นยำ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจ โดยมีวิธีการดังนี้

  • การวิเคราะห์ข้อมูลประชากรและจิตวิทยา: เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลประชากรของกลุ่มเป้าหมาย (อายุ เพศ สถานที่ ระดับรายได้ ฯลฯ) และจิตวิทยา (ความสนใจ ค่านิยม ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ) ข้อมูลเหล่านี้จะอธิบายว่าใครอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของคุณ และอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา

  • ความต้องการและอุปสรรคของลูกค้า: ทำความเข้าใจความต้องการ อุปสรรค หรือปัญหาอื่นๆ ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณเผชิญ ตอบให้ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังเผชิญกับปัญหาอะไร และผลิตภัณฑ์ของคุณจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ยิ่งคุณบ่งชี้ถึงปัญหาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ การสร้างจุดยืนของคุณก็จะยิ่งตอบโจทย์มากขึ้น

  • พฤติกรรมและความชอบของลูกค้า: ศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในเรื่องของสินค้าหรือบริการของคุณ ลูกค้าของคุณมีพฤติกรรมการซื้ออย่างไร พวกเขาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างไร ความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยปรับแต่งตำแหน่งทางการตลาดให้ตรงกับความต้องการได้

  • ช่องทางการมีส่วนร่วม: ระบุให้ชัดเจนว่าผู้ชมของคุณใช้เวลาอยู่ที่ไหนทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ พวกเขาใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอะไรบ้าง พวกเขาดูคอนเทนต์แบบไหน จากนั้นคุณก็จะกำหนดได้ว่าช่องทางใดเหมาะกับการมีส่วนร่วมกับพวกเขามากที่สุด

  • วงจรคำติชม: สร้างกลไกเพื่อรวบรวมคำติชมจากกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบบสำรวจ การสัมภาษณ์ลูกค้า และการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย ตรงนี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เกี่ยวกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายของคุณคิดและรู้สึก

  • การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของคู่แข่ง: ดูว่าคู่แข่งของคุณมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายอย่างไร มีอะไรที่คู่แข่งทำได้ดี มีช่องว่างตรงไหนให้คุณเข้าไปเติมเต็มได้บ้าง บางครั้ง การวางตำแหน่งทางธุรกิจก็อาจขึ้นอยู่กับจุดที่คู่แข่งยังทำได้ไม่ดีในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า

ทดสอบและปรับแก้ข้อความสื่อสาร

เมื่อคุณร่างข้อความสื่อสารในฉบับที่คุณมั่นใจแล้ว ก็ถึงเวลาทดสอบข้อความสื่อสาร การเขียนข้อความสื่อสารต้องอาศัยความใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งตรงนี้อาจทำให้มองข้ามบางอย่างไปได้ง่าย การทดสอบและปรับแก้ข้อความสื่อสารถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ข้อความสื่อสารตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด โดยวิธีการมีดังนี้

  • สร้างไว้หลายๆ รูปแบบ: ร่างข้อความสื่อสารไว้หลายๆ ฉบับ โดยแต่ละฉบับควรมีจุดมุ่งเน้น ภาษา หรือจุดเด่นที่แตกต่างกันเล็กน้อย เพื่อให้คุณมีตัวเลือกสำหรับการทดสอบที่หลากหลาย

  • รวบรวมกลุ่มคำติชมให้หลากหลาย: รวบรวมกลุ่มที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายของคุณ ร่วมกับสมาชิกในทีมและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้นๆ ความหลากหลายตรงนี้จะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่หลากหลาย

  • ใช้การทดสอบ A/B: ใช้การทดสอบ A/B เพื่อประเมินข้อความสื่อสารในรูปแบบต่างๆ คุณอาจทำผ่านแบบสำรวจออนไลน์ แคมเปญอีเมล หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย โดยติดตามตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมเพื่อดูว่ารูปแบบใดที่โดนใจที่สุด

