การจัดสรรกรรมสิทธิ์หุ้นของผู้ร่วมก่อตั้งคือโจทย์ที่ซับซ้อนมากและมีความสําคัญสูง โดยส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญสําหรับอนาคตของธุรกิจสตาร์ทอัพ การสร้างการจัดสรรหุ้นโดยปราศจากเหตุผลหรือไม่เพียงพออาจทําให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรง เช่น ความขัดแย้งภายใน การขาดแรงจูงใจในการทำงาน และข้อพิพาธทางกฎหมาย แบบสํารวจของ Carta พบว่า 26% ของธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นธุรกิจที่มีผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียว ซึ่งหมายความว่าอีก 74% ที่เหลือจะต้องหาวิธีแบ่งหุ้นผู้ร่วมก่อตั้ง ผู้ก่อตั้งจะต้องจัดสรรหุ้นด้วยความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลและการที่ตัวเลือกต่างๆ จะส่งผลต่อผลลัพธ์ในอนาคต
เมื่อมีการแบ่งหุ้นกับหลายฝ่าย การแบ่งส่วนหุ้นจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและมีกลยุทธ์ที่รอบด้าน การแบ่งหุ้นที่รอบคอบเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งสร้างความมั่นคงผ่านระยะต่างๆ ซึ่งรวมถึงระยะการจัดหาเงินทุนระยะแรกและการเลิกธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้ร่วมก่อตั้งควรพิจารณาเมื่อกำหนดโครงสร้างหุ้นที่ตอบโจทย์ความต้องการและเงื่อนไขต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- หุ้นในบริษัทสตาร์ทอัพคืออะไร
- ประเภทของหุ้นในธุรกิจสตาร์ทอัพ
- เหตุใดหุ้นจึงสําคัญต่อสตาร์ทอัพ
- วิธีการแบ่งหุ้นให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้ง
- วิธีการต่างๆ ในการแบ่งหุ้นให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้ง
หุ้นในบริษัทสตาร์ทอัพคืออะไร
หุ้นหมายถึงกรรมสิทธิ์ในธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งมักจะได้รับจากสิทธิ์การซื้อหุ้นหรือส่วนแบ่งหุ้น สําหรับผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกในทีมที่เข้าร่วมธุรกิจตั้งแต่ระยะแยก ส่วนนี้ถือเป็นรางวัลจูงใจทางการเงินและค่าตอบแทนสําหรับความเสี่ยงและความพยายามในการเปิดตัวธุรกิจใหม่ กรรมสิทธิ์ในหุ้นทำให้ผู้ถือครอบได้รับสัดส่วนของผลกําไรในอนาคตของบริษัทและให้สิทธิ์ในการตัดสินใจของบริษัท ซึ่งปกติแล้วจะสอดคล้องกับปริมาณของกรรมสิทธิ์
ประเภทของหุ้นในธุรกิจสตาร์ทอัพ
หุ้นรูปแบบต่างๆ ได้รับการปรับให้เหมาะกับความต้องการและข้อจํากัดที่แตกต่างกัน ประเภทหุ้นได้แก่
หุ้นสามัญ: เป็นหุ้นที่ซับซ้อนน้อยที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปจะสงวนไว้สําหรับผู้ก่อตั้งและพนักงาน โดยให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นออกคะแนนเสียงและให้สิทธิ์รับเงินปันผลหรือสิทธิ์ขายหุ้นเมื่อออกจากธุรกิจ
หุ้นบุริมสิทธิ: หุ้นบุริมสิทธิมักจะออกให้กับนักลงทุนและให้สิทธิ์เพิ่มเติม เช่น การรับเงินปันผลและสินทรัพย์ในกรณีที่มีสภาพคล่องทางธุรกิจ หุ้นประเภทนี้ยังสามารถรวมการคุ้มครองมูลค่าหุ้น
สิทธิ์ซื้อหุ้น: ตัวเลือกที่ให้สิทธิ์ซื้อหุ้นด้วยราคาที่กําหนดไว้ล่วงหน้า (ราคาใช้สิทธิ์) ภายในระยะเวลาที่กําหนด โดยปกติจะมีการจัดสรรสิทธิ์เหล่านี้ให้กับพนักงานและอาจมาพร้อมกับเงื่อนไขต่างๆ
