บริษัทร่วมลงทุน (VC) เป็นที่รู้จักในด้านการให้เงินลงทุนก้อนใหญ่แก่สตาร์ทอัพ แต่การให้เงินทุนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่พวกเขาทำเท่านั้น บริษัทร่วมลงทุนคือผู้ที่รับความเสี่ยงมืออาชีพซึ่งเป็นผู้กำหนดว่าไอเดียใดจะมีโอกาสที่จะขยายขนาดและผู้ก่อตั้งคนใดจะได้รับเชื้อเพลิงในการทำให้ไอเดียเหล่านั้นเป็นจริง การทำความเข้าใจว่าบริษัทเหล่านี้ทำงานอย่างไร ทั้งวิธีที่พวกเขาเลือกบริษัท วิธีที่พวกเขาสร้างรายได้ และความหมายที่แท้จริงของการรับเงินลงทุนจากพวกเขา จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจสตาร์ทอัพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้านล่างนี้เราจะพูดถึงสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับบริษัทร่วมลงทุน รวมถึงวิธีการที่จะได้รับเงินทุนจากพวกเขา
เนื้อหาหลักในบทความ
- บริษัทร่วมลงทุนคืออะไร
- บริษัทร่วมลงทุนทำงานอย่างไร
- บริษัทร่วมลงทุนมีบทบาทอย่างไรในสภาพแวดล้อมของสตาร์ทอัพ
- บริษัทร่วมลงทุนมองหาอะไรเมื่อลงทุนในธุรกิจ
- บริษัทร่วมลงทุนสร้างผลตอบแทนได้อย่างไร
- ข้อดีและข้อแลกเปลี่ยนของการระดมทุนจากบริษัทร่วมลงทุนมีอะไรบ้าง
- ธุรกิจเตรียมพร้อมอย่างไรในการนำเสนอแผนต่อบริษัทร่วมลงทุน
- Stripe Atlas ช่วยอะไรได้บ้าง
บริษัทร่วมลงทุนคืออะไร
บริษัทร่วมลงทุนคือบริษัทที่รวบรวมเงินทุนจากนักลงทุนภายนอกและนำเงินนั้นไปซื้อหุ้นกรรมสิทธิ์หุ้นในสตาร์ทอัพ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2025 ยอดการลงทุนของ VC ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 1.263 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนที่จัดหาเงินทุนเหล่านั้น (กองทุนบำเหน็จบำนาญ เงินบริจาคกองทุนบริจาค และบุคคลที่ร่ำรวย) นั้นจะเรียกว่าหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด (LP) ส่วนบุคคลที่บริหารจัดการบริษัทร่วมลงทุนจะเรียกว่าหุ้นส่วนผู้จัดการ (GP) ซึ่งเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าจะให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพรายใดและจะบริหารจัดการการลงทุนเหล่านั้นอย่างไร
VC จะเข้าถือกรรมสิทธิ์บางส่วนในบริษัทที่พวกเขาลงทุน พวกเขาจะซื้อสัดส่วนความเป็นเจ้าของในธุรกิจเพื่อแลกกับเงินทุน โดยมีความคาดหวังว่าหากสตาร์ทอัพนั้นเติบโตและเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือถูกเข้าซื้อกิจการ กรรมสิทธิ์หุ้นที่ถืออยู่จะสามารถขายออกไปในราคาที่สูงกว่ามากได้ หากสตาร์ทอัพนั้นล้มเหลว กรรมสิทธิ์หุ้นที่ถืออยู่จะกลายเป็นศูนย์ นั่นเป็นเหตุผลที่ VC ต้องระมัดระวังในการเลือกลงทุน และเป็นเหตุผลว่าทำไมรูปแบบการลงทุนของพวกเขาจึงสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการกระจายความเสี่ยงไปในพอร์ตโฟลิโอ
บริษัทร่วมลงทุนทำงานอย่างไร
บริษัทร่วมลงทุนจะดำเนินงานเป็นวัฏจักร คือ ระดมเงิน นำเงินไปลงทุน สนับสนุนสตาร์ทอัพ และถอนเงินออกในท้ายที่สุด โดยแต่ละขั้นตอนได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนกองทุนรวมจากนักลงทุนให้กลายเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ
แต่ละระยะมีรายละเอียดดังนี้
การระดมทุน
บริษัท VC เริ่มต้นด้วยการระดมทุนจาก LP เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนบริจาค สำนักงานครอบครัว และบุคคลที่ร่ำรวย โดยบริษัทจะทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ (GP) ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะนำเงินไปลงทุนที่ใด กองทุนเดียวสามารถมีขนาดได้ตั้งแต่หลายสิบล้านไปจนถึงหลายพันล้านดอลลาร์ และมักจะมีจุดมุ่งเน้นที่ระบุไว้ เช่น ธุรกิจซอฟต์แวร์ในระยะเริ่มต้นหรือธุรกิจด้านสุขภาพในระยะเติบโต