  • จัดกลุ่มสนทนาและสัมภาษณ์: การสนทนากลุ่มเชิงลึกและการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณภาพได้ การสนทนาตรงนี้ทำให้เห็นปฏิกิริยาทางอารมณ์และจิตใจที่ข้อมูลเชิงปริมาณอาจไม่มี

  • ปรับปรุงตามคำติชม: ใช้คำติชมเพื่อปรับปรุงข้อความสื่อสาร ซึ่งอาจรวมถึงการปรับแก้ภาษา การแสดงให้เห็นแง่มุมที่แตกต่าง หรือการทบทวนคุณค่าที่นำเสนอหรือจุดเด่นในส่วนต่างๆ

  • ทดสอบการตอบรับจากตลาด: หากเป็นไปได้ ให้ใช้ข้อความสื่อสารที่ผ่านการปรับแก้แล้วกับแคมเปญการตลาดเล็กๆ โดยติดตามการตอบสนองของตลาดเพื่อประเมินประสิทธิภาพของข้อความสื่อสารในสถานการณ์จริง

สตาร์ทอัพส่วนใหญ่มักไม่ได้กำหนดข้อความสื่อสารอย่างถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก นี่คือวงจรแบบวนซ้ำที่จะปรับข้อความสื่อสารให้ครอบคลุมหัวใจสำคัญของสตาร์ทอัพ และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและทีมงานภายใน

ปรับแก้เป็นระยะ ตามที่จำเป็น

คุณควรปรับแก้ข้อความสื่อสารเป็นระยะๆ และตัดสินใจว่าจำเป็นต้องแก้ไขหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคืออย่าแก้ไขบ่อยเกินไป การเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายสับสนและลดความสำคัญของสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่บ่อยอาจทำให้จุดยืนของคุณไม่สอดคล้องกับตลาด โดยมีวิธีสร้างสมดุลดังนี้

  • กำหนดตารางเวลาสำหรับการทบทวน: กำหนดตารางเวลาเพื่อทบทวนข้อความสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจเป็นรายปีหรือรายครึ่งปีก็ได้ พยายามให้สอดคล้องกับวงจรการวางแผน ซึ่งการทบทวนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้คนรับรู้จุดยืนของคุณอยู่ตลอดในขณะที่สตาร์ทอัพก็พัฒนาต่อไป

  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงของตลาด: ติดตามแนวโน้มตลาด เทคโนโลยีใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้า หากมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในอุตสาหกรรม คุณอาจต้องทบทวนข้อความสื่อสารภายนอกกำหนดการปกติ

  • ประเมินการเติบโตและวิวัฒนาการของธุรกิจ: เมื่อธุรกิจสตาร์ทอัพเติบโต สินค้า บริการ หรือกลุ่มเป้าหมายก็อาจเปลี่ยนแปลงไป คุณจะต้องแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นในข้อความสื่อสารเพื่อนำเสนอธุรกิจอย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนใหม่หมด: ถึงแม้การรักษาความสอดคล้องทางธุรกิจจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ควรเปลี่ยนข้อความสื่อสารใหม่ทั้งหมดอยู่บ่อยๆ เนื่องจากอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันกับแบรนด์และสร้างความสับสนในหมู่ลูกค้า การปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ มักได้ผลกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

  • ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักมีส่วนร่วม: เมื่อปรับแก้ข้อความสื่อสาร ควรให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักอย่างหัวหน้า ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย และตัวแทนฝ่ายลูกค้ามีส่วนร่วมด้วย ข้อมูลเชิงลึกของพวกเขาสามารถให้มุมมองแบบรอบด้านเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงได้

  • สื่อสารการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน: หากคุณเปลี่ยนแปลงข้อความสื่อสาร ควรบอกกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพต่อทีมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยทุกคนควรมีความเห็นเรื่องจุดยืนของสตาร์ทอัพในตลาดไปในทางเดียวกัน

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการเขียนข้อความสื่อสารสำหรับสตาร์ทอัพ

ในขณะที่เขียนข้อความสื่อสาร จะต้องพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่สามารถใช้ได้เพื่อให้ข้อความสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพ

  • ความกระชับและชัดเจน: ข้อความสื่อสารควรเข้าใจง่ายและมีความหมายในทุกคำ พยายามไม่ใช้ศัพท์เฉพาะและภาษาที่ซับซ้อน ควรเป็นข้อความที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่าย ตั้งแต่คนในแวดวงอุตสาหกรรมไปจนถึงลูกค้าเป้าหมาย

  • เน้นผลกระทบที่เป็นจริง: มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบที่จับต้องได้ที่สินค้าหรือบริการของคุณมีต่อชีวิตหรือธุรกิจของลูกค้า โดยให้เน้นย้ำถึงวิธีการที่คุณแก้ปัญหาหรือแก้ไขสถานการณ์จริง ไม่ใช่คุณสมบัติหรือข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค

  • ยึดมั่นในกลยุทธ์ทางธุรกิจ: ข้อความสื่อสารควรสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในภาพรวม โดยสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และเป้าหมายระยะยาว ดังนั้นต้องแน่ใจว่าข้อความสื่อสารนั้นช่วยสนับสนุนและสร้างโอกาสใหม่ๆ

  • จริงใจและน่าเชื่อถือ: ความจริงใจจะช่วยสร้างความไว้วางใจ ข้อความสื่อสารควรสะท้อนถึงตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของสตาร์ทอัพ การให้คำมั่นสัญญาเกินจริงหรือบิดเบือนข้อมูลอาจทำลายความน่าเชื่อถือได้

  • สร้างความแตกต่างด้วยเรื่องราว: เรื่องราวเป็นสิ่งเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน หากสตาร์ทอัพของคุณมีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ ให้ลองนำเรื่องราวนั้นมาผูกโยงกับจุดยืนทางธุรกิจ วิธีนี้จะทำให้แบรนด์ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

  • ใช้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า: ใส่ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากคำติชมและพฤติกรรมของลูกค้าไว้ในจุดยืนของคุณ เพื่อให้จุดยืนของคุณตอบสนองความต้องการและความชอบที่แท้จริงของลูกค้าได้

  • การผสมผสานระหว่างภาพและเสียง: ข้อความสื่อสารจะต้องสะท้อนออกมาเป็นคำพูดและภาพลักษณ์ของแบรนด์ สิ่งที่พูดออกมาควรสอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่นำเสนอ

  • เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง: รับรู้อยู่เสมอว่าจุดยืนทางธุรกิจของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตของสตาร์ทอัพและการเปลี่ยนแปลงของตลาด ควรสร้างความยืดหยุ่นให้กับกลยุทธ์การวางจุดยืนของคุณ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนและปรับแต่งได้ตามต้องการ

  • ทดสอบและตรวจสอบภายใน: ก่อนที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะ ควรทดสอบข้อความสื่อสารภายในองค์กร โดยการให้ทีมของคุณแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบให้ว่าข้อความสื่อสารตรงกับวิสัยทัศน์ของพนักงานที่มีต่อสตาร์ทอัพถือเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการนี้

  • นำไปใช้ในช่องทางต่างๆ: เมื่อได้ข้อความสื่อสารในขั้นสุดท้ายแล้ว ข้อความสื่อสารควรครอบคลุมการสื่อสารในทุกแง่มุม ตั้งแต่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการนำเสนอและโฆษณา ความสอดคล้องกันในทุกช่องทางจะช่วยเสริมสร้างจุดยืนของคุณ

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเขียนข้อความสื่อสาร

เมื่อคุณเขียนข้อความสื่อสารสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ อาจมีข้อผิดพลาดบางอย่างที่ทำให้ประสิทธิภาพและความชัดเจนของธุรกิจลดน้อยลง การตระหนักรู้ถึงข้อผิดพลาดทั่วไปตรงนี้จะช่วยให้เขียนข้อความสื่อสารออกมาได้ดีและมีประสิทธิภาพ