หน่วยหุ้นจํากัด (RSU): เป็นการให้จํานวนหุ้นที่บริษัทกําหนดไว้ในอนาคต โดยยึดตามเงื่อนไขบางอย่าง เช่น การครบกำหนดเวลาหรือการบรรลุตัวชี้วัดด้านผลการปฏิบัติงาน
วอแรนต์: วอแรนต์ให้สิทธิ์ในการซื้อเช่นเดียวกับสิทธิ์ซื้อหุ้น แต่โดยทั่วไปแล้วจะออกให้กับนักลงทุนมากกว่าพนักงาน
หุ้นกู้แปลงสภาพและ SAFE: องค์ประกอบทางการเงินเหล่านี้จะแปลงเป็นหุ้นในระหว่างรอบจัดหาเงินทุนในอนาคต ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะให้เงื่อนไขที่ผู้ถือหุ้นพึงพอใจ Simple Agreement for Future Equity (SAFE) ให้สิทธิ์แก่นักลงทุนในการรับหุ้นในภายหลัง ในขณะที่ตราสารหนี้แบบแปลงสภาพได้คือเงินกู้ของบริษัทที่แปลงสภาพเป็นหุ้นแทนการชำระคืน

เหตุใดหุ้นจึงสําคัญต่อสตาร์ทอัพ
ในธุรกิจสตาร์ทอัพ หุ้นเป็นศูนย์กลางของโครงสร้างรางวัลจูงใจ ที่กระตุ้นทั้งการดําเนินการในระยะสั้นและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว โดยเป็นมากกว่าแนวคิดเรื่องกรรมสิทธิ์หรือผลกําไร หุ้นถือว่ามีผลลัพธ์ต่อทุกแง่มุมของการดําเนินงานในธุรกิจสตาร์ทอัพ ต่อไปนี้คือเหตุผลหลักที่หุ้นมีความสำคัญในสภาพแวดล้อมของธุรกิจสตาร์ทอัพ
แรงจูงใจและการรักษาบุคลากร
หุ้นเป็นตัวบ่งบอกความสอดคล้องระหว่างผลประโยชน์ของสมาชิกในทีมกับสถานะโดยรวมและการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ วิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้บุคลากรตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด เพราะรางวัลทางการเงินผูกไว้กับผลการดําเนินงานของธุรกิจสตาร์ทอัพโดยตรงการสรรหาบุคลากรผู้มีความสามารถ
บ่อยครั้งที่ธุรกิจสตาร์ทอัพไม่สามารถนําเสนอเงินเดือนที่ใกล้เคียงกับธุรกิจที่ก่อตั้งมายาวนาน ดังนั้นกรรมสิทธิ์หุ้นจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูง สําหรับบุคคลทั่วไปที่ให้ความสําคัญกับลักษณะที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงของธุรกิจสตาร์ทอัพ แพ็กเกจหุ้นที่น่าสนใจจะสามารถทดแทนเงินเดือนที่ต่ำกว่าได้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในหุ้นจะสามารถออกคะแนนเสียงได้ (ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้น) ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการระดมทุนไปจนถึงกลยุทธ์การออกจากธุรกิจ สิทธิ์เหล่านี้ช่วยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยปรับแนวทางการดําเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้วยวิธีการในเชิงลึกนักลงทุนสัมพันธ์
โครงสร้างหุ้นเป็นตัวสื่อสารข้อมูลแก่นักลงทุนในอนาคต โดยสื่อว่าบริษัทให้ความสําคัญกับเงินร่วมลงทุนและความเสี่ยงต่างๆ อย่างไร การจัดเตรียมกรรมสิทธิ์หุ้นที่มีโครงสร้างอย่างเป็นระบบจะเสริมสร้างความมั่นใจด้วยการแสดงว่าธุรกิจสตาร์ทอัพมีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกันและแนวทางที่ยุติธรรมในการให้ผลตอบแทนจากเงินลงทุนโอกาสในการออกจากธุรกิจ