การค้นหาและการคัดกรองสตาร์ทอัพ
เมื่อมีเงินทุนมั่นคงแล้ว VC จะมองหาบริษัทที่เหมาะกับจุดมุ่งเน้นของตน โดยพวกเขาจะประเมินผู้ก่อตั้ง ตลาด โมเดลธุรกิจ และแรงขับเคลื่อน และพวกเขาจะดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเพื่อทดสอบว่าสตาร์ทอัพนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่
การตัดสินใจลงทุน
หากมีความเหมาะสมที่ลงตัว บริษัท VC จะลงทุนเงินเพื่อแลกกับกรรมสิทธิ์หุ้น โดยข้อกำหนดจะชี้แจงมูลค่าบริษัท สัดส่วนของกรรมสิทธิ์ และการมีตัวแทนในคณะกรรมการบริษัท
การสนับสนุนการเติบโต
VC มักจะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัท ทำการแนะนำลูกค้า สรรหาผู้บริหารระดับสูง และให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ อิทธิพลของพวกเขาได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มโอกาสที่บริษัทจะขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
การขายออก
ผลตอบแทนจะเกิดขึ้นเมื่อสตาร์ทอัพถูกเข้าซื้อกิจการหรือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นั่นคือตอนที่บริษัท VC จะขายหุ้นที่ถืออยู่ โดยหวังว่าจะได้ผลตอบแทนเป็นหลายเท่าของเงินที่ลงทุนไป ส่วนผลกำไรจะกลับไปที่ LP ของกองทุน และบริษัทจะเก็บกำไรส่วนหนึ่งที่เรียกว่าส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนไว้เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการบริหารจัดการเงินลงทุน
บริษัทร่วมลงทุนมีบทบาทอย่างไรในสภาพแวดล้อมของสตาร์ทอัพ
VC จะเป็นผู้กำหนดจังหวะความเร็วของการเกิดธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ๆ และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้กับผู้ก่อตั้งที่เต็มใจจะรับความเสี่ยงที่สูงกว่าปกติ ต่อไปนี้คือวิธีที่ VC เข้ามามีบทบาทในการกำหนดรูปแบบสภาพแวดล้อมของสตาร์ทอัพ
เงินทุนสำหรับไอเดียใหม่ที่มีความเสี่ยง: บริษัทใหม่ๆ หลายแห่งไม่สามารถขอเงินกู้จากธนาคารได้ VC จึงเข้ามาให้เงินทุนแก่ไอเดียที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์แต่มีศักยภาพ ซึ่งมักจะเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาที่ต่อมาได้กลายเป็นตัวกำหนดทิศทางของทั้งอุตสาหกรรม
การให้คำปรึกษาและคำแนะนำ: VC ที่ดีจะนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ได้มาอย่างยากลำบาก พวกเขาจะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัท เสนอข้อมูลเชิงกลยุทธ์ และนำทางผู้ก่อตั้งให้ผ่านความท้าทายต่างๆ เช่น การสรรหาบุคลากร การขยายธุรกิจ และการปรับปรุงความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์กับตลาด
เครือข่ายและความน่าเชื่อถือ: เครือข่ายของ VC สามารถเปิดโอกาสให้เข้าถึงลูกค้า นักลงทุนในอนาคต หรือบุคลากรที่มีความสามารถระดับสูงได้ การได้รับการสนับสนุนจากกองทุนที่น่าเชื่อถือยังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความชอบธรรมหรือความน่าเชื่อถือในสายตาของตลาดอีกด้วย
เส้นทางสู่การเติบโต: ด้วยเงินทุนและความสัมพันธ์ VC จะช่วยให้สตาร์ทอัพขยายธุรกิจได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี แทนที่จะเป็นหลายสิบปี
ผลกระทบแบบระลอกคลื่นทางเศรษฐกิจ: ด้วยการสนับสนุนบริษัทที่มีการเติบโตสูง VC จึงช่วยสร้างงาน ผลักดันให้ผู้เล่นเดิมในตลาดต้องพัฒนาตนเอง และนำพาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่ตลาด