  • ความคลุมเครือและการเหมารวม: หลีกเลี่ยงข้อความที่เหมารวมเกินไปหรือคลุมเครือ การสร้างจุดยืนควรมีความเจาะจงที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยพูดถึงสิ่งที่ทำให้สตาร์ทอัพของคุณโดดเด่น ในขณะที่ข้อความทั่วไปที่ทุกธุรกิจสามารถเอาไปใช้ได้ในวงการเดียวกันนั้นไม่ได้ช่วยให้คุณโดดเด่นขึ้นมา

  • การให้คำสัญญาที่เกินจริง: การโอ้อวดเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจนั้นเป็นสิ่งที่สร้างกระแสได้ แต่ก็อาจส่งผลเสียเช่นกัน การสร้างจุดยืนนั้นควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนแต่สามารถทำได้จริง การสัญญาเกินจริงทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่เป็นจริงและลดความน่าเชื่อถือในแบรนด์ของคุณ

  • การเพิกเฉยต่อคู่แข่ง: การไม่พิจารณาสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำอยู่อาจทำให้ข้อความสื่อสารไม่โดดเด่นพอที่จะเอาชนะได้ การรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรอยู่คือกุญแจสำคัญในการสร้างจุดยืนในตลาด

  • ประเมินความสำคัญของภาษาต่ำเกินไป: คำศัพท์ที่คุณเลือกใช้เป็นสิ่งสำคัญ ศัพท์เฉพาะทาง ศัพท์เทคนิค หรือภาษาที่ซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงได้ โดยควรใช้ภาษาที่เข้าถึงง่าย น่าสนใจ และตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมาย

  • ความไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ: ข้อความสื่อสารควรสนับสนุนกลยุทธ์ทางธุรกิจในภาพรวม ความไม่สอดคล้องกันระหว่างสองสิ่งนี้ทำให้เกิดข้อความที่ผสมปนเปกันและสร้างความสับสนทั้งภายในและภายนอก

  • ขาดการเชื่อมโยงทางอารมณ์: ถึงแม้การมองโลกตามความเป็นจริงและให้ความสำคัญกับคุณค่าที่สตาร์ทอัพมอบให้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การละเลยแง่มุมทางอารมณ์ของการสร้างจุดยืนของแบรนด์อาจกลายเป็นความผิดพลาดได้ ผู้คนใช้อารมณ์เป็นสิ่งเชื่อมโยงกับแบรนด์ ดังนั้นข้อความของคุณควรกระตุ้นความรู้สึกด้วย ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดข้อเท็จจริง

  • ความไม่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง: ตลาดและธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณจะพัฒนาไปตามกาลเวลา ข้อความสื่อสารที่ตายตัวเกินไปและไม่เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสนใจ โดยควรมีช่องว่างเพื่อปรับตามความเปลี่ยนแปลงด้วย

  • ความล้มเหลวในการทดสอบและปรับปรุง: การไม่ทดสอบข้อความสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายถือเป็นการพลาดโอกาส การรวบรวมคำติชมและการปรับปรุงข้อความโดยอิงจากข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

  • ความไม่สอดคล้องกันในช่องทางการตลาด: เมื่อกำหนดข้อความสื่อสารแล้ว ควรแสดงให้เห็นถึงข้อความตรงนี้ในทุกช่องทางการตลาดและการสื่อสารที่ใช้ด้วย โดยข้อความที่ไม่สอดคล้องกันอาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปคนละทิศทาง

  • มองข้ามการสนับสนุนจากภายใน: ทีมของคุณจะต้องเข้าใจและสนับสนุนข้อความสื่อสารอย่างเต็มที่ พนักงานของคุณคือตัวแทนของแบรนด์ และการที่พวกเขายอมรับข้อความตรงนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการนำเสนอแบรนด์อย่างสอดคล้องกันและน่าเชื่อถือ