ในกรณีที่มีสภาพคล่องในธุรกิจ เช่น การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของสาธารณะ (IPO) หรือการได้หุ้น ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลกำไรจำนวนมาก การจัดสรรหุ้นจะกลายมาเป็นส่วนสําคัญของการเจรจาเหล่านี้ โดยจะส่งผลต่อผลกําไรทางการเงิน และยังเป็นแนวทางการกํากับดูแลและทิศทางเชิงกลยุทธ์ของบริษัทหลังออกจากตลาดได้ด้วยกลยุทธ์การจัดสรรเงินทุนและการเงิน
หุ้นเป็นส่วนสําคัญของโครงสร้างทางการเงินของบริษัท ประเภทของหุ้นและสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการระดมทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพ การจัดสรรทรัพยากร และแม้แต่สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้การลดความเสี่ยง
สําหรับผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกทีมระยะแรก ภาวะราคาหุ้นที่ลดลงอาจเป็นส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการขยายธุรกิจ การจัดโครงสร้างกรรมสิทธิ์หุ้นที่ชาญฉลาดซึ่งมีการพิจารณารอบการระดมทุนจะช่วยบรรเทาภาวะราคาหุ้นที่ลดลงจนมากเกินไป จึงสร้างสมดุลระหว่างการนำเสนอเงินทุนใหม่โดยรักษาระดับกรรมสิทธิ์และผลกําไรทางการเงินของผู้ถือผลประโยชน์ร่วมคนเดิมความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
องค์ประกอบหุ้นต่างๆ นำมาซึ่งภาระหน้าที่ในการดําเนินงานและผลประโยชน์ทางการเงินที่แตกต่างกันไป โดยนําเสนอความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์ในการควบคุมและการตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น หุ้นกู้แปลงสภาพหรือ SAFE สามารถเลื่อนการประชุมเพื่อประเมินมูลค่าได้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เพื่อมอบความยืดหยุ่นในการดําเนินงานให้แก่ธุรกิจสตาร์ทอัพการวางแผนด้านภาษี
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีความรู้สามารถใช้หุ้นเป็นเครื่องมือการวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพได้ การวางแผนดังกล่าวอาจช่วยลดภาระด้านภาษีและเพิ่มผลกําไรทางการเงินได้ (แม้ว่าจะแตกต่างกันไปตามเขตอํานาจศาล)
องค์ประกอบของหุ้นอาจเป็นเครื่องมือสําคัญในการเจรจาต่อรอง การกำหนดกลยุทธ์การเติบโต และการตัดสินใจออกจากธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การเจรจาเกี่ยวกับสิทธิ์ในการออกคะแนนเสียงหรือการคงมูลค่าหุ้น อาจทําให้ผู้ร่วมก่อตั้งหรือพนักงานมีอิทธิพลมากขึ้นในรอบระดมทุนในอนาคตหรือการเจรจาธุรกิจใหม่ นอกเหนือจากการคิดเปอร์เซ็นต์ของกรรมสิทธิ์ ประเภทและข้อกําหนดของหุ้นที่เฉพาะเจาะจงยังเป็นกลยุทธ์ที่กระตุ้นประสิทธิภาพและผลกําไรภายในสภาพแวดล้อมของธุรกิจสตาร์ทอัพได้ด้วย
วิธีการแบ่งหุ้นให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้ง
การตัดสินใจว่าจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ร่วมก่อตั้งอย่างไรคือการตัดสินใจที่มีผลกระทบในระยะยาว ต่อไปนี้คือปัจจัยบางส่วนที่ควรพิจารณา
1. ชุดทักษะและการมีส่วนร่วม
ผู้ก่อตั้งแต่ละคนสามารถนําจุดแข็งและความสามารถที่แตกต่างกันมาสนับสนุนธุรกิจได้ ผู้ก่อตั้งรายหนึ่งอาจจะมีทักษะทางเทคนิคในการสร้างผลิตภัณฑ์ ในขณะที่อีกหนึ่งคนอาจถนัดในด้านกลยุทธ์การตลาดและการหานักลงทุนใหม่ๆ บริษัทควรวัดการมีส่วนร่วมทั้งในปัจจุบันและในอนาคตโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของบริษัท
2. เวลาในการทำงาน
ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งทุกคนที่จะทำงานเต็มเวลา บางคนอาจทํางานอื่นและทำธุรกิจสตาร์ทอัพในช่วงนอกเวลาทําการและวันหยุดสุดสัปดาห์ ในขณะที่คนอื่นๆ อาจสามารถทำงานเต็มเวลาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ให้พิจารณาเวลาที่ผู้ก่อตั้งแต่ละคนสามารถใช้เพื่อดำเนินงาน ทั้งในปัจจุบันและการคาดการณ์ในอนาคต
3. การลงทุนทางการเงิน
ผู้ก่อตั้งบางคนอาจให้เงินทุนเริ่มต้นกับบริษัทในจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวระบุสัดส่วนหุ้นที่แตกต่างกัน
4. ความสัมพันธ์ทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือ
การเข้าถึงเครือข่ายที่มีคุณค่าคือปัจจัยที่สำคัญ ความสามารถของผู้ร่วมก่อตั้งในให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวต่อนักลงทุนรายหลักในอุตสาหกรรมหรือผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าจะช่วยเร่งการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
5. บทบาทในอดีตและในอนาคต
ลองพิจารณาว่าผู้ก่อตั้งแต่ละคนมีส่วนร่วมกับธุรกิจในด้านใดบ้าง และพวกเขาจะมีบทบาทอย่างไรต่อจากนี้ บุคคลที่ลงทุนทรัพย์สินในระยะแรก อาจไม่ได้มีส่วนร่วมในภายหลัง ซึ่งการแบ่งส่วนหุ้นควรพิจารณาจากการมีส่วนร่วมในธุรกิจด้วย
6. ระดับการรับความเสี่ยง
ผู้ก่อตั้งแต่ละคนอาจรับความเสี่ยงได้ในระดับที่แตกต่างกะน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเต็มใจที่จะทำการตัดสินใจที่สําคัญและส่งผลต่อผลประโยชน์หลักของธุรกิจ ปัจจัยนี้อาจส่งผลต่อระดับการควบคุมของผู้ร่วมก่อตั้งแต่ละคน ซึ่งอ้างอิงได้จากสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจ
7. การกำหนดเวลา
แม้แนวคิดเรื่องกําหนดการถือหุ้นตามกำหนดเวลาจะไม่ได้ผูกกับการแบ่งหุ้นครั้งแรกโดยตรง แต่ควรพิจารณาการกำหนดเวลาถือหุ้นเมื่อต้องทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ การทําความเข้าใจว่าสัดส่วนการถือหุ้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ จะช่วยให้แนวทางในการจัดสรรหุ้นมีความยืดหยุ่นและควบคุมได้มากขึ้น
8. การกำหนดกลยุทธ์การออกจากธุรกิจ
ผู้ก่อตั้งแต่ละคนอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันไปในเรื่องการออกจากธุรกิจ การมองว่าเป้าหมายสูงสุดคือการหานักลงทุนอย่างรวดเร็วหรือการเติบโตในระยะยาว จะส่งผลต่อมูลค่าที่ผู้ก่อตั้งแต่ละคนลงทุนและส่วนแบ่งหุ้นที่ยุติธรรม
9. ผลกระทบทางกฎหมาย
พิจารณาความรับผิดชอบทางกฎหมายที่ผู้ก่อตั้งแต่ละคนมี ผู้ก่อตั้งบางคนอาจมีระดับการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ ความรับผิดชอบด้านกฎหมาย และเรื่องทางกฎหมายอื่นๆ สูงกว่า ซึ่งส่งผลต่อสัดส่วนการถือหุ้นด้วย
10. ปัจจัยทางอารมณ์และจิตใจ
ความชาญฉลาดทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่แน่นแฟ้น และความสามารถในการรักษาสภาพแวดล้อมการทํางานที่ดีคือปัจจัยที่สำคัญ และเป็นทักษะที่ผู้ก่อตั้งควรมีแต่มักจะถูกมองข้าม การมีส่วนร่วมของผู้ก่อตั้งต่อการสร้างกำลังใจในทีมยังเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดสรรหุ้นด้วย
11. ค่าเสียโอกาส
ลองพิจารณาดูว่าผู้ก่อตั้งแต่ละคนต้องเสียสละอะไรบ้างเพื่อเข้าร่วมธุรกิจสตาร์ทอัพ การสูญเสียงานที่มีรายได้สูงหรือโอกาสสำคัญในด้านอื่นๆ สามารถนำมาพิจารณาประกอบการแบ่งหุ้นได้
ไม่มีโซลูชันการแบ่งหุ้นที่ตายตัวและใช้ได้กับทุกกรณี เพราะกลยุทธ์การแบ่งหุ้นที่ "ใช่" คือโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการและสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจสตาร์ทอัพ ทีมผู้ก่อตั้งแต่ละทีมก็ทำงานแตกต่างกันออกไป และแต่ละทีมก็ให้ความสําคัญกับสิ่งที่ตนอยากได้จากการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายทางการเงินหรือเป้าหมายอื่นๆ ก็ตาม ผลกำไรสุทธิไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการดำเนินงานที่รอบคอบและระมัดระวัง โดยต้องพิจารณาความหลากหลายของการร่วมทุนและทีมด้วย
วิธีการต่างๆ ในการแบ่งหุ้นให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้ง
เนื่องจากไม่มีวิธีตายตัวในการตัดสินใจว่าผู้ร่วมก่อตั้งมีกรรมสิทธิ์ในหุ้นเท่าใด จึงไม่ได้มีโครงสร้างการแบ่งหุ้นให้แก่ผู้ก่อตั้งเพียงแค่อย่างเดียว ตัวอย่างวิธีการทั่วไปที่ผู้ร่วมก่อจะตั้งสามารถใช้เพื่อจัดระเบียบและจัดการการแบ่งหุ้น มีดังนี้
การแบ่งเท่ากัน
แม้จะเป็นวิธีการที่ยุติธรรมที่สุด แต่การแบ่งหุ้นให้ผู้ก่อตั้งแต่ละคนเท่ากันก็มาพร้อมกับความท้าทายเฉพาะตัว เนื่องจากจะถือว่าผู้ก่อตั้งแต่ละคนมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของบริษัทอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ในระยะยาว นอกจากนี้ วิธีนี้อาจสร้างปัญหาในการกํากับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจํานวนผู้ร่วมก่อออกคะแนนเสียงเท่ากัน ทำให้เกิดการหยุดชะงักด้านการตัดสินใจให้น้ำหนักตามการมีส่วนร่วม
วิธีนี้จะวัดปริมาณการดำเนินงานที่ผู้ก่อตั้งแต่ละคนมอบให้ เช่น การทุ่มเทเวลา การลงทุนทางการเงิน และชุดทักษะ จากนั้นจะแบ่งหุ้นตามสัดส่วนโดยอิงตามการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกันดังกล่าว วิธีนี้ช่วยให้จัดสรรหุ้นแบบมีรายละเอียดมากขึ้น แต่การจัดสรรนี้ต้องอาศัยการประเมินที่ครอบคลุมและข้อตกลงเกี่ยวกับมูลค่าของการมีส่วนร่วมแต่ละประเภทหุ้นแบบไดนามิกหรือแบบปรับได้
หากใช้วิธีนี้ ผู้ก่อตั้งยอมรับเมตริกหรือตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักที่จะส่งผลต่อการแบ่งหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ เมตริกเหล่านี้อาจรวมถึงเป้าหมายรายรับ อัตราการได้ธุรกิจใหม่ หรือเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การแบ่งหุ้นจะปรับโดยอัตโนมัติตามเมตริกที่กําหนดไว้ล่วงหน้าเหล่านี้ โมเดลนี้ให้ความยืดหยุ่นในการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงระดับการมีส่วนร่วม เงื่อนไขของตลาด หรือทิศทางเชิงกลยุทธ์การกำหนดเงื่อนไขเวลาตามผลการปฏิบัติงาน
โครงสร้างนี้จะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเวลาของหุ้นเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ การกำหนดเงื่อนไขเวลาหุ้นตามผลการปฏิบัติงานจะผูกหุ้นกับผลลัพธ์ที่วัดได้ ซึ่งแตกต่างจากการกำหนดตามช่วงเวลาแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น ผู้ก่อตั้งธุรกิจด้านเทคโนโลยีอาจตัดสินใจเลือกวิธีกำหนดเงื่อนไขการให้หุ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์บางอย่างการแบ่งตามบทบาท
สำหรับวิธีนี้ หุ้นจะแบ่งตามบทบาทที่ผู้ก่อตั้งแต่ละคนมี โครงสร้างนี้มักจะจัดหมวดหมู่บทบาทออกเป็นระดับต่างๆ โดยแต่ละตําแหน่งจะมีช่วงมูลค่าหุ้นเป็นของตนเอง ตัวอย่างเช่น CEO อาจได้รับส่วนแบ่งหุ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับ CTO หรือ COO โดยอิงตามมูลค่าที่รับรู้ของบทบาทนั้นต่อการบรรลุเป้าหมายของบริษัทโมเดลแบบไฮบริด
ในบางกรณี การผสมผสานวิธีการต่างๆ อาจเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น สามารถแบ่งส่วนหุ้นระยะแรกผ่านการมีส่วนร่วมแบบตามน้ำหนัก แต่มีข้อสัญญาว่าจะใช้การปรับยอดแบบไดนามิกตามเมตริกประสิทธิภาพที่เจาะจงระบบแบบใช้คะแนน
ธุรกิจสตาร์ทอัพบางแห่งเลือกใช้ระบบคะแนน ซึ่งผู้ก่อตั้งแต่ละรายจะได้รับคะแนนจากการร่วมลงทุน ความรับผิดชอบ และความเสี่ยง จากนั้นจะใช้คะแนนเหล่านี้ในการคํานวณเปอร์เซ็นต์หุ้นของผู้ก่อตั้งแต่ละราย ระบบนี้จะละเอียดมากขึ้น แต่อาจต้องใช้ความทุ่มเทในการดูแลรักษาค่อนข้างสูงสัญญาซื้อ/ขายที่เจรจาตกลงกันไว้ล่วงหน้า
อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้ข้อตกลงการซื้อ/ขายที่เจรจาตกลงกันไว้ล่วงหน้า ซึ่งระบุเงื่อนไขที่ผู้ก่อตั้งสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นของตนด้วยการซื้อหุ้นจากบริษัทหรือผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ ซึ่งเป็นกลไกปรับหุ้นโดยอิงตามการประเมินค่าและการลงทุนอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลดมูลค่าหุ้นของผู้ถือหุ้นโดยไม่จำเป็นการสงวนสิทธิ์ถือหุ้นไว้เฉพาะกลุ่ม
แม้วิธีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการแบ่งกรรมสิทธิ์หุ้นผู้ก่อตั้งโดยตรง แต่กลุ่มการถือหุ้นจะให้ความยืดหยุ่นในการว่าจ้างบุคลากรหลักๆ โดยไม่ลดมูลค่าหุ้นของผู้ก่อตั้งจนมากเกินไป ขนาดของกลุ่มและข้อกําหนดการให้สิทธิ์คือปัจจัยด้านกลยุทธ์ที่สำคัญ
การจัดสรรหุ้นแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียเป็นของตัวเอง วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือวิธีที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการและสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจสตาร์ทอัพ โปรดบันทึกข้อตกลงทั้งหมดเป็นเอกสารไว้อย่างรอบคอบ โดยคํานึงถึงสถานการณ์ในอนาคตเช่น รอบการจัดหาเงินทุน การออกจากธุรกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับผู้ก่อตั้ง พิจารณาการขอคําแนะนําทางกฎหมายและการเงินเพื่อช่วยในการสร้างสัญญาหุ้นที่ทําหน้าที่เป็นผลประโยชน์ระยะยาวของผู้ถือผลประโยชน์ร่วมทุกคน

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