บริษัทร่วมลงทุนมองหาอะไรเมื่อลงทุนในธุรกิจ
บริษัท VC ทุกแห่งต่างก็มีจุดมุ่งเน้นเป็นของตนเอง แต่ส่วนใหญ่จะใช้รายการตรวจสอบพื้นฐานเดียวกันในการตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่ พวกเขามักจะถามคำถาม 3 ข้อ คือ บริษัทนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ เรามีความเชื่อมั่นหรือไม่ว่าทีมงานนี้จะทำสำเร็จ และจะมีเส้นทางที่ชัดเจนในการคืนเงินลงทุนของเราหรือไม่
ต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกเขาจะประเมิน
ความสามารถในการขยายและศักยภาพในการเติบโต: VC ต้องการสตาร์ทอัพที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและในวงกว้าง โดยซอฟต์แวร์ มาร์เก็ตเพลส และโมเดลธุรกิจอื่นๆ ที่มีต้นทุนส่วนเพิ่มต่ำนั้นเป็นที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้สามารถเพิ่มรายได้ได้หลายเท่าตัวโดยไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายตามไปมากนัก
ทีมงาน: นักลงทุนหลายคนจะบอกว่าพวกเขาสนับสนุนผู้คน ไม่ใช่ไอเดีย ทีมผู้ก่อตั้งที่มีความยืดหยุ่นพร้อมด้วยทักษะและความเข้ากันได้ที่เหมาะสมมักจะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ
ความได้เปรียบเฉพาะตัว: การปรับปรุงพัฒนามีความสำคัญ ซึ่งสิ่งนั้นอาจเป็นเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ รูปแบบธุรกิจที่ชาญฉลาด หรือแนวทางที่แตกต่างในการแก้ปัญหาเดิมๆ VC จะมองหาสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย
ขนาดของตลาด: แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดก็อาจล้มเหลว หากโอกาสทางธุรกิจมีขนาดเล็กเกินไป นักลงทุนมักต้องการเห็นตลาดที่มีขนาดใหญ่พอ ที่ซึ่งการช่วงชิงส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างมูลค่าได้หลายร้อยล้าน
แรงขับเคลื่อน: นักลงทุนต้องการหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าไอเดียนี้ได้ผลจริง (เช่น การเติบโตของผู้ใช้ รายรับในช่วงเริ่มต้น หรือการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่ง) หลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีอุปสงค์จะช่วยลดความเสี่ยงที่เป้าหมายของสตาร์ทอัพจะไม่สมจริง
ศักยภาพในการขายออก: VC จะลงทุนโดยคำนึงถึงเป้าหมายสุดท้ายเสมอ นี่เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือพอจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่ จะมีผู้ซื้อกิจการต่อแถวรอซื้อหากบริษัทนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่
ความสอดคล้องกับกองทุนของพวกเขา: บริษัท VC ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตจะไม่สนับสนุนแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าแผนการนำเสนอจะดีเยี่ยมเพียงใดก็ตาม ผู้ก่อตั้งควรค้นคว้าว่าบริษัทใดที่ลงทุนในสาขาธุรกิจของตน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาและพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์
บริษัทร่วมลงทุนสร้างผลตอบแทนได้อย่างไร
การร่วมลงทุนทำงานบนหลักการง่ายๆ คือลงทุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รอให้บริษัทเติบโต และถอนทุนออกพร้อมผลกำไรก้อนโต ผลตอบแทนเกือบทั้งหมดจะมาจากการขายออกเท่านั้น ซึ่งก็คือการที่สตาร์ทอัพเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทขนาดใหญ่เข้าซื้อกิจการ นั่นคือตอนที่บริษัทร่วมลงทุน (VC) ขายกรรมสิทธิ์หุ้นออกไป
เนื่องจากสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ล้มเหลว VC จึงสร้างพอร์ตโฟลิโอโดยที่รู้ว่าจะมีเพียงการลงทุนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้ ซึ่งตัวเลขมักไม่สมดุล โดยจากการลงทุน 20 ครั้ง หลายโครงการอาจล้มเหลว บางโครงการอาจให้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย และมีเพียง 1 โครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งอาจสร้างผลตอบแทนได้มากกว่ามูลค่าการลงทุนเริ่มต้นถึง 10 เท่าหรือมากกว่านั้น ความสำเร็จเพียงครั้งเดียวนั้นอาจสร้างผลตอบแทนได้มากพอที่จะคืนทุนให้กับทั้งกองทุน และยังเหลือกำไรอีกด้วย
ผลตอบแทนจะถูกแบ่งให้กับนักลงทุนของ VC โดยจะมีการคืนเงินลงทุนเริ่มต้นให้แก่หุ้นส่วนจำกัด (LP) ก่อน จากนั้นจึงค่อยแบ่งกำไร ตามรูปแบบมาตรฐาน "2 และ 20" บริษัทจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการรายปี 2% และเก็บผลกำไรประมาณ 20% ไว้เป็นส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน VC นั้นจะคิดและวางแผนในระยะยาว เนื่องจากกองทุนมักจะดำเนินงานตามกรอบเวลา 10 ปี
ข้อดีและข้อแลกเปลี่ยนของการระดมทุนจากบริษัทร่วมลงทุนมีอะไรบ้าง
การร่วมลงทุนสามารถเร่งการเติบโตได้อย่างมหาศาล แต่ก็จะผูกมัดคุณไว้กับหุ้นส่วนที่คาดหวังการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและการเปลี่ยนเป็นเงินสดในท้ายที่สุด นั่นเป็นเส้นทางที่เหมาะสำหรับบางบริษัท แต่สำหรับบางบริษัทอาจรู้สึกเหมือนต้องวิ่งตามกำหนดเวลาของคนอื่น ต่อไปนี้คือรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เงินทุนจาก VC จะมอบให้คุณและความคาดหวังที่มาพร้อมกับเงินทุนนั้น
ข้อดีมีดังต่อไปนี้
เงินทุนเพื่อการเติบโต: VC จะจัดหาเงินทุนในลักษณะที่ธนาคารหรือนักลงทุนรายย่อยแทบจะไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นเงินทุนที่เพียงพอต่อการจ้างงานเชิงรุก การขยายตลาด หรือการเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เนื่องจากเป็นการแลกเปลี่ยนกับกรรมสิทธิ์หุ้น จึงไม่มีการชำระคืนรายเดือนที่ทำให้กระแสเงินสดลดลง
ความเชี่ยวชาญและเครือข่าย: นอกเหนือจากการลงทุนทางการเงิน VC ที่ดีจะนำมาซึ่งคำแนะนำด้วย หลายคนเป็นอดีตผู้ก่อตั้งหรือผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมที่สามารถช่วยจัดการกับความท้าทายในการขยายธุรกิจได้ เครือข่ายของพวกเขาสามารถเปิดโอกาสให้เข้าถึงลูกค้า การจ้างบุคลากรระดับสูง หรือนักลงทุนในอนาคตได้
ความน่าเชื่อถือ: การมี VC ที่มีชื่อเสียงอยู่ในตารางผู้ถือหุ้นของคุณจะช่วยส่งสัญญาณความน่าเชื่อถือและทำให้ดึงดูดสื่อ บุคลากรที่มีความสามารถ และการระดมทุนรอบต่อไปได้ง่ายขึ้น
สิ่งแลกเปลี่ยนมีดังต่อไปนี้
การลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการควบคุม: เงินทุนจาก VC แลกมาด้วยกรรมสิทธิ์หุ้น ซึ่งหมายถึงการยอมสละสัดส่วนในการถือกรรมสิทธิ์และบางครั้งอาจรวมถึงที่นั่งในคณะกรรมการบริษัท ซึ่งจะเป็นการถ่ายโอนอำนาจในการตัดสินใจ
แรงกดดันให้เติบโตอย่างรวดเร็ว: กองทุนร่วมลงทุนนั้นมีอายุจำกัด ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องการให้บริษัทขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและมุ่งเป้าไปที่การขายออกที่ให้ผลตอบแทนสูง ผู้ก่อตั้งรู้สึกถูกผลักดันให้เร่งการเติบโตโดยแลกกับการสูญเสียความยั่งยืน
ความคาดหวังในการขายออก: VC ลงทุนเพื่อขาย ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดดันให้ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือถูกเข้าซื้อกิจการ แม้ว่าผู้ก่อตั้งจะตั้งใจสร้างธุรกิจที่เป็นอิสระในระยะยาวมาตั้งแต่แรกก็ตาม
ความสอดคล้องทางวิสัยทัศน์: นักลงทุนให้ความสำคัญกับผลตอบแทน หากลำดับความสำคัญของพวกเขาไม่สอดคล้องกับของคุณ ความตึงเครียดก็จะเกิดขึ้นได้ และในกรณีที่รุนแรงที่สุด ผู้ก่อตั้งอาจสูญเสียอำนาจในบริษัทของตนเองไปเลย
ธุรกิจเตรียมพร้อมอย่างไรในการนำเสนอแผนต่อบริษัทร่วมลงทุน
สตาร์ทอัพที่นำเสนอแผนต่อ VC จำเป็นต้องพิสูจน์ทั้งโอกาสและความพร้อมของพวกเขา ยิ่งคุณเตรียมตัวได้ดีเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่นักลงทุนจะมองว่าคุณเป็นการเดิมพันที่ชาญฉลาดมากขึ้นเท่านั้น
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ธุรกิจควรทำก่อนที่จะนำเสนอแผน
เตรียมเรื่องพื้นฐานให้พร้อม: ต้องมีมากกว่าไอเดีย ผลิตภัณฑ์เวอร์ชันพื้นฐาน แรงขับเคลื่อนในช่วงเริ่มต้น และเอกสารที่ครบถ้วนชัดเจน (เช่น การจดทะเบียนบริษัท, ตารางผู้ถือหุ้น, การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา) จะแสดงให้เห็นว่าคุณมีความจริงจัง โปรแกรมต่างๆ เช่น Stripe Atlas จะช่วยสตาร์ทอัพจัดการเรื่องการจดทะเบียนบริษัท เพื่อให้พวกเขาไม่ติดขัดในเรื่องงานเอกสาร
มุ่งเป้าไปที่บริษัทที่เหมาะสม: ไม่ใช่บริษัท VC ทุกแห่งจะลงทุนในทุกอุตสาหกรรมหรือทุกระยะของบริษัท ให้ค้นคว้าว่าใครกำลังลงทุนอย่างแข็งขันในสาขาของคุณและขนาดธุรกิจของคุณ การปรับแต่งการเข้าไปติดต่อจะช่วยหลีกเลี่ยงความพยายามที่สูญเปล่าและส่งสัญญาณว่าคุณได้ทำการค้นคว้ามาแล้ว
รังสรรค์การนำเสนอแผนของคุณ: แผนนำเสนอและเรื่องราวที่ชัดเจนและมีจุดมุ่งเน้นนั้นสำคัญกว่าสไลด์ที่หวือหวา ให้อธิบายถึงปัญหา โซลูชันของคุณ ตลาด แรงขับเคลื่อน ทีมงานของคุณ และวิธีที่คุณจะใช้เงินทุน จงฝึกซ้อมการนำเสนอแผนของคุณจนกว่าจะสามารถถ่ายทอดได้อย่างชัดเจนและอย่างมีความเชื่อมั่น
เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบข้อมูล: เก็บข้อมูลทางการเงิน การคาดการณ์ สัญญา และตัวชี้วัดต่างๆ ให้เป็นระเบียบ นักลงทุนจะต้องการตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้
ใช้เครือข่ายของคุณ: การแนะนำมีน้ำหนักมากกว่าการส่งอีเมลแบบไม่เคยรู้จักมาก่อน ให้สร้างความสัมพันธ์ เข้าร่วมงานกิจกรรม และพึ่งพาที่ปรึกษาเพื่อขอให้ช่วยแนะนำ
Stripe Atlas ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จดทะเบียนจัดตั้งโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst
การสมัครใช้งาน Atlas
การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน
การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นขอหมายเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN) ของคุณ โดยผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคม ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือของสหรัฐอเมริกาจะมีสิทธิ์ได้รับการดำเนินการแบบเร่งด่วนจาก IRS ในขณะที่ผู้ก่อตั้งบางรายจะได้รับการดำเนินการแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังรองรับการชำระเงินล่วงหน้าผ่าน EIN และการทำธุรกรรมทางธนาคาร คุณจึงสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ก่อนที่จะได้รับ EIN
การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ
การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe
เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์
Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการดำเนินงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย หรือเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