วิธีการนำข้อความสื่อสารไปใช้ในกลยุทธ์การตลาด

บางครั้งธุรกิจอาจใช้เวลาหลายเดือนไปกับการวิพากษ์วิจารณ์ข้อความสื่อสาร จนกระทั่งได้ข้อสรุปที่ถูกใจ จากนั้นพับเก็บไว้ในแฟ้มเอกสาร แล้วก็ไม่แตะต้องอีกเลย ข้อความสื่อสารจะไร้ค่าหากไม่ได้นำมาใช้ภายในองค์กร การนำข้อความสื่อสารไปปรับใช้ในกลยุทธ์การตลาดถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้ข้อความของแบรนด์มีความสอดคล้องและสร้างผลลัพธ์ได้ในทุกจุดสัมผัส

นี่คือกลยุทธ์การผสานข้อความสื่อสารเข้ากับกลยุทธ์การตลาดให้ได้ผล

  • ผสานเข้ากับข้อความของแบรนด์: ข้อความสื่อสารควรเป็นหัวใจสำคัญของข้อความทั้งหมดของแบรนด์ ควรกำหนดโทน ภาษา และเนื้อหาของสื่อการตลาด ตั้งแต่เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย โบรชัวร์ และโฆษณา

  • ให้ความรู้แก่ทีมงาน: ทีมของคุณจะต้องเข้าใจข้อความสื่อสารและผลกระทบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงทีมการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายบริการลูกค้า และฝ่ายอื่นๆ ด้วย ข้อความสื่อสารที่เข้าใจตรงกันในปฏิสัมพันธ์ทุกระดับจะช่วยเสริมสร้างจุดยืนของแบรนด์

  • ปรับแต่งแคมเปญการตลาด: ออกแบบแคมเปญการตลาดให้สะท้อนถึงข้อความสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการตลาดเนื้อหา การโฆษณาแบบจ่ายเงิน หรือแคมเปญโซเชียลมีเดีย โดยข้อความหลักควรตรงกับจุดยืนหลัก

  • ความสอดคล้องของสินค้าและบริการ: ประสบการณ์การใช้สินค้าหรือบริการของคุณจะต้องเป็นไปตามคำสัญญาในข้อความสื่อสาร ความสอดคล้องนี้จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า

  • ประสบการณ์ของลูกค้า: จับคู่ประสบการณ์ของลูกค้ากับข้อความสื่อสารของคุณ ควรเสริมสร้างจุดยืนและคุณค่าของแบรนด์ในทุกจุดสัมผัสตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกไปจนถึงหลังการซื้อ

  • ความสม่ำเสมอในทุกช่องทาง: รักษาความสม่ำเสมอในการสื่อสารจุดยืนทางการตลาดของคุณผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตลาดดิจิทัล สิ่งพิมพ์ หรืออีเวนต์แบบพบปะกัน การวางจุดยืนทางการตลาดควรจะชัดเจนและสม่ำเสมอ

  • วงจรคำติชมและการปรับเปลี่ยน: กำหนดกลไกคำติชมเพื่อวัดว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณรับรู้จุดยืนทางการตลาดเป็นอย่างไร ใช้คำติชมนี้เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดตามความจำเป็น

  • การผสานกลยุทธ์คอนเทนต์: ผสานข้อความสื่อสารเข้ากับกลยุทธ์คอนเทนต์ ซึ่งรวมถึงบล็อกโพสต์ กรณีศึกษา วิดีโอ และคอนเทนต์อื่นๆ ที่มีคุณค่าต่อผู้ชม โดยคอนเทนต์ควรสะท้อนให้เห็นจุดยืนของคุณอย่างสม่ำเสมอ

  • การฝึกอบรมและพัฒนา: การฝึกอบรมทีมของคุณอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจข้อความสื่อสารตรงกัน ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในสภาพแวดล้อมสตาร์ทอัพที่ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งทีมต่างๆ ล้วนเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว

  • วัดผลและปรับแต่ง: วัดผลกระทบของจุดยืนทางการตลาดที่มีต่อความพยายามทางการตลาดอย่างสม่ำเสมอ ใช้ตัวชี้วัดต่างๆ เช่น การรับรู้แบรนด์ อัตราการมีส่วนร่วม อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน และคำติชมของลูกค้า เพื่อประเมินประสิทธิภาพและปรับแต่งให้เหมาะสม

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas